หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
15 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
ความแค้นเป็นดังของหวาน...บทที่ 15 ...โรแมนติคดินเนอร์...(100%)


เฮาะ...เงาะ...เหมาะ...เหาะ ในหัวของโยทะกาตอนนี้มีแต่ตัวอักษรที่ผสมกับสระเอาะเต็มไปหมด ความเคืองที่ถูกรังสฤษฏ์บังคับพาไปทานข้าวนอกบ้านหายโดยพลัน เมื่อได้พบกับความเงียบและเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบภายในรถ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรได้แต่ขับรถไปเรื่อยๆ โยทะกาจึงพลอยเงียบและนึกถึงภาพวิญญาณของชาลิดาที่ปรากฏให้เห็น


น้องสาวคนสวยของคุณหมอหนุ่มพูดเป็นคำปริศนาว่า...เฮาะ เหมือนพยายามจะบอกอะไรหรือว่าจะมาขอส่วนบุญ แล้วทำไมไม่มาปรากฏให้พี่ชายเห็นหนอมาปรากฏให้หล่อนเห็นทำไม
“ไหมคุณจะกินอะไร”
รังสฤษฏ์ถามทั้งๆที่ตายังมองถนนด้านหน้าอยู่
“ไหม”


ไร้เสียงตอบรับจากคนนั่งข้างจนชายหนุ่มอดปรายตาไปดูไม่ได้ หล่อนกอดอกหน้านิ่วคิ้วขมวดกำลังคิดอะไรสักอย่าง
“ไหม!”
“หือ อะไร”
เด็กสาวสะดุ้งเบาๆเมื่อรังสฤษฏ์เรียกเสียงดัง
“คุณจะกินอะไร”
เขาถามย้ำอีกครั้ง โยทะกาตอบพลางยักไหล่


“อะไรก็ได้แล้วแต่ว่าคุณอยากให้ฉันตายด้วยยาพิษแบบไหน”
หล่อนรวนเขาเสียเฉยๆรู้อยู่แล้วว่าคนเอาแต่ตัวเองเป็นหลักอย่างรังสฤษฏ์นั้นคงเลือกร้านอาหารในใจเอาไว้แล้วแน่ๆ
“เลดี้เฟริสท์ครับ ผมให้คุณเลือก อยากทานอาหารแบบไหน”
“คุณรู้จักให้เกียรติคนเป็นด้วยเหรอเนี่ย”
ร่างบางแขวะแล้วยิ้มหยันเพราะแน่ใจว่าเขากำลังขับรถอยู่คงทำอะไรหล่อนไม่ได้แน่


“ผมใจดีกว่าที่คุณคิดนะครับไหมโดยเฉพาะคนที่ผม‘รัก’อย่างคุณ”
พูดแล้วเขาก็หัวเราะเบาๆรังสฤษฏ์จงใจจะย้ำเรื่องข่าวลือนั้นให้หล่อนเจ็บใจที่เสียทีเขา


“แล้วตกลงจะทานอาหารแบบไหนครับไหม ถ้าคุณตัดสินใจนานแบบนี้ เดี๋ยวผมก็ขับรถเลยกรุงเทพฯไปที่พัทยาหรอก ถ้าไปถึงที่นั่นทานข้าวเสร็จผมคงไม่มีแรงกลับขับรถกลับเราคงต้องค้างกันสักคืน แต่คุณอาจจะต้องขาดเรียนนะครับ เพราะผมไม่ชอบขับรถทางไกลตอนเช้าๆสมองไม่ปลอดโปร่งเสี่ยงกับการเกิดอุบัตุเหตุ”
คนขับรถอยู่อธิบายให้หล่อนฟังด้วยมาดนายแพทย์ผู้ทรงภูมิ มีเหตุมีผล แต่โยทะการู้...นี่เป็นเหตุผลที่เอียงข้างเป็นที่สุด เอียงข้างจะกลั่นแกล้งหล่อนทำให้เสียชื่อเสียง


“ก็ได้งั้นฉันจะพาไปกินร้านโปรดของฉันกับพี่หม่อน”
เด็กสาวคิดถึงร้านอาหารที่ว่านั้นแล้วก็ต้องแอบยิ้มในใจ ในเมื่อเขาบอกให้เลือก...หล่อนก็จะเลือกร้านอาหารให้เด็ดที่สุด


ร้านป้าแอ้วเป็นร้านอาหารอีสานขายอยู่ริมถนนหลังคามุงจาก มีโต๊ะวางอยู่สามสี่ตัว โต๊ะทุกตัวเต็มหมด ป้าแอ้วเจ้าของร้านยืนตำส้มตำดังโป๊กๆอยู่หน้าร้าน ตอนที่รังสฤษฏ์เลี้ยวรถคันหรูเข้าที่ลานจอดรถซึ่งเป็นลานพื้นที่สาธารณะโล่งๆคนในร้านมองมาอย่างแปลกใจ ยิ่งเห็นโยทะกาเปิดประตูรถเดินฉับๆออกมา ส่วนประตูรถอีกด้านเป็นหนุ่มรูปงามสวมแว่นท่าทางสะอาดสะอ้าน


“อ้าว!หนูไหมหายไปนานเลยนะจ๊ะ แล้วคุณหม่อนล่ะไม่มาด้วยเหรอ”
ป้าแอ้วทักเสียงดังลั่นสลับกับเสียงตำส้มตำของแก
“วันนี้พี่หม่อนไปทำธุระค่ะป้า”
โยทะกากับปฐมพงษ์หากมีเวลาว่างตรงกัน สองพี่น้องมักจะมาทานอาหารที่ร้านนี้เสมอ พี่ชายเป็นคนรูปหล่อพูดเก่ง


ป้าแอ้วและลูกค้าประจำที่มาทานร้านนี้หลายคนจึงจำได้ เรียกคุณหม่อนคะ...คุณหม่อนขาเป็นประจำ หล่อนเลี่ยงโกหกไปเสียเรื่องพี่ชายป่วย เลี่ยงไม่อยากตอบคำถามให้มากความ


“เอาตำปูเผ็ดๆ ซุปหน่อไม้ เนื้อน้ำตก คอหมูย่าง ตับหวาน ต้มแซ่บเครื่องในวัว ข้าวเหนียวด้วยค่ะ”
หล่อนสั่งเสียงรัวเร็วก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลาสติกเก่าๆใช้มือเท้าคางกับโต๊ะแบบพับสีถลอกจนเห็นไม้อัดสีน้ำตาลคล้ำๆ คนเดินมาตามหลังนิ่วหน้าเมื่อเห็นสภาพภายในร้าน ร่างบางเอาหูฟังไอพ็อดมาเสียบหูแล้วแกล้งเปิดหนังสือพิมพ์เก่าๆที่วางอยู่แถวนั้นเพื่อยั่วอารมณ์คนรักสะอาด


รังสฤษฏ์นิ่งไปครู่ก่อนที่จะขอทิชชู่จากโต๊ะข้างๆมาเช็ดเก้าอี้ก่อนจะนั่ง เด็กสาวแอบทึ่งเขาเช็ดชนิดที่ไม่ให้มือตนเองโดนเก้าอี้เลย ชายหนุ่มเรียกได้ว่าใช้ง่ามนิ้วมือคีบทิชชู่เช็ดเสียมากกว่า ถ้าไม่รู้จักกันลึกซึ้งและเห็นนิสัยแย่ๆของเขา โยทะกาคงอดคิดไม่ได้แน่ว่าเป็นเกย์ รักสะอาดจนผิดปรกติขนาดนี้
“คุณกับพี่ชายมากินร้านนี้บ่อยเหรอ”


