หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
6 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
ความแค้นเป็นดังของหวาน...บทที่ 4 พี่ชาย


“พี่เอิง”
เสียงใสหวานหูดังขึ้นใกล้ๆ ชาลิดายืนยิ้มโบกดอกไม้สีสดในมือไหวๆ หญิงสาวสวมชุดสีขาวตัดกับสีสันอันหลากหลายของทุ่งดอกไม้
“สอง”
รังสฤษฏ์พึมพำ น้องสาวเขายังมีชีวิต รอยยิ้มสดใส
“พี่เอิงมาทางนี้สิคะ”
เสียงนั้นเรียกร้อง ชายหนุ่มไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนน้องสาวจะยิ่งไกลออกไป


“สอง”
เขาตะโกนเรียกสุดเสียง ร่างสูงใหญ่วิ่งตามจนหอบ
“สอง รอพี่ด้วย”
ร่างบางนั้นหยุดลงแล้ว ชายหนุ่มจับแขนบางของน้องสาว เย็นชืด ผิวสีคล้ำ ใบหน้าที่หันมานั้นเต็มไปด้วยเลือด!
สภาพของชาลิดาคือหลังอุบัติเหตุ ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยบาดแผล


“พี่เอิง ช่วยสองด้วย”
คนตายแล้วตัดพ้อ มือเปรอะเปื้อนเลือดประกบอยู่ที่ใบหน้าเขา


“ทำไมเอิง ไม่ช่วยน้อง”
เสียงนั้นแปรเปลี่ยนใบหน้ากลายเป็นใครคนหนึ่ง ผมดัดลอน แสยะยิ้มเห็นฟันขาวเป็นระเบียบ


เสียงนาฬิกาปลุกแผดดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้งลุกจากเตียง เขาฝันอีกแล้ว ฝันซ้อนๆกันเกี่ยวกับชาลิดา รังสฤษฏ์สะบัดศรีษะไล่อาการสะลึมสะลือ
นี่คงจะเป็นความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจ
เขาโทษตัวเองมาตลอดตั้งแต่ที่รู้ว่า น้องสาวมีร่องรอยของการทำมาแท้งสดๆร้อนๆ


น้องสาวผู้น่าสงสารของเขาเลือกวิธีการทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง
ชาลิดาคงอับจนหนทางจนเลือกเส้นทางนี้ แต่ที่น่าแค้นใจก็คือ คนที่พาหล่อนไป


ปฐมพงษ์! ผู้ชายขายตัวเลวๆที่หลอกล่อน้องสาวเขา
ถ้าเขารู้เร็วกว่านี้สักนิด ถ้าเขาไม่มัวแต่ยุ่งกับการบริหารงานโรงพยาบาล เหตุการณ์อย่างนี้มันคงไม่เกิดขึ้น


“คุณชานนท์นัดพบตอนสิบโมงเช้านะคะ”
เสียงอรอุมาเลขาของเขาบอก ชายหนุ่มยิ้มบางๆให้ แต่ในใจนั้นคิดค่อนแคะว่า จะมาอีกทำไมกัน!


ญาติฝั่งคุณแม่ยิ่งเพ่งเล็งเขา พวกนี้เหมือนปลิงที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อ หลังจากเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศเขาต้องพยายามเลือดตาแทบกระเด็นที่จะแย่งอำนาจบริหารโรงพยาบาลคืนมา คนพวกนั้นใช้ข้ออ้างเรื่องสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของเขา แต่รังสฤษฏ์ก็บริหารโรงพยาบาลจนดีเยี่ยมชนิดที่ญาติพวกนั้นพูดไม่ออก


“คุณหมอภาสกรโทรถามด้วยค่ะว่าจะนัดเลี้ยงรุ่นกันเมื่อไร”
ภาสกรเป็นหมอหนุ่มอนาคตไกลที่เป็นเพื่อนคนไทยในไม่กี่คนของเขาในเมดิคอลสคูลที่อเมริกา
ตอนนี้เพื่อนเป็นหมอดังและหมั้นหมายอยู่กับลูกสาวรัฐมนตรี
“บอกเขาไปว่าเดี๋ยวผมจะโทรกลับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ยังมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่าอีกเยอะ



ข้อตกลงของรังสฤษฏ์หมุนติ้วอยู่ในหัวโยทะการาวกับเทปเล่นซ้ำ
“เราจะอยู่ด้วยกัน ผมจะปกป้องคุณจากญาติที่จ้องจะเอาทรัพย์สมบัติ แล้วก็รอMercy Killingพี่ชายคุณ”
“เพื่ออะไร”
โยทะกาเสียงกร้าว มือที่เขาจับไว้แน่นนั้นพยายามบิดเกร็งหนีแต่ไม่เป็นผล


