จางฝานนั่งเหม่อมองดูแสงที่กระทบอยู่บนพื้นน้ำของทะเลสาบซีหู มันนั่งอยู่เบื้องหลังของกระท่อมเก็บฟืนภายในวัดหลิงอิ่นนั่นเอง เนื่องจากที่ตั้งของวัดอยู่บนเนินเขา จึงมองเห็นทอดไปได้ทั่วทั้งทะเลสาบ ยิ่งกระท่อมเก็บฟืนนั้นอยู่เบื้องข้างของเนินเขาอันเป็นทิศทางเดียวกันกับด้านของทะเลสาบแล้ว ยิ่งมองเห็นได้สะดวกนัก ต้นไม้ที่บดบังก็มีอยู่น้อยนิดเต็มที
แสงของดวงจันทร์ที่เว้าแหว่งและดวงดาวนับล้านๆ ดวงล้วนตกกระทบกับพื้นน้ำของทะเลสาบ บรรยายภาพที่สวยงามระยิบระยับจับตามิออกจริงๆ เบื้องหลังของจางฝาน กังโส่วหู่ประทบยืนแนบนิ่งกับเงาของราตรีอยู่ห่างๆ พรางถอดถอนหายใจเพียงบางเบา ส่วนเต้าจี้ไต้ซือนั้นเอนหลังพิงกับโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งข้างๆ กระท่อม ท่านนั่งจิบสุราในกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงไปเสียที
กังโส่วหู่พลันโพล่งถามขึ้นมาทำลายบรรยากาศคราหนึ่ง
“ท่านคิดจะเข้าไปในตำหนักเทพแปรปรวนหรือไม่”
หลังจากที่ทั้งสามวิเคราะห์กันอยู่เนิ่นนาน ก็ได้คำตอบว่า โบราณสถานที่กานเจียงพบเจอนั้น อาจจะเป็นที่แห่งเดียวกับตำนานในวงพวกนักเลงที่มักเล่าขานสืบกันมาว่าคือตำหนักเทพแปรปรวนนั่นเอง จางฝานเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีอีกครา พรางกล่าวเสียงราบเรียบ
“ข้าพเจ้าย่อมต้องอยากรู้ความลับของไข่มุกเม็ดนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรเสีย ข้าพเจ้าก็ยังต้องไปยังตำหนักเทพเพื่อไขความลับดำมืดนี้ให้กระจ่างชัด”
“เช่นนั้นหากท่านเดินทางไปถึงจิ่งกัง ท่านคงต้องแวะเข้าตึกตระกูลเฉินสักครา”
“นั่นนับว่าถูกต้อง ความฝันของข้าพเจ้ามักทำให้ข้าพเจ้าเป็นกังวลเสมอมา หากข้าพเจ้าจะหลงลืมความฝันอันนี้เสียชั่วครู่ก็ยังพอกระทำได้ แต่ไหนเลยจะทนต่อการพยายามนั้นเล่า”
กล่าวจบจางฝานก็ถอนหายใจออกมาเพียงบางเบา ทั้งมวลล้วนเงียบงันไปเสียครู่ใหญ่ๆ แม้แต่เต้าจี้ไต้ซือก็ยังมิยอมดื่มกินสุรา จากนั้นท่านจึงหายใจออกมาชั่วครู่หนึ่ง จึงได้รำพันออกมาตามสายลมโชยที่พัดผ่านร่าง
“ชีวิตนี้หนอเกิดมาเพียงหนึ่งครั้ง ตายไปเพียงหนึ่งครั้ง ความทรงจำอันแสนประหลาดล้มหดหายไปเสียสิ้น ไหนอาจทราบได้เลยว่า ชีวิตทั้งชีวิตอาจยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับอีกภพหนึ่งอีกชาติหนึ่ง เกิดเป็นห่วงโซ่แห่งความทรงจำอันใหม่ขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแม้มิใช่ภาพลวงตา แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ใช่ภาพลวงตา”
พวกกังโส่วหู่ทั้งสองล้วนงุนงงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยถามประการใด เพราะพวกมันล้วนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาสามัญเท่านั้น ย่อมไม่อาจที่จะเข้าใจถึงหลักสัจธรรมอันสูงส่งเช่นนี้ได้
เมื่อเต้าจี้ไต้ซือได้รำพึงปรัชญาขั้นสูงเช่นนี้ขึ้นมา ยิ่งทำให้บรรยากาศที่เงียบวังเวงอยู่แล้ว ยิ่งวังเวงหนักขึ้นไปอีก กระทั่งลมหายใจยังไม่ค่อยจะได้ยิน ทั้งสามคนกระทำอยู่อย่างเดิมนั้น จนเกือบถึงยามจื่อ[1] จึงรีบกลับไปเข้านอน
ที่แท้เวรยามดูแลกระท่อมเก็บฟืนของทางวัดหลิงอิ่นนี้ เป็นช่วงเวรยามของเต้าจี้ไต้ซือพอดิบพอดี ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเข้ามาในบริเวณกระท่อมเก็บฟืนแห่งนี้แต่ประการใด อีกทั้งตัวกระท่อมยังอยู่ห่างจากวัดพอสมควรอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้แทบจะเรียกว่าตัดขาดจากวัดไปเลยทีเดียว
ในตอนแรกที่กำหนดเวรยามนั้นเจ้าอาวาสได้ให้เวรยามกระท่อมนี้แก่พระลูกวัดที่อาวุโสน้อยกว่าเต้าจี้ไต้ซือกระทำแทนไปแล้ว แต่เนื่องจากเต้าจี้ไต้ซือนั้นดื้อรั้นไม่ยินยอม นั่นทำให้เจ้าอาวาสถึงปวดหัวต่อพฤติการณ์ยิ่งนัก
ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องเพราะเต้าจี้ไต้ซือทราบดีว่า หากไปดื่มกินสุราอยู่ใกล้ๆ กุฏิเจ้าอาวาส ประเดี๋ยวท่านก็จะได้ไล่ตะเพิดออกมาอีก จึงรั้นที่จะรับหน้าที่ให้จงได้ แถมขออีกสองเวรยามต่างหาก ไหนเจ้าอาวาสเลยจะห้ามท่านได้ จึงจำยอมให้ท่านรับหน้าที่นี้ แต่ขอเว้นเวรยามไว้ให้แก่พระลูกวัดคนอื่นๆ บ้าง เวรยามในวัดนี้แบ่งกะออกเป็นทั้งหมดสี่กะ กะละเจ็ดวัน สามกะที่เต้าจี้ไต้ซือขอไว้กับเจ้าอาวาสก็ยี่สิบเอ็ดวัน นั่นไม่เท่ากับยึดเกือบทั้งเดือน[2] เลยหรือ?