“ใช่!”
หล่อนตอบอย่างไม่หยี่ระตายังดูหนังสือพิมพ์อยู่
“รสนิยมเหมาะสมกับสภาพนิสัยเลยนะพี่ชายคุณนี่”
เขาพูดเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน คนได้ฟังตาลุกปิดหนังสือพิมพ์โดยทันใด
“คุณหมายความว่ายังไง”
หากเป็นเรื่องของพี่ชายล่ะก็ โยทะกาไม่ยอมให้เขามาว่าได้ง่ายๆหรอก


“ผมหมายความตามที่พูด มหาวิทยาลัยของคุณไม่ได้สอนเรื่องการสื่อสารภาษาไทยหรือยังไงถึงฟังประโยคแค่นี้แล้วไม่เข้าใจ”
“สอนสิ! แล้วก็สอนว่าถ้าอะไรที่ไม่เต็มใจมาไม่เต็มใจทำ ก็อย่าทำ คุณบอกให้ฉันพามาเองนี่”
ปลายประโยคนั้นกระแทกเน้นหนัก


“งั้นเหรอครับ คงเพราะว่าผมเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ปฏิเสธความต้องการของหญิงสาว แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงก็ตาม”
เขาบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแววตาอบอุ่น ถ้ามองจากสายตาคนภายนอกคงจะเห็นหล่อนเป็นคนหาเรื่องเขาแน่ เพราะตอนนี้ดวงตาของโยทะกาวาววับราวกับจะมีไฟออกมาเผาเขาให้มอดไหม้ไปตรงหน้า


“ส้มตำกับข้าวเหนียวได้แล้วนะหนูไหม”
ป้าแอ้วเอาส้มตำกับข้าวเหนียวมาเสริ์ฟให้ อันเป็นระฆังหมดยกการฟาดฝีปากกันระหว่างเขาและหล่อน
“ป้าใส่ปูเยอะตามที่หนูไหมชอบเลยนา แล้วพ่อคนนี้ใครเหรอหนูไหม เป็นเพื่อนคุณหม่อนเหรอ”
ผู้สูงวัยหันมาทางรังสฤษฏ์ที่พิจารณาตำปูสีสันจัดจ้านอยู่
“ไม่ใช่หรอกจ๊ะป้าเขา...”


“ผมเป็นแฟนไหมครับป้า”
เสียงนุ่มๆที่สวนออกไปนั้นเล่นเอาโยทะกาอ้าปากค้าง
“อ้าว!แฟนหรอกเหรอเนี่ย ต๊าย!หนูไหมหาแฟนได้หล่อจริงๆ”
ป้าแอ้วหันมายิ้มพลางพยักเพยิดกับหล่อนก่อนที่จะเดินไปทำอาหารที่หน้าร้าน
“คุณพูดไปแบบนั้นทำไมไม่อายคนอื่นหรือยังไง”


“จะอายทำไมก็ผมพูดเรื่องจริง”
เขาบอกหน้าตาเฉยเอื้อมมือไปหยิบช้อนและส้อมจากกล่องพลาสติกเอาเช็ดกับทิชชู่
“ฉันกับคุณเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“งั้นคุณจะเรียกผู้ชายที่นอนกับคุณทุกคืนว่ายังไงครับไหม เรียกว่าเซ็กส์เฟรนด์ชาวบ้านแถวนี้คงไม่เข้าใจหรอก”


“ฉันไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซ็กส์เฟรนด์ เพราะที่ฉันทำไปไม่ได้เต็มใจเลย คุณบังคับฉันทั้งนั้น!”
โยทะกากัดฟันกรอดอยากจะฆ่าเขานัก ต่อหน้าคนอื่นรังสฤษฏ์ช่างเป็นคนสุภาพแสนดี แต่พออยู่ต่อหน้าหล่อนแล้ว เขาช่างแขวะช่างยียวนจอมหาเรื่อง


“งั้นเหรอครับไหม แต่คุณก็กอดผม คุณร้องครวญครางเวลาเราอยู่ด้วยกัน ผมว่านั่นไม่ใช่การบังคับแล้วนะครับ แถวบ้านผมเรียกว่าสมยอม”


คนฟังยกแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่ข้างๆเตรียมจะสาดใส่คุณหมอรูปหล่อทันที
ใจเด็กสาวคิดว่าเป็นยังไงเป็นกันวันนี้เขากวนโมโหหล่อนจนสุดจะทน
แต่รังสฤษฏ์ไวกว่า เขาจับข้อมือเล็กนั้นไว้แน่น
“จะให้รางวัลที่ผมพูดถูกใจเหรอครับไหม ผมว่าผมค่อยทวงของรางวัลคืนนี้ที่บ้านของเราดีกว่า”
มือแกร่งนั้นบีบราวกับจะกั้นสั้นเลือดที่ข้อมือหล่อนไม่ให้ไหลไปเลี้ยงส่วนอื่นของร่างกาย ใบหน้าชายหนุ่มยิ้มแย้มอบอุ่น


“ซุบหน่อไม้ เนื้อน้ำตก คอหมูย่าง ได้แล้วจ๊ะ อุ๊ย!”
ป้าแอ้วยกถาดใส่จานอาหารเข้ามาแล้วก็ต้องอุทานยิ้มๆ เมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มเอาแก้วน้ำออกจากมือบาง
มือใหญ่เลื่อนจากข้อมือหล่อนกลายเป็นกุมมือกระชับ นิ้วโป้งของเขาไล้หลังมือเด็กสาวแผ่วๆ
“แหม!หนุ่มๆสาวๆนี่รักกันดีจริงๆ”
ผู้สูงวัยหัวเราะคิกคัก โยทะกาหน้าร้อนอับอายในการกระทำของเขา
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะดีใจที่มีผู้ชายมาจับมือและมองด้วยสายตาพราวระยับ
แต่หากเป็นกับรังสฤษฏ์แล้วนั้นหล่อนไม่ต้องการ เด็กสาวพยายามดึงมือเขาออก
ทว่ามือขาวๆดูเหมือนจะบอบบางนั้นกลับบีบกระชับแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็ก


“ผมทำให้ไหมโกรธครับป้า ไหมเขาสั่งอาหารที่เขาชอบมาเอาใจผม แต่ผมทานเผ็ดไม่ค่อยเก่ง”
คุณหมอหนุ่มส่งสายตาไปยังป้าแอ้ว วิบวับและอ้อนวอนจนโยทะกานึกไม่ถึงว่าเขาจะทำได้
“เขาเลยจะยกเลิกรายการอาหารครับ ผมเกรงใจว่าป้าทำอาหารไปแล้ว
อีกอย่างไหมเขาก็ชมว่าป้าทำอาหารอร่อย ถึงเผ็ดผมก็จะลองทานดูครับ”
เล่นเอาป้าแอ้วยิ้มแก้มแทบปริ ที่คุณหมอหนุ่มหล่อพูดเอาใจ


“อู๊ย!ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวป้าทำแบบไม่เผ็ดให้ก็ได้”
ว่าแล้วผู้สูงวัยก็หันมาเอ็ดร่างบางเบาๆ
“หนูไหมนะหนูไหม แฟนตัวเองกินเผ็ดไม่ได้ก็อย่าไปบังคับสิจ๊ะ ผู้ชายน่ะเขารักเราก็จริงแต่เขาก็มีลิมิตนะ”
ป้าแอ้วใช้คำวัยรุ่น คนโดนเอ็ดอ้าปากพะงาบๆจะค้าน
“ไม่เป็นไรจ้ะพ่อคุณ เดี๋ยวป้าทำอาหารให้แบบไม่เผ็ดก็ได้ ส้มตำนี่ป้าจะตำให้ใหม่เอาแบบไม่เผ็ด กินปลาร้าได้ไหม”
รังสฤษฏ์ตอบว่า‘ไม่ได้’ด้วยใบหน้ายิ้มๆป้าแอ้วจึงบอกว่าจะทำอาหารที่ไม่ใส่ปลาร้ามาให้


