|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
บทสัมภาษณ์ วอลเตอร์ ซลอชส์ สงบสยบเคลือนไหว นิ่งประดุจดังเหยี่ยวถลาลม
ในช่วงภาวะตลาดเป็นขาลงนักลงทุน VI คงมีงานทำกันเยอะไล่เก็บหุ้นกันเป็นพัลวัน คำนวณ ค่าเผื่อความปลอดภัยกันวุ่นวาย ช่วงตลาดขาขึ้นหลายคนก็คงง่วนกับการขาย และคงกำลังสับสนระหว่าง “ขาย” และ “ถือ” ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ควรทำกันแน่?
แต่พอดีไอ้คน “ดื้อ” อย่างผมมันตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ขายตลอดชีวิต โดยมีข้อแม้คือ 1) Odd ของการลงทุนไม่ลดลง และ 2) มีการกระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล ฟังดูแล้วอาจมีแนวทางแตกต่างจากหลายท่านอื่น ๆ แต่ทั้งสองข้อ มีรายละเอียดมากทีเดียว โดยอ้างอิงจากหนังสือหลายเล่ม บวก ประสบการณ์ส่วนตัว ผมตั้งใจจะเขียนไว้เป็นบทความต่อไป
ดังนั้น ช่วงหุ้นขึ้น ก็เลยยิ่งต้องทำการบ้านหนัก แต่ไม่ได้ทำการบ้านเรื่อง “ขาย” หรือ “ถือ” นะครับ ผมทำการบ้านหนักเรื่อง “ซื้อ” เพราะในช่วงนี้มันซื้อยาก แต่ก็ไม่แน่ครับ เบนจามิน เกรแฮม บอกว่าจังหวะการซื้อมีทุกเวลา ไม่ใช่เฉพาะภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยเท่านั้น
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมใช้เวลาก็คือ อ่านหนังสือและบทความของครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือ ในเชิงลงทุน หลาย ๆ คนในนั้นคือ Walter Schloss เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักเค้าดีอยู่แล้ว ลองมาฟังมุมมองของเค้ากัน บทสัมภาษณ์นี้เค้าได้สัมภาษณ์ไว้กับนิตยสาร Forbes เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2551 ครับ
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี Schloss ยึดมั่นในแนวทางของตนเองมาตลอด บัฟเฟตต์เคยพูดว่า ตัวเค้าเองไม่มีอิทธิพลกับ Schloss มากนัก และจนถึงวันนี้ จนวัยเข้าสู่เลข 9 ผมเชื่อว่า Schloss เองก็ยังยึดมั่นในแนวทางของตนเองอยู่
......................................................................................................................................................................................
เรียบเรียงเฉพาะเนื้อหาจากต้นฉบับ (มิใช่แปลตามตัวอักษร) จาก Forbes Magazine dated February 11, 2008
“จนย่างวัยเข้าเลข 9 แล้ว ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมงานกับอาจารย์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีท เบนจามิน เกรแฮม และผู้ชายที่เพื่อนของเค้า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขนานนามให้เป็นสุดยอดนักลงทุน แม้จนปัจจุบัน เค้ายังคงยึดมันในแนวทางเดิม – การเลือกลงทุนในหุ้นที่ไม่มีใครเอา”