เสียงไก่ขัน พร้อมเสียงระฆังทำวัตรเช้าปลุกให้พวกจางฝานต้องตื่นขึ้นมาอย่างสลึมสลือ แม้ว่าพวกมันจะเคยตื่นเช้าอยู่แล้ว แต่ไหนเลยจะเช้าเยี่ยงเวลาแบบนี้ได้ ยิ่งช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หมู่บ้านหนานเฟิง (สุขสมบูรณ์แดนใต้) แล้วนั้น จางฝานที่ไม่ต้องทำงานในโรงเตี๊ยมอีก ก็เริ่มตื่นสายขึ้นมาบ้าง ส่วนกังโส่วหู่นั้นมันไม่ค่อยชินกับชีวิตกลางวันแบบนี้อยู่แล้ว นี่กลับยิ่งไม่ต้องให้พูดถึง
แต่ไต้ซือจอมขี้เมานั้นเล่า ท่านกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย สงสัยคงไปทำวัตรเช้ากระมัง? ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะนอนต่อ พลันได้ยินเสียงลมดังพรึ่บพรั่บอยู่เบื้องนอกไม่ขาดสาย หรือศัตรูจะบุกเข้ามาแล้ว!
พวกกังโส่วหู่รีบพุ่งทะยานออกมาดูเบื้องนอกกระท่อมอย่างรวดเร็ว ยิ่งตอนนี้พวกมันได้ฝึกฝนวิชากำลังภายในด้วยแล้ว แม้ตอนหลับ ตอนตื่น ตอนนั่ง ตอนนอน พวกมันก็ยังเดินพลังอยู่เนืองๆ ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่นั่นกลับทำให้ยิ่งพุ่งยิ่งรวดเร็วถึงขนาดนี้อย่างน่าประหลาด พวกมันนับมีพรสวรรค์ประการหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะประสบการณ์ต่อสู้ประการหนึ่ง
ที่แท้เบื้องนอก เต้าจี้ไต้ซือ เพียงออกมาฝึกวรยุทธ์ยามเช้าเท่านั้น หาได้ไปทำวัตรกับพวกไต้ซือท่านอื่นๆ แต่ประการใด พวกกังโส่วหู่ออกมาเห็นก็ถึงกลับโล่งอกนึกว่าพวกศัตรูที่ไหนบุกมาเสียอีก ไต้ซือเห็นทั้งสองออกมาจากกระท่อมแล้ว จีงร้องทักขึ้นคราหนึ่ง
“ท่านชมดูว่า เพลงหมัดเมา นี้ ใช้การอันใดได้หรือไม่”
จางฝานและกังโส่วหู่ชมดูอย่างเพลิดเพลิน แม้ท่าก้าวย่างของเต้าจี้ไต้ซือจะสะเปะสะปะ แต่ทุกจุดที่พลังหมัดพุ่งออกไป กลับเป็นจุดสำคัญในตำราแพทย์โดยสิ้น หากยิ่งผสมกับกำลังภายในอันกล้าแข็งของท่านแล้ว ไหนเลยจะมีผู้ต่อต้านได้ พวกมันชมดูจนจบท่ารำมวยก็โห่ร้องดีใจกันยกใหญ่ บอกเพลงมวยอันร้ายกาจอยู่ไม่ขาดปาก
“เมื่อวานอาตมาได้สอนพวกท่านถึงวิธีการเดินพลังไปบ้างแล้ว พวกท่านนับว่าฝึกได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ทะลวงจุดชีพจรได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ดังนั้นวันนี้อาตมาจะสอนวิธีการปล่อยพลังให้”
กล่าวจบ ท่านเต้าจี้ไต้ซือก็สาธยายถึงวิธีการปล่อยจิ้งทันที เริ่มจากเมื่อครั้นปล่อยพลังโคจรรอบกายครั้งหนึ่งแล้ว ก็ให้ใช้จุดอิ่นถัง (หยินต๊ก, ตาที่สาม) เป็นจุดที่บังคับให้พลังที่โคจรไปนั้นเคลื่อนไหวไปที่จุดที่ต้องการ หากใช้เพลงฝ่ามือหรือเพลงดาบกระบี่ก็ต้องเคลื่อนพลังไปที่จุดลั่วกง หากเป็นเพลงหมัดก็ให้เคลื่อนที่ไปยังจุดจงกุ้ย หากเป็นเพลงวิชาที่ต้องใช้สันฝ่ามือก็ให้เคลื่อนที่ไปที่จุดเสิ่นเหมิน ส่วนวิชาทำตัวเบานั้นท่านไต้ซือก็บอกกล่าวอย่างไม่ปิดบังว่านั่นเป็นได้แค่เพียงทฤษฎีเท่านั้นว่าให้โคจรไปที่จุดหย่งฉวน แต่ก็ไม่มีผู้ใดในวงพวกนักเลงคิดค้นวิธีการสำเร็จได้เลย ส่วนตำแหน่งอื่นๆ นั้นท่านให้ศึกษาเอาจากในตำราแพทย์เอง เต้าจี้ไต้ซือบอกกล่าวเพียงแค่นั้น จากนั้นจึงขอตัวไปขนกองฟืนกองใหญ่ไปไว้ให้พวกพระพ่อครัวที่เข้าเวรวันนี้ พวกจางฝานทั้งสอง ฝึกฝนตามวิธีการที่ไต้ซือบอกกล่าวอยู่ไม่ขาด ในที่สุดกังโส่วหู่ก็ลองทำตามบ้าง มันลองฟาดพลังนั้นใส่กระบี่ ทิ่มไปยังต้นไม้ใหญ่เบื้องข้าง ลองสามสี่ครั้งจนรากฎมีริ้วรอยที่ลำต้นสายหนึ่ง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่นับว่าสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว
จางฝานฝึกฝนตามอย่างบ้าง แต่ไม่สำเร็จสักที จึงเฝ้างัดพลังออกมาเรื่อยๆ จนเริ่มเหนื่อยหอบก็หยุดพัก นั่งลงรวมลมปราณขึ้นมาใหม่อีกคำรบหนึ่ง ข้างกังโส่วหู่นั้น เมื่อได้ยินเต้าจี้ไต้ซือพูดตอนท้ายถึงวิชาทำตัวเบาว่าเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น ยิ่งเท่ากับยั่วยุให้มันทดลอง ไม่ว่าจะด้วยฐานะของหัวขโมย หรือในฐานะของชนชาวนักเลงผู้หนึ่ง มันย่อมต้องทดลองให้ได้ คิดพราง เปิดตำราหนังสือไปพราง ทดลองไปพราง วันนี้ยังไงมันก็ต้องสำเร็จวิชาทำตัวเบาให้จงได้!
