ตำนานสะท้านฟ้า (สารบัญ)
ยังไม่เปิดจ้า
ยังไม่เปิดจ้า
บู๊ลิ้มพันทิพย์

บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 6 กระบี่คู่รันทด






ทางเดินในช่องลับ นั้นกลับยาวไม่สิ้นสุด เหมือนดั่งมันจะไม่มีจุดหมายปลายทางก็ปาน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนทั้งสี่จะเรียกว่าเดินก็มิใช่ จะว่าค่อยๆ เขยื้อนไปก็มิเชิงนั้นมากนัก กังโส่วหู่นำหน้าไปพร้อมกับโยนเหรียญถามทางไปเรื่อยๆ หากไม่พบสิ่งผิดปกติ มันก็จะเก็บเหรียญอิแป๊ะขึ้นมา แล้วขยับไปอีกช่องหนึ่ง


เช่นนี้ เมื่อไหร่จะถึงจุดหมายกัน!


ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งสี่คนก็ยังเดินหน้าไม่หยุดยั้ง อากาศข้างในยิ่งลึกยิ่งอับชื้นขึ้นเรื่อยๆ จูซีที่ชราภาพถึงกับเริ่มหอบหายใจหนักๆ หลงหย่งหว่อเกรงจะเป็นอันตรายแก่ท่านผู้เฒ่าจึงบอกกล่าวให้ท่านกลับขึ้นไปเสียก่อน แต่ท่านกลับมิยินยอมจากไปแม้แต่น้อยนิด


กังโส่วหู่โยนเหรียญถามทางอีกครา แต่ครานี้ก็เช่นเดิมไม่มีสุ่มเสียงใดๆ อีก มันนึกว่าจะไม่มีกระไรแล้ว ที่ไหนได้พอมันเดินเข้าไปเพียงน้อยนิด เท้าของมันกลับไปถูกปุ่มบนพื้นบางอย่างเข้าโดยบังเอิญ พื้นที่เบื้องหน้านั้นถึงกับพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ มันรีบถอยกลับมาโดยบัดดล ทางเดินนั้นพุ่งสูงขึ้นจนเกิดเป็นกำแพงใหญ่ขวางทางไว้



หันไปข้างหลังทางเดินอีกทางก็กำลังจะพุ่งขึ้นเช่นเดียวกัน!


หลงหย่งหว่อปฏิกิริยาฉับไวรีบใช้กระบี่กั้นขวางทางเบื้องหลังไว้ แต่กระบี่น้อยนิดหรือจะสู้กำลังของหินผาไปได้ กังโส่วหู่รีบตะโกนให้มันเอากระบี่ออกมาเสียก่อน หลงหย่งหว่อไม่มีทางเลือกได้แต่กระทำตามอย่างที่กังโส่วหู่บอกเท่านั้น


ตอนนี้ทุกด้านล้วนปิดสนิท ไม่มีที่ไปใดๆ ทั้งสิ้น หากอยู่ในที่นี้ต่อไป ใยมิใช่เท่ากับรนหาที่ตายเล่า?


กังโส่วหู่สำรวจอยู่นานก็ไม่พบกลไกเปิดทางลับแต่ประการใด นั่นยิ่งทำให้ทั้งหมดรู้สึกท้อแท้ไปตามกัน หลงหย่งหว่อพยุงจูซีให้นั่งลงเอาแรงในมุมด้านหนึ่ง ส่วนจางฝานยังช่วยกังโส่วหู่หากลไกเปิดทางลับต่อไป


จู่ๆ พลันมีกระแสน้ำเคลื่อนที่เข้ามาทั่วทั้งมุมห้อง ทั้งสี่ตกใจยิ่งนัก พื้นเริ่มแฉะขึ้นเรื่อยๆ


“โส่วหู่ รีบๆ ทำอะไรเข้าสักอย่างซี”


“ข้าพเจ้าก็พยายามอยู่ ท่านก็รีบหาช่วยข้าพเจ้าซี”


แม้กังโส่วหู่จะพูดบอกจางฝานไปอย่างนั้น แต่ระดับน้ำก็เริ่มเพิ่มขึ้นถึงข้อเท้าของพวกมันแล้ว นั่นยิ่งทำให้มันกระวนกระวายใจนัก ขณะกำลังค้นหากลไกเปิดประตู จางฝานพลันสะดุดมืออยู่กับสิ่งของหนึ่งในมุมด้านหนึ่ง


“นี่คืออะไรหรือโส่วหู่”


จางฝานหยิบสิ่งของนั้นขึ้นมา กังโส่วหู่หันตะเกียงน้ำมันกลับมาส่องดูใกล้ๆ ที่แท้ถึงกับเป็นหัวกะโหลกอันหนึ่ง! จางฝานเห็นดังนั้นรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว เสียงหัวกะโหลกตกลงน้ำดังจ๋อม ฟังดูวังเวงพิกล


“หรือ หรือ เราจะตายอย่างคนผู้นี้”


จางฝานสั่นงันหงกด้วยความกลัวตาย ใครบ้างจะไม่กลัวตายเล่า? หากตายได้อย่างทุกข์ทรมานในน้ำเยี่ยงนี้ ตายบนบกเสียยังดีกว่าอีก


“เจ้าบ้า พูดกระไรเยี่ยงนั้น ข้าพเจ้ามิยินยอมตายในน้ำร่วมกับคนผู้นี้ดอก”


กังโส่วหู่พูดอย่างโมโห มันไม่ชมชอบที่จะไปตายร่วมกับใครจริงๆ แต่ระหว่างที่มันชี้ไปที่กองกระดูก กลับพบเห็นบางสิ่งเข้า!


