All Blog |
Healthy : อาหารเสริม ช่วยเสริม แต่แทนกันไม่ได้ เนื่องจากดี้เป็นพวกป่วยง่าย และไม่ชอบออกกำลังกาย เลยหาตัวช่วยที่จะทำให้โรคต่างๆมาเยี่ยมเยือนได้ยากขึ้น ตัวช่วยที่ดี้หมายถึงก็คือ "อาหารเสริม" นั่นเองค่ะ แต่ยังไงอาหารเสริมก็คืออาหารเสริม ไม่ใช่ยาที่กินแล้วจะหายจากโรค ซึ่งเราก็ไม่สามารถกินอาหารเสริมแทนอาหารปกติที่เรากินกันได้ แค่ไปช่วยเติมเต็มสารอาหารบางชนิดเท่านั้นเอง ดี้เองก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับสารหรือส่วนประกอบในอาหารเสริมเหล่านี้ ก็เลยขอรวบรวมข้อมูลมาให้อ่านกันดูนะคะ ว่าทำไมต้องกิน ไม่กินก็ได้ หรือกินแล้วดียังไงค่ะ คุณและโทษของอาหารเสริม อาหารเสริม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเพื่อเสริมการรับประทานจากอาหารหลัก อยู่ในรูปของเม็ด เกล็ด ผง แคปซูล ของเหลว หรือในรูปลักษณ์อื่นๆ ที่ใช้รับประทานโดยตรงเสริมการรับประทานอาหารหลักตามปกติทุกวันของคนปกติ และเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ประโยชน์ของอาหารเสริมมีอยู่ 3 ประการ 1. ช่วยให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่เหมาะสม เนื่องจากทุกคนมีความต้องการที่เหมือนกัน คือ สุขภาพสมบูรณ์ปราศจากโรคภัย จึงมีการคิดค้นอาหารเสริมเพื่อช่วยเพิ่มในส่วนที่ร่างกายขาดไป 2. จะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เพราะอาหารเสริมจะเข้าไปเสริมในส่วนที่ร่างกายขาดได้ครบถ้วนเต็มที่ 3. สามารถช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคบางชนิดแทนยาแผนปัจจุบันได้ เช่น น้ำว่านหางจระเข้รักษาอาการโรคกระเพาะ น้ำมันตับปลาค็อด (cod liver oil) ช่วยบรรเทาอาการโรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น นากจากนี้ยังพบว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแผนปัจจุบัน การกินอาหารเสริมมากเกินไป บางครั้งพบว่าทำให้เกิดโทษแก่ร่างกายและสูญเสียเงินโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีรายงานการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเสริมมากเกินไป อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ เช่น วิงเวียน ปวดศรีษะ อุจจาระเป็นสีดำ ท้องผูก ท้องเสีย มีกลิ่นตัว และเหงื่อออกมาก ตัวอย่างของผลข้างเคียงของอาหารเสริม - อาหารเสริมประเภทซุปไก่สกัด มีคุณค่าเท่ากับไข่ไก่ฟองเดียว - สาหร่ายสไปรูไลน่า จะมีปริมาณกรดนิวคลิกสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ - รังนกที่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เลยว่ากินแล้วผิวพรรณอ่อนกว่าวัย แต่มีผลข้างเคียงต่อผู้ที่เป็นลมชัก - น้ำมันตับปลา ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด อาจทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอี และเสี่ยงต่อสารพิษด้วย - ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน ซึ่งขณะนี้นักวิชาการพบว่ามีผลข้างเคียงต่อการเป็นมะเร็ง ถ้าจำเป็นต้องทานอาหารเสริมและให้คุณค่าต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนบริโภค ควรเลือกให้เหมาะสมกับอายุและสภาพร่างกาย สภาพการดำเนินชีวิต สำหรับผู้ที่กินยาเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อน ส่วนสตรีที่มีครรภ์ก็ควรทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินหรือกรดโฟลิกเท่านั้น แต่ขอแนะนำว่าถ้าท่านรับประทานอาหารให้ถูกต้องและครบ 5 หมู่แล้ว อาหารเสริมก็คงไม่จำเป็นสำหรับท่านอีกต่อไป แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนักหรือสุขภาพไม่แข็งแรงต้องการทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกายก็ไม่ว่ากันค่ะ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทานอาหารเสริม
ช่วงเวลาดีที่สุดในการทานอาหารเสริมคือทานพร้อมอาหาร เนื่องจากจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น วิตามินประเภท time-release ต้องทานตอนที่มีอาหารอยู่ในกระเพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเสริมไหลผ่านไปยังลำไส้ ซึ่งไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิด เช่น สังกะสีควรรับประทานก่อนอาหาร ดังนั้นก่อนทานควรอ่านฉลากให้แน่ชัด มีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริมกันไปพอสมควรแล้วนะคะ ส่วนตัวดี้เองไม่ได้กินอาหารเสริมมากมายล้านแปด มีอยู่ไม่กี่อย่าง แล้วก็ไม่ได้กินทุกอย่างทุกวันด้วย มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง 1. เดอร์มารีน ( Dermarine ) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง ไฟโตสเตอรอล และกระดูกอ่อนปลาฉลาม ฟังส่วนประกอบแล้วอลังการน่าดูค่ะ สรรพคุณมากมายหลายประการเน้นไปทางเช่น ส่งเสริมระบบผิวหนัง ระบบกระดูก เอ็น และข้อต่างๆ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบฮอร์โมน เป็นต้น ตัวนี้ดี้เพิ่งเริ่มกินค่ะ ราคาค่อนข้างสูง 960 บาท 30 เม็ด เม็ดละ 32 บาทเลยทีเดียว ปาดเหงื่อหนึ่งทีก่อนซื้อ มีความหวังลึกๆว่าทานแล้วจะทำให้รูขุมขนบนใบหน้ากระชับขึ้น (จากการบอกต่อจากเพื่อน) และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น ลุ้นกันต่อไปค่ะว่าผลจะเป็นยังไง 2.น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ตัวนี้ดี้กินเพราะดี้เป็นคนที่เวลาเป็นประจำเดือนวันแรกจะปวดท้องหนักมากกกกก ถึงขั้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย พอกินตัวนี้ไปได้เกือบเดือน หายค่ะ!!! ตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะหาย แต่ข้อเสียคือ พอหยุดกินไปแล้วก็จะปวดท้องประจำเดือนอีก ดี้ไม่ทราบว่าคนอื่นที่เคยกินแล้วหยุดจะปวดแบบดี้อีกหรือเปล่านะคะ แต่สำหรับดี้เองใช้วิธีกินวันละ 2 เม็ดก่อนนอน (ขี้ลืมค่ะ เลยกินทุกอย่างพร้อมกันก่อนนอน) แล้วพอหายเป็นประจำเดือนก็หยุดกินไป 1 สัปดาห์ แล้วก็ค่อยกลับมากินต่อ สำหรับประโยชน์ของน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสก็มีดังนี้ค่ะ
-ช่วยบรรเทาภาวะไม่อยู่นิ่ง และภาวะเสียความสามารถในการเรียนรู้ในเด็ก -ช่วยป้องกัน และยับยั้งการลุกลามของภาวะประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน และอาจฟื้นฟูระบบประสาท -ช่วยบำรุงผิวพรรณ รักษาผิวหนังอักเสบ -รักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติ เช่น อาการปวดประจำเดือน ความหงุดหงิดที่เกิดก่อนมีประจำเดือน อาการจากเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) คลายการเจ็บเต้านมช่วงก่อนมีประจำเดือน -ช่วยบรรเทาอาการปวดบวมของข้ออักเสบรูมาตอยด์ -บรรเทาอาการจากโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ เช่น สิว ผื่นโรเซเชีย ผิวแห้ง และการปวดกล้ามเนื้อ -เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ 3.น้ำมันปลา ประเด็นหลักเลยคือต้องการบำรุงสมองค่ะ วัยเรียนหนักหนาในช่วงมหาลัยอะไรที่ช่วยได้ก็เสริมเข้าไปค่ะ แต่ใช่ว่ากินปุ๊บ! จำแม่น เป๊ะ! ก็ไม่ใช่ แค่ไปช่วยเสริมสร้างเซลล์สมองเท่านั้นเองค่ะ ตัวนี้ดี้จะกินเฉพาะช่วงเตรียมสอบ ช่วงอ่านหนังสือหนักๆแค่นั้นค่ะ ประโยชน์ของน้ำมันปลา - ช่วยโรคหัวใจขาดเลือด ( Coronary Heart Disease ) - ลดไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์ ( Triglyceride ) - ลดความรุนแรงของโรคปวดข้อ รูมาตอยด์ ( Rhematoid Arthritis ) - บำรุงสมอง เพราะเซลล์สมองมีกรดไขมันชนิดนี้มาก จึงช่วยเสริมสร้างเซลล์สมอง ขนาด รับประทาน สำหรับบุคคลทั่วไปทาน 1,000 มก./วัน เพื่อป้องกันไขมันในเลือดสูง และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือผู้ที่ต้องการลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือผู้ที่มีปัญหาไขข้ออักเสบ ควรทาน 2,000-3,000 มก. ต่อวัน ข้อควรระวัง ผู้ป่วยที่เป็นโรคเลือดออกได้ง่ายห้ามทาน เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านเกร็ดเลือด หรือ แอสไพริน ผู้ที่มีเกร็ดเลือดต่ำ มีจุดเลือดออกตามตัว มีเส้นเลือดแตกในสมอง เส้นเลือดแตกในจอตา จากโรคจอตาเสื่อมระยะสุดท้ายในเบาหวาน เป็นต้น ส่วนคนที่แพ้อาหารทะเล สามารถทานน้ำมันปลาได้และมีความปลอดภัย ผู้ที่แพ้ปลาทะเลและผู้ที่กำลังได้รับยาแอสไพรินไม่ควรทานน้ำมันปลานะคะ 4.