จนปัจจุบัน ซลอชส์ ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้ว 17 ครั้ง และเค้าก็ทำรายได้นับครั้งไม่ถ้วนจากมัน อะไรจะเกิดกับเศรษฐกิจในวันข้างหน้า ไม่ใช่สิ่งที่เค้าจะต้องกังวล
เค้ากล่าวว่า “ผมนิยมในหุ้นราคาถูกเช่น บริษัทผลิตล้อรถยนต์ในสภาวะดิ้นรนเอาตัวรอด หรือบริษัทเฟอร์นิเจอร์ที่กำลังขาดทุน”
คุณลุงคิ้วหนาคนนี้ กำลังพูดในสิ่งที่ นักซื้อ-ขายหุ้นประเภทเงินด่วน รวดเร็วทันใจ ไม่มีวันเข้าใจแม้จนปัจจุบัน เค้าไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ เค้าดูราคาหุ้นจากหนังสือพิมพ์! ข้อมูลทางการลงทุนส่วนใหญ่เค้าได้รับทางไปรษณีย์ จากบริษัท Value Line
มันเป็นเกมส์ที่เค้าถนัด แม้นว่าเค้าจะเลิกบริหารเงินของคนอื่นแล้วตั้งแต่ปี 2546 แต่เฉพาะบัญชีของเค้าอย่างเดียว เค้าเป็นผู้จัดการของตัวเค้าเอง เค้าสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 16% ตลอดระยะเวลากว่า ห้าสิบปี (ปัจจุบันพอร์ทการลงทุนหลายล้านดอลลาห์ของเค้าภายใต้การดูแลของได้อยู่ในการควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ซึ่งอายุน้อยเพียง 30 กว่า)
ในยุคคอมพิวเตอร์ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว ลองมาฟัง ซลอชส์ พุดถึงแนวทางที่ “ง่าย” รูปแบบการลงทุนแบบธรรมดา ๆ แต่สำหรับ ซลอชส์ มันคือสิ่งกระตุ้นจิตใจตนเองที่ดี
“คุณลองดูนีสิครับ” ซลอชส์ ชักชวนให้ดูรายชื่อของ หุ้นที่มีผลงานที่แย่มาก ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์
หลังจากลาออกจากการทำงานกับเกรแฮม ตลอดระยะเวลาของการเป็นศิลปินเดี่ยว เค้าประพฤติประดุจเดียวกับพวก เฮดจ์ฟันด์ เค้าไม่คิดค่าบริหารกองทุน แต่เค้าจะหัก 25% จากกำไรที่ได้รับ เค้าไม่มีนักวิเคราะห์ผู้ช่วย ไม่มีแม้แต่เลขานุการ เค้าและลูกชายเค้า เออร์วินน์ (ซึ่งมาร่วมงานกับเค้าในปี พ.ศ. 2516) ทำงานในห้อง ห้องเดียวที่เต็มไปด้วยตารางและกราฟต่าง ๆ ของ Value Line
ในปี พ.ศ. 2525 สุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงของบัฟเฟตต์เรื่อง "The Superinvestor of Graham-and-Doddsville”
บัฟเฟตต์เล่าว่า ซลอชส์ จะเถียงชนิดหัวชนฝากับทฤษฎีเรื่อง ETF (Efficient Market Theory) สมมุติฐานของทฤษฎีนี้คือตลาดนั้นมีประสิทธิภาพและรับรู้ข้อมูลทั้งหมด ดังนั้นคำว่าหุ้นถูกไม่มีอยู่จริงในตลาดหลักทรัพย์ หรือมิฉะนั้นก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่สามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ
ถ้ามีใครสักคนถามเค้าว่ารู้สึกอย่างไรกับสมญานาม Super investor เค้าตอบว่า “อื้อ, ไอ้ผมก็แค่ลงทุนแล้วไม่อยากเสียเงิน”