ที่แท้คือแผ่นศิลาอันหนึ่ง มันยกจับแผ่นศิลานั้นขึ้นมา น้ำหนักของแผ่นศิลามากเอาการ แต่กังโส่วหู่ยังพอยกไหวด้วยสองมือ ข้างในแผ่นศิลาสลักข้อความไว้ แต่อ่านอย่างไรก็อ่านไม่เข้าใจ ตัวหนังสือในนั้น น่าจะเป็นตัวอักษรโบราณประการหนึ่ง


กังโส่วหู่นำแผ่นศิลานั้นค่อยๆ เขยื้อนเข้ามาหันยื่นให้แก่จูซีผู้เฒ่าพิจารณาดู ท่านพิจารณาอยู่ชั่วครู่หนึ่งจึงร้องโพล่งด้วยความดีใจ


“ในนี้มีทางออก!!”


“ว่ากระไร ผู้น้อยหาเนิ่นนาน เหตุใดยังมิพบเจอกลไกเปิดด่านนั้นเล่า”


จูซีพรางถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ


“กลไกเปิดด่านนี้ซับซ้อนยิ่งนัก เนื่องจากต้องกดสลักที่พื้นทั้งสี่ด้านพร้อมกันจึงจะเปิดออก ข้าพเจ้าคาดว่าคนผู้นี้น่าจะมาเพียงผู้เดียว เนื่องจากมันพยายามเปิดกลไกอยู่นาน แต่จนแล้วจนรอดมันก็เปิดกลไกนี้ไม่ได้สักที ระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้น มันจึงต้องตกตายอยู่ในค่ายกลน้ำด้วยประการนี้ ยังดีที่ก่อนตายมันยังกอดรัดแผ่นศิลาเอาไว้ แผ่นศิลาหนักอึ้ง ร่างของมันเลยไม่ถูกพัดพาไปไหน นับเป็นโชคดีของเราจริงๆ”


เมื่อจูซีพูดจบ กังโส่วหู่ส่งแผ่นศิลาให้หลงหย่งหว่อ และส่งตะเกียงน้ำมันให้แก่จางฝานถือแทน แล้วรีบไปเคาะหากลไกเปิดทางลับตามจุดต่างๆ ในแต่ละมุม ปรากฏว่ามีกลไกอยู่ภายในจริงๆ มันถึงกลับยิ้มแย้มอย่างสบายใจ บอกให้ทั้งหมดเข้าประจำที่ ขณะนั้นน้ำเริ่มขึ้นถึงหัวเข่าแล้ว หากช้ากว่านี้คงไม่ทันกาล


กังโส่วหู่ใช้ปากงับเอาก้านตะเกียงน้ำมันเอาไว้ แล้วพูดสั่งให้กดพร้อมกัน แม้จะพูดไม่ค่อยได้ศัพท์ แต่ก็เป็นอันเข้าใจ ไม่เช่นนั้นก็ตายกันหมด


เมื่อทั้งหมดกดพื้นทั้งสี่จุดลงไปพร้อมกัน ระดับน้ำก็ค่อยๆ ลดลงไป ในที่สุดพื้นทั้งสองด้านก็ลดระดับลงเช่นเดียวกัน เผยให้เห็นทางเดินต่อไปเบื้องหน้า


ทั้งหมดผ่านด่านห้องน้ำนั้นมาได้ ถึงกับเปียกโชกไปตามๆ กัน
เมื่อเดินมาจนถึงช่องหนึ่งพลับพบว่าทางข้างหน้ามีเสียงลมกรรโชกแรงดังอื้ออึ้งไม่ขาด กังโส่วหู่ใช้เหรียญถามทางนำพาไป แต่ปรากฎว่ามีแต่เสียงเหรียญสะท้อนไปมาฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก สักพักใหญ่ๆ จึงหยุดลง มันรู้แล้วว่าน่าจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งจึงลองเสี่ยงสักครา เมื่อวางตะเกียงน้ำมันลงแล้ว จึงวิ่งเข้าไปทดสอบ 



แต่ที่ไหนได้ มันกลับติดอยู่ที่มุมห้องด้านซ้ายซะอย่างนั้น!


ที่แท้มีเรื่องราวใดกัน!


จางฝานเห็นสหายไปติดอยู่อย่างนั้น จึงตะโกนเรียก


“โส่วหู่ ท่านไปติดอยู่อย่างนั้นทำไม ประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะเข้าไปช่วย”


“เจ้าบ้า อย่า....”



เสียงพูดห้ามยังไม่ทันขาดคำ จางฝานดันกระโดดเข้ามาเสียก่อน


“เห็นไหมข้าพเจ้าบอกท่านแล้วว่าอย่า”


กังโส่วหู่อดพูดประชดประชันอีกครั้งมิได้ แม้มันจะพูดไม่ค่อยได้ศัพท์ ฟังก็ไม่ค่อยชัดนัก ที่แท้ทั้งสองถูกลมแรงพัดพามาถึงมุมห้องอีกด้านหนึ่ง


“ข้าพเจ้า ขอโทษ”


จางฝานทำหน้าหงอพูดเสียงอ่อยๆ ออกมาอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงกล่าวต่อ


“ท่านลองขยับไปเบื้องหน้าดูหน่อย”


“มิได้ข้าพเจ้าพยายามแล้วแต่ลมแรงเกินไป”


“งั้นท่านลงพลิกตัวดู”


“เจ้าบ้า แค่ขยับยังขยับไม่ได้ จะให้พลิกตัวหรือไง”


พลันจูซีส่งเสียงตะโกนขึ้นมาขัดจังหวะการกัดกันระหว่างจางฝานและกังโส่วหู่เสียก่อน


“ข้าพเจ้าทราบแล้ว นี่อาจคล้ายกับค่ายกลมหาภูติ[1] แห่งเทียนเต็ก”


“ท่านผู้เฒ่า มหาภูติอันใด”


“ด่านแรกนั้นคือด่านดิน ต่อมาคือด่านน้ำ และตอนนี้พวกท่านกำลังติดอยู่ในด่านลม”


“ด้านตรงกันข้ามมีกลไกปิดค่ายกลอยู่ แต่ข้าพเจ้ายังคิดหาวิธีเคลื่อนไหวไปปิดค่ายกลฟากตรงกันข้ามมิได้”


จางฝานและกังโส่วหู่ กังวลใจยิ่งนัก แต่จะขยับตัวไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนมีพลังบางอย่างกดทับพวกมันอยู่เบื้องหน้าไม่ได้ขาด ผู้คิดค่ายกลนี้ถือเป็นอัจฉริยบุคคลเลยทีเดียว!


จูซีคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก พลันหลงหย่งหว่อรีบวิ่งกลับไปที่ค่ายกลเก่า มันทำอันใดกันแน่?


ไม่นานมันก็เดินกลับมา ที่เดินกลับมาไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อย


แต่จริงๆ แล้วมันแบกศิลาหินอันนั้นมาต่างหากเล่า!


เมื่อเดินผ่านหน้าจูซี ท่านผู้เฒ่าถึงส่งเสียงร้องคราหนึ่ง


“อา ใช่แล้ว หย่งหว่อชาญฉลาดจริงๆ นี่ต้องเรียกว่า เหมือนเส้นผมบังภูเขาเนิ่นนานถึงคลายออก”


หลงหย่งหว่อเดินเข้าไปในค่ายกล ในตอนแรงนั้นยังสะทกสะท้านสั่นไหวอยู่ไม่ขาด แต่พอพยุงตัวได้แล้วก็ค่อยๆ เข้าไปที่มุมหนึ่งของห้อง ใช้มือข้างหนึ่งถือศิลาหิน อีกข้างหนึ่งลูบคลำไปมา แสดงถึงกำลังยุทธ์อันร้ายกาจ หากเปลี่ยนเป็นกังโส่วหู่หรือจางฝานคงมิสามารถกระทำได้ ในที่สุดมันก็พบเจอหนทางปิดกลไก


นี่นับว่าหลายหัวดีกว่าหัวเดียว มิเช่นนั้นพวกมันก็คงตายอยู่ที่ด่านดินด่านน้ำเนิ่นนานแล้ว หรือหากผ่านมาได้ก็คงติดอยู่ที่ด่านลมไปไหนไม่ได้อยู่ดี


เมื่อกลไกปิด จางฝานและกังโส่วหู่ถึงกับล้มตัวลงมานอนกับพื้น เหนื่อยแทบขาดใจ หลงหย่งหว่อพลันส่งเสียงหัวเราะคราหนึ่งกล่าว


“เมื่อครั้นค่ายกลดิน ท่านช่วยข้าพเจ้าไว้ ครั้งนี้ถือว่าข้าพเจ้าช่วยท่านแล้ว ทั้งหมดล้วนหายกัน”


กังโส่วหู่แทบไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ส่งเสียงพูดเพียงบางเบา


“เจ้าเล่ห์นัก คิดเอาเปรียบข้าพเจ้าหรือ?”


“ฮาฮา นั่นนับว่าถูกต้อง”


ทั้งหมดรอจนจางฝานและกังโส่วหู่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นแล้วจึงเดินทางต่อ เบื้องหน้านั้นจูซีบอกกล่าวไว้ว่ายังมีค่ายกลไฟ ซึ่งยังไม่ปรากฏ ดังนั้นสมควรระวังอย่างยิ่งยวด


กังโส่วหู่จึงใช้เหรียญถามทางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันถึงกับโยนเหรียญไปทั่วทั้งมุมห้อง เมื่อไม่พบอันตรายก็ค่อยๆ ขยับไปอีกช่องหนึ่ง จนมาถึงช่องหนึ่ง มันโยนเหรียญลงไปเองถึงกับผวา เนื่องเพราะตอนนี้เหรียญที่มันโยนลงไปบางส่วนถูกดูดตกลงไปในช่องทางลึกเบื้องล่างเสียแล้ว มีเพียงทางเดินแคบๆ ทอดไปเบื้องหน้าเท่านั้น


มาถึงค่ายกลไฟแล้ว!


กังโส่วหู่จับตะเกียงน้ำมันส่องดูตรงช่องมืดอีกครา ครั้งนี้มันผวาหนักกว่าเดิมเสียอีก ที่แท้ใต้ช่องมืดนั้น ถึงกับมีกรดกำมะถันอยู่เต็มเบื้องล่าง ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลยิ่งหากท่านตกลงไป ท่านก็ไม่ต้องคิดกระไรมากมายแล้ว


เนื่องจากท่านต้องร่างแหลกเหลวแน่นอน!



ทางเดินนี้มีเพียงช่องๆ เดียวเท่านั้นที่ใช้เดินได้ หากไม่มีวิชาฝีมือพอประมาณ คงไม่มีทางรอดไปได้ หลงหย่งหว่ออุ้มจูซีผู้เฒ่าขึ้น เดินติดตามหลังจางฝานและกังโส่วหู่ เมื่อผ่านมาถึงใกล้ถึงอีกช่องทางหนึ่ง กังโส่วหู่ก็ใช้มือแตะพื้นเยื้องเบื้องหน้าของมันเพียงเบาๆ พื้นนั่นถึงกับร่วงพรูลงไปอีกเป็นช่องทางยาวกว่าสิบช่อง


กว่าทั้งหมดผ่านทางหฤโหดนั้นมาได้ มีหลายครั้งที่จางฝานเกือบผลัดตกลงช่องทางลึกนั้นไป ยังดีที่กังโส่วหู่ฉุดรั้งมือมันเอาไว้
ทางเดินยังไม่สิ้นสุด
ในที่สุดทั้งหมดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เบื้องหน้าของทั้งสี่คน ปรากฏประตูหินขนาดใหญ่ ข้างประตูสลักคำกลอนโบราณบทหนึ่ง แต่กลไกเปิดประตูนั้นเล่า อยู่ที่แห่งใด?