“ตีสองหน้า หลอกหลวง หน้าไหว้หลังหลอก”
โยทะกาเปรยลอยๆ หลังเขาปล่อยมือหล่อนแล้ว
“ไม่ยักรู้ว่าคณะแพทย์เขาสอนวิชานี้ให้คนที่เป็นหมอด้วย”
“ผมก็ไม่ยักรู้เหมือนกันว่าคณะสถาปัตย์สอนวิชาที่ชื่อว่าการกล่าวหาคนอื่นเหมือนกัน”
“ฉันไม่ได้กล่าวหาเรื่องจริงต่างหาก คุณไม่ได้ชอบร้านนี้เลยแต่กลับพูดชมอาหารของป้าแอ้วทั้งๆที่ยังไม่ได้กิน”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับคำกล่าวหานั้น
“ผมบอกเพียงแค่ว่าคุณชมว่าอาหารอร่อย”


“ฉันไม่ได้ชม!”
“ไหมครับ” เขาถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดา
“ผมบอกให้คุณเลือกร้านอาหารคุณก็เลือกร้านนี้ คุณบอกผมเองว่าเป็นร้านโปรดของคุณกับพี่ชาย
คนเราคงไม่โปรดร้านอาหารที่ไม่อร่อยหรอกจริงไหมครับ”
หล่อนคอแข็ง รังสฤษฏ์เอาคำพูดของหล่อนมาย้อนจนได้


“อีกอย่างคนในร้านนี้ก็รู้จักคุณกับพี่ชายจนถึงขนาดเรียกชื่อเล่น แสดงว่าสนิทกับที่นี่มากหรือไม่ก็มาบ่อยจนจำได้
อะไรที่ทำบ่อยๆโดยไม่ใช่การบังคับแสดงว่าชอบ”
โยทะกาเม้มปากหล่อนแพ้เขาอีกแล้ว
รังสฤษฏ์ไล่ต้อนด้วยคำพูดที่นิ่มๆตามเคย นักการเมืองคนหนึ่งมีฉายาว่าใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งเพราะวาจาเชือดเฉือนนิ่มนวล
หากจะตั้งฉายาของรังสฤษฏ์แล้วคงจะเป็นมีดผ่าตัดอาบน้ำผึ้งเป็นแน่
ยิ่งเถียงยิ่งแพ้
ยิ่งเถียงยิ่งเข้าตัว
หล่อนจึงแสดงแค่อาการฮึดฮัดแล้วก็หันมาจัดการกับอาหารรสแซ่บบนโต๊ะเติมพลังก่อนที่จะไปรบรากับเขาต่อ


ป้าแอ้วยังทำอาหารได้อร่อยตามเคย ส้มตำปูเผ็ดสะใจจนแทบน้ำตาเล็ด
หากรู้สึกว่าเผ็ดมากไป โยทะกาก็หันมาใช้ส้อมจิ้มคอหมูย่างเปล่าๆกินเสียคำหนึ่ง
ส่วนข้าวเหนียวนั้นถ้าจะกินให้อร่อยต้องกินด้วยมือ รสชาติของอาหารที่ถูกลิ้นทำให้เด็กสาวลืมเรื่องอารมณ์เสียเมื่อครู่ลงได้
ป้าแอ้วเอาอาหารชุดสุดท้ายมาเสริ์ฟ ตับหวานคลุกพริกป่นหอมแดงซอยและต้มแซ่บเครื่องในวัวร้อนๆหอมกรุ่นควันฉุยวางอยู่ตรงหน้า


เจ้าของร้านสูงวัยวางจานส้มตำไทยให้รังสฤษฏ์ เขายิ้มสวยและคุยอะไรกันสองสามคำกับป้าแอ้ว ก่อนที่จะเห็นมาจัดการกับอาหารตรงหน้า
คุณหมอหนุ่มทานข้าวเหนียวโดยใช้ช้อนส้อมครบชุด โยทะกาเบ้ปากกับท่าทางการใช้ช้อนจกข้าวเหนียวจากกระติบใบเล็กของเขา ปฐมพงษ์ยังไม่เรื่องมากขนาดนี้


เอาเถิดได้เห็นคนอย่างเขามานั่งทานข้าวในในร้านอาหารอีสานเพิงข้างถนนอย่างนี้ก็คุ้มแล้ว
ท่าทางกระอักกระอ่วนใจในความไม่สะอาดของสถานที่ยิ่งทำให้ให้โยทะกาสนุก ทานอาหารได้อร่อยกว่าปรกติ


ทั้งเขาและหล่อนทานอาหารกันไปเงียบๆได้ยินเพียงเพียงเสียงละครจากโทรทัศน์และเพลงหมอลำจากวิทยุดังมาแว่วๆ
รังสฤษฏ์วางช้อนลงและยกน้ำขึ้นดื่ม ไม่ใช่เพราะความฝืดคอ หากแต่เป็นความเผ็ดของรสอาหาร
แม้อาหารจะเผ็ดลิ้นแต่คุณหมอหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าอร่อยเหลือหลาย
ต้มแซ่บรสจัดเรียกเหงื่อให้ผุดที่ใบหน้าได้ดีเหลือเกิน ส่วนคอหมูย่างก็หมักเครื่องเทศได้หวานน้ำตาลกำลังพอเหมาะ
ไม่ใช่หวานเอียนเพราะผงปรุงรส
รสหวานไปได้ดีกับความมันของคอหมู ทานร้อนๆเคี้ยวมันปนเนื้อยิ่งเพลินปาก
คนไม่พิสมัยอาหารมันๆอย่างเขาเพราะรู้ว่าไม่ดีกับสุขภาพ ยังอดใจไม่ไหวทานไปเสียหายชิ้น จานนี้รสดีจนเขาต้องสั่งเพิ่มอีก


“อร่อยใช่ไหมละจ้ะ ของป้าไม่ใช่ผงชูรสนะเพราะกลัวว่าลูกค้ากินผงชูรสมากๆจะตายไวแล้วไม่มาอุดหนุนเป็นลูกค้ากันอีก”
ป้าแอ้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตอนที่เอาคอหมูย่างจานที่สองมาเสริ์ฟ โยทะกาจัดการกับตับหวานกึ่งสุกกึ่งดิบอยู่
รังสฤษฏ์คร้านจะเอ่ยห้ามในการของสุกๆดิบๆเพราะรู้ว่าอย่างไรเสียสาวร่างเล็ก ก็ไม่ฟังเป็นแน่ ดีไม่ดีหล่อนจะสั่งลาบเลือดแดงๆมายั่วโมโหเขาอีก
ความเงียบโรยตัวมาครอบคลุมเขาและหล่อนอีกครา โยทะกาตักซุบหน่อไม้เข้าปากพลางทำเสียงซี๊ดซ้าดเพราะความเผ็ด
หลังจากนั้นเด็กสาวจึงใช้ส้อมจิ้มคอหมูย่างเปล่าๆเข้าปากเพื่อดับรสร้อนแรงของอาหาร


ความเงียบบนโต๊ะอาหารทำให้รังสฤษฏ์มองพินิจคนร่วมโต๊ะอาหารมากขึ้น โยทะกาตัวผอมนิดเดียว ซอยผมสั้นระต้นคอปัดเป๋ซ้าย เขาเคยเห็นว่าหล่อนมักใช้มือสางผมเวลารีบๆแล้วเดินเข้ามหาวิทยาลัยไปเลย ผมของโยทะกาดำสนิทและหนาหนุ่ม
ชายหนุ่มสัมผัสได้เวลาที่หล่อนนอนละเมอมาซบแขน