นิสัยประหยัดมัธยัสถ์ ดูจะเป็นลักษณะประจำของเขา แอนนาภรรยาเค้าเล่าว่า ซลอชส์ พาเธอเดินรอบบ้านเพื่อปิดไฟที่ไม่ใช่ รวมถึงการที่เค้ามีเทคนิคพิเศษในการแกะแสตมป์ที่ไม่ใช่ออกจากซองจดหมาย “ผมจะต้องจ่ายเงินให้เปลืองทำไม?” ซลอชส์ กล่าว
Adam Smith เขียนเรื่องราวของ ซลอชส์ ไว้ในหนังสือคลาสสิคของเค้าเรื่อง Supermoney ว่า ซลอชส์ ทำให้เค้าประหลาดใจกับคำว่า “หุ้นก้นบุหรี่” ยกตัวอย่างเช่น Jeddo Highland และ New York Trap Rock
ซลอชส์ จากคำบอกเล่าของผู้เขียนเป็นผู้ที่มีบุคลิคไม่โดดเด่นอะไร ไม่ได้เป็นผู้แข่งขันในวอลล์สตรีทในปี พศ. 2473 ทุกวันนี้เค้าทำงานอยู่ในอพาร์ทเมนท์ในแมนฮัตตันภูมิใจกับเงินทุนของเค้าและมีความสุขแบบเรียบง่าย
“ดูเจ้าเหยี่ยวตัวนั้นสิ!” ซลอชส์ ชี้ให้ดูนกเหยี่ยวถลาลมอยู่เหนือเซ็นทรัลพาร์ค
บริษัทหนึ่งที่กำลังอยู่ในความสนใจด้วยวิธีการของซลอชส์ นั่นคือผู้ผลิตล้อรถ Superior Industries International ยอดขายสามไตรมาส ป่วยลงตามยอดขายของ GM และ Ford รายได้ตกต่ำในรอบห้าปี ซลอชส์หยิบ Value line ขึ้นมาดูในห้องรับแขก แล้วไล่นิ้วไปทีละบรรทัด แล้วมาสะดุดอยู่ตรงบรรทัดของหุ้นที่เค้าชอบ ขายอยู่ที่ 80% ของมูลค่าทางบัญชี มีปันผล 3% และไม่มีหนี้
“หลายคนกล่าวว่า ปีหน้าจะมีรายได้เท่าไร?”
สำหรับผม ผมโฟกัสที่สินทรัพย์ ถ้าหากคุณไม่มีหนี้ มันควรค่าพอที่จะทำอะไรได้ซักอย่างให้เกิดขึ้น
ซลอชส์หาบริษัทในอุดมคติโดยดูว่ามีส่วนลดจาก book value ไม่มีหนี้หรือมีน้อยมาก และผู้บริหารที่ถือหุ้นซึ่งนั่นจะทำให้เค้ามีสิทธิในการเป็นผู้ถือหุ้น ถ้าเค้าชอบหุ้นตัวนั้น เค้าจะซื้อน้อย ๆ ก่อน เพื่อที่จะได้ financial statements และ proxies เค้าอ่านเอกสารเหล่านั้น ให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่อยู่ใน footnotes คำถามนึงที่สำคัญมากสำหรับเค้า “ผู้บริหารซื่อสัตย์ ใช่หรือไม่ (หมายความว่าไม่โลภจนเกินไปใช่หรือไม่)” นั่นสำคัญกับเค้ามากกว่าผู้บริหารคนนั้นฉลาดหรือไม่
ผู้บริหารที่รันบริษัท Hollinger International เป็นคนที่ฉลาดแต่โลภ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุน
ซลอชส์ ไม่ได้เข้าใจธุรกิจของบริษัทดีตั้งแต่เริ่มและไม่เคยพูดคุยกับผู้บริหาร เค้าไม่เคยคิดมากเรื่องเวลา – ฉันซื้อที่จุดที่ถูกที่สุดรึเปล่านะ, ฉันขายจุดที่สูงที่สุดรึเปล่านะ หรือโมเมนตัม เค้าไม่เคยคิดถึงเรื่องเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่เค้าจะทำงานอยู่ระหว่างเวลา เก้าโมงเช้า ถึงสี่โมงเย็นครึ่ง หลังจากตลาดปิดครึ่งชั่วโมง
ซลอชส์ได้รับรางวัลในปี 1934 edition of Graham’s Security Analysis เค้าก็แค่พลิกผ่าน ๆ ทุกวันนี้มันยังติดอยู่ที่ผนังด้วยสก๊อตเทปสามอันในห้องเล็ก ๆ ที่เค้าทำงานเป็นเหมือน hall เล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยรูปตลก ๆ ของวอร์เรนบัฟเฟตต์ ใต้ภาพบรรยายบรรยายเกิยรติคุณโดยชื่อเล่นของเค้า Big Walt
