|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
ฝันไกล...แต่ไปไม่ถึง
ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าชีวิตของคนเราจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าไม่มีความฝัน
และจะยิ่งไร้ค่าเข้าไปใหญ่ถ้ามีความฝันแต่ไม่พยายามทำมันให้สำเร็จ
แต่เวลาผ่านไป เมื่ออายุมากขึ้น ผมก็มีความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
มาตอนนี้ ผมเข้าใจมากขึ้นว่าบางครั้งชีวิต มันก็มีอะไรมากกว่าแค่ "ความฝัน"
ลองคิดดูนะครับ ถ้าความฝันมันเป็นเรื่องที่ยากเกินจะไขว่คว้า และวันหนึ่งเราก็รู้ตัวเองว่ามีความสามารถไม่ถึงที่จะทำฝันนั้นให้เป็นจริงได้
ควรจะทำอย่างไรดีครับ?
บางคนอาจจะฝืน ไม่ยอมแพ้เพื่อทำฝันให้เป็นจริงให้ได้ ในขณะที่บางคนก็อาจจะตัดใจ และเริ่มมองหาอะไรที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า
แต่ละคนก็จะมีหนทางในการตัดสินใจที่แตกต่างกัน ซึ่งมันก็จะนำไปสู่บทสรุปที่แตกต่างกันด้วย
มีคำพูดที่เราคุ้นหูกันดีว่า ฝันให้ไกลต้องไปให้ถึง
แต่ถ้า ฝันไกลแล้วไปไม่ถึงล่ะ!?
เราจะรับมือกับมันยังไงดี??
.................................................
กาลครั้งหนึ่ง
นานมาแล้ว แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่
มีเด็กหนุ่มชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งถือกำเนิดที่ชานเมืองสตาร์สบูร์ก (เอาเป็นว่าผมขอเรียกเขาว่า นาย A ก็แล้วกันนะครับ)
นาย A คนนี้ก็มีความฝันเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปก็คือ อยากใช้ชีวิตอยู่ในโลกลูกหนัง อยากจะก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ เป็นตำนานของสโมสร และมีโอกาสสวมเสื้อเลส์ เบลอส์สักครั้งในชีวิต
แต่ทว่าการเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี มีธุรกิจร้านอาหารของตัวเอง ทำให้เขาเดินตามความฝันของตัวเองยากสักหน่อย เพราะพ่อ-แม่ ไม่คิดจะสนับสนุนเขาให้เอาดีทางด้านฟุตบอล
ในฉากหน้า ที่ต้องตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ เขาก็แอบมีกิจวัตรที่ซุ่มซ้อมอยู่โดยไม่บอกคนในครอบครัว นั่นคือแอบไปเล่นฟุตบอลและฝึกซ้อมฝีเท้าอยู่คนเดียว
เรื่องการเรียน นาย A ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เขาสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสตาร์สบูร์ก หนึ่งในสถาบันอันดับต้นๆของฝรั่งเศสได้
ด้วยความที่เป็นคนที่มีวินัยสูง จัดสรรเวลาได้ดี แถมยังมีมันสมองอันปราดเปรื่อง ทำให้เขาเรียนจบปริญญาโท จากคณะเศรษฐศาสตร์ได้ในวัยแค่ 22 ปีเท่านั้น แถมยังมีความสามารถพิเศษคือพูดได้ถึง 6 ภาษา
ถ้ามองจากความเป็นจริงแล้ว คนที่อัจฉริยะขนาดนี้จะไปขยายต่อธุรกิจของครอบครัว หรือจะไปทำงานในองค์กรชั้นนำ เงินเดือนสูงๆก็ได้ทั้งนั้น
แต่น่าแปลกที่นาย A กลับไม่เลือกหนทางนั้น และเดินหน้าต่อไปกับสิ่งที่เขาฝันไว้แต่แรก นั่นคือ "นักฟุตบอลอาชีพ"นั่นเอง
เขาพยายามอย่างหนัก ฝึกฝนมากกว่าเดิม และในที่สุดเส้นทางก็เริ่มมีแสงสว่างรำไรๆ นาย A ผ่านการทดสอบของทีมฟุตบอลท้องถิ่น เอฟซี มุทซิก และพออายุ 29 ปีในที่สุดเขาก็ได้สังกัดในสโมสรสตาร์สบูร์กที่เขาใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตเสียที
แต่ปัญหาก็คือเวลายิ่งผ่านไป ก็ค้นพบว่าฝีเท้าระดับเขาใช้การไม่ได้กับเกมระดับสูงเลย การที่ฝึกฝนอย่างครึ่งๆกลางๆตั้งแต่เด็กมันทำให้พื้นฐานในกีฬาลูกหนังของเขาแตกต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
และในที่สุดสตาร์สบูร์กก็ตัดสินใจปล่อยตัวเขาออกจากทีม เพราะไม่สามารถใช้ประโยชน์ใดๆได้เลย
.................................................
นาย A นั่งกลุ้มใจอย่างหนัก ว่าจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตดี
ถึงแม้จะอยากอยู่ในแวดวงฟุตบอล แต่เมื่อความสามารถไม่ถึง แล้วเขาจะเดินตามฝันได้อย่างไร?