วิตามินซี เชื่อว่าสาวๆหลายคนกินตัวนี้อย่างแน่นอน ใช่ไหมละคะ ^.^ ดี้กินตัวนี้ตลอดเลยค่ะ (ยกเว้นลืม 5555) เพระาดี้เป็นภูมิแพ้ค่ะ กินแล้วรู้สึกดีขึ้นนะ ก็เลยกินมาตลอด แล้ววิตามินซีเนี๊ยก็ประโยนช์มากมาย รวมถึงข้อจำกัดมากมายอีกด้วย มีข้อมูลมาให้อ่านค่ะ แล้วจะรู้ว่า คุณวิตามินซี นี่เยอะ! จริงๆ ประโยชน์ของวิตามินซี - วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด - วิตามินซีช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้นเนื่องจากวิตามินซีช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านอาการอักเสบจึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาดวิตามินซีก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน - หากรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง - เพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด - เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ - ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก - บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส - ช่วยป้องกันอาการไมเกรนเมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น - ช่วยเรื่องความจำ โดยวิตามินซีจะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10 ขนาดวิตามินซีที่รับประทาน ในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 1,000 มิลลิกรัม หากเราได้รับวิตามินซีน้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับก็จะเกิดลักปิดลักเปิดซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจากวิตามินซีสามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะอีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซีแม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม ข้อปฏิบัติในการรับประทานวิตามินซีเพื่อประโยชน์สูงสุด - เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี - เพื่อสุขภาพทั่วไปควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน - สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกันควรรับประทาน 1,000 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด - การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวันสามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน - การรับประทานวิตามินซีไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหารหรือทานอาหารก่อนการรับประทาน - ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซีชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา โทษของวิตามินซี - การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium - การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ - วิตามินซีทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีจึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน เยอะเนาะ ว่าไหมค่ะ 55555 ยังไงก็กินให้ได้ประโยนช์มากที่สุดนะคะ ^.^ ราคาของข้อ 2-4 นี่แล้วแต่ร้านนะคะ บางทีก็มีโปรโมชัน 1 แถม 1 ด้วย แล้วก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อด้วย สำหรับดี้ยี่ห้อไหนลดก็ซื้ออันนั้นแหละค่ะ ดูคุณภาพใช้ได้เป็นพอ ^.^ ขอบคุณข้อมูลจาก :
....."""ด้วยรัก จาก Birdy""".....
|
chalidy
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Link |