ซลอชส์เปิดฉากชีวิตความเป็น นักล่าคุณค่าผู้มีชื่อเสียงครั้งแรกในงานประชุมประจำปีของผู้ค้าส่ง Marshall Wells มหาเศรษฐีในอนาคนนี้ได้อธิบายชัดถึงวิธีการของเค้า การคัดเลือกหุ้นตัวที่ซื้อขายกันที่ราคาต่ำว่า net working capital ( เงินสด, สินค้าคงคลัง และลูกหนี้ ลบ หนี้สินหมุนเวียน) นั่นเป็นตัวเลขที่โปรดปรานของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา Graham-Newman บริษัทที่ ซลอชส์ เข้าร่วมหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง บัฟเฟตต์เข้าร่วมบริษัทหลังจากการประชุม Marshall Wells ใช้ออฟฟิตร่วมกับ ซลอชส์ ที่เมืองนิวยอร์ก ตึก Chanin บน East 42nt Street
ซลอชส์ออกจากบริษัทของเกรแฮมเมื่อปี 1955 ด้วยเงินหนึ่งแสนเหรียญจากนักลงทุน 19 คน เค้าเริ่มต้นซื้อ Working Capital Stock ตามสไตล์ของเค้า เช่น บริษัทผลิตที่นอน Burton-Dixie และผู้ค้าส่งเหล้าอย่าง Schenley อินดัสตรี จวบจนวันนี้ในวัย 92 ความสำเร็จมากมายมาสู่เค้า แต่เค้าไม่เคยทำการตลาดกองทุนของเค้า หรือเปิดกองทุนอื่น ๆ เค้าเก็บเงินที่ได้จากการลงทุน และคืนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสมในแต่ละปี ยกเว้นผู้ถือหุ้นบอกให้นำไปลงทุนเพิ่ม ในปี 1960 S&P เพิ่มขึ้น ครึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ซลอชส์ได้ผลตอบแทนถึง 7% หุ้นแห่งชัยชนะตัวนึงคือ Fownes Brothers & Co., ผู้ผลิตถุงมือ ซลอชส์ซื้อมาในราคาสองเหรียญ (ต่ำกว่า Working Cap) และขายไปในราคา 15 เหรียญ
แม้ในยุค 80 หรือ 90 เค้ายังคงพบเจอหุ้นแห่งชัยชนะเรื่อยมาจนกระทั่ง ความหมายของสินค้าคงคลังและลูกหนี้ลดน้อยความสำคัญลง เค้าก็เริ่มเปลี่ยนวิธีการโดยเสาะหาหุ้นต่ำกว่า Book Value แต่จังหวะการเคลื่อนไหวของตลาดยังคงขึ้นลง ซลอชส์ ค้นพบว่าเค้ามักจะซื้อแม้ว่าราคามันยังจะไหลลงไปอีกลึก และบางครั้งเค้าขายเร็วเกินไป ซลอชส์ซื้อ Lehman Brothers ต่ำกว่า Book และขายไปโดยเค้าได้กำไรประมาณ 75% แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน Lehman Brothers บวกขึ้นไปสามเท่าของราคา
เหมือนเช่นเคยข้อสันนิษฐานของเค้ายังคงแม่นยำเสมอ เค้าชอร์ต Yahoo และ Amazon ก่อนที่ตลาดจะโซซัดโซเซและพังทลายลงมาในปี 2000 หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ยากที่จะหาหุ้นถูกในตลาด เค้าและเอ็ดวิน ขายหุ้นทั้งหมดได้เงินประมาณ 130 ล้านเหรียญ ซลอชส์ เดินออกจากตลาดด้วยกำไรเพิ่มขึ้น 28% ในปี 2000 และ 12% ในปี 2001 โดยที่ S&P -9% และ -12% ตามลำดับ
