นักบริหาร นักลงทุน และนักเก็งกำไร
หลาย ๆ เวลา การสวมหมวกหลายใบ มันก็สร้างความปวดหัวให้มากกว่าการสวมหมวกใบเดียว สวมหมวกเป็นผู้บริหารก็ปวดหัวแบบหนึ่ง สวมหมวกเป็นนักลงทุนก็ปวดหัวแบบหนึ่ง สวมหมวกเป็นนักเก็งกำไรก็ปวดหัวแบบหนึ่ง
นักบริหาร: สร้างความสำเร็จเหนือคนอื่นด้วยความสามารถพิเศษเหนือคนอื่น ความสามารถในการบริหารจัดการ การเจรจาต่อรอง การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ การท้าทายคู่แข่งรวมถึงชัยชนะเหนือคู่แข่ง แต่ในทุก ๆ เรื่องที่กล่าวมาก็มีมุมกลับ วันนึงความสามารถที่เหนือคนอื่น ก็มีคนอื่นที่เหนือกว่าเรา วันนึงการเจรจาต่อรองก็อาจจะพลาดพลั้ง และวันนึงคู่แข่งทางธุรกิจ เค้าก็จะสามารถแก้เกมส์ทางธุรกิจของเราได้ เป็นวัฎจักรเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป
นักลงทุน: สร้างความสำเร็จเหนือคนอื่นด้วยการมองการณ์ไกล หลายคนให้ความเห็นกับการลงทุนไว้หลายอย่าง ผมเองมองเห็นว่าเรื่องการมองการณ์ไกลเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด ฝรั่งจะเรียกว่า vision หรืออะไรก็แล้วแต่ การมองการณ์ไกลก็จะประสบปัญหากับผลกระทบระยะสั้นระยะกลาง เช่น ลงทุนในหุ้น, ที่ดิน, ทองคำ ก็จะเกิดวัฎจักรผันผวนทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้กระทบกับวิสัยทัศน์ของนักลงทุนทั้งนั้น หากแต่เพียง นักลงทุนเหล่านั้นหวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหว หรือตัดสินใจผิดตั้งแต่แรก? เป็นวัฎจักรเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป
นักเก็งกำไร: สร้างความสำเร็จเหนือคนอื่นด้วยการรู้จักใช้จังหวะที่ถูกต้อง จะเป็นนักดูกราฟ นักเล่นหุ้น นักเล่นหวย นักเล่นคอนโด ซื้อจับปล่อย ให้ถูกจังหวะเหนือคนอื่นก็จะประสบความสำเร็จ หากแต่เพียง จังหวะเหล่านั้นมิได้ถูกต้องเสมอไป จังหวะทองคำมีไว้สำหรับบางเวลา และหลาย ๆ ครั้ง ดวง เป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับความสำเร็จที่เกิดขึ้น เรื่องของ ฮวงจุ้ย หยินหยาง ต่าง ๆ จึงตามนักเก็งกำไรมาเป็นเงาตามตัว เป็นวัฎจักรเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป
ผมเองเป็นทั้งสามคนที่กล่าวมา เริ่มต้นจากการเป็นนักบริหาร ที่ปรึกษานักบริหาร กรรมการบริษัท นักลงทุน และนักเก็งกำไร หมวกทั้งสามใบที่ใส่อยู่สร้างความปวดหัวให้ทั้งสามใบ จนหลาย ๆ ครั้งต้องกลับมาทบทวนและทบทวนและทบทวน จนพบว่าจริง ๆ แล้วบนหัวเราไม่มีหมวกซักกะใบ ตอนที่พิมพ์ไปนี่ก็เอามือจับหัวและหันไปมองกระจกพบว่าไม่มีหมวกใส่อยู่จริง ๆ มันเป็นใครซักคนใส่หมวกให้เรา และมันก็คงเป็นใครซักคน มานิยามให้เรา เป็นไอ้นั่นเป็นไอ้นี่เป็นไอ้โน่น เป็นไอ้นั่นต้องทำแบบนี้ เป็นไอ้นี่ต้องทำแบบนั้น เป็นผู้บริหารต้องอ่านตำรา ของ แดรกเกอร์, ไมเคิล อี พอร์เตอร์ ให้ขึ้นใจ อ่านหนังสือตาม strategy ต่าง ๆ สารพัดที่ฝรั่งจะถุย ออกมา เราก็อ่าน ลูกน้องเราก็อ่าน หัวหน้าเราก็อ่าน คู่แข่งเราก็อ่าน อ่านแล้วก็ทบทวนฝลประโยชน์ในมือกันทุกคน ลูกน้องต้องการทำงานให้น้อยที่สุด สวัสดิการสูงสุด รายได้ เงินเดือนมากสุด หัวหน้าต้องการผลงานสูงสุด บอร์ดออฟไดเร็คเตอร์ ประชุมกี่ครั้งก็อยากเห็นตัวเลขที่มากขึ้น ๆ ลูกค้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุด บริหารดีเยี่ยมแต่จ่ายเงินน้อย ๆ ใครประสานผลประโยชน์ตรงนี้ได้ optimize ก็ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องไปอ่านหนังสือของฝรั่งเลย มันคือการบริหารผลประโยชน์จัดสรรให้ลงตัวก็เท่านั้น
นักลงทุน ทุกคนมีความเป็นนักลงทุนอยู่ในตัวอยู่แล้ว เกิดมา เรียนหนังสือ ทำงาน มันคือการลงทุนให้ดอกผลที่ต่างกัน คนส่วนใหญ่ชอบที่จะได้เงินเดือนเป็นความสม่ำเสมอและความมั่นคงของชีวิต เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคำตอบของชีวิตมันจะง่ีายอย่างนั้น เงินเดือนเป็นเพียงรายได้ที่เกิดขึ้นจากการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็น พนักงานเงินเดือน 10,000 บาทต่อเดือน ลองเปรียบเทียบดูว่าหากคุณต้องการเงิน 10,000 บาทต่อเดือน คุณต้องลงทุนอะไร เช่น ฝากเงิน แสดงว่าคุณต้องได้ ดอกเบี้ย = 120,000 บาทต่อปี แสดงว่าคุณต้องมีเงินต้นอย่างน้อย ุ6,000,000 ใช่หรือไม่ ดังนั้นแสดงว่าตัวคุณเองเป็น Asset ที่มีมูลค่า 6,000,000 เจ้านายเอาคุณไปใช้แล้วจ่ายดอกให้สองเปอร์เซนต์ต่อปี เพื่อเอาไปทำรายได้ = xx เท่าไรแล้วแต่บริษัทที่คุณทำงาน นั่นหละครับคือส่วนต่าง เห็นมุมมองของนักลงทุนกับนักบริหารรึยัง?
นักเก็งกำไร ใช้ผลประโยชน์จากส่วนต่างตรงนี้แหละครับ ต้นทุนให้น้อยและกำไรให้สูง ผู้บริหารทำได้หรือไม่ถ้าทำไม่ได้ก็จะไปเจอแรงกดดันจาก หัวหน้า ผู้บริหารระดับสูง ฯลฯ ทำได้มั๊ย ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป กลับไปทบทวนข้อแรกบทบาทของผู้บริหาร
เป็นวัฎจักร เช่นนี้ เรื่อย ๆ ไป
Create Date : 01 มิถุนายน 2551 |
|
3 comments |
Last Update : 1 มิถุนายน 2551 12:39:35 น. |
Counter : 433 Pageviews. |
|
|
|
มาเยี่ยมครับ