ทั้งสองคนต่างครุ่นคิดถึงเรื่องของตัววิชาอย่างเพลินเพลิด ในที่สุดกังโส่วหู่ก็ร้องอ้อออกมาจนได้ จางฝานตกใจกับเสียงของมัน พลันปล่อยพลังออกไปยังต้นไม้ใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว ปรากฏเสียงดังสั่นไหวขึ้นคราหนึ่ง ที่แท้ปราณกระบี่ถึงกับจมลึกเข้าไปในเนื้อไม้ถึงห้าหุน!
กังโส่วหู่เห็นดังนั้นก็ถึงกับเหม่อมองหน้าของจางฝานในบัดดล จางฝานก็ไม่รู้จะทำสีหน้าอันใดดี ทั้งสองทั้งประหลาดใจทั้งงุนงงสงสัย จึงเข้าไปส่องดูร่องรอยของปราณกระบี่นั้น เต้าจี้ไต้ซือกลับมาถึง พลันเห็นทั้งสองกำลังสำรวจร่องรอยปราณกระบี่นั้น จึงเดินเข้ามา ร้องโพล่งถามขึ้นคราหนึ่ง
“พวกท่านสำรวจอะไรกัน”
ทั้งสองเมื่อเห็นท่านไต้ซือกลับมาแล้วจึงชี้ให้ดูร่องรอยของปราณกระบี่ที่ต้นไม้ ท่านเข้าไปสำรวจ แล้วก็ทำเสียงฮือฮาสองสามที จึงให้ข้อสรุป
“ตะกี้จางฝาน ท่านปล่อยปราณอย่างไร”
“ข้าพเจ้าเพียงตกใจเมื่อได้ยินเสียงของกังโส่วหู่เท่านั้นขอรับ”
“อาจจะเป็นเพราะท่านตกใจก็ได้กระมัง เลยระเบิดพลังออกมาเสียยกใหญ่”
เต้าจี้ไต้ซือแม้จะกล่าวดังนั้น แต่ในใจของท่านกลับคิดอีกแบบหนึ่ง เนื่องจากหากไม่มีสายพลังลมปราณอันร้ายกาจ ไหนเลยเวลาตกใจปล่อยพลังกะทันหัน แล้วจะเกิดผลอันนี้ได้ แต่ภายในร่างของจางฝานนั้น ปรากฏมีสายพลังลมปราณอันร้ายกาจสายหนึ่งไหลวนเวียนอยู่ พลังนั้นเหมือนกับพลังลมปราณร่วมสองร้อยกว่าปี ซึ่งแม้คนฝึกกำลังยุทธ์จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถกระทำได้
ถ้าหากจางฝานจะใช้พลังได้สมบูรณ์ยังต้องฝึกอีกมากนัก ท่านเลยพูดเช่นนั้นออกไป เพื่อกันไม่ให้จางฝานเย่อหยิ่งอวดดี รีบร้อนใจฝึกฝนการใช้พลังพิสดารภายในร่างของตัวเองอันนี้ เพราะนั่นไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดอาการธาตุไฟแตกกำเริบอีกเท่านั้น ยังอาจจะถึงชีวิตอีกด้วย!