กังโส่วหู่หยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นส่องดูอีกครา พบเห็นแท่นหมุนรูปร่างประหลาด อยู่ริมประตูหิน แท่นหมุนนั้นมีขนาดเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตรงมุมของสี่เหลี่ยมมีตัวอักษรโบราณประดับอยู่ทั้งสี่มุม ตรงพื้นเบื้องหลังแท่นหมุนมีขีดอยู่ 4 ขีด แบ่งเป็น บน ล่าง ซ้าย ขวา อย่างชัดเจน


กังโส่วหู่คาดว่า น่าจะเป็นกลไกในการเปิดประตูหิน ดังนั้นจึงเรียกจูซีเข้ามาชมดูร่วมกัน เมื่อรู้แน่ชัดว่าเป็นตัวอักษรในสมัยชุนชิว เขียนเป็นชื่อสัตว์ประจำทั้งสี่ทิศ คือ มังกร กิเลน เต่างู และหงส์ แต่กลับไม่รู้รหัสว่าจะใช้หมุนยังไง พลันกังโส่วหู่โพล่งขึ้นมา ที่แท้มันคิดออกแล้วว่ากลอนที่สลักไว้ทั้งสองข้างของประตูนั้น น่าจะเป็นรหัสสำหรับหมุนแท่นหมุนนี้เป็นแน่แท้ จึงบอกกล่าวแก่จูซี ให้ช่วยแกะข้อความนั้น


ผ่านไปไม่ถึงชั่วก้านธูป จูซีก็แกะคำเหล่านั้นจนเสร็จสิ้น จึงบอกกล่าวแก่กังโส่วหู่


กลอนบทนี้เขียนไว้ดังนี้


มังกรเคลื่อนคล้อยกลางนภา


เต่าชราล้วนเลื้อยลงทะเล


ฤดูเหมันต์ปรากฏกิเลนมา


หงส์ไฟคืนชีวาออกจากรัง


กลอนนี้แม้ธรรมดา แต่ข้อความกลับซ่อนความนัยไว้ลึกซึ้ง เนิ่นนานก็ยังไม่มีผู้ใดขบคิดออก ทั้งหมดต่างหันหน้าไปคนละทาง ต่างคนต่างขบคิด
ให้หลังจางฝานจึงกล่าวข้อคิดเห็นขึ้นมาก่อน


“ข้าพเจ้าคาดว่า น่าจะหมายถึงเคลื่อนมังกรไปที่ขีดบนก่อน จากนั้นเคลื่อนเต่างูมาที่ขีดล่าง จากนั้นเคลื่อนกิเลนมาที่ขีดบน แล้วจึงเคลื่อนหงส์มาที่ขีดซ้าย”


กังโส่วหู่พลันโพล่งโต้แย้งทันที


“ในข้อแรกข้าพเจ้าก็คิดแบบเดียวกับท่าน แต่ตรงกิเลน และหงส์นั้น ข้าพเจ้าคิดว่าท่านน่าจะผิด น่าจะเป็นเคลื่อนกิเลนมาที่ขีดซ้าย แล้วจึงเคลื่อนหงส์มาที่ขีดล่างมากกว่า”


หลงหย่งหว่อโต้แย้งบ้าง


“ข้าพเจ้าว่า สามประการแรกน่าจะถูกต้องตามจางฝาน แต่จุดสุดท้าย น่าจะเป็นหงส์ตามที่โส่วหู่กล่าวมากกว่า”


ทั้งสามถลึงตาใส่กันในบัดดล เปรียบเสมือนมีไฟประทุขึ้นที่ตาก็ปาน แม้แต่หลงหย่งหว่อที่เป็นผู้อาวุโสที่สุด ยังอดมิได้ต้องประชันขันแข่งกับผู้เยาว์ทั้งสอง
จูซีเห็นเป็นที่เดือดร้อน ต้องรีบห้ามปรามศึกภายในเสียก่อน


“ไฮ้! พวกท่านก็ฟันฝ่าร่วมกันมา เหตุใดถึงต้องแง่งอนกันด้วยเรื่องเพียงนี้เล่า ข้าพเจ้าตัดสินให้แล้วกัน”


จูซีหยุดคราหนึ่งจึงกล่าวต่อ


“ข้าพเจ้าคาดว่า ที่จางฝานคิดเช่นนั้น ประโยคแรกคือมังกรมาจากเบื้องบน เต่าลงไปเบื้องล่าง ฤดูเหมันต์มาจากเบื้องบน หงส์เกิดจากพื้นดิน ใช่หรือไม่”


จางฝานพยักหน้ารับคำ จูซีจึงหันหน้าไปหากังโส่วหู่บ้าง


“ที่ท่านคิดเช่นนั้น เพราะกิเลนมาจากทิศตะวันตก และหงส์มาจากทิศใต้ ใช่หรือไม่”


กังโส่วหู่พยักหน้าอีกคน จูซีหยุดหน่อยจึงหันหน้ามากล่าวกับหลงหย่งหว่อบ้าง


“ส่วน หย่งหว่อ ท่านคิดว่าหงส์มาจากทิศใต้เช่นเดียวกันกับโส่วหู่ ใช่หรือไม่”


หลงหย่งหว่อพยักหน้ารับคำ


“เช่นนั้น ใช้คำตัดสินของข้าพเจ้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้าเห็นว่า ประการแรกเหมือนกับจางฝานว่า ต่อจากนั้นกิเลนให้เหมือนกับหย่งหว่อและโส่วหู่ ส่วนหงส์ข้าพเจ้าขอใช้ความเป็นอาวุโสของข้าพเจ้าให้หงส์อยู่ทิศตะวันตกตามที่จางฝานอกบกล่าว เพราะทิศตะวันตกคือการตายและการเกิดใหม่”


ทั้งหมดพยักหน้ารับคำ กังโส่วหู่ทำตามคำแนะนำของจูซีอย่างจำใจ เมื่อมันหมุนมังกรมาที่ขีดบนก่อน เสียงสั่นสะเทือนคราหนึ่งดังขึ้นแสดงว่าสลักน่าจะเปิดออกแล้ว ต่อมามันหมุนเต่ามาที่ขีดล่าง และกิเลนขีดซ้ายตามลำดับ เสียงสั่นสะเทือนปรากฏอีกครา


เมื่อกังโส่วหู่กำลังจะหมุนจุดสุดท้าย มันถึงกับมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มใบหน้า บางส่วนตกลงพื้นเบื้องล่าง บ่งบอกถึงอาการตึงเครียดอย่างถึงที่สุด ด้วยประสบการณ์มืออาชีพอย่างมัน ถ้าหมุนกลไกผิดพลาดต้องเกิดปรากฎการณ์อะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าหากหลบพ้นก็อาจจะไม่ถึงกับสิ้นชีวิต แต่หากหลบไม่พ้นน่ากลัวทั้งสี่คนจะไม่มีชีวิตรอดออกไปเป็นแน่แท้


กังโส่วหู่กั้นลมหายใจหมุนหงส์ไปที่เบื้องซ้ายอย่างช้าๆ พลันได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเนิ่นนานหลายคราประตูหินเปิดออกแล้ว กังโส่วหู่ถึงกับทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เหงื่อกาฬที่เต็มเบื้องหน้าล้วนหายไปหมดสิ้น


ประตูหินเปิดออกแล้ว!