“ผู้ชายอยู่คนเดียว แล้วเขาต้องการอะไรจากผู้หญิงล่ะ เอาไว้บูชาละมั้งครับ ”
เสียงนั้นประชดประชัน ร่างบางตาวาว
“ไม่!”
หล่อนจะไม่มีวันยอมเขาแน่ ไม่มีวัน เขามุ่งจะทำร้ายคนเป็น...เช่นหล่อน และปองร้ายคนป่วยอย่างปฐมพงษ์



“คิดดูให้ดีนะครับ ญาติของคุณ เงินค่ารักษาพี่ชาย แล้วก็อะไรอีกจิปาถะ คุณจะเลือกอะไรล่ะ ทางที่มืดมนมองไม่เห็นอนาคตหรือ...การอยู่กับผม”
เขายิ้มวาวตาพราวระยับ แต่เด็กสาวเห็นเหมือนดวงตาของสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูมองเหยื่อมากกว่า


“ผมแค่อยากรู้ ว่าสายเลือดของผมจะหลงสายเลือดของคุณเหมือนน้องสาวผมกับพี่ชายคุณหรือเปล่า หลงจนตายตกไปตามกันน่ะเป็นยังไงผมอยากรู้”
“ก็ไปหาคนอื่นในนรกสิ อย่ามายุ่งกับฉัน!”
หล่อนตวาด หัวเริ่มปวดหนึบอีกแล้ว
“ได้ ถ้านรกนั้นมีคุณอยู่ ผมจะให้คุณตัดสินใจสามวันหลังจากนี้”


ไม่หรอก...โยทะกาจะไม่ยอมแพ้ แม้เขาจะกดดันสักเพียงใด หล่อนไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกและไร้เขี้ยวเล็บปานนั้น
ใบแจ้งค่ารักษาพยาบาลหล่อนถ่ายเอกสารแจกญาติทุกคน


“นี่เป็นค่ารักษาพยาบาลงวดแรกของพี่หม่อนค่ะ ไหมยืมเงินนอกระบบจ่ายไปก่อน”
ร่างบางโกหกคำโต ญาติไม่ได้รับเชิญมองกระดาษในมือแล้วซุบซิบกัน
“ก็เพราะอย่างนี้ไงโรงพยาบาลเอกชนมันแพง พวกน้าเลยจะให้ย้ายโรงพยาบาล”
เสียงหนึ่งแกล้งทำเป็นห่วงใย


“พี่หม่อน ไม่มีเงินเลยนะคะ คอนโดหลังนี้เป็นชื่อพี่หม่อนก็จริงแต่คนซื้อให้เป็นผู้หญิง”
หล่อนเอ่ยชื่อผู้มีอิทธิพลรายหนึ่ง ผู้หญิงคนที่ว่าเป็นภรรยาเก็บ และผู้มีอิทธิพลที่หล่อนอ้างถึงก็มีเรื่องข่าวหึงหวงผู้หญิงบ่อยครั้ง


“พวกน้าไม่เคยเห็นเหรอคะ เขามาเยี่ยมที่โรงพยาบาลด้วย บอดี้การ์ดออกจะเพียบ”
โยทะกาโกหกตาใสแจ๋ว ญาติหลายคนแสดงท่าทีแขยงออกมาอย่างชัดเจน


“ไหม หนูก็พูดไป มันจะเป็นไปได้ยังไง เรื่องระหว่างหม่อนกับผู้หญิงคนนั้นมันนานมาแล้วนะ”
หลายคนยังไม่ยอมแพ้ แต่โยทะกาเตรียมแผนเสริมไว้แล้ว
“พวกน้าๆมาก็ดีแล้วค่ะ หนูมีอะไรจะให้ดู”
เด็กสาวหยิบสมุดบัญชีของพี่ชายมาให้ดู ตัวเลขในบัญชีเหลืออยู่ไม่กี่พัน


“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่หม่อนเอาไปใช้อะไร ไม่เหลือเลย แค่ค่ารักษาก็หมดแล้ว แต่ก็ดีที่พวกน้าๆอุตส่าห์มาเยี่ยม จะได้อุ่นใจว่าไม่ลำบากเรื่องเงินทอง”
หล่อนพูดออกมาตรงๆ ทำเอาหลายคนเอามือทาบอก


“ถ้าย้ายพี่หม่อนไปโรงพยาบาลรัฐก็ดีเหมือนกัน หนูกับพวกน้าๆจะได้ผลัดกันมาเฝ้าพี่หม่อน จะได้ไม่เหงา”
สีหน้าหลายคนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด โยทะกาเหยียดยิ้มในใจ คงยืดเวลาหาทางหนีทีไล่ได้สักพัก


