หรือเพราะเกิดมาคู่กัน....
มีเหตุให้เดินทางไกลอีกแล้วครับ , คราวนี้ไปไกลถึงนครศรีธรรมราช เพราะเกิดการ "เสียชีวิต" ของคนคู่หนึ่ง--น้าเขย และน้าแท้ ๆ (น้องสาวแม่)
ทั้งคู่ -- พบรักกันยังไงไม่ทราบได้ , รู้แต่เพียงว่า ฝ่ายชายเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน ฝ่ายหญิงเป็นสาวชาวบ้าน (คงพบรักขณะเจ้าพนักงานที่ดินมาปฏิบัติงาน) ณ พื้นที่ริมคลองการะเกด
เพราะข้าราชการย้ายบ่อย ฝ่ายหญิงจำเป็นต้องย้ายที่พำนักจากการะเกด ไปอยู่หาดใหญ่ ครองเรือน ใช้ชีวิต มีบุตรและธิดา 4 คน
กระทั่งวัยล่วงเลยมากว่า 65 ปี , ฝ่ายหญิงป่วยด้วยโรคเบาหวาน ขณะที่ฝ่ายชายไม่ป่วย -- แต่เป็น "แอลกอฮอลิค"
ระหว่างวัน (เท่าที่ผมประสบกับตัวเอง และจากคำบอกเล่า) ทั้งสอง "ปะทะคารม" (อันนี้ไม่ใช่การทะเลาะนะครับ) แน่นอน เจ้าพนักงานที่ดินก็นั่งนิ่งฟังเสียงบ่นเมื่อเมาโยกเยกกลับเข้าบ้าน และเมื่อสิ้นเสียงบ่น --- "เอาตังค์มาซื้อเหล้าหน่อย" และเค้า--ก็ได้เงินไปซื้อเหล้า 1 ขวด
ถามว่า "เกลียดมั๊ย" ตอบว่า "ไม่เกลียด" ถามว่า "โกรธมั๊ย" ตอบว่า "ไม่โกรธ" ถามว่า "เบื่อมั๊ย" ตอบว่า "ไม่เบื่อ"
คำตอบที่พ่วงมาอีกข้อ "เราต้องดูแลกัน" แม้จะถกเถียงกันขนาดไหน สุดท้ายแม่บ้านก็ต้องเข้าครัว ทำกับข้าว ปรนนิบัติผู้เป็นสามีแบบไม่ขาดตกบกพร่อง --- แม้แต่น้อย
และเบาหวาน ทำให้ร่างกายอันตุ้ยนุ้ยของน้าผอมลงเกือบสลิม , และเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีที่ต้องนั่งรถไปจากหาดใหญ่มากรุงเทพฯเพื่อรับยาและหาหมอ , แต่การรรักษา และ "ยา" ไม่ได้ช่วยให้โรคภัยไข้เจ็บทุเลาลงแต่อย่างใด กระทั่งวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมาอาการทรุดหนัก ระดับต้องเข้าไอซียู.