ดวงตาหล่อนกลมโตรับกับขนตาที่ยาวเป็นแพ ยามหลุบหลบสายตาหรือทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ แพขนตาเหล่านั้นจะกะพริบไปมาเหมือนผีเสื้อขยับปีก จมูกของเด็กสาวไม่โด่งมากและรั้นบ่งบอกนิสัยหัวดื้อ แกมปลั่งที่มักจะสีเข้มขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินเขาพูดเรื่องบนเตียงหรือเวลา โกรธ ริมฝีปากบางสีอ่อนที่มักมีวาจาต่อปากต่อคำกับเขาเสมอ ยิ่งกว่านั้นผิวสีแทนของหล่อน ดูเหมือนจะไม่ได้เกิดจากแดดหรือการตากตรำ รังสฤษฏ์คิดว่าน่าจะเป็นกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ แต่น่าแปลกปฐมพงษ์ผู้เป็นพี่กลับผิวขาว


โยทะกามีผิวสีแทนไปทุกส่วน ทว่าผิวของหล่อนเรียบเนียนเสมอกันนุ่มมือเมื่อสัมผัส คนตรงหน้าไม่ได้สวยโดดเด่นเช่นมันตรีนีหรือชาลิดา คำพูดคำจาหรือแม้แต่การเดินเหินยังห่างสองคนนั้นเสียไกล
แต่โยทะกามีบางอย่างที่ทำให้ผู้ที่พบเห็นลืมไม่ลงและเมื่อเอ่ยชื่อหล่อนก็นึกถึงได้ทุกครั้ง รังสฤษฏ์ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ใช่การแต่งตัว
ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา
แต่มีบางอย่างที่ทำให้คนอยากเข้ามาใกล้ตัวหล่อน
ความรู้สึกอยากตามดูว่าหล่อนจะทำอะไรประหลาดๆต่อไปอีก


รังสฤษฏ์รู้สึกว่าการแก้แค้นครั้งนี้ไม่น่าเบื่อ เพราะโยทะกาไม่ใช่ผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้น้ำตาปริ่มหรือเอาแต่ตะบึงตะบอน อาละวาดไปทั่ว
หล่อนฉลาดและจัดการปัญหาได้อย่างใจเย็นกว่าที่คิด สมแล้วที่หล่อนเป็นนักศึกษาคนเก่งของคณะสถาปัตย์
แต่ว่าเด็กก็คือเด็ก คนเก่งในมหาวิทยาลัยมีหรือจะสู้คนเก่งในชีวิตจริง


รังสฤษฏ์เดาความคิดหล่อนออก แล้วหล่อนล่ะจะเดาการกระทำของเขาออกไหม ถ้าผู้ชายคนหนึ่งจะใจดีเอาอกเอาใจผู้หญิงสักคน
ไม่มีคำว่ารัก ...มีแต่การเอาใจใส่ โอบกอดยามหล่อนหลับ จูบซับน้ำตายามหล่อนอ่อนล้า ค่อยๆรุกคืบเข้าในใจอย่างช้าๆ
เลี้ยงให้เชื่องด้วยการกระทำที่แสนดี ล่ามไว้ด้วยความเสน่หา ขังไว้ในกรงแห่งความสุขสบาย รอสักวันที่เขาจะขยี้หัวใจหล่อนให้แหลกลาญ บีบให้จนตรอกเหมือนกับที่ชาลิดาเคยเป็น บางทีหากโยทะกาทำให้เขาสงสารได้ล่ะก็ เขาอาจจะเลี้ยงเด็กที่เกิดจากหล่อนไว้ แต่ถ้าหากไม่...


รังสฤษฏ์นึกถึงวันแรกที่เขาเห็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะกลายเป็นมนุษย์ดอง อยู่ในขวดโหล ก็บอกแล้วอย่างไรว่าความเมตตาของเขานั้นมี แต่จะใช้เมื่อถึงเวลาและกับบางคนเท่านั้น
หากน้องสาวสุดที่รักของเขาร้องไห้เสียใจสักเท่าไหร่
น้องสาวสุดที่รักของปฐมพงษ์ก็ต้องร้องไห้เสียใจมากกว่าเป็นสองเท่า!



โยทะกาชะงักมือที่กำลังตักกล้วยบวชชีในถ้วยตรงหน้า เด็กสาวมองกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาสั่งส้มตำใส่ถุงกลับบ้าน
เด็กที่มาด้วยถือลูกโป่งพลาสติกเป็นสีๆ บ้างก็ถือถุงขนมสายไหมสีสด
หล่อนจำได้ว่าใกล้ๆแถวนี้มีวัดเพราะมาทานอาหารร้านป้าแอ้วช่วงกลางวันกับพี่ชายเสมอหากว่างตรงกัน
“วันนี้มีงานวัดเหรอครับ”
รังสฤษฏ์เอ่ยถามเมื่อเรียกป้าแอ้วมาคิดเงิน เขาสังเกตได้จากอาการมองลูกโป่งตาปรอยของโยทะกา
“จ้ะ คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย”


ร่างบางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มปกปิดอาการไหวระยับในดวงตา หล่อนกำลังคิดถึงพี่ชาย
โยทะกาโตมากอย่างขาดๆ ญาติที่รับไปเลี้ยงก็ดูแลไม่ดีเท่าที่ควร เวลามีงานเทศกาลอะไรเด็กสาวต้องอยู่เฝ้าบ้านเสมอ
จนกระทั่งมาอยู่กับพี่ชาย การไปเที่ยวเล่นสนุกสนานตามประสาวัยรุ่นนั้นแทบไม่มี เพราะกลัวเสียเงินและหล่อนเกรงใจปฐมพงษ์
อีกอย่างพี่ชายก็ทำงานกลางคืน การจะพาไปเที่ยวเล่นเห็นแสงสีนั้นน้อยครั้งมาก


แต่กระนั้นพี่ชายก็รู้ใจน้องสาวเสมอ หากมีงานวัดหรืองานเทศกาล เขามักพาหล่อนไปเดินเที่ยวเล่น และซื้อของเล็กๆน้อยๆให้เช่น
หน้ากากรูปแปลกๆ ขนมสายไหม ไอติมหลอด พี่ชายพยายามเติมเต็มสิ่งที่หล่อนขาดไปในวัยเด็ก
สำหรับโยทะกาแล้วงานวัดแม้จะไม่หรูหรา สิ่งที่มาขายมีแต่ของราคาถูกเต็มไปด้วยฝุ่นจากคนพลุกพล่านที่มาเที่ยวงาน
...แค่มีพี่ชายอยู่ด้วย ทุกๆที่ก็เป็นสถานที่ๆดีที่สุดแล้ว


รังสฤษฏ์เปิดประตูรถให้โยทะกาเข้าไปนั่งก่อน แล้วก็ลงไปคุยอะไรสักอย่างกับป้าแอ้วก่อนที่จะกลับมานั่งประจำที่คนขับ
เด็กสาวไม่สนใจเขาแล้ว ใจหล่อนลอยละล่องไปถึงพี่ชายที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล
ร่างบางกำลังคิดว่าจะขอให้คุณหมอหนุ่มพาไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมพี่ชาย มีเรื่องวุ่นๆตั้งแต่เช้าวันนี้โยทะกาจึงไม่ได้ไปหาพี่ชายเลย
รถคันงามของรังสฤษฏ์แล่นไปเรื่อยๆจู่ๆก็หยุดลงที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง ความคิดของหล่อนพลอยสะดุดลงไปด้วย
เด็กสาวยิ่งงงเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นสถานที่ๆเขามาจอดรถ แสงไปวูบวาบ เสียงดนตรีดังมาแว่วๆ
แสงไฟจากไฟฉายของพนักงานรับฝากรถรูปร่างผอมเกร็งส่องพาดผ่านรถคันงามไปมา