ไม่เสียแรงที่หล่อนไหว้วานรุ่นพี่ให้ทำของปลอมพวกนี้มาให้ เสียเหล้าเซ่นไปหลายขวด
แม้จะปลอมได้ไม่เหมือน แต่สำหรับคนพวกนี้แล้ว ความโลภมันคงบังตาเสียจนดูไม่ออกแน่


รังสฤษฏ์นิ่วหน้ากับข่าวที่ได้รับ ญาติของโยทะกาล่าถอยไปแล้ว เด็กสาวเก่งกว่าที่คิด
เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง เจ้าเล่ห์จนน่ารังเกียจ ...แต่ไม่เป็นไร เขามีแผนสอง


หญิงสาวแต่งกายสดสวยเดินนวยนาดมาตามทางเดินของโรงพยาบาล จนมาถึงห้องคนไข้พิเศษป้ายชื่อของปฐมพงษ์เด่นหราอยู่
โยทะกามาเยี่ยมพี่ชายที่โรงพยาบาลตอนเที่ยง วันนี้หล่อนมีเรียนตอนบ่ายสอง เด็กสาวจัดตารางชีวิตของตัวเองเสียใหม่ ใช้ชีวิตไปมาระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล


หน้าห้องของพี่ชายมีกลุ่มคนชุดดำ เด็กสาวใจไม่ดีด้วยคิดว่าจะต้องมีเหตุเกิดขึ้นกับพี่ชายแน่
ร่างบางรีบสาวเท้าเข้าไปแต่ทว่า ร่างสูงใหญ่ในชุดขาวก็ดึงมือหล่อนไว้ก่อน


“ปล่อย”
หล่อนพยายามดิ้นหนี แต่รังสฤษฏ์ก็ลากหล่อนไปที่ซอกมุมลับตาคนจนได้
“อะไร! ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปดูพี่หม่อน”
“อย่าเข้าไปตอนนี้ เดี๋ยวเป็นเรื่อง”
เด็กสาวยิ่งร้อนใจ เกิดเรื่องอะไรกับพี่ชาย?


“แฟนเก่าของพี่ชายคุณมา”
เขาบอกเสียงเรียบ หล่อนนิ่วหน้า พี่ชายหล่อนไม่เคยมีคนที่เรียกว่าแฟนจริงๆสักคนเลยนี่…


“แล้วแฟนคนปัจจุบันของแฟนพี่ชายคุณเขาตามมา เลยเกิดกรณีหึงกันเล็กน้อย”
เขาหัวเราะหึๆ ร่างบางเบิกตาโพลง เรื่องมันคุ้นๆเหมือนเรื่องที่หล่อนเคยโกหกญาติไว้
เรื่องหลอกกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง


“ผู้ชายเวลาหึงแล้วน่ากลัวนะ ไม่พูดมาก แต่คลั่งเลยละครับ คุณว่าไหม”
ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาใกล้ดวงตานั้นเป็นประกายระยิบระยับ
“ถ้าคุณเข้าไปตอนนี้ไม่ดีแน่ ว่าแต่มาพูดเรื่องคำตอบดีกว่า วันนี้วันที่สามแล้วนะครับ”


“ไม่! แล้วฉันก็ไม่มีวันเป็นของคุณ”
โยทะกาเสียงลอดไรฟัน รังสฤษฏ์รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไรแผนสองยังไม่จบ


การก่อกวนเล็กน้อยและปล่อยข่าวของปฐมพงษ์ออกไปทำให้โจษเก่ามากันให้พรึ่บไปหมด โดยมากจะเป็นผู้ชายที่โดนผู้หญิงของตนเองนอกใจมาหาปฐมพงษ์ อย่างรายวันนี้ก็จัดอยู่ด้วย แต่ที่เขาเตรียมไว้ไล่ต้อนหล่อนนั้นมันน่าสนุกกว่านั้น ในเกมโอเทลโล่การวางแผนรบดักทางที่ฝ่ายตรงข้ามจะเดินต่อนั้นสำคัญ


เขาไม่ชอบเล่นเกม ถนัดอ่านหนังสือมากกว่า แต่ถ้าได้เล่นไปสักพักเขาก็ดักทางเกมออก
รูปแบบจะซ้ำๆกัน รวมถึงเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วย


โยทะการูสึกเหมือนมีคนตามอยู่ตลอดเวลา คราแรกหล่อนคิดว่าตนเองประสาทไปเอง แต่เมื่อได้รับคำยืนยันจากคนรอบข้างหล่อนก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง


“คุณไหม มีคนมาถามเรื่องคุณไหมกับคุณหม่อนด้วยล่ะ แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรไป”
รปภ.ของคอนโดวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกก่อนที่หล่อนจะขึ้นลิฟท์
“ท่าทางไม่น่าไว้ใจนะคุณไหม ผู้ชายชุดดำทั้งนั้น”
เด็กสาวแปลกใจระคนสงสัย ใครกัน? พลันใจก็กระหวัดถึงผู้มีอิทธิพลและอนุภรรยาที่เป็นคู่กรณีของพี่ชาย


เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น ร่างบางรีบไปรับสาย แต่เป็นเสียงเงียบ ไม่มีเสียงตอบ หล่อนจึงวางหู แต่สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และก็เหมือนเดิม เสียงเงียบ
“ใคร! ใครโทรมา! ถ้าไม่พูดฉันวางแล้วนะ”
เสียงเล็กแว้ดสุดเสียงแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบ โยทะกาดึงสายโทรศัพท์ออก


“พวกโรคจิต”
หล่อนคิดในใจ ทำไมตอนมีความทุกข์ เรื่องร้ายๆมันจึงได้ประดังประเดมากันหมด โยทะกานอนไม่หลับในคืนนั้นหูได้ยินแต่เสียงนาฬิกาในห้องดัง ติ๊กต๊อก...ติ๊กต๊อก...ติ๊กต๊อก


“ไหม แกเป็นอะไรหรือเปล่าหมู่นี้ดูโทรมๆนะ”
ปณตเพื่อนร่วมคณะและมีอาชีพเสริมแบบเดียวกับพี่ชายทักในบ่ายวันหนึ่ง
“เปล่า แค่เพลียๆเท่านั้นเอง”
หล่อนตอบเสียงเบาๆ ตอนนี้ใจไม่ดีเลย หล่อนห่วงไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พยาบาลบอกว่ามีญาติมาเยี่ยมปฐมพงษ์ กลุ่มชายชุดดำที่มาพร้อมกระเช้าดอกไม้สีแดงสด แดงราวกับเลือด…


เด็กสาวจำได้ว่าตนเองไม่มีญาติที่ท่าทางน่าสงสัยขนาดนั้น หล่อนสร้างหลักฐานไล่พวกนั้นไปแล้วนี่
“แกรู้จักคนที่ชื่อ…ไหม?”
หล่อนเอ่ยถามปณต เพื่อนทำท่าคิดสักครู่ก่อนจะเอ่ย


“คู่กรณีเก่าพี่หม่อน ผู้หญิงของเขามาติดพี่หม่อน เคยมาขู่พี่หม่อนที่ร้านหลายครั้ง”
โยทะกากลืนน้ำลายอย่างฝืดเผือ เรื่องขู่นี่ปฐมพงษ์ไม่เคยเล่าให้หล่อนฟังเลย
แล้วหล่อนจะทำเช่นไรดี กับผู้มีอิทธิพลที่มาวนเวียนอยู่รอบชีวิตตนเองและพี่ชาย สถานการณ์น่ากังวล
ทุกอย่างดูไม่น่าไว้ใจไปหมด โยทะการู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก


รังสฤษฏ์เดินไปตามทางเดินที่ขาวสะอาดของโรงพยาบาล ไฟสว่างจ้ากระทบแว่นที่เขาสวมเป็นแสงแวววาว


ชายหนุ่มมาหยุดยืนที่ห้องพักของปฐมพงษ์ โยทะกานั่งอยู่ที่นั่น หล่อนมาพูดคุยกับพี่ชายทุกวัน แม้ร่างนั้นจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองก็ตาม เด็กสาวเข้มแข็งกว่าที่คิด ทั้งที่เขาให้คนไปเล่นสงครามประสาทแล้วหล่อนยังนิ่งเฉยอยู่ได้
เหมือนวัชพืชฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่ตาย จนชายหนุ่มนึกหงุดหงิดเสียเอง


“พี่หม่อน พี่หม่อนรู้ไหมว่าตอนนี้อาจารย์ป้าที่พี่หม่อนนินทาตอนไปรับไหมที่โรงเรียน แต่งงานแล้วนะ
แต่งกับฝรั่งด้วย”
เสียงใสแหลมเล็กนั้น หัวเราะคิกคัก


“เพื่อนโทรมาเล่าให้ไหมฟัง ขำแทบตายล่ะพี่”
มือบางจับมือผอมแห้งเหี่ยวของพี่ชายเอาไว้ สายตานั้นมองด้วยความรักอย่างเต็มเปี่ยม
“ไหมเลยนึกถึงเรื่องขำๆที่พวกผู้หญิงในคณะชอบพูดกันว่า ยังมีความหวัง ฝรั่งอายุหกสิบยังแต่งงานกันได้ใหม่ ขอแค่ใจยังมีไฟอยู่”