เมื่อคนหนึงป่วย - อีกคนหนึ่งเจ็บ เหมือนมีบางอย่างรับรู้ถึงกัน , อีกคนนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล--อีกคนนอนเจ็บอยู่บนเตียงไม้,ที่บ้าน ข้าวปลาไม่แตะ แม้ลูกสาวจะทำอาหารที่โปรดปรานที่สุดก็ตาม
กระทั่งเมื่อเย็นวันที่ 14 (ถัดมาอีก 3 วัน) ร่างของคนบนเตียงไม้ ไม่ไหวติง ขณะที่ลูกสาวกลับมาถึงบ้านหลังจากไปดูแม่ที่โรงพยาบาลแล้วต้องกลับมาทำอาหารให้พ่อพบว่า "พ่อ" ไม่มาเปิดประตูรับเธอดังเช่นทุก ๆ วัน
ร่างนั้นเย็นเฉียบ แต่ยังหายใจ -- และเหมือนจะพูดอะไรออกมาเป็นคำสุดท้าย เขาก็จากครอบครัวไปอย่างสงบในอ้อมแขนของลูกสาว
พิธีศพ,ดำเนินไปตามแบบอย่างประเพณีไทย ศพถูกนำไปตั้งที่วัดหาดใหญ่ใน และเผาในอีก 3 วันต่อมา
ซึ่งในเวลาเดียวกันกับร่าง "เจ้าพนักงานที่ดิน" กำลังลุกไหม้อยู่ในกองเปลวเพลิง , อีกด้านก็กำลังหมดลมหายใจอย่างช้า ๆ
--------------------------
ผมเดินทางออกจากบ้านย่านเมืองทองธานีราว ๆ 8 โมงครึ่ง แวะส่ง "หมู" ที่ "ทีโอที." และแวะรับ "พี่ชายคนโต" ตรงด้านหน้าทีโอที. เราสองคนอยู่ในชุดสีดำทั้งคู่ , พูดคุย สนทนากันตามประสาพี่น้อง ทั้งเรื่องราวของ "น้าและน้าเขย" เรื่องราวของชีวิตที่เราไม่มีโอกาสได้สนทนากันเท่าไหร่นัก
จากหลักสี่ ลังเลว่าจะใช้เส้นทางไหน เช้า ๆ แบบนี้ ขึ้นทางด่วนลงพระรามสอง รถติดแน่ ตัดสินใจข้ามสะพานพระราม 4 ตรงปากเกร็ด แล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ด้วยการอาศัยความทรงจำเก่า ๆ เพื่อหาทางออกไปทางบางแค เข้าพระรามสอง --- สุดท้ายเราก็แวะกิน "ต้มเลือดหมู" เป็นมื้อเช้าที่แม่กลอง
โทรศัพท์หา---หมู "ถึงแม่กลองแล้ว--แวะกินข้าว" ผมบอกขณะสั่งเกาเหลาข้าวเปล่า "โห....ขับเร็วนะยะ"
"ก็พี่ไม่รู้ว่ามันเร็วแค่ไหนนี่หว่า...ก็น้องเหลืองสายไมล์ขาด----555" แล้วก็กินต่อ
ออกเดินทางต่อ...ความเร็วไม่รู้ รู้แต่ว่า ประมาณ 4,000 รอบ (ก็ราว ๆ 120 -140 กม.ต่อ ชั่วโมง) ขับไป แวะกินกาแฟ และแวะปั๊ม...สุดยอดส้วม
เกือบ ๆ บ่ายสามแวะกินข้าวแถวชุมพร---แวะอีกปั๊ม
ประมาณ 6 โมงแวะรับพี่ชายคนรองที่สุราษฎร์....เพราะตามประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาของคนใต้ งานบุญงานประเพณีเลี่ยงได้ แต่ "งานศพ" เลี่ยงไม่ได้ , เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศหากไม่ติดขัด หรือ ไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย...ถ้ารู้ข่าว---ต้องไปงาน
กว่าจะออกจากสุราษฎร์ก็ตอนสองทุ่มขับรถฝ่าสายฝนท่ามกลางความมืดดดดดดดดดด....ถึงนครศรีธรรมราชตอนประมาณ 4 ทุ่ม แวะกินข้าวต้ม (ฟรี) ที่นครฯ
และเราก็ออกเดินทางอีกครั้ง...
จากตัวเมืองนครฯมุ่งหน้า ต.การะเกด ระยะทางประมาณ 40 กิโล,แต่ผมประเมินน้ำมันในถัง...ไม่น่าจะวิ่งถึง แต่ก็หวังน้ำบ่อหน้าว่า ข้างหน้าน่าจะมีปั๊ม แต่ไม่มีครับ...