“ลงได้แล้วครับไหม”
เจ้าของรถเปิดประตูเดินลงไปหน้าตาเฉย
“คุณมาที่นี่ทำไม”
ถามพลางดวงตากลมโตก็แลกวาดไปทั่ว ที่นี่คือลานจอดรถของวัด แล้วก็โน่น ที่เห็นไกลๆนั้นคืองานวัด
“หลังดินเนอร์เราควรจะต้องฟังเพลงไม่ใช่เหรอครับ โรแมนติคดีออก ผมว่างานอย่างนี้คงถูกกับรสนิยมของคุณ”
คนพูดเดินนำหน้าพร้อมกับหัวเราะในลำคอดัง...ฮึ ใช่สิ! สำหรับหล่อนแล้วคงได้แค่นี้
งานวัดแบบธรรมดาบ้านๆไม่ไฮโซเหมือนแฟนเก่าเขา โยทะกาเม้มปากเคืองนิดๆ รังสฤษฏ์ช่างไร้มารยาทเหน็บแนมอยู่นั่นแหละ
เขาคงจงใจจะให้หล่อนโกรธแล้วก็ต่อปากต่อคำต่อ


แต่เสียใจ... งานโยทะกายอมรับแต่โดยดี ก็รสนิยมหล่อนเป็นเช่นนี้เองนี่ คนจนชอบอะไรที่พื้นๆแบบจนๆมันผิดด้วยหรือ
ในงานวัดมีผู้คนเข้าไปเที่ยวมากมายผู้คนเดินเบียดเสียด โยทะกามองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ
นั่น! แผงขายไอติมหลอด ข้างๆกันก็ขายไอศกรีมตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมยาว ถัดไปสามสี่แผงมีพ่อค้ามาตั้งแผงทำน้ำตาลปั้นเป็นรูปต่างๆ
โยทะกาหยุดยืนดูด้วยความสนใจเพราะนานๆทีจะเห็นพ่อค้าประเภทนี้


พ่อค้าจุ่มไม้เสียบลูกชิ้นลงไปในหม้อน้ำตาลที่เคี่ยวเป็นสีๆ
เอาขึ้นมารอสักพักให้เย็นลงแล้วค่อยปั้นเป็นรูปอย่างรวดเร็วให้ทันเวลาเพราะน้ำตาลเคี่ยวหากถูกอุณหภูมิปรกติจะแข็งตัวเร็วมาก
พ่อค้าปั้นเป็นรูปดอกกุหลาบสีแดง คนที่มุงดูอยู่นั้นปรบมือด้วยความชื่นชม โยทะกาก็พลอยเป็นไปด้วย


ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหล่อนเดินเข้าไปหาพ่อค้า ธนบัตรสีแดงยื่นออกไป
เขารับกุหลาบสีแดงมายื่นให้หล่อนท่ามกลางอาการยิ้มบ้าง เป่าปากแซวบ้าง ของคนที่ยืนดูการสาธิตของพ่อค้า
“อะไร!”
เด็กสาวขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว รังสฤษฏ์ยื่นกุหลาบน้ำตาลมาให้พร้อมกับอาการยิ้มแย้มไม่น่าไว้ใจเป็นที่สุด
“ผมให้คุณครับไหม”


“ฉันไม่เอา!”
หล่อนตอบทันควัน ชายหนุ่มใบหน้ายังยิ้มอยู่ก่อนที่จะหันหลังกลับไปหาพ่อค้า
“ผมของคืนของครับ แฟนผมเขาไม่เอา เขาบอกว่าทำได้ไม่สวยถูกใจ”
เล่นเอาทั้งหล่อนและพ่อค้าน้ำตาลปั้นตาลุก หล่อนไม่ได้บอกว่าไม่สวย แค่บอกว่าไม่เอา
โยทะกาเห็นเขาแอบยิ้มมุมปากรังสฤษฏ์จะแกล้งให้หล่อนอับอายอีกแล้ว พ่อค้าซึ่งเป็นชายวัยกลางคนหน้าเจื่อนไปนิดๆ


“แล้วคุณอยากจะเอาเป็นรูปอะไรล่ะ”
พ่อค้าตะโกนถามร่างบาง
“แฟนผมเขาชอบอะไรแบบร็อคๆน่ะครับ เขาอยากได้เป็นรูปหัวกะโหลก”
สิ้นคำบอกของคุณหมอหนุ่ม คนที่ยืนดูการสาธิตปั้นน้ำตาลอยู่นั้นก็มองหล่อนด้วยสายตาแปลกๆ
“ผมทำให้เขาโกรธ เลยหน้าบูดอย่างที่เห็นล่ะครับ”
เสียงรังสฤษฏ์ละห้อย สายคนส่งสายตาเห็นใจไปให้เขา จะไม่ให้เห็นใจได้อย่างไร
ผู้ชายมาดดีสวมแว่นแต่งตัวสะอาดสะอ้าน พูดจาก็เพราะ แถมยังซื้อของง้อแฟน
ขณะที่‘แฟน’กลับเป็นเด็กผิวสีแทนผมสั้น แต่งตัว‘แนว’อย่างประหลาด


“ทำได้ไหมครับพ่อค้า”
เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ธนบัตรใบละพันกรีดอยู่บนนิ้ว
โยทะการีบไปฉุดเขาออกมา มือบางหยิบดอกกุหลาบน้ำตาลเจ้าปัญหาไปด้วย
“แค่ฉันรับก็พอใช่ไหม!”
เสียงหล่อนเกรี้ยวกราด รังสฤษฏ์จงใจจะหล่อนบทชายหนุ่มผู้แสนดี ทำให้หล่อนเป็นตัวประหลาด เป็นผู้หญิงเรื่องมาก


“นั่นแหละครับ มารยาทที่ดีที่สุภาพสตรีควรกระทำ เวลารับของกำนัลจากชายหนุ่ม”
คนพูดยังยิ้มดุจเดิม ในสมองน้อยๆของโยทะกากำลังคิดวางแผนอยู่ว่าจะเอาคืนเขาอย่างไรดี
วันนี้ทั้งวันรู้สึกว่าหล่อนจะเพลี่ยงพล้ำเขาบ่อยเกินไปเสียแล้ว พลันสายตาก็ไปเห็นร้านๆหนึ่ง


“โป๊ะ!”
เสียงเฮดังเมื่อลูกโป่งสีสดซึ่งอัดอยู่ในกรอบไม้แตกดังลั่น
“เจ๋งเลยพี่”
เด็กที่คุมร้านปาลูกโป่งชมแล้วหยิบตุ๊กตาหมีพูห์ตัวใหญ่ออกมาให้ ผู้คนที่ยืนดูโยทะกาปาลูกโป่งอยู่
และโดยมากจะเป็นผู้ชายต่างปรบมือให้กับสาวตัวเล็กที่คว้าแจ็คพ็อตของร้านเพราะปาลูกโป่งในกรอบหมด
หล่อนยิ้มแป้นให้ทุกคนแล้วหันไปทางคุณหมอหนุ่ม ซึ่งทึ่งในความมือแม่นจนต้องปรบมือให้อีกคน


