Lonely is Friend, not Pain.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2550
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
4 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
รุ้งลายน้ำ ตอนที่ 1


เสียงแตรรถดังเป็นจังหวะ สาวใช้ร่างเล็กวางมือจากมีดที่กำลังซอยหอมทันที ปากตะโกนบอกหญิงร่างท้วมที่เดินเข้ามาในครัวพอดี

“ป้า คุณน้ำมาแล้ว เตรียมเบียร์ให้ด้วยนะ”

ป้าโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายรีบไปเปิดประตู แต่ก็ช้ากว่าร่างเล็กที่วิ่งผลุบหายไปก่อนแล้ว

ล้อสีดำหยุดนิ่งหน้าบันได ขายาวขาวเรียวก้าวลงจากรถสีเปลือกมังคุดแปลกตา สาวใช้ร่างเล็กคนเดิมรีบวิ่งมารายงาน

“คุณนงพงามาแล้วนะคะคุณ เขามากับลูกชายด้วยค่ะ”

เจ้านายชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหินอ่อน หันขวับมาถามสาวใช้ทันที

“ลูกชาย”
“เขาบอกจะมาเรียนให้คุณน้ำทราบค่ะ” จ้อยรีบบอก
“งั้นก็ไปตามเขามาหาฉันที่ระเบียงขาว แล้วเอาเบียร์ตามไปด้วย” อีกฝ่ายรีบรับคำแล้ววิ่งหายไปทางเรือนหลังเล็กที่เพิ่งมีคนย้ายเข้ามาใหม่ คุณน้ำบอกให้จ้อยไปกวาดเรือนหลังเล็กที่ปิดเงียบมาหลายปี บอกสั้นๆว่าจะมีคนย้ายมาอยู่

เรือนไม้สีเขียวตองอ่อนแม้จะไม่มีใครอยู่ แต่คุณน้ำก็หมั่นให้เข้าไปทำความสะอาด ดังนั้นเมื่อจ้อยจะต้องไปดูแลเพื่อให้ “คน” ที่คุณน้ำว่าเข้ามาอยู่ จ้อยก็เลยไม่เหนื่อยอะไร คุณน้ำไปหาต้นไม้เล็กๆกับต้นมะลิซ้อนมาให้จ้อยเอาไปวางตรงชานหน้าบ้าน แค่นี้เรือนหลังเล็กก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา นอกจากนี้ คุณน้ำยังไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ใหม่มาติดอีก จ้อยนั้นอยากจะรู้จริงๆว่าใครกันนะจะมาอยู่ที่เรือนนี้

ช่วงสายคล้อยหลังจากที่คุณน้ำออกไปที่ร้านได้แค่ครึ่งชั่วโมง รถแท็กซี่ก็มาจอดหน้าบ้าน จ้อยวิ่งออกไปดูก็พบ
หญิงวัยกลางคนร่างผอมบางกับชายหนุ่มคนนึงยืนอยู่ เธอแนะนำตัวสั้นๆกับจ้อย

“ฉันชื่อนงพงา ”

จ้อยอึกอัก เพราะคุณน้ำสั่งว่าจะมีผู้หญิงชื่อนงพงามา ให้เข้าไปพักที่เรือนหลังเล็กได้เลย แต่คุณน้ำไม่ได้บอกว่าจะมีผู้ชายมาด้วย แล้วจ้อยจะไว้ใจได้ไหมล่ะเนี่ย เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจท่าทีหรือไม่ก็สายตาของจ้อยที่มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ

“นี่ลูกชายฉันเอง ”

เอาวะ...จ้อยนึกในใจ ก็สายตาอ่อนโยนของชายหนุ่มที่มองตาจ้อยนั้น ทำเอาจ้อยใจอ่อน ยอมโดนคุณน้ำดุหน่อยก็ไม่เป็นไร คุณน้ำก็ดุไปงั้นเองแหละ ไม่เห็นเคยโกรธอะไรจริงๆซะที


ตมิสาเดินก้าวยาวผ่านห้องโถงใหญ่ ก้าวที่มั่นคงหยุดอย่างรู้จุด เธอหันไปยิ้มกับกรอบรูปใหญ่ ทักทายด้วยเสียงของเด็กหญิงตมิสาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

