ตำนานสะท้านฟ้า (สารบัญ)
ยังไม่เปิดจ้า
ยังไม่เปิดจ้า
บู๊ลิ้มพันทิพย์
บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 4 ลูกแกะมุ่งสู่ดงพยัคฆ์






"ชื่อของท่านธรรมดายิ่งนัก เหตุใดท่านจึงมิยินยอมบ่งบอกแก่ข้าพเจ้า"



ตอนนี้กังโส่วหู่พันผ้าทบอีกชั้นหนึ่ง เพื่อความแน่นหนาในการหลบหนี เสียงผ้าเสียดสีกันดังฉวบฉาบ แม้จะเบา แต่ถ้าได้ยินชัดกว่านี้คงปวดแสบในหูกระมัง


"ข้าพเจ้าก็หลบหนีการตามล่าของทางการเช่นกัน"


"เหตุใดท่านจึงต้องหลบหนีการตามล่าของทางการ?"



หลัง จากที่เฒ่าฟ่งและครอบครัวของจางฝานจ้างเช่ารถม้าในหมู่บ้านมาได้หลังหนึ่ง พวกมันก็รีบเก็บสัมภาระของพวกมัน ขนเอาข้าวของมีค่าที่พอเอาไปได้ไม่กี่ชิ้น พร้อมเงินทองทั้งหมด หลบหนีออกจากหมู่บ้านหนานเฟิง (สุขสมบูรณ์แดนใต้) ข่าวการตายของพวกหย่งจินอวิ๋นนั้นยังไม่กระจายไปมากเท่าใดนัก มันจึงผ่านด่านเวรยามในหมู่บ้านไปได้ไม่ยากเย็น


เมื่อรถม้ามาถึง ด่านตรวจบริเวณทางออกทางทิศใต้นอกเมืองหลินฉวน แม้ด่านนี้จะเป็นเพียงด่านป้อมยามเท่านั้น แต่ก็มีการตรวจขันเข้มงวด เนื่องจากเมืองหลินฉวนนั้นห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก
แสงไฟวูบวาบจากคบไฟในมือของทหารยามสองสามคนสาดส่องเข้ามาในรถม้าไม่ขาดสาย หัวหน้าประจำด่านตรวจเปิดผ้าคลุมด้านข้างของรถขึ้น


"พวกเจ้าจะไปที่แห่งใด ออกจากเมืองด้วยเหตุผลใด"


บิดาของจางฝานจึงชะโงกออกมารับหน้า


"ไต้เท้าขอรับ คือพวกข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมเยือนบุตรสาวที่แต่งงาน ณ เมืองจิ่งกัง (สันเขาบริบูรณ์) เห็นว่าลูกสาวนั้นคลอดบุตรคนใหม่ ดังนั้นพวกข้าพเจ้าทั้งครอบครัวจึงจะไปเยี่ยมดูหน้าผู้หลานสักครา ส่วนตาเฒ่าฟ่งนั้น มันขอติดตามพวกข้าพเจ้าไปเพื่อแสดงความยินดีขอรับ"


ระหว่าง ที่มีการพูดคุย ก็มีทหารยามผู้หนึ่งเปิดผ้าคลุมหลังรถ มันชะโงกหน้าเข้าไปตรวจตราดูในรถม้าคราหนึ่ง เห็นว่าในรถม้าหลังนี้มิได้ซุกซ่อนสิ่งของผิดปกติไว้ เพียงแต่ได้ยินจางฝานบ่นพึมพำ มันจึงเข้าไปรายงานต่อหัวหน้าด่านตรวจผู้นั้น


"เหตุใดมันจึงบ่นพึมพำเยี่ยงนั้น"


"อ่อ ไต้เท้า บุตรชายของข้าพเจ้าเป็นโรคประหลาดชมชอบบ่นพึมพำเยี่ยงนั้นขอรับ รักษาเท่าใดก็มิหาย ฮือ"


บิดาจางฝานพูดจบก็ก้มลงไปร้องไห้คราหนึ่ง แม้หัวหน้าด่านจะสงสัย แต่ก็ไม่ติดใจประการใดอีก


"แล้วพวกเจ้ามีเหตุอันใดจึงไปในยามนี้"


บิดาเฒ่าประหวั่นเล็กน้อยจึงอ้อมแอ้มตอบไป


"ที่เลือกเดินทางในยามนี้ เพราะข้าพเจ้าเห็นว่ากว่าจะถึงเมืองจิ่งกังคงจะเป็นเวลาใกล้จะเย็นพอดิบพอดี ขอไต้เท้าโปรดปล่อยปละให้พวกข้าพเจ้าออกจากด่านด้วยขอรับ"


พวกทหาร คุมด่านนั้นเห็นว่าพวกจางฝานมิมีที่ใดผิดปกติอีก ทั้งพวกมันก็รู้จักเฒ่าฟ่งที่เข้าออกไปติดต่อธุระบ่อยครั้ง เมื่อเห็นว่าพวกทหารใกล้จะปล่อยตัวแล้ว เฒ่าฟ่งจึงหยิบจับเงินทองยื่นให้เป็นค่าส่วยผ่านทาง และมอบค่าน้ำชาแก่หัวหน้าด่านตรวจผู้นั้นบางส่วน พวกมันจึงผ่านด่านมาได้ด้วยประการฉะนี้


