สายหมอกในวันฝนพรำ ที่สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย เขาค้อ (17-19 พ.ค.2551)
นับแต่ปีใหม่เป็นต้นมา แทบจะไม่ได้อัพบล็อกเป็นชิ้นเป็นอันเลย จวบกระทั้ง จนวันศุกร์ที่แล้ว ปิดงบส่งผู้สอบเรียบร้อยผ่านฉลุยไป2งบครับ อารมณ์อยากเที่ยวมันพุ่งปรี้ดออกมาจากต่อมอยากเที่ยวขึ้นมาทันทีทันใด เจ้าเด็ก2คนในแผนกก็ทั้งผลักทั้งดันสมทบอีก2แรงใหญ่ๆ อยู่ทำไม่ล่ะครับ เช้าถัดมาพุ่งขึ้นเขาค้อไปเลย แบบที่กล้องจับภาพจังหวะตั้งตัวไม่ทันเลยจริงๆ รู้ตัวอีกที อ้าวถึงเพชรบูรณ์แล้ว..... อ้าว 1 หนุ่ม 3 สาว..... อ้าว จะไปพักใหนเนี้ยะ... อ้าว แล้วจะมาดูอะไรกันหน้านี้... เออ น่านสิ... ตั้งตัวได้แหล่วครับ....
เสาร์ที่ 17 พฤษภาคม 2551 ทบทวนตรึกตรองหน่อยนึง ... อ้อ เราจะมาเก็บหมอก ยามสายฝนพรำกาน... คาดหวังว่าฝนน่าจะตกบ้างล่ะน่า กรุงเทพฯ ก็ยังตกได้ตกดีนิ เหอะ ๆ ที่พักก็คงมีว่างเหลือเฟือล่ะน่า ระหว่างทางค่อยโทรหาเอาละกัน... ไปเที่ยวตรงใหนบ้าง ค่อยวางแผนบนรถละกัน....
แต่น แตน แต้น ..... สรุปว่า ได้ที่พักแล้ว.... มีแผนเดินทางแล้ว ตามแผนที่นี้เลย
เป็นอันว่า คืนแรก พักภูพ่อบท รีสอร์ท คืนที่สอง กางเต็นท์ ที่ภูอาบหมอก รีสอร์ท อนุมัติ และดำเนิการ ตามนั้น
ระยะทาง กรุงเทพฯ-เพชรบูรณ์ 347 กม. ออกจาก กรุงเทพฯ 9 โมงกว่าๆ ออกทางวงแหวนตะวันออก มุ่งสู่สระบุรี แต่เลี้ยวซ้ายขึ้นเหนือ ก่อนถึงสระบุรี และก็มาถึงวิเชียรบุรีเที่ยงพอดิบพอดีครับ แน่นอนครับไม่แวะทานไก่ย่างวิเชียรไม่ได้ครับ ต้องแวะ เราแวะร้านบัวตองตรงสามแยกวิเชียรครับ อิ่มแปร้...
แล้วก็เดินทางต่อไปภู่พ่อบท คุณสงกรานต์เจ้าของเค้าบอกว่าให้ใช้เส้นทาง 21 ตรงขึ้นไปผ่านแยกพ่อขุนแล้วเลี้ยวซ้ายไปเข้าทางแค้มป์สนจะสะดวกกว่า ก็ไปตามนั้นเลย จากแยกพ่อขุนมาตามถนนเส้น 12 เป็นทางขึ้นเขา วิวแถวนั้นสวยมากครับ มีจุดแวะข้างทาง ให้ชมวิวและถ่ายรูปกันได้เยอะแยะ แถมมีร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึกและสินค้าพื้นบ้านเยอะแยะ
จากแยกแค้มป์สนลงมาไม่ใกล เจอไร่บีเอ็น และก็เจอทางแยกก็เลี้ยวซ้าย ขึ้นเขามาเล็กน้อย ก็ถึง ภูพ่อบทครับ แต่ทางขึ้นอาจขรุขระบ้าง ยังไงรถเก๋งก็ยังคงผ่านได้สบาย
และก็มาถึงภูพ่อบท บ่าย4โมง ใช้เวลาไปนานเหมือนกันแฮะ และก็เจอนี่ครับ โลโก้เค้าเลย
หน้าตารีสอร์ทเค้าในยามเย็น
เราเลือกพักหลังนี้ครับ หลังเบอร์4 มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ทะลุถึงกัน ทุกหลังไม่มีแอร์นะครับ อากาศเย็นสบายทั้งปี (เค้ามีทีวีให้ห้องเดียวครับอีกห้องไม่มี ไม่รู้ทำไม)
ยังไม่ทันได้ขนของไปเก็บครับ ก็มาหามุมกดชัตเตอร์กัน อุตตลุดครับ โดยเฉพาะเด็กๆ 2 สาว ทำยังกะไม่เคยเห็นภูเขากัน วิ่งหามุมถ่ายรูปกันจนไม่เหลือมุมใหนเล็ดลอด รูปนี้จากกล้องผมครับ
มุมนี้ก็สวยดีครับ
อวดรูปบริเวณบ้านพักเราหน่อยครับ
มีดอกไม้ให้ถ่ายรูปเยอะมากกกกก