“แต่ถ้าใจตกอยู่ในน้ำ จมลึก คงยากที่ไฟจะติด”
เสียงทุ้มนุ่มดังอยู่ข้างหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร


“หมอที่โรงพยาบาลนี้เสียมารยาทจังเลยนะพี่หม่อน แอบฟังคนอื่นพูด แล้วยังแทรกอีกต่างหาก”
ปากเล็กบางนั้นแขวะแต่ดวงตายังทอดมองพี่ชาย ชายหนุ่มขยับแว่นอันเป็นท่าทางเวลาคิดจะรับมือกับอะไรบางอย่าง


“ผมเป็นหมอเจ้าของไข้ ผมเคยบอกคุณแล้วว่าพี่ชายของคุณมีสภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่คุณก็ยังใส่รองเท้ากับสะพายย่ามสกปรกๆเข้ามาได้”


เขาวิจารณ์หล่อนซึ่งหน้าๆ วันนี้เด็กสาวใส่ชุดนักศึกษากระโปรงจีบรอบ รองเท้าผ้าใบมือสองลายพรางทหาร
ส่วนกระเป๋าย่ามเป็นของแฮนด์เมดที่ปฐมพงษ์ซื้อมาฝากจากเชียงใหม่ เพราะเป็นใบที่ชอบหล่อนจึงใช้มานานจนเก่าคร่ำคร่า


“ของพวกนี้ไม่ทำร้ายพี่ชายฉันมากเท่ากับใจสกปรกๆของใครบางคนหรอก ”
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆนานๆทีจะมีคนกล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขา เพราะภาพลักษณ์หมอที่แสนดีทำให้เขาแทบจะ
กลายเป็นเทวดาไปเสียแล้ว


“หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะครับวันนี้ คุณกลับได้แล้ว”
ร่างบางนิ่วหน้าหันมามองเขา ปรกติเวลาเยี่ยมมันยาวนานกว่านี้นี่นา หล่อนรู้ดีเพราะมาทุกวัน


“วันนี้มีคนมาเยี่ยมพี่ชายคุณเยอะ ผมเลยจะตรวจอย่างละเอียดใหม่”
เขาแกล้งบอกอ้อมๆเพิ่มความคลางแคลงใจให้หล่อนเข้าไปอีก โยทะกาหน้าเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณติดป้ายว่าห้ามเยี่ยมได้ไหม ให้เยี่ยมได้เฉพาะฉัน”


“เพราะ…”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจ เด็กสาวชั่งใจว่าจะพูดเรื่องความกังวลออกมาดีหรือไม่


“เหตุผลส่วนตัว ฉันอยากเข้าเยี่ยมพี่หม่อนได้คนเดียว”
หล่อนตัดสินใจไม่บอกดีกว่า คนตรงหน้านี้ไม่น่าไว้ใจมากกว่าใครทั้งหมด
ชายหนุ่มยิ้มจนตาหยี ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย


โยทะกาออกจากห้องปฐมพงษ์เวลาประมาณทุ่มครึ่ง พรุ่งนี้หล่อนมีเรียนแต่เช้าจึงต้องรีบกลับ
แต่พอเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกมึนศรีษะจนทรงตัวไม่อยู่แล้วสติก็วูบลง


เด็กสาวตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ห้องเปิดไฟสว่างจ้า ภายในห้องตกแต่งเป็นสีขาว
หล่อนรีบสำรวจเครื่องแต่งกายตัวเองทันที ยังอยู่ครบ... เสียงเปิดน้ำดังแว่วมาจากด้านหนึ่ง น่าจะเป็นห้องน้ำ


สักพักหนึ่งรังสฤษฏ์ก็เดินออกมา เขาอยู่ในชุดเสื้อคอป่านและกางเกงแพรจีน
“ตื่นแล้วเหรอ ล้างหน้าล้างตาซะ เดี๋ยวจะลงไปทานข้าว”
เขาบอกแค่นั้น แล้วเดินมานั่งที่เตียงข้างหล่อน โยทะกากระเถิบหนีตามสัญชาตญาณ


“ที่นี่ ที่ไหน คุณพาฉันมาได้ยังไง!”
หล่อนถามรัวเร็วใจเต้นตึกตัก ชายหนุ่มปรายตาดูอาการลนลานแล้วก็ยิ้ม
“คุณเป็นลม ที่โรงพยาบาล นอนน้อย ร่างกายขาดสารอาหาร โรงพยาบาลผมเตียงเต็ม
เลยพามาบ้านผม ก็เท่านั้น”
เด็กสาวสะดุ้งเฮือก บ้านของเขา บ้านของคนที่เกลียด โกรธแค้นพวกหล่อนอย่างกับอะไรดี