กังโส่วหู่นำหน้าเช่นเคย เมื่อไม่พบอันตรายใดๆ จึงเรียกที่เหลือเข้ามาบ้าง ห้องสุสานเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ ห้องหนึ่งเท่านั้น ข้างในประกอบไปด้วยโลงหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง เบื้องซ้ายมีหีบกล่องวางอยู่สามใบด้วยกัน ด้านซ้ายมีตำรับตำรากองพะเนินสูงพอประมาณ เบื้องหลังมีภาพอักษรโบราณปรากฏอยู่หลายภาพ ถัดจากภาพ มีกระบี่สองเล่มแขวนไว้


จูซีนั้นสนใจกองหนังสือมากกว่า สมกับที่ท่านเป็นมหาปราชญ์แห่งยุค ส่วนกังโส่วหู่ก็กำลังแกะงัดหีบกล่องเบื้องซ้ายตามนิสัยของหัวขโมยทั่วไป จางฝานและหลงหย่งหว่อนั้นหยิบจับพิจารณากระบี่ทั้งสองเล่ม ทั้งสองถึงกับอุทานออกมาพร้อมกันว่า กระบี่วิเศษ


จูซี อ่านภาพอักษรอยู่เนิ่นนานจึงกล่าวขึ้นมาว่า


“ที่แท้ นี่คือสุสานของท่านกานเจียง ช่างตีอาวุธที่เก่งกาจในสมัยชุนชิว”


คำพูดของจูซี ทำให้ทั้งหมดล้วนหยุดชะงัก จางฝานและหลงหย่งหว่อที่อยู่ใกล้ก็หันหน้ามารับฟังด้วยความสนใจ ส่วนกังโส่วหู่ตอนนี้เปิดหีบกล่องได้สองใบแล้ว ก็หยุดชะงักเช่นกัน ในกล่องที่กังโส่วหู่เปิดนั้น ปรากฏเป็นเพชรนิลจินดารูปร่างประหลาดหลายรูปแบบด้วยกัน


ทั้งหมดหันหน้ามามองจูซีเกือบพร้อมๆ กัน ท่านผู้เฒ่าจึงกล่าวต่อ


“ในภาพอักษรนี้เขียนไว้ว่า หลังจากที่ข้าพเจ้าตีกระบี่คู่โม่เซี่ยะกานเจียง[2]ได้แล้วนั้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกเสียใจที่จะมีชีวิตอยู่อีก เนื่องจากภรรยาอันเป็นที่รักนั้นล้มตายไปด้วยแรงปรารถนาแห่งข้าพเจ้า”


หลงหย่งหว่อและจางฝานรู้สึกถึงกับสลดลงไปทันที จางฝานนั้นกำลังคิดถึงครอบครัวของตนที่จิ่งกังว่าจะเป็นอย่างไร บิดามารดาจะสิ้นชีวิตแล้วหรือไม่


ส่วนหลงหย่งหว่อนั้นหวนคิดถึงเหตุการณ์ครั้งอดีต ที่หญิงคนรักถูกศัตรูร้ายสังหาร แม้หลังจากนั้นหลงหย่งหว่อจะสับสังหารบุคคลผู้นั้นให้ตกตายตามไปได้ แต่ไหนเลยจะช่วยชีวิตหญิงคนรักให้ฟื้นคืนมาดุจเดิม ตอนนั้นมันคิดจะฆ่าตัวตาย แต่จูซีผู้เฒ่าช่วยเอาไว้เสียก่อน จึงมิอาจตายได้ เมื่อได้ยินคำพูดเยี่ยงนี้ ไหนเลยจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มรินไหลออกมาอีกครา


กังโส่วหู่ผู้ไม่ทุกข์ร้อนอันใด พลันสะกิดให้จูซีเล่าต่อ ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจอีกคราแล้วกล่าวต่อไป


“แม้ข้าพเจ้าจะอยู่ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจเพียงใด แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงจะมิยินยอมตาย เนื่องจากข้าพเจ้าทราบว่าในเมืองสูนั้นมีหินประหลาดอีกก้อนหนึ่งปรากฏ ด้วยความเป็นช่างมือหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยังดินแดนแห่งนั้น แม้หนทางจะลำบากยากเย็น แต่ข้าพเจ้าก็มิได้ย่อท้อ”


จูซีหยุดยั้งลง สูบลมหายใจอีกคราสองครา จึงหันไปมองอีกแผ่นหนึ่ง เมื่อพิจารณาอยู่สักครู่ จึงกล่าวต่ออีก


“เมื่อข้าพเจ้าไปถึง กลับไม่พบเจอหินลูกนั้น แต่ข้าพเจ้ากลับพบเจอถ้ำๆ หนึ่งเข้า ในถ้ำนั้นปรากฏมีโบราณสถานแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าตรวจสอบดูแล้ว ข้าพเจ้ามิทราบจริงๆ ว่ามันมีอายุประมาณเท่าใด เป็นของชนชาติใด เหมือนกับสิ่งนั้นมิใช่มีมาจากฝีมือของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ”