เราทานอาหารกันในรีสอร์ท เค้าคิดหัวละ 250 บาท รวมอาหารเย็นและอาหารเช้า กินกันได้เต็มที่จะกว่าจะอิ่ม ทุกคนลงความเห็นว่ารสชาติโอเคครับ คืนนั้นอากาศเย็นสบายดีจริงๆครับ ลมพัดโกรกตลอดเวลา ยิ่งดึกยิ่งเงียบงัน (ไม่รวมตอนยัยหนูหนึ่ง โทรไปคุยโม้ที่กรุงเทพนะครับ) ตื่นเช้ามาเราก็ไม่เจอหมอกดังที่อยากเจอ ยังคงเห็นทิวทัศน์ แบบเดียวกันกับตอนเย็นเมื่อวาน แต่ก็ยังมีหวังกับพรุ่งนี้อีกวันนึงนิ อันที่จริงเช้าวันนี้ ทีแรกเราตั้งใจไว้ว่าอยากขึ้นไปชมวิวภูทับเบิก ชมวิวจุดสูงที่สุดของจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เค้ามีทุ่งกะหล่ำสวยงามสุดลูกหูลูกตา สอบถามข้อมูลจากเจ้าของรีสอร์ท (พี่พี่เค้าอัทธยาศัยดีมากครับ) เค้าบอกว่าฤดูนี้ไม่มีกะหล่ำ จะมีก็หน้าหนาวโน่นแหละ จะไปชมวิวก็ได้แต่ก็คงไม่ต่างกันกับ วิวภูพ่อบทเท่าไหร่หรอก ทางขึ้นชันใช้ได้ทีเดียวและถนนชำรุดประปรายด้วย (อันที่จริงผมเคยผ่านเส้นนี้ขึ้นภูหินร่องกล้ามาแล้ว คิดว่าไม่เป็นอุปสรรคครับ) ก็เลยคิดใหม่ทำใหม่ใช้เวลา 2 วัน 1 คืนที่เหลือ เที่ยวตะลอนไปเรื่อยๆแถวเขาค้อนี่ล่ะ สบายๆ
อาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2551 เอ้า... ไปกันต่อ เก็บภาพข้างทางขาลงจากภูพ่อบทอีกทีละกัน
และก็ไปชมไร่บีเอ็นกันหน่อย อันที่จริงก็ไม่ค่อยมีอะไรนะ แต่ทางเข้าเค้าสวยเป็นคล้ายๆอุโมงค์ต้นไผ่ ร่มรื่นสวยดี ข้างในก็มีผลิตภัณฑ์จากไร่ให้ซื้อหา หน้าหนาวอาจมีอะไรตระกาลตามากกว่านี้แน่
และก็ไปต่อ... สองข้างทางสวยงามด้วยทิวทัศน์ภูเขา ถ้าจะแวะชมวิวถ่ายรูปก็แวะได้ตลอดทางทีเดียว
เป้าหมายต่อไปเลี้ยวขวาไปชมน้ำตกศรีดิษฐ์กันก่อน จากทางแยกไป 10 กม.ผ่านทิวทัศน์สวยๆมากมาย แต่ตัวน้ำตกเองขุ่นคลั่กไปนิดนึง
ข้อมูล : น้ำตกศรีดิษฐ์ เป็นน้ำตกหินชั้น มีน้ำไหลตลอดทั้งปี เคยเป็นที่อยู่ของ ผกค.มาก่อน สิ่งที่น่าสนใจคือครกตำข้าวพลังงานน้ำตก
แล้วก็ไปต่อตามเส้น 2325 เลี้ยวซ้ายที่แยกหนองแม่นา ไปขึ้นพระตำหนักเขาค้อ แยกนี้ถ้าเลี้ยวขวาไป ก็เข้าทุ่งแสลงหลวง หรือไปดูแมงกะพรุนน้ำจืดที่หนองแม่นาก็ได้ครับ แต่รถเราขาดไป 2 วีล เลยเข้าไปลุยทุ่งลำบากครับ เอาไว้โอกาสหน้า
ระวังนะครับใครเผลอนุ่งขาสั้น หรือใส่รองเท้าแตะแบบหนีบไป อาจต้องมานั่งคอยข้างนอก ปล่อยให้เพื่อนไปชมด้านในกันนะครับ อันที่จริงข้างในก็ไม่มีอะไรมากครับ น่าจะเป็นตำหนักที่เล็กที่สุดเท่าที่ผมเคยผ่านมา ยังมีจุดน่าสนใจอีกจุดครับใกล้กัน "เขาย่า" จากพระตำหนักขึ้นไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่ทราบครับ เราไม่ได้ขึ้นไป หากใครขึ้นไปถึงจะกลายเป็นผู้พิชิตเขาย่า กลับลงมาเค้าจะออก Certificate ผู้ชิตเขาย่าให้ครับ ส่วนน้องๆสองสาวของผมเค้าอยากได้ใบCer แบบไม่ต้องลงทุน ก็เลยอาศัยความหน้าตาดี ไปตีซี้ขอใบ Cer ใด้มาเลยครับ คนละใบ (ในความเป็นจริงเธอจ่ายไปคนละยี่สิบครับถึงใด้ )