ทั้งสามพูดคุยแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กังโส่วหู่ถามเต้าจี้ไต้ซือว่าเหตุใดจึงไม่ได้ยินชื่อเสียงของท่านในวงพวกนักเลง ท่านไต้ซือก็หัวร่อออกมาคราหนึ่ง แล้วบ่งบอกออกไปว่าที่ท่านไม่มีชื่อเสียงนั้น เพราะมิได้ออกไปสู้รบปรบมือกับชนชาวนักเลง ท่านฝึกไว้เพียงแค่ให้สุขภาพกายดีเท่านั้น อีกทั้งกำลังภายในร่างยังสามารถใช้รักษาอาการเบื้องต้นทั่วไปได้อีกด้วย จากนั้นจึงบอกกล่าววิธีรักษาออกไปโดยไม่ปิดบัง ท่านอธิบายให้ฟังว่า หากจะรักษาอาการช้ำในเพราะลมปราณ ต้องแก้ด้วยลมปราณเท่านั้น จะรักษาที่จุดใดก็ได้ แค่ให้ปล่อยพลังจากวิธีที่ถนัดเหมือนกับการปล่อยพลังที่ได้สอนไป แต่แตกต่างจากการปล่อยพลังออกมาต่อสู้มากนัก เพราะการปล่อยพลังออกมาต่อสู้นั้นเน้นรุนแรงรวดเร็ว แต่การรักษานั้น ต้องเชื่องช้า แผ่วเบา
หลังจากนั้นท่านก็เล่าเรื่องต่าง ให้พวกจางฝานทั้งสอง พวกมันล้วนตั้งใจฟังการเล่าเรื่องราวของเต้าจี้ไต้ซือยิ่ง แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น แต่ท่านเล่าเรื่องราวได้อย่างมีอารมณ์ขัน นอกจากนั้นยังทำท่ามือไม้ประกอบเรื่องได้อย่างน่าสนใจ
ใกล้ถึงเวลาที่ทำวัตรเสร็จแล้ว เต้าจี้ไต้ซือเห็นทั้งสองเริ่มหิวกัน จึงบอกกล่าวว่าจะไปขโมยอาหารจากในครัวมาอีก ท่านไต้ซือผลุบๆ โผล่ๆ ไม่ค่อยอยู่กับที่เช่นนี้เอง พวกจางฝานทั้งสองนั้นเลิกสนใจไปเนิ่นนานแล้ว พวกมันหันเหหัวข้อกลับมาพูดคุยเรื่องวิชากันต่ออีก กังโส่วหู่บอกกล่าวแก่จางฝานว่า ตอนนี้มันค้นพบวิธีเดินพลังของวิชาทำตัวเบาแล้ว จากนั้นก็สาธิตให้ดู ปรากฏว่า มันกระโดดขึ้นสู่ต้นไม้ใหญ่ได้อย่างนุ่มนวล และลงมาได้อย่างนุ่มนวลเช่นกัน จางฝานนั้นตะลึกงันทันที นับว่ากังโส่วหู่เป็นอัจฉริยะจริงๆ แค่มันอ่านตำราการแพทย์เพียงน้อยนิด ก็สามารถตีความได้หลากหลาย เพียงแต่ว่าวิธีการออกจะเรียบง่ายไปบ้าง
จางฝานเห็นวิชาดังนี้ก็สนใจใคร่รู้ จึงถามขอเคล็ดวิชาบ้าง กังโส่วหู่ยิ้มแย้มยินดี ในที่สุดมันก็ค้นคิดวิชาทำตัวเบาอันเยี่ยมยอดได้สำเร็จ กังโส่วหู่จึงบอกกล่าวโดยไม่ปิดบังสหาย มันเล่าว่าให้เริ่มจากดึงพลังมาที่จุดฮุ่ยอินสะสมไว้พอประมาณ แล้วจึงเปลี่ยนมาที่จุดปี้กวน จุดนี้เองที่ชนชาวนักเลงต่างไม่เข้าใจ เนื่องจากคาดคิดเพียงว่า เส้นลมปราณพิเศษเท่านั้นที่ใช้ในการฝึกยุทธ์ จากนั้นกังโส่วหู่จึงอธิบายต่อว่าให้สลับมาทีจุดชงเหมิน วิ่งมาที่จู้ปิง ไหลเรื่อยลงมาถึงหยางเจียว และจินเหมินตามลำดับ จากนั้นจึงปล่อยพลังอย่างแผ่วเบาออกไปอย่างต่อเนื่องที่จุดหย่งฉวน แค่นี้ก็ทำให้วิ่งได้รวดเร็วขึ้น กระโดดได้สูงขึ้น ที่แท้กังโส่วหู่ประยุกต์เอาวิชาการรักษาด้วยกำลังภายในมาด้วยนี่เอง หากไม่ได้ยินเต่าจี้ไต้ซือ กล่าวมาทั้งหมด คงคิดไม่ถึงวิธีการอันประเสริฐดังนี้ ทั้งสองฝึกฝนให้คุ้นเคยอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็สำเร็จวิชาปล่อยพลังและทำตัวเบาเสียที แต่อาจจะยังไม่เข้มแข็งพอเท่านั้น เพราะพลังลมปราณของทั้งคู่ยังมีน้อยอยู่ การปล่อยพลังจึงทำได้ไม่ต่อเนื่องเพียงพอ
เนิ่นนานให้หลังเต้าจี้ไต้ซือก็ยังไม่กลับมา ทำให้ทั้งสองร้อนใจเป็นยิ่งนัก สงสัยว่าอาจจะเกิดเรื่องกับท่านไต้ซือก็ได้ จึงลอบออกจากกระท่อมเก็บฟืนนั้น พวกมันแอบเล็ดลอดผ่านต้นไม้ต่างๆ ในวัดจนมาถึงเบื้องหน้าลานวัด ในตอนที่มานั้นทั้งสองลองโคจรพลังตามวิธีที่ค้นคิดสู่เบื้องเท้าก็รู้สึกเบาหวิวเหมือนเดินเหยียบปุยเมฆก็ปาน
ลัดเลาะต้นไม้ในวัดไปได้เพียงสักครู่ ในที่สุดพวกกังโส่วหู่ทั้งสองก็พบเจอเต้าจี้ไต้ซือและไต้ซืออีกท่านหนึ่งอยู่ด้านข้างไม่ห่างกัน ส่วนเหล่าศิษย์สมณะในวัดนั้นต่างอยู่เบื้องหลังโดยสิ้น ที่แท้พวกไต้ซือในวัดกำลังเผชิญหน้ากับกองทหารกองหนึ่งอยู่ เมื่อเป็นดังนี้พวกมันจึงแอบซุ่มในพุ่มไม้พุ่มหนึ่งใกล้ๆ กัน พวกมันพบเห็นว่าคนที่นำหน้าสุดนั้นหน้าตาอิดโรย ชราภาพอย่างยิ่ง สุขภาพก็ค่อนข้างจะทรุดโทรมลงไปอย่างยิ่ง ใกล้จะตายมิตายแหล่อยู่มะรอมะร่อแล้ว ด้านข้างประกอบด้วยว่านสี่เซี่ยและจางจุ้น เช่นนั้นคนผู้ใกล้ตายนั้น น่าจะเป็นฉินกุ้ยแล้ว!