จูซีหยุดยั้งลงอีกครา ในที่สุดก็หันมาดูที่แผ่นสุดท้าย


“ข้าพเจ้าทราบดีว่า โบราณสถานนั้นต้องเป็นสถานที่ที่เทพเจ้าสร้างขึ้นมาเป็นแน่แท้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลองเข้าไปสำรวจด้านใน แต่ก็มิได้เข้าไปลึกมากเท่าใดนัก เนื่องจากมีค่ายกลกับดักต่างๆ อยู่ในนั้นถึงหลายสิบแห่งด้วยกัน เมื่อไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ข้าพเจ้าจึงนำเอาทรัพย์สมบัติที่พบในห้องแรกมาเท่านั้น และนำมันมาไว้ในสุสานของข้าพเจ้า จัดสร้างค่ายกลขึ้นมาเพื่อทดสอบภูมิปัญญาของผู้ที่จะไขความลับนั้นให้แก่ข้าพเจ้าได้ และแผนที่นั้นอยู่ในโลงหินของข้าพเจ้านั่นเอง”


กังโส่วหู่ได้ยินถึงแผนที่ก็หูผึ่งทันที มันรีบเข้าไปเปิดโลงหินนั้นออกมาในบัดดล โลงหินนั้นปรากฏมีกองกระดูกกองหนึ่ง คนผู้นั้นกอดกระบอกดินเหนียวไว้ที่อก กังโส่วหู่แกะออกสองสามคราก็หลุดออก มันกระแทกกระบอกดินเหนียวออก ข้างในเก็บไว้ด้วยแผ่นหนังสัตว์อันหนี่ง เขียนบอกเป็นรูปแผนที่ จากนั้นจึงหันไปถามจูซี


“เมืองสู นั้นคือเมืองไหนขอรับ”


“เมืองสูนั้น ตอนนี้คือเมืองต้าหลี่ เมืองหลวงของแคว้นต้าหลี่นั่นล่ะ”


กังโส่วหู่พยักหน้ารับคำ จากนั้นล้วงเอาแผ่นหนังสัตว์ยัดใส่ในอกเสื้อ แล้วจึงหันไปเปิดกล่องที่เหลือ ส่วนจางฝานและหลงหย่งหว่อก็หันไปพิจารณากระบี่คู่อีกครา หลงหย่งหว่อดึงด้ามกระบี่แรกออก ปรากฏเขียนคำไว้ว่า โม่เซี่ยะ อีกด้ามหนึ่งเขียนไว้ว่า กานเจียง เป็นอักขระโบราณประการหนึ่ง จูซีก็บ่นพึมพำว่าตำราดีตำราดีอยู่ไม่คลาย พลันประตูสุสานนั้นกลับปิดลงเสียงดังสนั่น


นี่ยังไม่หมดเคราะห์กรรมอีกหรือ?


หลงหย่งหว่อและจางฝานหันหน้ามามองกังโส่วหู่ มันถึงกับหน้าแดงฉาน ที่แท้ระหว่างที่เปิดกล่องสุดท้าย กังโส่วหู่ดันไปเปิดกลไกค่ายกลเข้า ส่วนจูซีนั้นมิได้สนใจมองกังโส่วหู่แต่ประการใด ท่านผู้เฒ่าพลันดึงม้วนอักษรภาพลงมา เบื้องหลังนั้นถึงกับมีกลไกติดอยู่ และเขียนเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งไว้ ท่านจึงอ่านตามคำบันทึกอีกครา


“ภายหลังข้าพเจ้าได้ค้นพบสิ่งของประการหนึ่ง อยู่เบื้องในโบรารสถานนั้น สิ่งของนั้น ข้าพเจ้าได้ยื่นมอบให้แก่คนผู้หนึ่งไป สิ่งนั้นวิเศษเป็นอย่างยิ่ง ท่านจงติดตามหามาให้ได้ เพราะมันเป็นกุญแจไขเข้าไปสู่โบราณสถาน ข้าพเจ้าเรียกมันว่า มุกแห่งราชันย์”


จูซีเมื่ออ่านจบแล้ว ก็กดสลักกลไกนั้นลงไปในบัดดล เสียงพื้นดินสั่นไหวอีกคราหนึ่ง ปรากฏมีประตูสู่เบื้องนอกหลังโลงหิน ที่แท้มันอยู่บริเวณลานกว้างข้างหลังตึกนี่เอง มิได้ออกไปนอกตึกไป๋ลู่ต่งประการใด แต่เหตุใดเหมือนกับทางเดินไม่สิ้นสุด ยังเป็นปัญหาที่ไม่มีใครไขออกนั่นเอง


เมื่อทั้งหมดออกมาเบื้องนอกสุสานได้ กังโส่วหู่บิดขี้เกียจคราหนึ่ง โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ จึงหันหน้าไปพูดคุยกับจูซี


“สมบัติในสุสานนี้ทั้งหมด ล้วนยกให้ท่านผู้เฒ่าขอรับ”


“ท่านเป็นผู้พบเจอ เหตุใดมิยินยอมเอาไป”


จูซีร้องถามด้วยความสงสัย


“ผู้น้อยนั้น ชมชอบไขปริศนา หาได้มีความโลภไม่ เพียงแต่สนุกกับการแย่งชิงทรัพย์สมบัติเท่านั้น แต่หากไม่มีผู้ใดแย่งชิงหรือกับดักกลไกใด นั่นผู้น้อยคงต้องขออำลาแล้วขอรับ”


“ฮาฮา ที่แท้ท่านก็เป็นคนเยี่ยงนี้นี่เอง”


ทั้งหมดหัวเราะขึ้นพร้อมกัน พลันหลงหย่งหว่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนเสียก่อน
ผู้ที่มาคือใคร? ทั้งสี่รีบกลับไปที่หน้าตัวตึก จากนั้นมีผู้คนส่งเสียงกังวานมาผู้หนึ่ง


“ว่านสี่เซี่ยมาขออนุญาตพบท่านจูเว่ยเว่ย (หมายถึงจูซี)”


ทั้งสี่คนทำสีหน้าไม่สู้ดี ที่แท้ผู้ที่มาก็คือ ว่านสี่เซี่ย จอมมารหมื่นพิษนั่นเอง!