“ฉันยังไม่เก่งเท่าไหร่หรอกค่ะ แฟนฉันเขาเก่งกว่าอีกจริงไหมคะเอิง ตอนที่คุณจีบฉันใหม่ๆ
คุณบอกว่าคุณเล่นปาลูกโป่งแล้วได้ตุ๊กปลาโลมามาให้ฉันนี่นา”
โยทะกายิ้มหวานหยาดเยิ้มให้‘แฟนที่ชื่อเอิง’ แม้แฟนคนที่ว่าจะส่งสายตาปรามนิดๆมาก็ตาม
“แฟนฉันเขาเก่งค่ะ เขาบอกว่าจะเอาแจ็คพ็อตอีกตัวมาให้ฉัน”
เด็กสาวแกล้งร้องเสียงดังทำเสียงออดอ้อน เลียนแบบพัชรพงษ์เพื่อนสาวเวลาแกล้งจิรัฐิติกาลหนุ่มรูปหล่อของคณะ


“ไม่ได้หรอกครับไหมวันนี้ผม...”
ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างนิ่มนวลแต่ก็โดนตัดบทเสียก่อน
“นะคะเอิง คุณน่ะเก่งที่สุดในโลกเลย”
คนพูดลอยหน้าลอยตาใส่ โยทะกากำลังแกล้งเขา ปรกติรังสฤษฏ์เป็นคนทำอะไรด้วยเหตุผล พูดให้ง่ายเข้าไม่มีใครเป่าหูหรือยุเขาขึ้น
นอกเสียจากบางเรื่องซึ่งสุดทน เรื่องชาลิดากับปฐมพงษ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วตอนนี้ก็เป็นร่างบางที่ยิ้มยั่วเขาอยู่ตรงหน้า
“นะคะเอิง คุณบอกฉันว่าคุณ...ทำได้ทุกอย่างไม่ใช่เหรอ”
ปลายประโยคนั้นเน้นเสียง ความนัยที่รู้กันเพียงสองคน เขาเคยพูดว่าทำได้ทุกอย่างเพื่อแก้แค้น...


กล่องใส่ลูกดอกซึ่งจะใช้ปายื่นมาตรงหน้า คนยื่นยิ้มเยาะอย่างสาแก่ใจ
ได้! รังสฤษฏ์คิด แล้วโยทะกาจะได้รู้ว่าคนอย่างเขากับอีแค่ปาลูกดอกแค่นี้สบายมาก แต่ทว่า
“วืด...”
ลูกที่หนึ่งเลยกรอบไปไกล


“วืด...”
ลูกที่สองใกล้กรอบเข้ามาอีกนิด
“วืด...”
ลูกที่สามใกล้เข้ามาอีกหน่อยแต่ก็ยังไม่โดนลูกโป่ง คุณหมอหนุ่มเริ่มหายใจฮึดฮัดเพราะคนที่ยืนอยู่รอบข้างหลายคนออกอาการยิ้มๆ
ขณะที่แฟนตัวต้นเหตุหัวเราะคิกคักอย่างไม่ปิดปัง


“วืด...วืด...”
ลูกที่สี่และลูกที่ห้า รังสฤษฏ์เริ่มฉุนที่เขากำลังกลายเป็นตัวตลกให้โยทะกาหัวเราะเยาะ
เกมปาลูกดอกเขาก็เคยเล่นอยู่หรอก แล้วทำไมคราวนี้จึงพลาดหมด
“เอิงคะ ให้ฉันแนะนำไหม จะได้เข้าเป้าสักลูก”
เด็กสาวแกล้งถามแขนยังกอดตุ๊กตาหมีอยู่
“คนเขาจะได้ไม่คิดว่าคุณขี้โม้”


ดวงตาของคุณหมอหนุ่มวาววับขึ้นมาทันใด หล่อนทายถูกจริงๆรังสฤษฏ์เป็นพวกมีความมั่นใจในตัวเองสูง กลัวเสียหน้า
ไม่มีเสียหรอกที่เขาจะยอมรับคำแนะนำจากคนที่ดูด้อยกว่าตนเอง แม้ว่าคนๆนั้นจะเพิ่งปาลูกโป่งแตกทั้งหมดจนได้แจ็คพ็อตอย่างหล่อนก็ตาม
“ไม่หรอกครับไหม เพื่อคุณผมทำได้”
กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ลากหล่อนให้อายเพราะเสียงโห่ในคำพูดชวนเลี่ยนจากคนรอบข้างจนได้
รังสฤษฏ์เลือดขึ้นหน้าเสียแล้ว เขาเกลียดความพ่ายแพ้โดยเฉพาะกับเกมที่แสนจะกระจอกเช่นนี้ เขาหายใจลึกๆแล้วตั้งสติปาลูกดอกเข้าไปใหม่


“โป๊ะ!”
แตกไปหนึ่ง ชายหนุ่มยิ้มร่าอย่างดีใจ โยทะกาคิดว่าเขายิ้มแล้วดูใบหน้าเด็กลงเยอะ
เขากำมือแน่นพลางพูดคำว่า‘เยส’ ทำท่าสาแก่ใจมากๆ รังสฤษฏ์ทำตัวเหมือนคนปรกติก็เป็น
“วืด...”
ดอกต่อมาก็วืดอีกแล้ว เขากัดริมปากล่างแบบโมโหแล้วปาลูกดอกเข้าไปใหม่
“วืด...”
คุณหมอหนุ่มยืนเท้าสะเอวเม้มริมฝีปาก มองลูกโป่งในกรอบนิ่งราวกับมันเป็นศัตรูตัวเอ้ที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก


“โป๊ะ!”
ดอกต่อมาลูกโป่งแตก รังสฤษฏ์ยิ้มร่าดีใจแล้วรีบปาลูกดอกใหม่ออกไปแล้วก็...วืด วัฏจักรนี้วนเวียนไปสี่ห้ารอบจนลูกดอกหมดชุด
“เอามาอีก!”
เขายื่นธนบัตรใบละร้อยให้พนักงานคุมร้านลูกโป่ง รับลูกดอกชุดใหม่แล้วก็ปาต่อไป ซึ่งก็ยังเหมือนเดิมปาได้บ้างไม่ได้บ้าง
หนักไปทางไม่ได้เสียมากกว่า ชายหนุ่มดูมุ่งมั่นกับเกมปาลูกโป่งกว่าที่คิด


โยทะกาเบื่อแล้วจึงมองดูโน่นมองดูนี่ เห็นคนมุงดูอะไรกันจึงไปมุงดูด้วย เป็นร้านขายโรตีสายไหมที่มีตู้เสี่ยงทายให้หยอดแล้วเข็มจะหมุน
หากเข็มหมุนไปตกที่ตัวเลขตัวใด คนหยอดก็จะได้จำนวนโรตีสายไหมห่อเป็นชิ้นเท่าจำนวนตัวเลขนั้น จำนวนสูงสุดที่อยู่ในแป้นหมุนคือยี่สิบเอ็ด
เวลาที่หยอดเหรียญแล้วเข็มเริ่มหมุนจะมีคนเชียร์เต็มไปหมด


“ยี่สิบเอ็ดๆ”
โยทะกาพลอยสนุกไปด้วย รอบนี้เข็มไปหยุดที่เลขสิบ คนหยอดเหรียญยิ้มแป้นรอรับขนมสายไหม
หล่อนล้วงหาเศษเงินในกระเป๋าจะลองเล่นดูด้วย
แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ารังสฤษฏ์ลากหล่อนลงมาจากห้องนอน มาเจอญาติของเขาแล้วพาออกมาข้างนอกเลย จึงไม่มีเวลาหยิบเงินติดตัวมาด้วย
เด็กสาวเดินออกมาจากร้านโรตีสายไหมอย่างเซ็งๆ เดินเข้าไปทางโบสถ์ซึ่งเปิดให้เข้าไปไหว้พระได้ถึงดึกในโอกาสงานวัด