“รีบล้างหน้าล้างตาซะจะได้ลงไปกินข้าว ผมไม่อยากให้ใครมาตายในบ้านผม”
เขาพูดหน้าตายเสียงเรียบเฉย โยทะการีบยันกายลุกจากเตียงแต่ยังรู้สึกหัวหมุนติ้วๆอยู่


“ฉันจะกลับบ้าน”
“ผมมีเรื่องหนึ่งจะบอกคุณ ตอนนี้ญาติของคุณกำลังทำเรื่องจะมาเป็นผู้ปกครองของคุณอยู่นะครับ
ทั้งคอนโดและทรัพย์สินต่างๆ”
หล่อนวาบในใจเขารู้ได้ยังไง...


“สิ่งที่ชื่อว่าทรัพย์สมบัติมักหอมหวานเสมอ แล้วจะเป็นยังไงนะ ถ้าพวกเขาย้ายพี่ชายคุณไป สมบัติโดนถ่ายเท
การเป็นเด็กไม่บรรลุนิติภาวะนี่ไม่ดีเลยนะครับ”
เสียงเขาทุ้มนุ่มอบอุ่น แต่หล่อนรู้ในใจเขาไม่ได้อบอุ่นเหมือนน้ำเสียง
“คุณต้องการอะไร”


“ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง ในการเลือก ทางที่มืดมน ผจญกับญาติ ผจญกับโจษก์เก่าของพี่ชายคุณ
หรือว่าอีกทาง...”
โยทะกาเบิกตาโพลงไม่เข้าใจความคิดอันแสนวิปริตของคนตรงหน้า


“อยู่กับผม เป็นของผม แล้วพี่ชายคุณผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะรักษาให้ ญาติของคุณจะแตะคุณไม่ได้”
“แล้วคุณต้องการอะไรจากฉัน”


ชายหนุ่มยิ้มเย็น
“ผมแค่อยากรู้ว่าความรู้สึกหลงขนาดยอมตายตกไปตามกันน่ะมันเป็นยังไง น้องสาวผมรู้สึกยังไงเวลาอยู่กับคนสายเลือดเดียวกันกับคุณ”


“ไม่ใช่ว่าการแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟันหรอกเหรอ”
โยทะกากัดฟันกรอด เขายื่นหน้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายในอุ่นร้อน
“คุณจะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ คิดดูให้ดีนะครับ ระหว่างล้างหน้าในห้องน้ำ
คำตอบ…ให้คุณตอบผมหลังออกมา ผมว่ามันแฟร์ดีกับทุกฝ่าย”


โยทะกาเอามือรองน้ำมาลูบหน้าแล้วดูตัวเองในกระจก เด็กสาวดูซูบและผอมลงไปมาก ตั้งแต่เด็กมาหล่อนกับพี่ชายไม่มีอะไรเหมือนกันเลย


ปฐมพงษ์รูปหล่อพูดเก่งเจ้าเล่ห์ ขณะที่หล่อนไม่ช่างพูด ชอบวาดรูป และอยู่ในโลกส่วนตัว รูปร่างหล่อนเล็กแคระแกร็นสูงเพียงหนึ่งร้อยสี่สิบห้า ตาโตหูกางหน่อยๆจนต้องซอยผมสั้นเพื่อปิดหู


ญาติเคยซุบซิบกันว่าสาเหตุที่หล่อนมีร่างกายเช่นนี้เพราะแม่ต้องการไม่ต้องการให้หล่อนเกิด
จึงใช้ยาขับออก แต่หล่อนดวงแข็งจึงรอดมาได้ จนหมอขู่ผู้เป็นแม่ว่าหากจะทำแท้งครั้งนี้คนที่จะตายไม่ใช่หล่อนคนเดียวแต่หมายถึงแม่ด้วย


หล่อนเกิดมาได้ไม่เท่าไหร่แม่ก็เสียชีวิตเพราะโรคร้าย แม่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวโดยมีเพียงเพื่อนร่วมอาชีพไปร่วมพิธีศพ หล่อนกับพี่ชายถูกแยกกันไปเลี้ยงโดยญาติ


จะเรียกว่าเลี้ยงก็ไม่ถูก เรียกว่าไปเป็นคนใช้มากกว่า ถ้อยคำเสียดสี ประชดประชันเกี่ยวกับชาติกำเนิดและชีวิตในภายภาคหน้าดังอยู่เนืองๆ