“กลับบ้านแล้วค่ะคุณปู่” สองมือพนมก้มไหว้ชายร่างใหญ่ที่มีใบหน้ายิ้มละมัยในรูป

สองเท้าก้าวผ่านเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่เรียงรายไปด้วยหนังสือนานาชนิดเต็มตู้ที่วางแนบชิดผนังสูงถึงเพดาน ห้องนั่งเล่นที่เมื่อมีเพื่อนมาหามักจะบ่นแกมหยอกว่า นี่มันนั่งเล่นตรงไหน เหมือนอยู่ในห้องสมุดล่ะไม่ว่า ตมิสายิ้ม...ก็เธอชอบอ่านหนังสือเล่นนี่นา

เอื้อมมือไปเปิดล็อคประตูบานเลื่อน ลมโชยเอากลิ่นหญ้ากลิ่นดินหลังฝนตกเข้ามาแตะจมูก ตมิสายิ้ม เธอชอบกลิ่นนี้จัง ระเบียงขาวยื่นออกจากตัวบ้านลอยตามระดับที่ยกไว้ ทำให้มันลอยอยู่ในอากาศ แผ่นฟ้ากว้างคือวอลเปเปอร์ของมัน ตมิสายิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นแสงแดดที่กระทบกับละอองน้ำ มันกำลังเริ่มทักทอสายรุ้งอีกครั้ง

เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากบันไดที่ทอดขี้นตรงจากทางด้านหลังบ้านทำให้หญิงสาวปรับสีหน้าที่ดูผ่อนคลายกลับมานิ่งเฉยอีกครั้ง เมื่อหันไปก็พบผู้หญิงที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนมาหาเธอที่ร้าน แนะนำตัวกับเธอสั้นๆว่าเคยเป็นภรรยาของคุณการุณ...คุณปู่ของเธอ ตมิสานั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีขาวลายฉลุ

“นั่งสิ”

ทั้งสองคนนั่งลง ตมิสามองหน้าหญิงกลางคน ไม่แม้แต่จะเหลือบมองอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไหนว่าจะมาอยู่คนเดียว”
“ดิฉันต้องขอโทษคุณน้ำจริงๆค่ะ ที่ไม่ได้เรียนให้ทราบก่อนว่าจะพาภนต์มาอยู่ด้วย เผอิญเขาเพิ่งกลับมา ” นงพงาบอกด้วยน้ำเสียงเกรงๆ

เมื่อครั้งที่ตัดสินใจไปหาหญิงสาวที่เป็นหลานสาวคนเดียวของจากชายผู้ที่เธอเรียกไม่ค่อยเต็มปากนักว่าเป็นสามี นงพงาก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ผลยังไง แต่ความเดือดร้อนมันก็มากมายนัก เธอเองก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใครได้ ภาพเด็กหญิงผิวขาวจัดตาโตที่คุณการุณเคยให้เธอดู ยังติดตาเธออยู่เสมอ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอตัวจริงในอีกยี่สิบปีข้างหน้า

เด็กหญิงในรูปกับผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้าเธอวันนั้นยังคงมีผิวขาว แต่ดวงตาโตนั้นดูกล้าและดุผิดกับวัยเยาว์ในรูปที่เธอเคยเห็นจาก และนั่นทำให้เธอหวั่นนักว่าอีกฝ่ายจะช่วยเหลือเธอหรือไม่ ผิดคาดที่ตมิสากลับตั้งใจฟังเหตุผลของเธอ และเสนอให้เธอมาอยู่ด้วย

นงพงาดีใจนัก บ้านไม้หลังเล็กของเธอกำลังจะโดนเจ้าหนี้มายึด เธอพลาดที่เอาที่ไปจำนองกับนายทุนหน้าเลือด เงินที่เอาไปลงทุนกับเพื่อนที่พบกันในร้านเสริมสวยก็กลับถูกเชิดไปอย่างง่ายดาย เชื่อคนง่ายจริงนะเรา...คุณการุณเคยบอกเธออย่างนั้น ที่เธอเสียใจนักก็เพราะเงินที่สร้างบ้านหลังเล็กๆนี้เป็นเงินที่คุณการุณให้เธอไว้ก่อนจากกัน

“อย่าถือว่าเป็นค่าตอบแทนอะไรเลยนะ ฉันก็ถือว่าเธอเป็นเมียคนนึง จากนี้ไปก็ดูแลตัวเอง ถ้ามีอะไรเดือดร้อนก็บอกมา”

ผู้หญิงที่เติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้าอย่างเธอ ไม่มีใครจะหันไปพึ่งได้จริงๆ เมื่อพยายามติดต่อหาคุณการุณ ก็พบว่าเขาได้จากไปหลายปีแล้ว เหลือทายาทเพียงหลานสาวผิวขาวตาโตเพียงคนเดียว