ร่างบางหยิบดอกไม้เวียนซึ่งช้ำๆนิดๆจากพานสีเงินไปไหว้พระประธาน ระหว่างที่จุดธูปเทียนนั้นโยทะกาก็อธิษฐานขอให้พี่ชายหายป่วยโดยเร็ว
ให้เมฆหมอกดำมืดในชีวิตของสองพี่น้องหายไป อธิษฐานอุทิศส่วนกุศลให้ชาลิดาด้วย
โยทะกาหวังว่าผลบุญที่หล่อนทำให้ครั้งนี้จะทำให้ชาลิดาสุขสงบ ไม่มาปรากฏเป็นวิญญาณตามรังควานหล่อนอีก


โยทะกาหายไป! รังสฤษฏ์รู้สึกตัวตอนที่เขาเปลี่ยนชุดลูกดอกใหม่เป็นชุดที่สี่ สถิติเขาตอนนี้ปาสามเข้าเป้าหนึ่ง
ชายหนุ่มเหลียวมองรอบข้างมีแต่คนแปลกหน้า ความฉุนเฉียวแล่นมาเป็นริ้วๆหล่อนชอบขัดคำสั่งเขาเหลือเกิน
แม้เขาจะยกเรื่องพี่ชายหล่อนมาขู่ แต่โยทะกาก็ขยันหาเรื่องมาให้เขาโมโห แผนที่เขาวางไว้ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาวุ่นไปหมดเพราะหล่อน


“ได้แล้วพี่”
พนักงานร้านลูกโป่งดอกเอาลูกดอกชุดใหม่มาให้ ทีแรกคุณหมอหนุ่มอ้าปากจะปฏิเสธแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
เขาปาลูกดอกไปสุดแรงโดยที่คิดว่านั่นคือใบหน้าของโยทะกา


ยัยเด็กงี่เง่า!
“โป๊ะ!”
ดื้อด้าน ไม่เรียบร้อย
“โป๊ะ!”
ทำอะไรประหลาด ชอบเถียง
“โป๊ะ!”
ไม่ยอมตามใจเขาเลย แม้แต่เรื่องบนเตียงที่ดูเหมือนจะเป็นเวลาเดียวที่เขากับหล่อนไม่ทะเลาะกัน เข้ากันได้ดีที่สุด
“โป๊ะ!”


โยทะกามักจะกอดเขา บางครั้งหล่อนก็ร้องครวญครางพลางจิกนิ้วลงบนหัวไหล่เขา รังสฤษฏ์ชอบผมซึ่งนุ่มเหมือนขนแมวเปอร์เซียของหล่อน
ยามที่สะบัดมาต้องผิวกายเขายามอารมณ์ขึ้นสูง พาดผ่านพลิ้วแผ่วราวกับเส้นไหมสีดำชั้นดี เวลาหล่อนละเมองึมงำอยูข้างแขน
รังสฤษฏ์มักจะโน้มศีรษะมาเงี่ยหูฟังเสมอว่าหล่อนละเมอว่าอะไร
ริมฝีปากหล่อนเวลาละเมอจะขมุบขยิบยื่นนิดๆจนเขาลืมตัวจุมพิตประทับเบาๆ อำนาจของเพศรสและดำกฤษณาช่างมีอำนาจมากเหลือเกิน
ทำให้คนที่เกลียดกันสองคนมีสัมพันธ์กันทุกคืนได้ รังสฤษฏ์รู้ว่านั่นไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงความต้องการสืบเผ่าพันธุ์ตามสัญชาตญาณของสัตว์โลก
สำหรับเขาเป็นใครก็ได้
สำหรับหล่อนเป็นใครก็ได้เช่นกัน


“วืด...”
ลูกดอกไม่เข้าเป้าลอยหวือออกไปนอกกรอบเสียไกล พร้อมอาการขมวดคิ้วของคนปา
สำหรับหล่อนเป็นใครก็ได้อย่างนั้นหรือ... หัวใจของรังสฤษฏ์เต้นระรัวเร็ว เมื่อสมองนึกย้อนภาพที่ โยทะกาในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวกอดคอชานนท์อยู่
ความไม่ชอบใจปรากฏขึ้นทันที นิสัยพื้นฐานของแพทย์อย่างเขาเป็นพวกรักสะอาด เขาไม่ชอบใช้ผู้หญิงร่วมกับใคร
หากโยทะกาจะไปมีสัมพันธ์กับใครนั่นหมายถึงหล่อนกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เวลาแห่งการแก้แค้นจบสิ้นลงแล้ว
ซึ่งเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะนานอีกเท่าไหร่


“คุณต้องบิดข้อมืออีกหน่อยสิ ปาเฉียงๆอย่าปาตรง ไม่อย่างนั้นโอกาสที่ลูกดอกจะลื่นจากลูกโป่งมีเยอะ”
เสียงใสๆดังขึ้นใกล้ตัวเขา โยทะกา!หล่อนกลับมาแล้ว หล่อนแนะนำเขาไปปากก็เล็มกุหลาบน้ำตาลไป
“รีบปาเข้าสิคุณ มันดึกแล้วนะจะได้ให้คนอื่นปามั่ง”
เด็กสาวเอ็ด ความจริงแล้วหล่อนเดินเล่นในงานวัดจนหิวอีกรอบแล้วต่างหาก ไม่มีเงินติดตัว กลิ่นของทอด กลิ่นของปิ้ง
สีสันสดใสของขนม และน้ำหวานเดินพาเหรดกันมายั่วยวน โยทะกาจึงกินกุหลาบน้ำตาลประทังหิว
หล่อนคงจะกินได้ตอนนี้เลยสินะเพราะว่าเขาบอกว่าให้หล่อนแล้วนี่


“คุณกินเข้าไปได้ยังไงนะฮึไหม ของหวานๆอย่างนี้”
เขาแกล้งดุแต่ในใจกลับสั่นไหวแปลกๆกับริมฝีปากบางๆที่เคลือบด้วยน้ำตาลกำลังละลาย
หล่อนไม่ตอบพยักหน้าเป็นทำนองให้เขาสนใจกับเกมปาลูกโป่งตรงหน้า
“วืด...”
“ก็บอกแล้วยังไงล่ะให้บิดข้อมือหน่อย ปาเฉียงๆ ขืนคุณปาอย่างนี้ทั้งคืนก็ปาไม่ถูก”
คนแนะนำเริ่มฉุนหน่อยๆเพราะคนข้างๆไม่ยอมทำตามเอาเสียเลย


“โป๊ะ!”
คราวนี้เขาปาถูก
“เห็นไหมละครับไหม ผมปาลูกดอกด้วยวิธีของผมก็ปาเข้าตามปรกติ”
คุณหมอหนุ่มหันมาบอกยิ้มๆ รังสฤษฏ์ปาถูกบ้างวืดบ้างสลับกันไปจนลูกดอกหมดชุดเขาจึงยอมออกจากร้าน
ก่อนไปพนักงานเอาพวงกุญแจรูปตัวการ์ตูนแทสมาเนียมาให้


“พี่! แฟนพี่น่ะเขาตั้งใจปาจริงๆนะ ถึงฝีมือไม่ดีแต่ใจน่ะเต็มร้อย”
พนักงานแซวโยทะกา รังสฤษฏ์ดึงตุ๊กตาหมีพูห์จากแขนบางมาถือแล้วยื่นพวงกุญแจให้หล่อนแทน
“สลับกันถือ” เขาบอกแค่นั้น
ระหว่างทางที่เดินออกมาจากงานวัด โยทะกาเล็มดอกกุหลาบน้ำตาลจนหมด เด็กสาวรู้สึกเหนียวคอเป็นกำลัง
กลืนน้ำลายแทบไม่ได้เพราะมีแต่น้ำตาลหวานเชื่อมจนรังสฤษฏ์สังเกตเห็น