ในมือถือของฉินกุ้ยถือกระดาษเซียมซีไว้ใบหนึ่ง ดังนั้นพวกมันน่าจะเข้ามาโดยอ้างว่าจะมาเสี่ยงเซี่ยมซีกระมัง แต่เหตุผลหลักคงจะมาจับพวกจางฝานทั้งสองเสียมากกว่า ฉินกุ้ยกล่าวเสียงแหบพร่า แต่ยังพอที่พวกจางฝานทั้งสองจะได้ยิน
“โจโฉนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง แต่ว่าบัดนี้ท่านไต้ซือคิดว่าอยู่ที่ใดเสียแล้ว?”
ฉินกุ้ยถามปรัชญาขงจื้อขึ้นมาเสียดื้อๆ มันคงอยากจะบอกว่าโจโฉอยู่บนสวรรค์กระมัง ไต้ซือที่อยู่ข้างๆ เต้าจี้ไต้ซืออดทนไม่ได้ จึงกล่าวโต้ตอบออกไป
“องค์ประกอบที่สำคัญแห่งกฎสวรรค์ ย่อมประกอบด้วยความโปร่งใส และสัตย์ซื่อ ส่วนการทรยศทุจริตนั้นประจักษ์ชัดแจ้งในตัวของมันเองแล้ว ความดีงามและความชั่วช้าสามานย์นั้นล้วนได้รับผลกรรมทั้งสิ้น เจ้าเป็นถึงมหาอุปราชกลับทำตัวชั่วช้าสามานย์ สั่งการสับสังหารผู้ประหนี่งดั่งหลักค้ำจุนบ้านเมือง หรือว่าความปลอดภัยของชาติบ้านเมืองนั้นไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียเลย”
ไต้ซือท่านนี้ แม้พวกกังโส่วหู่ทั้งสองจะมิเคยพบเจอ แต่ด่าฉินกุ้ยได้สะใจยิ่งนัก พวกมันแอบหัวร่ออยู่หลังพุ่มไม้อยู่เบาๆ ฉินกุ้ยได้ยินคำพูดของไต้ซือท่านนั้น ก็รู้สึกโกรธแค้น จึงสวนกลับไปในทันที
“ผู้ใดคือเสาหลักแห่งบ้านเมือง”
“ก็ท่านนายพลเย่ว์เฟยนั่นล่ะคือเสาหลักแห่งบ้านเมือง”
ไต้ซือท่านนั้น แทบจะร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่ฉินกุ้ยก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่ประการใด เต้าจี้ไต้ซือเห็นดังนั้นจึงร้องตะโกนด้วยเสียงอันดังกึกก้อง
“เจ้าตัวโง่งม! ยังไม่สำนึกอีกหรือ”
พูดจบ เต้าจี้ไต้ซือฟาดไม้กวาดที่อยู่ใกล้มือเข้าไปที่เบื้องหน้าของฉินกุ้ยอย่างรวดเร็ว ฉินกุ้ยถึงกลับถูกไม้กวาดฟาดใส่หน้าอย่างถนัดถนี่ ไม่ทันไรก็ล้มลงกองกับพื้น พวกว่านสี่เซี่ยเห็นฉินกุ้ยล้มลงจึงตกใจยิ่งนัก พวกมันรีบเข้าไปพยุงช่วยเหลือ พร้อมกับมองหน้าไต้ซือทั้งสองนั้นอย่างจะเลือดกินเนื้อก็ปาน
ว่านสี่เซี่ยนั้นโคจรพลังหมื่นพิษตั้งรับอยู่ภายในเนิ่นนาน เมื่อฉินกุ้ยล้มลง จึงกระชากเสียงออกมาข่มขู่ทันที แม้มันจะเห็นเพียงเลียนลางแต่คาดเดาได้ว่า คือ เต้าจี้ไต้ซือเป็นแน่แท้ แสดงว่าฝีมือของไต้ซือท่านนี้ต้องไม่ด้อยไปกว่ามันเท่าใดนัก!
“ใครทำ”
“อาตมาเอง”
เต้าจี้ไต้ซือกล้าทำกล้ารับ ออกมารับหน้าแทนเฟิงโป้ไต้ซือสมณะอาวุโสที่อยู่ด้านข้าง ตอนนี้พวกพระในวัดต่างมารุมล้อมเข้าชมดูว่า เต้าจี้ไต้ซือจะจัดการเยี่ยงไรกับพวกประดานี้
“งั้นก็ดี ข้าพเจ้าคงต้องขอรับการชี้แนะจากท่านไต้ซือแล้ว”
ว่านสี่เซี่ยพูดจบ ฟาดกงเล็บไปที่ไหล่ซ้ายของเต้าจี้ไต้ซืออย่างรวดเร็ว ท่านเพียงโคลงศีรษะเบาๆ พลังเก็บสะสมไว้ที่ตันเถียนล่างที่เป็นมาตราฐานของชาวยุทธ์ทั่วไปส่วนพลังของว่านสี่เซี่ยนั้นก่อกำเนิดจากจุดฮุ่ยอิ่นเป็นสำคัญ ดังนั้นเวลาใดที่มันฝึกยุทธ์มักมีอิสตรีเข้าร่วมด้วยเสมอ เพื่อกันธาตุไฟแตก เช่นนี้เองมิน่าเล่าจางจุ้นในสมัยก่อนถึงได้มีสตรีลุ่มหลงกับตัวมันนัก นั่นเพราะจุดฮุ่ยอิ่นนั้นดึงดูดเพศตรงข้ามยิ่ง
เต้าจี้ไต้ซือหลับตางงงวยคล้ายเมามิได้สติ เอนตัวหลบกงเล็บไปเบื้องขวาเพียงน้อยนิด ก็สลัดพ้นกงเล็บที่ติดตาม นี่คือ ท่าเมามายมิได้สติ หนึ่งในกระบวนท่าหมัดเมาที่ท่านคิดค้นขึ้น ท่านี้เน้นปิดกั้นจักษุประสาท ใช้หูฟังเสียงลมที่ประทะ ใช้จิตสัมผัสถึงจิตสังหารฝ่ายตรงข้าม เพื่อสืบค้นหาแนวทางการเดินกระบวนเพลงของฝ่ายตรงข้าม ทั้งหลบหลีกอย่างแผ่วเบา