‘แม่เป็นยังไงลูก ก็คงเป็นอย่างนั้น นี่ไอ้หม่อนพี่ชายมันก็หนีออกจากบ้านญาติไปแล้ว ใจแตก เสียคน’
พี่ชายหนีออกจากบ้านญาติเมื่ออายุครบสิบห้า มีเพียงจดหมายบอกว่าสบายดี จดหมายที่ญาติเปิดอ่านก่อนทุกครั้ง


‘พี่ชายเราน่ะเขาส่งเงินมาให้ เดี๋ยวน้าพาไปเอาเงินที่ไปรษณีย์’
แต่ทว่าเงินที่ตกมาถึงหล่อนนั้นมีเพียงน้อยนิด ด้วยเหตุผลที่ว่า
‘เดี๋ยวน้าเก็บให้ก่อน ไหมเป็นเด็ก เดี๋ยวทำเงินหล่นหาย’
แต่วันนั้นหล่อนเห็นผู้เป็นญาติซื้ออาหารมากมายมากินกันภายในครอบครัว


โยทะกาในวัยเด็กเห็นพฤติกรรมของผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นญาติแล้วก็ยิ่งเก็บตัว พูดน้อย
วันๆเอาแต่ทำงานบ้านและอ่านหนังสือ หล่อนชอบวาดรูป เขียนโน่นเขียนนี่ตลอด


จนกระทั่งวันหนึ่งก่อนจะจบป.หกญาติบอกว่าจะไม่ส่งหล่อนเรียนอีกแล้วจะให้อยู่ช่วยทำงานบ้านเต็มตัว


เด็กหญิงโยทะกานอนร้องไห้จนน้ำตาชุ่มหมอน หล่อนร้องไห้คิดถึงพี่หม่อน ร้องไห้ให้กับอนาคตอันมืดมนของตนเอง


และในเช้าวันต่อมาปฐมพงษ์ก็มารับหล่อนออกไปจากบ้านญาติ สองพี่น้องเช่าห้องเล็กๆอยู่ในซอยแถวย่านดินแดง หล่อนได้เรียนหนังสือ พอๆกับที่รู้ว่าพี่ชายทำงานบาร์


‘มันเป็นงานสุจริต แม้ว่าจะไม่สะอาดในสายตาคนอื่น แต่เราไม่ได้ทำให้ใครตาย’
พี่ชายมักจะบอกเสมอ โยทะกาเห็นด้วย


ทั้งหล่อนและพี่ชายผ่านวันเวลาอดมื้อกินมื้อมาด้วยกัน หลังเลิกงานพี่ชายมักจะซื้อของกินมาให้หล่อนเสมอ
และหล่อนถ้ามีอาหารพิเศษจากโรงเรียนถ้าสามารถเก็บไว้ได้หล่อนก็จะเก็บไว้กินกับพี่ชาย


พี่ชายมักจัดหาของที่ดีที่สุดให้หล่อน ของเหล่านั้นล้วนมีราคาแพง โยทะกาเกรงใจพี่ชายจึงไม่ค่อยขออะไร
แต่กระนั้นปฐมพงษ์ก็เดาหล่อนออกเสมอ เด็กสาวยิ่งรู้ซึ้งถึงความรักของพี่ชายก็ตอนที่หล่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย หล่อนตั้งใจจะสอบเข้าคณะที่จบออกมาแล้วหางานง่าย ได้เงินดี แต่พี่ชายกลับค้านและให้หล่อนเลือกเรียนสถาปัตย์


‘ออกแบบบ้าน ออกแบบตึก มันเท่ดีออก’
พี่ชายหัวเราะร่วน
‘อีกอย่างพี่จะได้ยืดเสียหน่อย ว่าน้องสาวเรียนเป็นสถาปนิก’
มือใหญ่ของพี่ชายมาขยี้ศรีษะเล็กๆ พี่ชายรู้ทันหล่อนอีกตามเคยว่าอยากเรียนคณะนี้ แต่เพราะคะแนนสอบเข้าที่สูงและค่าใช้จ่ายที่แพง แถมใช้เวลาเรียนนานหล่อนจึงไม่กล้าเอ่ยปาก


แต่แล้วเมื่อผลสอบออกมาหล่อนสอบไม่ผ่าน โยทะกาเสียใจนิดหน่อยแต่ก็เลือกที่จะเรียนมหาวิทยาลัยเปิดแทน พี่ชายกลับไม่คิดว่าอย่างนั้นแต่กลับจัดแจงพาหล่อนไปสมัครเรียนคณะสถาปัตย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนอันแสนแพง


‘การศึกษาคือการลงทุน ไหมเรียนไปเถอะอย่างที่ชอบเถอะ ถ้าเกรงใจพี่ล่ะก็เรียนให้ดีๆ จบไวๆละกัน’
หล่อนจำได้ว่าวันนั้นกอดพี่ชายไว้แน่น น้ำตาซึม พี่ชายเป็นทุกอย่างของหล่อนจริงๆ


คนที่มีสายเลือดใกล้เคียงกันและเข้มข้นจนเกือบจะเป็นคนๆเดียวกันคือพี่ชายหล่อนนี่แหละ
โยทะกาสาบานกับตัวเองว่าถ้ามีอะไรที่จะทำเพื่อพี่ชายได้ หล่อนจะทำ แม้มันต้องแลกด้วยชีวิต


พี่ชายยอมทำงานแลกศักดิ์ศรีขายตัวเพื่อหล่อน ถ้าเช่นนั้นหล่อนนั้นเล่าจะไปสนใจอะไรกับมัน
พี่ชายทำเพื่อหล่อน ปกป้องหล่อนมามากพอแล้ว คราวนี้เป็นตาของโยทะกาบ้าง
หล่อนจะปกป้องทั้งชีวิต และทรัพย์สมบัติต่างๆของพี่ชายไว้เอง


“พี่ชายฉันมีสิทธิ์จะหายไหม คุณยืนยันได้หรือเปล่า”
เสียงหล่อนนิ่งสงบเมื่อออกมาเผชิญหน้าเขา ชายหนุ่มขยับแว่นแล้วยิ้มละไม


“จากผลรายงานทางการแพทย์เคยพบเคสว่าผู้ป่วยหายจากอาการนี้เหมือนกัน แต่เป็นเคสบายเคส
ต้องดูปัจจัยหลายอย่าง”
“นานเท่าไร”


“ครับ”
ชายหนุ่มเอียงคอทอดสายตามองร่างเล็ก
“นานเท่าไรที่ฉันต้องอยู่กับคุณ”


“นานตราบเท่าที่ผมยังรักษาพี่ชายคุณจริงไหมครับ ยุติธรรมดี”
เขายื่นหน้ามาใกล้จนหล่อนได้กลิ่นสบู่ฆ่าเชื้ออ่อนๆจากเขา
“คำตอบละครับ”
เสียงนั้นยั่วล้อจนหล่อนฟังแล้วพาลหงุดหงิด แต่เด็กสาวไม่ตกหลุมการล่อหลอกของเขาหรอก
“ตกลง”


“งั้นก็...ถอดสิครับ”
รังสฤษฏ์เข้ามาใกล้ กระซิบข้างหู โยทะกาขนลุกเกรียว มือขาวใหญ่ของเขามาลูบที่ใบหน้า
ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดต้นคอ หล่อนคอแข็ง กลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝือ
“ไหน คุณบอกฉันว่าให้ล้างหน้าล้างตาแล้วจะไปกินข้าวยังไงล่ะ”


“ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ มีอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าอาหาร การซื้อขายน่ะต้องได้เห็น ได้ลองใช้สินค้าก่อน
ถึงจะดีจริงไหมครับ”
เขาหัวเราะหึๆ


“หรือว่าจะให้ผมถอดเอง แต่ว่าถ้าจะให้ผมถอดให้ ผมค่อนข้างใจร้อนกับเรื่องพวกนี้ด้วยสิ
บางทีเสื้อผ้าคุณอาจจะขาด”
ไม่พูดเปล่า มือใหญ่นั้นยังค่อยๆแตะไล่ไปตามกระดูกไหปลาร้า มือเขาเย็นเยียบ แม้จะอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำแต่ใจหล่อนกลับรู้สึกร้อนจนเหงื่อซึม



“คุณจะทำหรือจะให้ผมทำ…”
เสียงนั้นเร่งเร้า โยทะกาสูดลมหายใจเรียกสติเข้าปอด มองเขม็งไปที่ดวงตาของเขา
แววตาสีคมกล้าที่ลอดแว่นออกมาของเขานั้นช่างแฝงความเย้ยหยัน
มือเล็กผอมบางค่อยปลดกระดุมเสื้อตัวเองทีละเม็ด…ทีละเม็ด…


++++++++++จบบทที่4



Create Date : 06 พฤษภาคม 2552
Last Update : 6 พฤษภาคม 2552 2:22:03 น. 1 comments
Counter : 178 Pageviews.

 
145 cm....that's so tiny..
I tried to think about girl that height 145 cm.
Hardly see at this time.
Love to read yr story kha....


โดย: Natee IP: 70.183.186.42 วันที่: 7 พฤษภาคม 2552 เวลา:5:05:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.