“ท่านทั้งสองรีบออกจากทางประตูหลัง”


จูซีรีบบอกกล่าวให้จางฝานและกังโส่วหู่ล่าถอยไปก่อน พลันหลงหย่งหว่อสอดคำขึ้นมา


“พวกท่านนำกระบี่ทั้งสองเล่มนี้ติดมือไปด้วย คงช่วยอะไรได้บ้าง”


หลงหย่งหว่อนั้นนำกระบี่โม่เซี่ยะกานเจียงติดตัวขึ้นมา ตั้งแต่ขึ้นจากสุสานแล้ว จากนั้นยื่นมอบให้จางฝานรับไว้ จางฝานรับกระบี่ทั้งสองเล่มมา หันไปยื่นให้แก่กังโส่วหู่เล่มหนึ่ง


“ข้าพเจ้ามิชมชอบใช้กระบี่ ท่านใช้เพลงหมัดมวย ดังนั้นเอาไว้ป้องกันตัวท่านเองดีกว่ากระมัง”


ว่านสี่เซี่ยนำพากำลังพลของพรรคเทวราชยืนรออยู่เบื้องนอก ที่แท้ระหว่างที่เปิดกลไกสุสานปรากฎมีเสียงสั่นทะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วเมืองหลวง มันคาดคิดว่าสุสานลับได้เปิดออกแล้ว จึงรีบรุดออกมาจากที่พัก ดังนั้นการมาในครั้งนี้มันจึงยังมิทันได้บอกกล่าวแก่ฉินกุ้ยแต่ประการใด มันนำมาเพียงศิษย์ในพรรคของตนมาเท่านั้น เมื่อเนิ่นนานจูซีก็ยังไม่เปิดประตูออกต้อนรับ มันจึงส่งเสียงร้องอีกครา


“ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเกรงจะเป็นอันตรายต่อท่านจูเว่ยเว่ย ดังนั้นจึงมาอารักขาท่าน”


หลงหย่งหว่อ กำชับให้พวกจางฝานทั้งสองรีบจากไป จากนั้นจึงส่งเสียงโต้ตอบ


“ท่านจูเว่ยเว่ยจะเข้านอนแล้ว หากพวกท่านไม่มีเรื่องอะไรอีก จงกลับไปเสียเถิด”


“เช่นนั้นข้าพเจ้าคงต้องขอตรวจสอบสถานที่แล้ว”


ไม่ทันที่หลงหย่งหว่อจะกล่าวห้าม ว่านสี่เซี่ยพลันกระแทกประตูเข้ามาเสียก่อน


“สงครามของเราสองยังไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นวันนี้ข้าพเจ้ามาขอรับการชี้แนะจากท่านแล้ว”


ว่านสี่เซี่ยค่อยๆ เดินเข้ามาพื้นดินถึงกับแทบกลายเป็นดิน หลงหย่งหว่อก็จับด้ามกระบี่แนบแน่นระวังป้องกันพลังพิษฟ้าสังหารของว่านสี่เซี่ยอย่างสุดกำลัง ที่แล้วมาทั้งสองต่างหลีกเลี่ยงการประทะกันเป็นที่สุด แต่ในวันนี้คงต้องเกิดศึกสะท้านฟ้าขึ้นแล้ว!



เลี่ยงมาที่พวกจางฝานทั้งสอง หลังจากออกจากประตูหลังตึกไป๋ลู่ต่งได้แล้ว ก็รีบฉวยโอกาสปีนขึ้นกำแพงเมืองด้านหนึ่ง จางฝานในเวลานี้เริ่มรวดเร็วขึ้นแล้ว อาจจะเนื่องเพราะต้องรีบทำเวลาแห่งชีวิต และเคยกระทำแบบนี้มาก่อน มันถึงทำได้รวดเร็วเยี่ยงนี้ พวกมันปีนกำแพงเมืองอย่างเงียบๆ มองเห็นแสงจากดวงอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าเลือนราง เสียงไก่ขันดังขึ้นทั่วเมือง บ่งบอกว่าใกล้จะเช้าตรู่แล้ว


พลันมีผู้คนส่งเสียงหนึ่งขึ้นมา ทำลายบรรยากาศเช้าตรู่ไปเสียสิ้น


“ท่านทั้งสองอยู่ที่นี่เอง ข้าพเจ้าหาพวกท่านตั้งนาน”


“ที่แท้ ก็คือท่านจางจุ้นนี่เอง ลมอะไรหอบมาพบเจอพวกข้าพเจ้าเล่า?”


กังโส่วหู่ แม้จะเกาะอยู่กับเชือก แต่ก็ยังหันมาโต้ตอบกับจางจุ้นได้ แสดงถึงวิชาการขโมยขั้นสูง


จางจุ้นไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโดดตัวเหยียบกับกำแพงเมืองด้านหนึ่ง กระโดดถีบเข้าที่เบื้องข้างของกังโส่วหู่ในบัดดล
กังโส่วหู่ไม่มีอาวุธประจำกาย ได้แต่บอกกล่าวแก่จางฝานขอหยิบยืมกระบี่คราหนึ่ง จึงดึงกระบี่เล่มหนึ่งออกจากฝักข้างตัวจางฝาน เสือกแทงเข้าไปในเบื้องเท้าของจางจุ้น จางจุ้นเปลี่ยนทิศทางเท้ามาเป็นเขี่ยกระบี่ของกังโส่วหู่โดยทันที แม้จะอยู่สูงจากพื้นดินร่วมสองเซี๊ยะกว่า


จางจุ้นหันเหทิศทางอีกครา ด้วยการกระโดดไต่บนแพงเมืองอีกจุด กางกงเล็บเข้าตะปบกังโส่วหู่ ที่แล้วมามันมั่นใจว่ากงเล็บของมันไม่มีอาวุธอะไรทำอันตรายได้ แต่ไหนเลยพอเข้าใกล้รัศมีกระบี่ ถึงกับรู้สึกเย็นวูบที่หลังมือ


กระบี่ทิ่มแทงเข้าเนื้อเสียแล้ว!