“บ้านนี้มีแต่ผู้หญิง ฉันจะรับผู้ชายเข้ามาอยู่ด้วยก็ลำบากใจนะ จ้อยก็เป็นสาวแล้ว” ตมิสาเอ่ยขึ้น ไม่ได้รวมตัวเองที่แม้จะไม่ใช่สาวรุ่น แต่ก็ยังสาวคนหนึ่งในบ้านเช่นกัน

นงพงาอึกอัก นภนต์กลับมาหาเธอเมื่อสองวันก่อน ลูกชายเธอออกจากบ้านไปเกือบสามปี หลังจากเรียนจบปริญญาให้แม่ชื่นใจ ชายหนุ่มก็บอกมารดาสั้นๆว่า...อยากไปเรียนรู้ชีวิต นงพงาไม่รู้ว่าลูกไปอยู่ไหน ไปทำอะไร เธอไม่ค่อยสนิทกับเขานัก นภนต์เป็นเด็กเงียบๆ นั่งอ่านหนังสือยู่คนเดียวได้เป็นวันวัน ไม่สนใจจะออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ พอวันนึงเขาบอกว่าจะไป เธอซึ่งไม่เคยสั่งอะไรลูกก็ได้แต่รับฟัง

พ่อของนภนต์เป็นคนงานในโรงงานเดียวกับเธอ ได้เธอแล้วก็ทิ้งทันทีที่รู้ว่าเธอท้อง และนั่นคือความหักเหในชีวิตที่ทำให้เธอได้พบคุณการุณ นงพงาลาออกจากโรงงานไปทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงแรมในตัวเมือง เก็บเงินเก็บทองไว้ให้ลูกที่กำลังจะเกิดมา

“ผมไม่ทำอะไรใครหรอก” เสียงทุ้มดังขึ้น

ตาสองคู่สบตากันครั้งแรก ตมิสาพินิจใบหน้าชายหนุ่มที่ดูน่าจะเด็กกว่าเธอหลายปี เอ่ยเสียงเรียบ

“แล้วเธอจะเอาอะไรรับรองได้ ฉันไม่รู้จักเธอมาก่อน” เธอยั้งประโยคต่อที่ว่า...แม้แต่แม่ของเธอ..ไว้

นงพงาอ้าปากจะห้ามลูกชาย เธอรู้ว่าเขาเป็นคนเฉยแต่ก็แข็งเอาการ แล้วหลานคุณการุณนี่ก็ดูจะแข็งไม่เบา แต่นภนต์ก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ผมไม่มี มีแต่ความซื่อสัตย์ในสิ่งที่พูด” เขาพูด สายตาแน่วแน่มองส่งออกไป

ตมิสาถอนหายใจเบาๆ จ้อยเดินถือถาดที่มีแก้วเบียร์ขึ้นไอเย็นวางอยู่ ดูบรรยากาศแล้วรีบไปดีกว่า..จ้อยคิด แต่เสียงคุณน้ำก็ดังขึ้นซะก่อน

“จ้อย...ดูห้องในเรือนหลังเล็กสะอาดทุกห้องแล้วใช่มั้ย” ถามพลางหยิบแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่
“ค่ะ คุณน้ำ”
“ดี” หญิงสาวหันมามองสองคนที่นั่งอยู่ “ก็คงพออยู่กันได้นะ ต้องการอะไร หรืออยากจะทำอาหารก็ไปบอกป้าจิตเค้า เค้าดูแลในครัวอยู่ ส่วนเธอ” ตมิสาหยุดสายตาลงที่ชายหนุ่มที่มองจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว

“ฉันจะลองเชื่อ แล้วนี่ทำงานทำการอะไร”
“ขอบคุณครับ ผมทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์” อีกฝ่ายตอบ

ตมิสาเลิกคิ้วนิดนึง นงพงารีบเอ่ยขึ้น

“ดิฉันซักรีดเป็นนะคะ ให้ดิฉันช่วยทำให้ดีมั้ยคะ”
“ลองไปคุยกับป้าจิตเค้าล่ะกัน ฉันขอพักนะ” แค่นั้นจ้อยก็รู้แล้วว่าคุณน้ำต้องการอยู่คนเดียว เธอรีบบุ้ยใบ้สองแม่ลูกให้เดินตามเธอลงจากระเบียงมา ปากก็บรรยายไปเรื่อย

