|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
กฎของแมวฉบับคุณค่า
กฎของแมวฉบับคุณค่า ผมพิจารณาขอบเขตความสามารถของตนเองตาม Circle of Competency เท่าที่ตัวเองมีพบว่า ถ้าใช้ความพยายามในการคัดเลือกหุ้นตามกฎของแมว แล้ว ผมได้หุ้นดี ๆ มาอยู่ในมือพอสมควร แต่ ผมก็ทำหลุดไป ขายก่อนเวลาบ้าง ไม่ Cut-loss เมื่อตกบ้าง ขายแล้วไม่ได้ซื้อคืนบ้าง ถือจนขาดทุนบ้าง สรุปแล้วผมเองพบว่าตัวผมเองไม่มีทักษะในการขาย กฎของแมวที่ให้ไว้ใช้ได้ดีสำหรับการซื้อไม่ใช่สำหรับการขาย ผมเองใช้เวลาก่อนการซื้อนานพอสมควร จะเรียกว่านานมากในการทำการบ้านก็ได้ แต่ใช้เวลาน้อยนิด บวกกับจิตใจที่ไม่มั่นคงในการขาย ผมค้นพบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราจะเป็นคนมีเหตุผลแล้วเราควรจะมีเหตุผลให้ตลอดรอดฝั่ง หากเราซื้อด้วยเหตุผลแต่ขายเพราะอารมณ์ ไม่ว่าจะโลภหรือกลัว เราจะเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล เหตุผล+ไม่มีเหตุผล = ไร้แก่นสาร ไร้จุดยืน นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มคิดเรื่องการไม่ขายตลอดชีวิตอย่างจริงจัง แต่ผมจะทำรึเปล่าหรือผมจะทำได้รึเปล่า? การไม่ขายตลอดชีวิต เป็นคำตอบจริง ๆ หรือ เท่าที่ได้คุยกับพี่แมว ผมพบว่าพี่แมวเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ดีสำหรับการขาย หลายครั้งที่ซื้อมาได้กำไร จนขาดทุน จนแล้วจนรอดพี่แมวก็ไม่ได้มีคำตอบที่ดีสำหรับผม แล้วเราควรจะขายเมื่อไร? ทำไมถึงตอบยาก เพราะเราไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของหุ้นที่เราถือ และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งของการเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องราวของ Warren Buffett อีกครั้งอย่างจริงจังกว่าเดิม พี่แมวเองก็เป็นคนที่สนใจเรื่อง บัฟเฟตต์ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจดูเหมือนว่าวิธีการของพี่แมวจะใส่ใจกับเทคนิคัลมากกว่า การใส่ใจกับเทคนิคคัลนั้นไม่ผิดแต่ บางครั้งอธิบายเหตุผลที่แท้จริงยาก พี่แมวเป็นคนที่ศึกษาด้าน Quantitative Analysis มากแต่ไม่สนใจด้าน Fundamental เลย มันจะเป็นไปได้มั๊ยถ้าเราจะเอาทั้งสองอย่างมารวมกัน (?) บวกประสบการณ์และคำสอนของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เข้าไป ประกอบกับพี่แมวก็ต้องทำงานประจำและเดินทาง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเฝ้าหน้าจอทั้งในเวลาทำงาน (คงโดนไล่ออกเป็นแน่แท้) แต่ที่แน่ ๆ ปีที่แล้ว(2008) ผมและพี่แมว ขาดทุน!