ว่านสี่เซี่ยตะปบกงเล็บโดนเพียงอากาศธาตุ มันไม่เพียงตะหนกเท่านั้น ยังรู้สึกสะท้านในทรวงอีกด้วย เนื่องเพราะไม่เคยมีผู้ใดหลุดรอดพ้นจากกงเล็บแรกของมันได้สักผู้เดียว กงเล็บของมันนั้นทั้งรวดเร็วทั้งว่องไว แต่ไต้ซือท่านนี้เพียงหลบหลีกบางเบา ก็สลัดหลุด คล้ายกับรู้ล่วงหน้าถึงแนวทางวิชาของมันก็ปาน
ว่านสี่เซี่ยทำใจสงบได้รวดเร็วสมชื่อผู้เหี้ยมหาญในชนชาวนักเลงยิ่งนัก เพียงไม่ถึงขณะ ก็เปลี่ยนแปลงท่ามาเป็นตะปบจากนอกเข้าสู่ไหล่ซ้ายอีกครา คล้ายดั่งไม่มีการหยุดพักกระบวนท่าแต่ประการใด เต้าจี้ไต้ซือตะลึงใจเพียงน้อยนิด ก่อนจะใช้ท่ายกสุราพันจอกเข้าต่อสู้ ท่านยกมือซ้ายเข้าอิงบังด้านที่ว่านสี่เซี่ยตะปบเข้ามา คล้ายดั่งยกสุราขึ้นดื่มกิน ใช้ข้อศอกกระทุ้งเข้าต้นแขนของมัน จากนั้นจึงยกหมัดขวาพุ่งไปเบื้องหลังกระทบกับศีรษะของว่านสีเซี่ยอย่างถนัดถนี่ ปรากฏเสียงครางโอ้ยคราหนึ่ง เสียงฮือฮาให้กำลังใจเต้าจี้ไต้ซือดังอยู่เบื้องหลังไม่ขาดสาย
ว่านสี่เซี่ยมึนงงเล็กน้อย ถลาถอยเข้ามาในวงพวกพ้องตนเอง จางจุ้นเห็นศิษย์พี่บาดเจ็บจึงทำท่าจะเข้าไปช่วย ว่านสี่เซี่ยเพียงกางมือบางเบา เป็นสัญญาณว่าอย่าเข้าสอดระหว่างการต่อสู้ มันบิดคร้านคราหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮาฮา ไต้ซือท่านนี้ ฝีมือลึกล้ำจริงๆ ข้าพเจ้าคงต้องเอาจริงเสียแล้วกระมัง”
เต้าจี้ไต้ซือได้ยินดังนั้นก็สะท้านขึ้นทันที ตะกี้ท่าที่มันใช้เป็นเพียงการตะปบธรรมดาเท่านั้น หาใช่เพลงยุทธ์ที่แท้จริงของมันไม่ เช่นนั้นแสดงว่ามันหลอกให้เต้าจี้ไต้ซือ แสดงเพลงยุทธ์ออกมาก่อนเพียงเพื่อจับทางเสียแล้ว!
ว่านสี่เซี่ยเห็นเต้าจี้ไต้ซือใบหน้าเริ่มซีดเซียว แสดงว่าประสบการณ์น้อยนิดจึงกักเก็บอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้ นี่เนื่องเพราะเต้าจี้ไต้ซือเองหาเคยจะไปประลองยุทธ์กับพวกชนชาวนักเลงไม่ ดังนั้นประสบการณ์ต่อสู้ย่อมตกต่ำกว่าพวกกังโส่วหู่ทั้งสองมากนัก ว่านสี่เซี่ยเห็นโอกาส จึงคารวะจรดพื้นอีกครา จากนั้นผายมือไปด้านขวาของตน
“ไต้ซือเชิญ”
เต้าจี้ไต้ซือทำตามอย่างบ้าง ร้องเชิญออกมาจบ ที่ไหนได้ว่านสี่เซี่ยกางกงเล็บพุ่งออกไปด้วยท่าอินทรีตะปบเหยื่อ ขณะกำลังเงยหน้าขึ้นมาดู กลับพบว่าทั้งสองมือของมันมุ่งสู่ทรวงอกตัวเองเสียแล้ว
“ลมปราณมีพิษ”
เต้าจี้ไต้ซือไม่ทันระวังถูกกงเล็บมารเข้าเต็มที่ เซถลาเข้าสู่ฝ่ายตนบ้าง ท่านร้องครางคราหนึ่ง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง พวกพระในวัดล้วนเข้ามาพยุงลุกขึ้นจนสิ้น เฟิงโป้ไต้ซือผู้ที่โต้เถียงกับฉินกุ้ยออกมาชี้หน้าด่าว่านสี่เซี่ยทันที “เจ้าเป็นบุคคลเช่นไร ถึงกระทำเรื่องต่ำช้าสามานย์ของชนชาวนักเลงเช่นนี้”
“ข้าพเจ้า มีฉายาว่า มาร ข้าพเจ้าจำเป็นต้องใส่ใจกฎเกณฑ์ของวงพวกนักเลงด้วยหรือ อีกประการ ตะกี้ไต้ซือท่านนี้ใช้ไม้กวาดตีใส่ท่านมหาอุปราช ท่านไต้ซือคิดว่าสมควรหรือไม่”
“ท่าน ท่าน”
เฟิงโป้ไต้ซือมิรู้จะต่อเถียงยังไง จึงกล่าวได้เพียง ท่าน ท่าน เท่านั้น แต่ท่านก็มิได้เข้าร่วมไปต่อสู้ด้วย พวกกังโส่วหู่ที่แอบมองอยู่ไกลก็คิดจะเข้าไปช่วย แต่หากปรากฏตัว ไม่เพียงแต่เต้าจี้ไต้ซือจะเดือดร้อน อีกทั้งวัดหลิงอิ่นคงอยู่มิเป็นสุข ที่แท้พวกพระลูกวัดทั้งมวล รวมทั้งเฟิงโป้ไต้ซือและเจ้าอาวาส หาเป็นเพลงยุทธ์ไม่ ทุกวันพวกท่านเห็นเต้าจี้ไต้ซือเมามาย ทำท่านั่นท่านี้ เพียงเข้าใจว่าเป็นการละเมอเพ้อพกไปเรื่อยของพวกขี้เมาเท่านั้น มิเคยนึกถึงเลยว่าเป็นเพลงมวยประการหนึ่ง