“คุณน้ำไม่ค่อยชอบอะไรยุ่งยาก ถ้าเธอกลับมาบ้าน บ้านต้องเรียบร้อย ไม่ต้องให้เธอมาตรวจ เธอทำงานที่ร้านต้องคุมทุกอย่างก็เหนื่อยแล้ว ระเบียงขาวนั่น ถ้าเธอไม่เรียกหาก็อย่าขึ้นไป หรือไปทำเสียงเอะอะก็ไม่ได้นะน้า”
“เธอยังไม่แต่งงานเหรอ” นภนต์เอ่ยถาม จ้อยหันมาทำตาโต
“เธอไม่แต่งหรอก เธอเข็ดผู้ชาย อุ้ย!” จ้อยตะครุบปากตัวเอง “เธอมีแต่เพื่อนสนิท เหมือนดารา คุณน้ำบอก แต่งแล้วต้องมาคอยดูแล เอาอกเอาใจ เธอทำไม่เป็น”

คราวนี้คนถามหัวเราะหึๆ เมื่อนึกหน้าหญิงสาวที่จ้อยกล่าวถึง ก็หน้าเฉยซะอย่างนั้น นงพงาหันมาปราบลูกชายเบาๆ

“ภนต์หัวเราะอะไรลูก ไปเถอะ แม่อยากไปถามแม่จิตว่าจะให้แม่ช่วยอะไรได้บ้าง”


บทสนทนายุติลง เสียงพูดคุยเลือนหายไป อากาศเย็นลงคลายความร้อนจากช่วงกลางวันไปได้บ้าง ตมิสาดื่มเบียร์ในแก้วหมดไปแล้ว เธอหลับตาลงขาเรียวพาดอยู่กับขอบโต๊ะ อดอมยิ้มไม่ได้ ถ้าคุณปู่มาเห็นเธอนั่งท่านี้เป็นได้โดนเคาะตาตุ่ม

คุณปู่ที่โอบอุ้มเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เกิด ตมิสา...เด็กหญิงที่เกิดในวันดวงจันทร์แรมเสี้ยว คุณปู่บอกว่าจริงๆกำหนดคลอดน่าจะอีกเกือบเดือน แต่เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้หมอต้องผ่าเธอออกมาก่อนกำหนด ให้เธอกำเนิดมาเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ แต่ตมิสาไม่เคยขาด คุณปู่คือทุกอย่าง คือความรักความอบอุ่นความเข้าใจ

ดังนั้นเมื่อมีผู้หญิงคนนึงมาบอกเธอว่าเคยเป็นคนนึงของคุณปู่เธอ ใช่...คนนึง เมื่อตมิสาเติบโตพอรู้เรื่องรู้ความ คุณปู่ก็บอกเรื่องราวของท่านให้เธอรับรู้ เพราะคุณย่าที่จากคุณปู่ไปนานก่อนเธอเกิดเกือบยี่สิบปี คุณปู่ของเธอจึงมีคนของท่านอยู่หลายคน ซึ่งก็อยู่ในจังหวัดแตกต่างกันไปตามแต่ว่าธุรกิจที่ท่านไปลงทุนนั้นตั้งอยู่ในที่ใด แต่ท่านไม่เคยพาคนไหนมาแนะนำให้เธอรู้จัก ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยบอกถึงรายละเอียดของคนใดคนนึงของท่านให้ฟัง ยกเว้นคนนึงที่ท่านมาบอกว่าท่านรู้สึกดีด้วยมาก แต่คุณปู่บอกว่าคนนั้นเด็กกว่าท่านหลายปีนัก ท่านไม่อยากให้เขามาทิ้งชีวิตกับท่าน ผู้หญิงคนนั้นชื่อ...นงพงา

หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า รู้แต่คุณปู่คงอยากให้เธอทำอย่างนี้ เรือนหลังเล็กที่เธอเคยอยู่ตั้งแต่เมื่อเริ่มเข้าวัยรุ่น คุณปู่สร้างให้ ท่านบอกว่า