การซื้อหุ้นที่ตกอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบทั้งหมดแน่ เพราะถึงซื้อมาได้ถูกจริง แต่ก็ไม่รู้ (เดาก็ยาก) จะขายเมื่อไร เพราะขาดหลัก ไอ้ครั้นจะถือไว้ก็จะมีหุ้นเน่า ๆ เต็มพอร์ต เพราะรู้จักแต่ซื้อหุ้นถูกแต่ ไม่รู้แม้กระทั่งกฎเกณฑ์ในการเดาคุณค่า ซึ่งเป็นสิ่งที่มากกว่าราคา ดังนั้น ผมและพี่แมวจึงเริ่มต้นอีกครั้ง และอีกครั้ง และอีกหลายครั้งในการอ่านหนังสือของ Warren E. Buffett ให้จริงจังมากขึ้น ๆ ๆ อีก เพื่อเอาเทคนิคเหล่านั้นมาเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตเรา ถ้าจะเรียกใหม่ให้เป็น กฎของแมวฉบับคุณค่า ก็น่าจะดี แต่ถ้าจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษก็น่าจะเป็น Selective buying
ผมและพี่แมวเถียงกันมาหลายครั้ง ถ้าจะทำให้ Cat’s rule philosophy คงอยู่ต่อไปต้องเพิ่มวิธีคิดเรื่อง Value Investing เข้ามา คือนอกจากจะซื้อหุ้นถูกแล้ว ยังต้องคัดสรรอีกด้วย ใส่ใจคุณค่า เพื่อคัดสรรการลงทุน (ดังนั้นจึงตั้งชื่อวิชาสามดาบแยกออกมาจากกฎของแมว เพราะวิชาสามดาบว่ากันที่เทคนิคัล ล้วน ๆ ซึ่งเป็นเหมือนหนังสืออ่านนอกเวลาจากกฎของแมว และที่สำคัญปี 2009 ผมและพี่แมวไม่นำวิชาสามดาบมาใช้เลย)
ผมและพี่แมว คงผิดอีก แต่ผิดเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ชีวิตคือการเรียนรู้ เจ็บเพื่อเข้าใจ ดังนั้น พี่แมวจึงให้ผมลบ blog เรื่องข่าวเศรษฐกิจออก แต่คงหัวเรื่องไว้ และจะพิจารณาสิ่งที่มีคุณค่า (value) มากกว่าข่าว เช่น สัมภาษณ์ ข้อคิดดี ๆ จากคนไทยหรือเทศ ก็ว่ากันไปตามความเหมาะสมและเวลา ส่วนหัวข้อบันทึกเพื่อวิเคราะห์ คงเป็นเรื่องเชิงลึกของพอร์ต ตัวเองมากขึ้น เพื่อสร้างแก่น ให้ผมและพี่แมวได้ยึดเหนี่ยว ว่าเราได้มาในทิศทางที่ถูกต้อง (หรือผิดพลาด) มากยิ่งขึ้น
ผมปรึกษากับพี่แมวและจึงลงมือเขียน blog อีกครั้งโดยไม่ Modify blog เลย ยึดหลักเดียวกับเวปของเบิร์กไชร์ เพื่อคงไว้ซึ่งความเรียบง่ายของชีวิต และการลงทุน ส่วน blog เรื่องบันทึกเพื่อวิเคราะห์ก็จะบันทึกถึงหุ้นที่ซื้อมา ในแต่ละปี จะทยอย เขียนเข้าไปเรื่อย ๆ ตามความเป็นจริง ผมมีความเชื่อลึก ๆ ว่าแม้ปู่บัฟเฟตต์จะขาดทุน หรือกำไร เค้าบอกเสมอในจดหมายประจำปีของเบิร์กไชร์ว่ายินดีรายงานไปตามความจริง หากมีข้อผิดพลาด (เช่นในปีที่แล้ว) ก็จะบอกมาตรง ๆ เพื่อเรียนรู้ กูรู ขนาดปู่ ยังเรียนรู้ไม่จบ แล้วผมกับพี่แมวล่ะ ก็คงต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นกันต่อชีวิตคือการลงทุน รูปด้านขวาบนมาจากหนังเรื่อง 15ค่ำฯ ผมประทับใจกับคำว่าทำในสิ่งที่เชื่อและเชื่อในสิ่งที่ทำ ผมและพี่แมวคงจะเริ่มใช้แนวทางนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบที่เราเรียนรู้มันไปพร้อมกัน
ผมและพี่แมวตั้งใจจะใช้ประโยชน์จาก blog ของพี่แมวในการบันทึกวิธีคิดและข้อผิดพลาดของตนเอง ซึ่งแน่นอนพวกเราคงไม่ได้เขียนบ่อยนัก แต่เพื่อให้ในอนาคต พวกเราเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ว่านานแค่ไหน ดังนั้น blog นี้จึงไม่ได้เป็นการชี้นำ ชี้แนะ สอน หรือบอกใบ้ แก่ใครทั้งสิ้น แต่เป็นการวิเคราะห์ตามแนวทางที่ผมและพี่แมวตกลงร่วมกันลงทุนและพัฒนาทั้ง Portfolio และ Methodology และเป็นกลยุทธ์ที่บ้าบิ่นและไร้สาระที่สุดอันหนึ่งของโลกแห่งการลงทุน
สุดท้ายสโลแกนประจำ blog พี่แมวชอบเพลง อยู่เพลงหนึ่งของ คาราบาว/เฉลียง/Modern Dog คุณประภาส เป็นคนแต่งครับ จวบกับบ้านนอกของผมก็อยู่ติดริมคลองเวลานั่งคิดนั่งมองสายน้ำแล้วมันมีความสุขแบบบอกไม่ถูกเหมือนกัน หากเราเริ่มต้นที่คำว่าพอและพอเพียง ชีวิตและสายน้ำ มองและคิดได้อย่างไม่สิ้นสุดครับ -> มองลำธารผ่านความคิด มองชีวิตอย่างพอเพียง
ลูกแมวน้อย
Create Date : 15 พฤษภาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2552 19:26:54 น. |
Counter : 457 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|