ข้อมูล : พระตำหนักเขาค้อ ตั้งอยู่บนเขาย่า ทางขึ้นค่อนข้างสูงชัน สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าถวายแด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรงานโครงการในพระราชดำริและทรงตรวจเยี่ยมราษฎร
และก็ลงกลับจากพระตำหนัก กลับขึ้นไปทางเส้น 2196 แถวนี้ที่เที่ยวเยอะแยะมากมายครับ เริ่มกันที่ "หอสมุดนานาชาติเขาค้อ" มีดอกไม้ให้ชม และมีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้สักการะ
ข้อมูล : หอสมุดนานาชาติเขาค้อ มีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งอันเชิญมาจากประเทศศรีลังกา เจดีย์แห่งนี้ ชาวเพชรบูรณ์สร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ ครบ50ปี
และคราวนี้จะไต่เขาขึ้นไปทางเส้น2323 สู่ยอดสูงสุดของเขาค้อกัน วิวบนนี้สวยมากเลย
และก็มาถึงนี่ "พิพิธภัณฑ์อาวุธ" หรือ "ฐานอิทธิ" ครับ มาชมอาวุธ และ ซากอาวุธ ที่เคยใช้ทำสงครามกันในอดีต
ยังมีอีก
ข้อมูล : ฐานอิทธิ หรือ พิพิธภัณฑ์อาวุธ เป็นจุดหนึ่งที่เห็นทิวทัศน์เขาค้อสวยงามมาก และเคยเป็นฐานสำคัญทางยุทธศาตร์ในอดีต ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธ จัดแสดงปืนใหญ่ ซากรถถัง และอาวุธปืนที่ใช้สู้รบกันบนเขาค้อ มีห้องบรรยายสรุปแก่ผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะด้วย เปิดให้เข้าชมทุกวัน ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
ไต่ระดับความสูงยอดเขาขึ้นไปอีกเล็กน้อยก็ถึง นี่เลยครับ "อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ" ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาค้อ
ข้อมูล : อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ อยู่บนยอดสูงสุดของเขาค้อ สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของ พลเรือน ทหาร ตำรวจ ผู้พลีชีพในการสู้รบเพื่อปกป้องพื้นที่ในเขตรอยต่อ3จังหวัด คือ พิษณุโลก เลย และ เพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2511 - 2525 โดยสร้างด้วยหินอ่อนเป็นรูปสามเหลี่ยม หมายถึงการปฏิบัติการร่วมกัน ระหว่างพลเรือน ทหาร ตำรวจ
วิวจากจุดสูงที่สุดของเขาค้อครับ
โอโห... ไม่มีวิวที่ใหนสวยกว่าตรงนี้แล้ว
และคราวนี้ได้เวลาลงจากยอดเขาแล้ว และไปหาที่พักของคืนที่สองกัน
นี่ครับที่พักคืนที่สองของพวกเรา "ภูอาบหมอก" รีสอร์ทเค้าอยู่ในโซนชมวิว อ่างเก็บน้ำรัตนัยครับ โซนนี้ที่พักเยอะมาก วิวสวยมากๆ โดยเฉพาะ เขาค้อทะเลหมอก ที่เราไปสำรวจก่อนมาลงเอยที่ภูอาบหมอก ที่นั่นที่พักเค้าเต็มครับ ที่พักเค้าปลูกลดหลั่นลงไปตามหน้าผาครับ วิวสวยมาก แต่ไม่เหมาะกางเต็นท์ครับ ที่แคบไปหน่อย และลมพัดแรงมาก อีกที่ที่ไปสำรวจครับ บ้านทะเลหมอก ที่พักสวยมากครับ หรูหรา แต่วิวสู้อีก2ที่ไม่ได้ ทั้งสามที่ที่ว่ามาตั้งอยู่ใกล้กันหมดเลยครับ
กางเต็นท์ซึมซับบรรยากาศ และใกล้ชิดธรรมชาติยิ่งขึ้น ค่ำมื้อนั้นเราสั่งอาหารจากป้าแม่ครัวของรีสอร์ททานกัน มีกับข้าวให้ 4 อย่างใหญ่ๆ สนนราคา 400 กว่าบาทครับ รสชาติโอเคครับ ส่วนมื้อเช้ามีข้าวต้มกับกาแฟให้ทาน รวมอยู่ในค่ากางเต็นท์(130 บาทต่อหัว) แล้วครับ