“น้ำโตเป็นสาวแล้ว หนูคงอยากมีโลกส่วนตัวของหนู”
“แต่น้ำอยากอยู่ใกล้ๆคุณปู่นี่คะ” เธอฉอเลาะกับใครไม่เป็นเลยนอกจากกับคุณปู่ของเธอเท่านั้น
“หนูวิ่งสิบวิก็ถึงปู่แล้ว” คุณปู่ว่าพลางหัวเราะชอบใจ ชอบใจที่หลานสาวอยากอยู่ใกล้ แต่เพราะคุณปู่รู้ว่าตัวเองจะไม่อยู่ค้ำฟ้า ครั้นจะส่งไปเรียนเมืองนอกก็ห่วงเกินจะตัดใจ เขาอยากเห็นการจัดการชีวิตของตมิสา เริ่มจากง่ายๆก่อน

แล้วตมิสาก็จัดการเรือนหลังเล็กที่เพื่อนๆพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า มันเล็กตรงไหน ด้วยว่ามันสามารถเป็นบ้านของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนึงได้เลย ด้วยการไปเลือกผ้ามาทำผ้าม่านเอง เลือกเฟอร์นิเจอร์ตามร้านเล็กๆราคาไม่แพงนักมาดัดแปลง ผสมผสานกันจนจ้อยที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กหญิงตัวจ้อยสมชื่อเอ่ยปากพูดกับคุณน้ำว่า

“เรือนหลังเล็กเหมือนบ้านในหนังสือเลยนะคะคุณน้ำ”
“หนังสืออะไรจ้อย”
“ก็หนังสือที่คุณน้ำซื้อมา ภาพสวยๆแต่ตัวอะไรจ้อยอ่านไม่ออก” เด็กหญิงหมายถึงหนังสือตกแต่งบ้านต่างประเทศที่เธอยืมมาจากห้องสมุด
“แต่คุณน้ำทำออกมาสวยกว่า”

ตมิสาภาคภูมิใจนักกับการตกแต่งบ้านของตัวเอง คุณปู่ก็ดูจะชอบใจไม่น้อย บอกว่าจะแต่งห้องใหม่ ให้เธอลองเสนอไอเดีย และห้องนั่งเล่นนั้นก็ออกมาได้ใจทั้งของคุณปู่และของเธอ ตมิสาย้ายกลับมาอยู่บ้านใหญ่ก่อนคุณปู่สิ้นไม่นานนัก เธออยากอยู่ใกล้ๆท่าน แม้จะอาณาบริเวณเดียวกัน แม้เธอจะเคยชินกับการเดินจากบ้านใหญ่ไปเรือนหลังเล็กมากว่าสิบห้าปี แต่เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดของคุณปู่มันสำคัญมากจนไม่อาจจะให้เสียเวลาไปกับการก้าวเดินผ่านซุ้มเฟื่องฟ้าที่โค้งคลุม แม้ดอกแก้วจะโชยกลิ่นยามค่ำให้ชื่นใจแค่ไหนก็ตาม เวลานั้น...ตมิสาขอแต่เวลาที่จะได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนเดียวของเธอให้มากที่สุด

วันนี้เรือนหลังเล็กของเธอมีคนมาอยู่แล้ว เขาจะรักจะถนอมสิ่งที่อยู่แล้วของมันแค่ไหน....เธอไม่อาจรู้ได้ แต่คุณปู่คงจะดีใจที่เรือนนั้นจะให้โอกาสใหม่กับคนที่ท่านรู้สึกดีด้วย


ชายหนุ่มหยิบหนังสือเล่มหนาออกจากกระเป๋าทีละเล่ม ห้องสีฟ้าจางๆ ผ้าม่านสีเหลืองอ่อนแซมม่วงลาเวนเดอร์ นี่มันห้องผู้หญิงชัดๆ แม่บอกเขาเมื่อขนของขึ้นมาบนเรือนเสร็จแล้วว่า

“ภนต์อยู่ห้องใหญ่เถอะ หนังสือหนังหาเยอะ แม่นอนห้องเล็กได้”

เขาไม่ได้ค้านอะไรมารดา จะเพราะความห่างเหินลึกๆในใจ หรือเพราะความพูดน้อยของเขาก็แล้วแต่ นภนต์ก็หิ้วกระเป๋าเข้ามาในห้องนี้ เพื่อที่จะพบว่ามันหวานอย่างห้องผู้หญิงทีเดียว แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ด้วยนอกจากสีแล้วการวางเตียงและตู้ก็สะดวกสบายดี ความสะอาดและเรียบร้อยดูรู้ว่าไม่ใช่เกิดจากการที่จ้อยมาจัดการเพื่อเขากับแม่ แต่มาจากการดูแลเอาใจใส่อย่างดีตลอด