ปัจจุบัน S&P ปรับตัวลงมากว่า 15% จากจุดสูงสุด ซลอชส์ กล่าวว่าเค้ายังไม่ค่อยเจอหุ้นราคาถูก เค้ามีเงินสดประมาณ 30% ของพอร์ต “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ถ้ามาจริงก็คงไม่มีผลอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงเค้ามากนัก “มันก็มีคนจำนวนมากอยู่ทั่วไปที่อ่านหนังสือของเกรแฮม” เค้ากล่าว
เค้ายังคงเฝ้าเสาะหาหุ้นฉลาด ๆ ถูก ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ตัวที่อยู่บนสุดของลิสต์ของเค้าในขณะนี้ CNA Financial เทรดกันอยู่ที่ 10% ต่ำกว่าราคาบุ๊ค ราคาของมันร่วงลงมา 18% ภายในปีเดียว บริษัทประกันรายนี้มีหนี้น้อย และ 89% ของสต๊อกถือโดย Loew Corp ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมหาเศรษฐีในตระกูล Tisch ซลอชส์กล่าวว่า “ซื้อถ้ามันถูกกว่านี้” ผมคงพูดไม่ได้หรอกนะครับว่าคุณจะกำไรรึเปล่าถ้าซื้อมัน แต่ผมต้องการความปลอดภัยมากกว่าคำปลอบใจ
“แล้วก็นะครับ ถ้ามันตกลงมาก็ให้เป็นหน้าที่ของ ตระกูล Tisch ที่ต้องกังวลไม่ใช่ผม”
ซลอชส์เปิดดู Value Line อีกครั้งคราวนี้เค้าหยุดที่หน้า 885 Bassett Furniture บริษัทผู้ผลิตโต๊ะและเก้าอี้รายนี้เทรดอยู่ที่ 40% ต่ำกว่าบุ๊คและยังใจป้ำจ่ายปันผล 7% เค้ากล่าวว่ามันต้องมีบางอย่างที่ทำให้บุ๊คแวลลู ไม่ขยับ การจ่ายปันผลมีผลอย่างไรกับบริษัทนี้ ข้อสันนิษฐานของเค้าคือ ควรจะเข้าซื้อบริษัทนี้เมื่อบริษัทนี้เริ่มที่จะไม่จ่ายปันผล และเชื่อมั๊ยว่าราคาของ Bassett Furniture น่าจะต่ำกว่านี้
ถ้ารออีกนิดที่จะซื้อบริษัทผู้ผลิตล้อ Superior ที่เรากล่าถึงในย่อหน้าด้านบน นับเป็นเวลา 2 ปีหลังจากเค้าซื้อมันมา ราคาหุ้นตกลงมาหนึ่งในสาม แต่สำหรับ ซุปเปอร์อินเวสเตอร์อย่าง ซลอชส์ แล้ว การที่หุ้นตกไม่ใช่ประเด็น เค้าผ่านเหตุการณ์ที่เห็นหุ้นตกมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยปรัชญาและความเชื่อมั่นว่าอย่างไรก็ตามราคาหุ้นควรจะเท่ากับมูลค่าของมันเป็นอย่างน้อย สำหรับเค้ามันจะไม่มีวันตกต่ำกว่ามูลค่าของมัน!
ก่อนจะจบบทสัมภาษณ์บทนี้ ซลอชส์ ฝากคำถามสำคัญเอาไว้ให้เรา
“แล้วคุณล่ะ ถ้าเป็นคุณ คุณจะสามารถยอมรับการตกลงของราคาหุ้นได้ถึงเท่าไร?”
…………………………………………………………….
ในทางการลงทุนแล้วผมเคารพท่านเป็นครูคนที่สำคัญของผมทีเดียว
เรียบเรียงโดย Cat-rule Nov 2009
Create Date : 12 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 12 ธันวาคม 2552 13:08:21 น. |
|
2 comments
|
Counter : 421 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Ensign (Ensign ) วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:1:11:00 น. |
|
|
|
โดย: Catrule วันที่: 14 ธันวาคม 2552 เวลา:12:18:16 น. |
|
|
|
|
|
|
|