“ไหม ถ้าคุณกินน้ำตาลจนเหนียวคอแบบนี้ดื่มน้ำสักหน่อยดีไหมครับ”
คุณหมอหนุ่มปรายตาไปทางร้านขายเครื่องดื่มซึ่งมีน้ำเปล่าบรรจุ*ขวดเพทมีฉลากซีลพลาสติคหุ้มฝาอย่างเรียบร้อย แต่โยทะกายังนิ่งอยู่
“ไหมครับ กินของหวานแล้วควรต้องดื่มน้ำล้างปากนะ น้ำตาลน่ะเป็นอาหารโปรดของแบคทีเรียเดี๋ยวก็ฟันผุหรอก”
มือบางสีแทนแบมาต่อหน้าเขา ละความอายขอเงินชายหนุ่ม เพราะเขาลากหล่อนมาก็ควรต้องรบผิดชอบ
“คุณลากฉันมาจากบ้านคุณ ฉันเลยไม่ได้เอากระเป๋าตังค์ติดมาด้วยเลย”


เขาหัวเราะหึๆใส่หล่อน แล้วหยิบเงินธนบัตรสีม่วงจากกระเป๋าสตางค์มาให้
“ซื้อขนมเผื่อผมด้วยนะครับ...ที่รัก”
สายตาที่มองนั้นกรุ้มกริ่ม หล่อนกระชากเงินมาจากมือใหญ่เดินไปซื้อน้ำเปล่ามาสองขวด
เพราะคิดว่าอย่างไรเสียคุณหมอหนุ่มก็เป็นเจ้าของเงินหล่อนมีมารยาทพอที่จะไม่ปล่อยให้เขาอด พอยื่นขวดน้ำให้ เขาก็ยังมีลูกเล่นอีก


“เปิดให้ผมหน่อยสิครับไหม ผมอุ้มหมีพูห์ของคุณอยู่นะ”
เสียงเขายั่วล้อเต็มที่เด็กสาวจึงจำต้องเปิดฝาขวดน้ำใส่หลอด แล้วเอาไปจ่อปากให้
ระหว่างทางที่เดินกลับโยทะกาเอาคืนเขาโดยการซื้ออาหารทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะรู้ว่ารังสฤษฏ์ไม่ชอบอาหารข้างทาง ทั้งของปิ้งของย่าง
“อันตรายทั้งนั้นนะครับไหม ดูสิ!ของปิ้งของย่างไหม้ๆมีแต่คาร์บอนสารก่อมะเร็งทั้งนั้น”
เขามากระซิบข้างหูตอนที่หล่อนรอขนมฝักบัวทอด


“ช่างฉันสิ! เป็นมะเร็งก็เรื่องของฉัน ร่างกายของฉัน”
“แต่ตอนนี้คุณเป็นของผมอยู่นะครับ ผมยังต้องใช้ร่างกายของคุณอยู่ทุกส่วนเลย”
ว่าแล้วคนยั่วโมโหก็เดินนำลิ่วๆไป โยทะกากัดฟันกรอดถ้าไม่ติดว่ารอขนมฝักบัวทอดอยู่ล่ะก็ หล่อนคงจะต้องหาเรื่องมาเถียงเอาคืนเขาแน่ๆ
รังสฤษฏ์ช่างขยันหาเรื่องหล่อนจับผิดทำให้หล่อนโมโหเสียจริง


แต่กระนั้นขากลับบนรถคันหรูก็เป็นรังสฤษฏ์นี่แหละ ที่สั่งให้หล่อนฉีกขนมฝักบัวให้เขากิน
“น้ำมันเยอะ มีแต่แป้ง น้ำตาล กะทิ ทำให้อ้วน เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจ โรคมะเร็ง”
โยทะกาเปรยลอยๆมือก็ฉีกขนมฝักบัวใส่ปากคนขับรถผู้ทรงภูมิ
“ไหมครับ ประสาทสัมผัสการลิ้มรสว่าอาหารอร่อยหรือเปล่าน่ะ ถือว่าเป็นพรสวรรค์จากพระเจ้าเชียวนะครับ”


“เหรอคะ แต่ฉันนับถือพุทธก็เลยไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า”
หล่อนหันไปสนใจกับลูกชิ้นทอดในถุงอีกใบหนึ่ง
ในรถเงียบสงบมีเพียงเสียงกรอบแกรบของของถุงพลาสติกและโยทะกาที่หยิบโน่นหยิบนี่มาดูด้วยดวงตาสดใส
รังสฤษฏ์รู้สึกสงบอย่างประหลาด...สงบจนบางส่วนในใจอยากให้เส้นทางกลับสู่บ้านเนิ่นนานทอดจนเป็นนิรันดร์

++++++++จบตอน++++++++

*ขวดเพท (PET : Polyethylene Terephthlalate) เป็นขวดที่ทำจากพลาสติกใส ใช้บรรจุอาหาร เช่น ขวดน้ำสิงห์ ขวดน้ำปลาทิพรส ขวดน้ำอัดลมเป็นลิตร เป็นต้น - ผู้เขียน


++++++++++++++





Create Date : 15 กรกฎาคม 2552
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 13:08:05 น. 9 comments
Counter : 325 Pageviews.

 
ย่องตามมาแอบดูน้องไหมกับหมอเอิงไปดินเนอร์กัน


โดย: eastwind IP: 125.25.95.110 วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:04:16 น.  

 
หนูไหมไปร้องอะไรนี่ o_o'


โดย: ree IP: 112.142.1.95 วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:05:46 น.  

 
:)


โดย: natee IP: 70.183.186.42 วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:2:42:54 น.  

 
หมอเอิงจะทานส้มตำได้เหรอ


โดย: นาวาไม่ไหลกลับ วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:3:13:12 น.  

 
รออ่านที่เหลือจ้า


โดย: pseudolife (cruduslife ) วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:45:03 น.  

 
รอหมอเอิงอยู่ทุกวันนะคะ
อย่าปล่อยให้รอเก้อน้า


โดย: maybe IP: 10.19.1.66, 202.28.180.202 วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:41:44 น.  

 
อิอิ มารอดินเนอร์ด้วยอีกคนคะ


โดย: เดน่า (แสนดีคนในพื้นที่ ) วันที่: 18 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:29:12 น.  

 
รู้สึกว่าจะมีหลุดพระเอกนอนในความมืดตอนที่ 6 นะ

"ชายหนุ่มสลัดเรื่องต่างๆออกจากหัวก่อนที่จะอาบน้ำเปลี่ยน เสื้อผ้าแล้วจมลงสู่นิทรารมย์ โยทะกาดิ้นเข้ามาใกล้ใบหน้าเล็กเกาะแขนของเขาไว้ละเมอพึมพำบางอย่างฟังไม่ ได้ศัพท์
ไฟในห้องปิดลงพร้อมกับรู้สึกสัมผัสนุ่มนิ่มอบอุ่นที่แขน"

อยากรู้ว่าหมอจะกินส้มตำข้างถนนไหวมั้ยอ่ะ


โดย: พี่หมูน้อย IP: 112.142.3.200 วันที่: 20 กรกฎาคม 2552 เวลา:2:05:49 น.  

 
เมื่อไรจะได้อ่านตอนต่อไปซักทีค่ะ รอหมอเอิงนานแล้วนะ คิดถึงหมอโรคจิต


โดย: auyu IP: 124.157.231.69 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:45:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.