คืนนั้นเจ้าเด็กสองคนที่บอกว่าไม่เคยนอนเต็นท์ ต้องโทร์ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่กรุงเทพฯ ได้ยินแว่วๆมาว่าเข้าในเต็นท์แล้วหายใจไม่ค่อยออก ปรึกษาว่าควรทำตัวอย่างไรดี ... เออ เอาเข้าไป ... กลัวที่แคบมั้งเนี้ยะ (ตัวไม่เล็กด้วยแหละ) แต่ก็ผ่านไปด้วยดีครับ พอค่ำลงอีกหน่อยนึงฝนตกครับ ดีใจครับ เครื่องกำเหนิดหมอกทำงานแล้ว แต่ชักหนักขึ้นแฮะ เจ้าพวกเด็กๆ อีกเต็นท์ บอกว่าปลอดภัยดี แต่เราชักแย่น้ำเริ่มซึมเข้า ต้องทำการแก้ไขโดยด่วน... เฮ้อ อย่าให้หนักจนยันเช้าละกัน และก็รอดถึงเช้าครับ
จันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2551 เช้าแล้ว เช้าแล้ว.... เจอหมอกแล้ว เจอแล้ว
นี่ก็หมอก
อ้ะ นั่นก็หมอก
วู้... สวยจริงๆ ถ่ายรูปสวยได้ใจจริงๆ (ช่วย Ok ตามนั้นหน่อยละกันนะครับ)
มุมนี้เป็นทุ่งเลย ที่หมอกเยอะเพราะว่า ตรงนี้อยู่เหนืออ่างเก็บน้ำ"รัตนัย" อ่างขนาดใหญ่ที่เก็บความชื้นได้เยอะครับ
มุมนี้บ้าง
อีก
ใกล้เข้าไปหน่อยนึง
มุมกว้างบ้าง
กว้างอีก
2 กล้อง รวมกันจนถึงนาทีนี้ ถ่ายหมดเมมโมรี่ไป 4 กิ้กเลยครับ จวบจน หมอกเริ่มจางหายไป พร้อมกับแดดส่องแสงมาแทนที่ ก็อิ่มอกอิ่มใจกันมากมาย และก็ได้เวลาเก็บสัมภาระเดินทางกันต่อครับ
ยังคงเหลือก็อีก1ที่ครับตามเป้าหมาย พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ก็ไม่มีข้อมูลของเจดีย์ครับ แค่แวะมาไหว้พระทำบุญเล็กน้อยก่อนเดินทางกลับ
กึ่งสาย กึ่งเที่ยงเราก็เดินทางลงจากเขาค้อ ออกทางแยกบ้านนางั่ว ไม่ลืมที่จะจอดทดสอบเนินมหัศจรรย์ครับ รถวิ่งขึ้นเนินได้เอง (แค่เป็นภาพลวงตาในระดับสายตาครับ) และก็มาเที่ยงที่แยกวิเชียรบุรีอีกครั้งหนึ่ง ฝั่งขากลับก็มีร้านไก่ย่างวิเชียรอีกร้านนึงครับ ร้านตาแป๊ะ ใหญ่กว่าร้านบัวตองตอนที่เราแวะขาขึ้นเยอะเลยครับครับลูกค้าแน่นร้านเชียว
และก็เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางทริปนี้ครับ ขอส่งท้ายหน่อยนึงนะครับ
"ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร มิอาจประสบพบสุข ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์ ไม่ด้นซุกซน ถือว่าชั่ว มัวเมา"
เออ... ผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนสินะ แต่เราชายชาติอาชาไนยจะอยู่ให้ชั่วมัวเมาอยู่ทำไม
หาเรื่องเที่ยวกันอีกดีก่า.... เร็วๆนี้...
By Chaoswalker 23 May 2008
Create Date : 23 พฤษภาคม 2551 |
|
19 comments |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2551 13:48:18 น. |
Counter : 6550 Pageviews. |
|
|
|
แหม้ เขาค้อเพลานี้นี่มันเขียวสดชื่นดีจัง
ตอนที่พี่ไปหน้าหนาวที่แล้วและแห้งแล้งมากมาย
หมอกก็ไม่มี หนาวก็งั้นๆ
เห็นรูปแล้วอยากไปอีกวันนี้วันพรุ่งเลยทีเดียว
อ้อ พักทภูพ่อบทเหมือนกันจ้า