เสียงจ้อยคุยแจ้วๆดังเข้ามาใกล้ มีเสียงมารดาเขาตอบรับเป็นระยะ

“เรือนนี้คุณน้ำรักมากนะคุณนง” ตอนนี้นงพงาก็กลายเป็นคุณนงไปเรียบร้อย ป้าจิตกระซิบบอกหลานให้เรียกอย่างนี้ “คุณท่านสร้างให้คุณน้ำตอนเข้ามอปลาย จ้อยยังตัวนิดเดียว มาช่วยคุณน้ำแต่งห้องด้วย” เจ้าตัวอวดภูมิใจ แม้ว่าที่มาช่วยนั้นแท้จริงแล้วคือถือผ้าถือสายวัดเดินตามก็เหอะ

“แล้วคุณน้ำเธอไม่หวงแย่เหรอ” นงพงารู้เข้าก็อดห่วงไม่ได้
“โอย...ไม่หรอก เห็นเธอเฉยๆ แต่น้ำใจเธอกว้างกว่ามหาสมุทรนะคุณ”

นภนต์หัวเราะเบาๆกับเสียงของจ้อยที่ได้ยิน ดูท่าจะเทิดทูนกันมาแต่เล็กแต่น้อย เขานึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเมื่อตอนเย็น ใบหน้าที่เฉยเมย ดูไปก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากตาโตคู่นั้น ดวงตาที่ดูดุแต่เขาเห็นร่องรอยระยิบระยับภายใน ถ้าหากเธอเป็นคนแต่งแห่งนี้เอง คุณน้ำอะไรนี่ก็คงไม่ได้โหดอะไรหรอก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูก็พบเจ้าของเสียงเมื่อครู่ทั้งสองยืนรออยู่

“หิวยังภนต์ แม่จิตฝากอาหารมาให้กินหลายอย่าง” นงพงาบอกลูกชาย เธอยังคงเกร็งๆกับบุตรชายที่ไม่ได้เจอกันนาน และถึงแม้ช่วงที่อยู่ด้วยกันก็แทบจะไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเท่าไหร่
“หิวแล้วครับ เดี๋ยวผมออกไปกินเอง แม่กินไปก่อนเถอะ”

จ้อยยืนฟังบทสนทนาของแม่ลูกแล้วงงๆ พูดยังกะท่องบทกันมา สายตาซุกซนมองเข้าไปในห้องคุณน้ำ ไม่ใช่แล้วสิ ตอนนี้มันเป็นของคุณภนต์มาดนิ่งนี่ไปแล้ว

“อู้หู...คุณภนต์บ้าหนังสือเหมือนคุณน้ำเลย”
เมื่อหันไปเห็นหน้าตั้งคำถามของชายหนุ่ม จ้อยก็รีบขยายความ

“คุณน้ำชอบอ่านหนังสือ ที่ร้านก็เป็นร้านหนังสือ ใหญ่มากเลย มีขายขนมด้วยนะคะ”
“ใช่ลูก ตอนแม่ไปหา คุณน้ำทำงานกับหนังสือเต็มไปหมด” นงพงาสนับสนุน

นภนต์ยักไหล่ “แล้วไง ผมไม่อ่านหรอกนิยายฮาวธงฮาวทู ผมมีแต่หนังสือคอมพ์” เขาพูดแล้วก็ปิดประตู ทิ้งให้นงพงากับจ้อยยืนงง

“ขอบใจนะจ้อยที่ช่วยจัดการทุกอย่างให้” นงพงาเอ่ยเปลี่ยนเรื่องทันที
“ยินดีค่ะ คุณน้ำเห็นชอบอะไร จ้อยก็ทำให้เต็มที่อยู่แล้ว” คำตอบพาซื่อของเด็กสาวทำให้นงพงารู้ด้วยตัวเองว่า ทุกอย่างในบ้านนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจ...ความต้องการของผู้หญิงที่ชื่อ...ตมิสา...คนเดียวเท่านั้นจริงๆ



*******************************


Create Date : 04 สิงหาคม 2550
Last Update : 4 สิงหาคม 2550 21:42:20 น. 0 comments
Counter : 381 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลั่นทมขาว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




ถ้าจะแพ้อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น
ถ้าอยากเป็นคนเข้มแข็งต้องแกร่งไว้
ถ้าอยากร้องก็ร้องให้หนำใจ
แต่ขอให้ได้อะไรจากน้ำตา
New Comments
Friends' blogs
[Add ลั่นทมขาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.