พวกข้างหลังคุยกันสนุกสนาน---เข็มวัดเริ่มตกลงมาที่ขีดแดง ถนนข้างหน้าก็มืด .... และมืด ซักพักวิ่งผ่านปั๊ม ปตท.แต่ปิด เปิดแต่ 7-11 ..... ระหว่างวิ่งไปในความมืด...ผมไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่น นอกจากพึมพัมอยู่ในใจ
"น้านาง...ยังไงก็ขอให้พวกเราไปถึงวัด...ขอแค่น้ำมันร้อยเดี่ยวเราก็ไปถึงแล้ว...." หลังพึมพัมในใจจบ...รถวิ่งลับโค้ง เราก็เห็นปั๊มน้ำมันเล็ก ๆ ยังเปิดอยู่----ผมควักเงินเติมไป 500
-----------------------
"หรือเพราะเค้าเกิดมาคู่กันนะแม่...." ผมถามแม่ในขณะที่เรานั่งคุยกันบนม้าหินริมคลองการะเกด... "แม่ก็ว่างั้น" แม่พูดแค่นั้น ก่อนนั่งเงียบมองดูสายน้ำเบื้องหน้า สายน้ำที่สมัยเด็กผมเคยลงเรือจากท่าเรือที่บ้านยายเพื่อไปตลาด "หัวหนน" ตลาดเล็กที่ตั้งอยู่ตีนสะพานข้ามคลอง -- ปัจจุบัน แม้สายน้ำยังคงไหลเอื่อย แต่ดูเหมือนมันไม่มีชีวิต , ผู้คนสัญจรกันบนถนนมากกว่าการใช้เรือ , ขณะที่เขือน "ปากพนัง" ก็ทำให้บางอย่างสองฝั่งน้ำหดหายตามไปด้วย
------------------------- น้านาง---เป็นน้องสาวคนเดียวของแม่ , ขณะที่น้องชายอีกคนเพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อปลายปีที่แล้ว การสูญเสีย 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน บางครั้งก็ทำให็หญิงแกร่งวัย 75 ปีอย่างแม่ผมก็ไม่อาจเก็บความเสียใจเอาไว้ได้ เพราะแม้แม่จะไปวัดชลประทานฟังพระเทศน์เกือบทุกอาทิตย์ว่า "ชีวิต" มีเกิด มีตาย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็ตาม
"คนเกิดมาคู่กันก็แบบนี้...ตอนมาก็มาพร้อมกัน , ตอนไป ก็ต้องไปด้วยกัน" แม่ว่า....
ผมประคองแม่ไปที่ศาลาตั้งศพ...ปล่อยให้แกนั่งอยู่กับลูกหลานก่อนที่ผมจะเดินไปสมทบกับญาติพี่น้องตรงศาลาริมน้ำที่ตั้งอยู่หลังกฏิเจ้าอาวาส... ตรงนั้นมีวง----รีเจนซี่...
------------------------------------
เรื่องราวของทั้งคู่ อาจมากว่า "ความรัก" หรือ "ความผูกพัน" ผมมองว่ามัน "ข้ามพ้น" ทั้งสองเรื่องนั้นไปก็เมื่อรู้ว่า ในช่วงเวลา 5 โมงเย็นตอนจุดไฟเพื่อเผาร่างของหน้าหวัด---น้านางที่นอนนิ่งไม่ไหวติงที่โรงพยาบาลก็ค่อย ๆ หมดลมหายใจไปอย่างสงบ , ประเด็นนี้ไม่อยากค้นหาคำตอบให้ยุ่งยากว่าเป็นไปได้อย่างไร ,หลายคนในงานศพต่างพูดถึงโชคชะตาบางอย่างในเชิงลบ ประมาณว่า "ตายพร้อมกันที่เดียว 2 คน" , แต่สำรับผม และพี่น้องในตระกูลแห่ง "บ้านการะเกด" กลับมองไปอีกทิศทางหนึง
"น้าหวัด--ต้องมีน้านางคอยดูแลตลอดเวลา...แม้กระทั่งต้องตามไปดูแลกันบนสวรรค์ก็ตาม"
....................
Create Date : 27 พฤษภาคม 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 17:22:39 น. |
Counter : 745 Pageviews. |
|
|
|