จะยอมไปทดสอบฝีมือกับทีมระดับต่ำกว่าดีไหม? อาจจะมีหนทางอีกเฮือกก็ได้นะ แต่คิดดีๆยังไงเสียพื้นฐานของเขาก็ไม่ได้เก่งฉกาจเหมือนใครๆ ยังไงก็ไม่มีวันยิ่งใหญ่ได้อยู่ดี
หรือว่า ... จะต้องตัดใจกลับไปสานต่อธุรกิจของครอบครัว
แล้วความฝันที่จะสวมเสื้อเลส์ เบลอส์ จะต้องพังทลายไปทั้งอย่างนี้หรือ
.................................................
หลังจากใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ยอมรับความจริงว่า ตัวเองคงจะเอาดีทางการเป็นนักเตะไม่ได้แน่ๆ
จึงถามตัวเองว่า จะมีทางไหนบ้างมั้ยที่จะประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอลที่เขาหลงรัก
และในที่สุดก็ค้นพบว่าการเป็นผู้จัดการทีมนี่ล่ะ ที่คิดว่าตัวเขาเองน่าจะทำได้ดี
เขาเป็นคนมีระเบียบวินัย และจัดการเรื่องต่างๆได้ดี มันก็เหมาะเจาะเลยไม่ใช่หรอ
ใช่ ถึงแม้ในฐานะนักเตะอาจจะไม่สามารถติดทีมชาติฝรั่งเศสได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นผู้จัดการทีมชาติไม่ได้นี่...
เมื่อมีเป้าหมายใหม่ๆในชีวิต ทันใดนั้นเขาก็เริ่มออกก้าวเดินอย่างรวดเร็ว
นาย A ไปเรียนต่อที่สถาบันอบรมโค้ชฟุตบอล และเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นเขาก็เรียนจบออกมาด้วยไลเซนส์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
จากนั้นก็ได้รับงานให้คุมทีมเยาวชนของสตาร์สบูร์ก และไม่กี่ปีก็ข้ามไปคุมน็องซี่ และย้ายไปทีมใหญ่อย่างโมนาโกในเวลาต่อมา
.................................................
จากนักฟุตบอลห่วยๆที่ถูกปล่อยตัวฟรีจากสตาร์สบูร์ก
ณ เวลานี้ นาย A ถูกยอมรับว่าเป็นผู้จัดการทีมที่มีฝีมือมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรป
การเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้เขารู้ระบบกลไก และการจัดองค์ประกอบของทีมได้เป็นอย่างดี การนำฟันเฟืองแต่ละชิ้นมาต่อกัน เพื่อทำให้ทีมปลดปล่อยศักยภาพได้มากที่สุดในสนาม
การจบเศรษฐศาสตร์ทำให้เขามีแผนการ คิดคำนวณนอกสนามได้อย่างสมบูรณ์แบบ รู้ว่าทำอะไรจะส่งผลต่อประโยชน์ของสโมสรได้ดีที่สุด
ทุกๆการกระทำ ทุกๆไอเดียของเขา มันลงล็อก และดูจะถูกต้องไปซะทุกอย่างจริงๆ
และมาจนวันนี้เชื่อได้เลย เพียงแค่นาย A เอ่ยปากว่า ต้องการจะคุมทีมชาติฝรั่งเศส ทางสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสจะปลดเรมงด์ โดเมอเน็คออกเพื่อให้เข้าขึ้นกุมบังเหียนแทนที่ทันที
.................................................
อ่านถึงตรงนี้ทุกคนก็น่าจะรู้ว่า นาย A คนนี้
หมายถึง Arsene Wenger
ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาร์เซนอล ผู้วางระบบโครงสร้าง และรากฐานที่ดีขึ้นมาใหม่ จนทำให้ตอนนี้ทีมเดอะ กันเนอร์ส เป็นสโมสรที่สมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน
จากความฝันจะเป็นนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งในที่สุดเขาก็รู้ดีว่าตัวเองทำไม่ได้
ก็เลิกยื้อ เลิกฝืน และหันมามองหาความฝันใหม่ๆ ที่ตัวเองมีศักยภาพที่จะทำได้
และก็น่าทึ่ง ที่เขาทำได้ดีมากๆเสียด้วย
ผมขอแสดงความยินดีกับคนที่ไปถึงฝั่งฝันของตัวเองด้วยครับ อยากให้รู้ว่าคุณเป็นคนที่น่าอิจฉาจริงๆนะครับ
แต่กับคนที่ไปไม่ถึงตรงนั้น
บางทีการที่เราดื้อดึงกับความฝันอย่างหนึ่ง อาจทำให้ปิดกั้นความสามารถจริงๆที่เรามีอยู่ก็ได้
ดังนั้นถ้าฝันไกล แต่ไปไม่ถึง
มันก็... ไม่เป็นไร
แค่ลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง และให้โอกาสตัวเองเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ
เพราะบางที...
ตัวคุณอาจจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้มากกว่าที่ตัวเองคิดก็ได้นะครับ
ขอบคุณบทความนี้จาก คุณนาฬิกาทราย จาก //www.soccersuck.com และหนังสือพิมพ์ Kick Off
คุณนาฬิกาทราย เป็นคนเขียนคอลัมน์ฟุตบอล ที่เราชอบมากโยงเรื่องอื่นๆมาเขียนเกี่ยวกับฟุตบอลได้ดี อ่านเพลินเลย
เราว่าถึงเป็นคนไม่ได้ชอบฟุตบอลก็คงชอบลักษณะการเขียนของเขาเหมือนกัน
คิดไว้ว่าสักวันเราคงเขียนได้ใกล้เคียงกับเค้าบ้างแหละนะ
.
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 20:51:47 น. |
Counter : 502 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|