เต้าจี้ไต้ซือโดนพลังลมปราณพิษเข้าไปถึงกับกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ยังดีที่วันนี้ว่านสี่เซี่ยมิได้นำเอาหัตถ์พิษภูติหมื่นนรกมาด้วย ไม่เช่นนั้นท่านไต้ซือคงได้ตายคาที่เป็นแน่แท้ หัตถ์พิษภูติหมื่นนรก เป็นอาวุธคู่กายของว่านสี่เซี่ย ที่ได้มาจากการสับสังหารอาจารย์ตัวเอง แท้ที่จริงหัตถ์พิษมีถึงสองอัน แต่เนื่องจากอุปนิสัยส่วนตัวของว่านสี่เซี่ย จึงได้ใช้เพียงอันเดียวเท่านั้น อีกอันหนึ่งจางจุ้นก็มิได้ใช้ จึงได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
วันนี้ที่มันมิได้นำหัตถ์พิษมาด้วย นั่นเพราะวัดหลิงอิ่นห้ามพกพาอาวุธเข้ามาในบริเวณทั้งหมด ดังนั้นพวกทหารที่ติดตามมาย่อมไม่มีอาวุธอื่นใดที่เห็นเด่นชัด นอกจากมืดสั้นที่นำติดตัวเท่านั้น
เต้าจี้ไต้ซือนั่งลงเพ่งสมาธิรวมพลังลมปราณ แต่ก็ไร้ผลใดๆ ลมปราณยังคงติดขัดต่อเนื่องไม่อาจรวมเป็นหนึ่งได้
วันนี้คงต้องสู้ให้ถึงที่สุดเท่านั้น ถึงตายก็ห้ามพ่ายแพ้!
เต้าจี้ไต้ซือฝืนลุกขึ้นหยัดยืนอย่างยากลำบาก ยิ้มบางๆ ของท่านนุ่มละไม แต่ริมฝีปากล้วนซีดเซียว อวัยวะภายในเกือบขาดสะบั้น แต่ยังมิยอมล้มลง เพราะหากล้มลงแล้ว วัดแห่งนี้คงถูกพวกว่านสี่เซี่ยย่ำยีจับเอาคนไปตามอำเภอใจเป็นแน่
“อาตมาคิดจะขอทดสอบอีกคราหนึ่ง”
เต้าจี้ไต้ซือกล่าวจบก็พุ่งไปเบื้องหน้า แยกขาซ้ายส่งออกไปก่อน ว่านสี่เซี่ยก็เช่นเดียวกัน มันเปิดฉากการต่อสู้อีกคราด้วยการกระโดดขึ้นสู่เบื้องบนอย่างรวดเร็ว พวกกังโส่วหู่เห็นดังนั้นจึงตะลึงลานกับที่ ที่แท้มิได้มีแต่พวกมันเท่านั้นที่คิดวิชาตัวเบาเป็น ฝ่ายมารยังคงคิดเป็นด้วย เนื่องเพราะจุดเบื้องล่างนั้น สัมพันธ์กับจุดฮุ่ยอิ่นเป็นอันมาก พวกมารจะคิดได้บ้างก็คงมิแปลก ดังนั้นจึงต่างกับพวกฝ่ายธรรมะที่ยึดติดอยู่กับเส้นลมปราณพิเศษทั้งหลายยิ่งนัก
ว่านสี่เซี่ยกระโจนขึ้นเบื้องบน แล้วสมทบด้วยท่าอินทรีตะปบเหยื่ออีกครา นี่จึงเป็นท่าที่แท้จริงของกระบวนเพลงนี้ เต้าจี้ไต้ซือระวังป้องกันอยู่ก่อนแล้ว โคจรพลังป้องกันแขนทั้งสองข้าง กางแขนทั้งสองไขว้สลับกันเป็นท่าจอกสุรานี้ให้ท่าน ท่านี้ดูคล้ายกับท่านไต้ซือกำลังจะใช้มือทั้งสองสลับไขว้กันส่งมอบจอกสุราให้ว่านสี่เซี่ยก็ปาน
ว่านสี่เซี่ยตะปบลงมาถึงพื้น เสียงดังจากสองแขนปะทะกันดังครืดๆ อยู่ไม่ขาด ที่แท้มันลงถึงพื้นก็เจอกับท่าเบิกโรงของหมัดเมาเข้าไป ก็นึกว่าจะไม่มีอะไรสำคัญ ที่ไหนได้เป็นท่านี้กลับปล่อยมือมันเสียได้ ท่านี้เป็นท่าลวง!
“ระวัง”
เต้าจี้ไต้ซือพูดจบ เมื่อได้ทีเช่นนี้ไหนเลยจะปล่อยปละ ท่านเพียงสะบัดมือของท่านออก มือทั้งสองข้างของว่านสี่เซี่ยที่ตะปบติดอยู่ ก็กระจายออกไปโดยง่ายดาย ท่านกลับมาตั้งหลัก กางแขนออกตีลังกากลับไปเบื้องหลัง พร้อมทั้งถีบเข้ายอดอกของว่านสี่เซี่ยติดต่อกันถึงสิบกว่าที
ว่านสี่เซี่ยถูกถีบจนต้องถอยหลังเป็นพัลวัน ตอนแรกมันนึกว่าได้เปรียบกว่า เพราะตอนที่มันใช้อินทรีตะปบเหยื่อครั้งแรกนั้น มันแฝงกำลังภายในพิษเข้าไปด้วย ซึ่งลมปราณประเภทนี้ จะแทรกซึมเข้าไปทำอันตรายกับอวัยวะภายในโดยเฉพาะ ไม่นึกเลยว่าไต้ซือท่านนี้กลับยังมีกำลังใจเข้าต่อกรกับมันได้ถึงเพียงนี้
“ประเสริฐ ประเสริฐ”
ว่านสี่เซี่ยยิ้มอย่างเหี้ยมหาญ นานแล้วที่มันไม่เคยพบคู่มือที่ทัดเทียมกับมันเช่นนี้ พูดจบก็พุ่งเข้าไปหาเต้าจี้ไต้ซืออีกครา ใช้ท่าอินทรีตะปบเหยื่ออีกครา เต้าจี้ไต้ซือก็กระทำดังเดิม เช่นนี้จะนับเป็นการยุทธ์ได้เช่นไร!