จางจุ้น ทิ้งร่างอ้วนท้วมของมันลงสู่พื้นเบื้องล่างเสียงดังอั่กใหญ่ ร้องโอดคราญอยู่ไม่ขาดปาก พวกกังโส่วหู่ทั้งสองเห็นทำร้ายศัตรูได้ ก็รีบฉุดตัวเองขึ้นเชือกอีกครา
ยามเป็นตายไม่รีบก็ไม่ได้


จางจุ้นฉีกแขนเสื้อผ้ามาข้างหนึ่งพันข้อมือไว้ เมี่อเสร็จแล้วจะปล่อยให้ศัตรูหนีไปต่อหน้าได้อย่างไร? มันรีบกระโดดเกาะกำแพงอีกครา ครั้งนี้รวดเร็วยิ่ง สูงส่งยิ่ง กังโส่วหู่ร้อนใจรีบเสือกแทงกระบี่เข้าไป


ไหนเลยเป้าหมายกลับไม่ใช่กังโส่วหู่ แต่เป็นจางฝาน!


เมื่อกระบี่หวิดเป้าหมาย ไหนเลยจะพบเจอร่างศัตรู คงพบเจอแต่อากาศธาตุเท่านั้น จางฝานหันมารับมือชักกระบี่ออกจากฝัก ทิ่มใส่ร่างของศัตรูอย่างไร้จุดหมาย จางจุ้นเห็นว่าจางฝานไม่เป็นวิชากระบี่ มันยิ่งได้ใจ กางกงเล็บตะปบลงไปที่เบื้องหลังของจางฝาน แต่แล้วเหตุการณ์ประหลาดปรากฏอีกครั้ง ลูกบอลขนาดใหญ่กลางกันระหว่างพวกจางฝานทั้งสองและจางจุ้น


พลังประหลาดเทรกซึมทุกรูขุมขนของจางจุ้น กระแทกมันออกจากพื้นที่บริเวณนั้น แต่ก่อนที่มันจะสลบลงพื้นไป พลันส่งเสียงตะโกนดังลั่น


“ไข่มุกแห่งราชันย์”



ไข่มุกแห่งราชันย์ปรากฏ มรสุมระลอกใหญ่ใกล้เข้ามาเยือนยุทธภพอีกคราหนึ่งแล้ว!





เกร็ดความรู้


[1] ชาวอินเดียเชื่อว่า สิ่งทั้งหลายบนโลกประกอบด้วยมหาภูติทั้งสี่ได้แก่ ดิน, น้ำ, ลม, และไฟ ในสมัยอดีตชาวจีนก็เชื่อแบบเดียวกันนี้ หลังจากได้มีการพัฒนาปรัชญาอี้จิง เพิ่มทองขึ้นมาอีกธาตุ รวมเป็นดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, และทองแล้ว ต่อมาหลักฮวงจุ้ยของจีนยังได้เพิ่มธาตุไม้เข้าไปอีกธาตุหนึ่ง รวมเป็น ดิน, น้ำ, ไม้, ลม(อากาศธาตุ), ไฟ, และทอง(วิญญาณธาตุ) ที่เรียกว่า “ลิ่วเฮง 6 ธาตุพยากรณ์” นั่นเอง


[2] กระบี่โม่เซี่ยะกานเจียง เป็นกระบี่ในตำนานเทพอาวุธของจีน ซึ่งปัจจุบันไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด กระบี่คู่นี้ได้ปรากฏในหลายๆ เรื่อง รวมทั้งการ์ตูนเรื่องดังอย่าง “ล่าอสูรกาย” ในฐานะหอกปราบจิ้งจอกเก้าหาง นอกจากนี้ยังไปปรากฏในนิยายของกิมย้งในเรื่อง “มังกรหยก ภาค 2” ในตอนที่เอี้ยก้วยไปพบเซียวเล้งนึ่งที่หุบเขาไร้รักและได้เลือกกระบี่คู่หยินหยางคู่หนึ่งต่อสู้กับกงซุนจี้ แม้จะไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงมากนัก แต่น่าจะได้อิทธิพลมาจากชื่อเสียงของกระบี่คู่นี้


กระบี่คู่นี้มีตำนานเล่าว่ากานเจียงไม่ทราบวิธีสกัดหินอุกาบาตให้เป็นอาวุธได้ เกิดความกลุ้มใจยิ่งนัก โม่เซี่ยะผู้เป็นภรรยาจึงสละชีวิตเพื่อจัดสร้างกระบี่คู่ดังกล่าวนี้ กานเจียงจัดสร้างกระบี่คู่นี้สำเร็จดังใจ ด้ามหนึ่งเรียก โม่เซี่ยะ ตามชื่อภรรยา อีกด้ามหนึ่งเรียก กานเจียง เพื่อให้ทั้งคู่ได้อยู่ครองคู่กันตลอดไปชั่วฟ้าดินสลาย หลังจากนั้นกานเจียงก็มอบกระบี่คู่นี้ให้แก่อู๋อ๋องเหอหลู่ (อ๋องผู้ใช้งานซุนวู) อู๋อ๋องเกรงอาถรรพ์ จึงมอบกระบี่คู่นี้คืนแก่กานเจียง หลังจากนั้นท่านก็หายจากหน้าประวัติศาสตร์ไปอย่างไร้ร่องรอย คาดว่าน่าจะฆ่าตัวตายด้วยกระบี่คู่เล่มนี้ตามภรรยาไปแล้วนั่นเอง





 

Create Date : 12 กันยายน 2551
1 comments
Last Update : 20 กันยายน 2551 4:00:19 น.
Counter : 429 Pageviews.

 

อ่านแล้วสนุกอีกล่ะ

รอตอนต่อไปน่ะ

 

โดย: นางฟ้าตกสวรรค์ IP: 202.28.47.15 14 กันยายน 2551 12:22:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กระบี่เก้าเดียวดาย
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ฟังพิรุณบนหอน้อยเพียงเดียวดาย..
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
12 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระบี่เก้าเดียวดาย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.