ที่แท้หาเป็นเช่นนั้นไม่ ว่านสี่เซี่ยพุ่งไป แต่กลับไม่ยินยอมปล่อยกงเล็บออกมา พลันเตะตวัดกลับหลังไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วยิ่ง นี่เป็นท่าแมงป่องตวัดหาง ซึ่งประหนึ่งคล้ายแมงป่องตวัดหางตนเองพุ่งเข้าไปยังเบื้องหน้าของเป้าหมาย ซึ่งก็คือ เต้าจี้ไต้ซือ นั่นเอง ในที่สุดแรงตวัดเตะก็แรงจนแหวกม่านกำแพงของท่าจอกสุรานี้ให้ท่านเข้ามาจนได้
เต้าจี้ไต้ซือกังวลใจยิ่งนัก หันกลับมาใช้ยกสุราพันจอกอีกครา แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นใช้หลังมือป้องกันเพลงเตะแทน พร้อมกันนั้นก็เตะกราดเข้าไปที่ขาหลักยืนของว่านสี่เซี่ย มันหรือจะยอมเสียเหลี่ยม เลื่อนพลังมากักเก็บไว้ที่หน้าแข้งแทน แล้วตวัดกลับมา เตะกราดเข้าชายโครงเบื้องซ้ายของเต้าจี้ไต้ซือทันที หมายแลกกันคนละหนึ่งที
ไหนได้เพลงเตะของท่านไต้ซือเพียงผ่านไปเท่านั้น ที่แล้วมาล้วนเป็นท่าลวง ร่างของท่านหมุนคว้าง จากนั้นเท้าอีกข้างกับเตะเต็มก้านคอของว่านสี่เซี่ย ส่วนเพลงเตะของมันนั้นเล่า ถึงกับเข้าถูกเต็มที่กับชายโครงด้านซ้ายอย่างรุนแรงกระเทือนถึงอวัยวะภายในที่บอบช้ำอยู่แล้ว นั่นยิ่งทำให้เต้าจี้ไต้ซือกระอักเลือดออกมาอีกหลายคำ พร้อมเซถลาถอยไปอีกสองก้าว
ด้านว่านสี่เซี่ยนั้นกลับเพียงเคล็ดยอกในลำคอเพียงน้อยนิดเท่านั้น มันเก่งกาจเยี่ยงเทพยดาดังนี้ ไหนเลยจะไปหาญสู้กับมันได้! แต่เต้าจี้ไต้ซือไหนเลยจะยินยอมพร้อมใจ ท่านรำเพลงหมัดเมาอีกครา เซถลาถอยคล้ายดั่งเมาหมัดคู่ต่อสู้ก็ปาน หมัดเมาลี้ลับพิสดาร แม้แต่ว่านสี่เซี่ยยังจับท่าไม่ค่อยจะถูก ไหนเลยพวกกังโส่วหู่และจางฝานจะจับทางออกได้ เพียงเห็นเต้าจี้ไต้ซือร่ายรำไปมา ว่านสี่เซี่ยคล้ายดั่งผู้ชมดูพิเศษคนหนึ่งที่ยืนดูอยู่เบื้องใกล้
ว่านสี่เซี่ยแสยะยิ้มอีกครา ไม่นึกเลยว่ามันเจอเพลงมวยดังนี้ยังยิ้มได้!
มันยิ้มเพียงชั่วขณะ หลังจากยิ้มอันเหี้ยมหาญนั้นแล้ว มันก็วิ่งอยู่รอบๆ ท่าร่างของท่านไต้ซือเท่านั้น วนไปมา จนคล้ายกับเป็นเงาร่างนับสิบกำลังกลุ้มรุมเข้ามาพร้อมกัน คล้ายดั่งวงกลมที่ค่อยลดขนาดลงมาเรื่อยๆ กังโส่วหู่กับจางฝานเห็นดังนั้น ถึงกับตะลึงลานกับที่ เมื่อเห็นวิชามารประการนี้ แสดงว่าวิชาตัวเบาของมัน ถึงขั้นไร้เทียมทานแล้วกระมัง!
เต้าจี้ไต้ซือจับทิศทางร่างจริงด้วยจิตประสาท ส่วนตานั้นปิดหลับลง เนื่องจากบางทีท่านอาจจะถูกนัยน์ตาหลอกลวงมาแล้วหลายครา แต่หากจิตใจยังมิเคยถูกรบกวนนั่นเอง
เกร็ดความรู้
[1] ยามจื่อ เป็นเวลาประมาณ 23.00 - 24.59 น.
[2] ตามปฎิทินจันทรคติ เดือนหนึ่งมีทั้งหมด 29 วัน ตามการโคจรของดวงจันทร์
หมายเหตุ
หมัดเมาที่เต้าจี้ไต้ซือใช้ ดัดแปลงมาจากหมัดเมาของวัดเส้าหลิน ชมคลิปหมัดเมา
|
นับวันฝีมือการเล่าเรื่องยิ่งร้ายกาจ
ดุจง้างเกาทัณฑ์ ยิงธนูร้อยดอก ถูกเป้าหมายทั้งร้อยดอก
เลื่อมใสๆ
สู้ต่อไปครับ