เมื่อผ่านด่านออกมาแล้วรถม้าหลังนั้นก็มุ่งออกจากเขตตะวันตกเฉียงใต้ของ เมืองหลินฉวนสู่เมืองจิ่งกังต่อไป
ตกยามบ่ายของอีกวัน รถม้าหลังนั้นยังคงวิ่งอยู่บนถนนสู่เมืองจิ่งกัง พื้นถนนแม้ขรุขระไปบ้าง ขึ้นเนินสูงไปบ้าง แต่ยังดีที่ไม่ใช่ฤดูชุนเทียน (ฤดูใบไม้ผลิ) มิเช่นนั้นพวกมันคงเดินทางลำบากกว่านี้เป็นแน่


หากมีผู้ใดมองออกมาจากข้างนอกหน้าต่างด้านใดด้านหนึ่งของรถม้า มันจะเห็นเขาหลัวเสี้ยวอยู่แต่ไกลเป็นเงาจางๆ ข้างหนึ่งของถนนนั้นติดกับเขาลูกหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งมีลำธารน้ำใสรินไหลลัดเลาะติดตามอยู่ไม่ขาด น้ำในลำธารกระจ่างใสยิ่ง มันสะท้อนแสงวาบวับของแสงแดดยามบ่าย แลดูน่าพิสมัย บรรยากาศเยี่ยงนี้ไหนเลยจะมิให้กวีเกิดจินตนาการพร่ำพรรณนาความงามเสียได้


แต่ในรถม้านั้นเล่า?


บรรยากาศ ในรถม้าล้วนน่าหดหู่ยิ่งนัก บิดามารดาเฒ่าทั้งสองของจางฝานนั่งอยู่ด้านหน้าด้านหนึ่งของรถม้าส่งเสียงไอ ไม่ขาด ส่วนเฒ่าฟ่งก็นั่งตรวจตราสิ่งของอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนจางฝานนั้นหรือ ตอนนี้มันจับเจ่านั่งอยู่เบื้องหลังรถม้าหลังนี้ มันเอาแต่บ่นพึมพำว่า


"คนตาย ข้าพเจ้าฆ่าคนตาย"


จนบิดามันทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาอย่างโมโหโกรธา มุ่งตรงไปหาบุตรชาย ตบหน้ามันหนึ่งฉาดอย่างแรง จางฝานจึงหันหน้ามามองบิดามัน ตั้งแต่เล็กจนโตมันไม่เคยจะถูกบิดาตบตี เนื่องเพราะมันล้วนแล้วแต่ทำตัวเป็นบุตรที่ดีเสมอมา แต่ครานี้มิเหมือนกันบิดาเฒ่าตบตีมันเพื่อให้มันได้สติเท่านั้นเอง


"เรื่องราวที่เจ้าทำลงไป มันก็ผ่านไปแล้ว เหตุใดเจ้าต้องกังวลถึงมันอีก"


"ข้าพเจ้า ......ข้าพเจ้าฆ่าคนตาย"


แม้จะถูกตบหน้าอย่างแรงหนึ่งฉาด แต่มันก็ยังจะพูดเยี่ยงนี้อีก บิดาของมันถึงกับสั่นศีรษะ พลางกล่าวต่อ


" ลูกเอย มนุษย์อย่างเรา ไหนเลยจะย้อนวาริน กลับไปแก้ไขเรื่องผิดพลาดในอดีตได้ หากเจ้าย้อนกลับไปได้ แล้วไปแก้ไขมันเสีย แต่ผลลัพธ์ของมันนั้น ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปได้ดอก"


พูดจบบิดาเฒ่าก็ก้มลงไป ไอหนักๆ หนึ่งครา แต่ครานี้รุนแรงยิ่งนัก ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดยั้ง มารดาเฒ่าเห็นดังนั้นจึงปรี่เข้ามาช่วยประคองบิดาเฒ่า ข้างจางฝานเห็นเยี่ยงนั้น ไหนเลยมันจะทนคิดถึงเรื่องเก่าๆ รีบปรี่เข้ามาประคองบิดาบ้าง พลางตบหลังบิดาของมันเบาๆ จนอาการไอทุเลาลง


หลังจากนั้นจางฝานก็เลิกพร่ำรำพันอีก มันยังหวนนึกถึงคำพูดของบิดาไม่ขาด ใช่แล้ว มันต้องกระทำดังนี้ คิดดั่งนี้ เวลานั้นไม่เคยหวนกลับมา ถึงมันจะกลับมา ไม่ว่ามันจะกระทำเช่นไร ล้วนแล้วแต่มีผลลัพธ์เยี่ยงนั้นเสมอนั่นเอง
เมื่อรถม้ามาถึงเมือง จิ่งกังในตอนเย็น เฒ่าฟ่งจึงบอกกล่าวแก่รถม้าให้ไปยังบ้านตระกูลเฉิน เมื่อมาถึงบ้านตระกูลเฉินเห็นมีเด็กเล็กคนหนึ่งวิ่งออกมาหนีจากการทุบตีของ มารดามันอยู่


"เจ้าเด็กคนนี้ ขโมยของสิ่งใดของบิดาเจ้ามาเล่นจนพังเสียหาย"


ขณะจับมือเด็กน้อยหมายตบตีมัน ก็พลันเห็นรถม้าของพวกจางฝานมาถึง หญิงคนนั้นจึงหยุดยั้งมือเสีย หันไปจ้องมองรถอาคันตุกะเบื้องหน้าตึก บิดาของจางฝานลงมาพร้อมการพยุงของมารดาเฒ่าจากรถม้าก่อน หญิงผู้นั้นถึงกับร้องเรียกอย่างดีใจ


"บิดามารดา เจ้าฝาน ท่านอาฟ่ง"


มันแทบรีบวิ่งเข้ามากราบกราน บิดาเฒ่าเห็นดังนั้นจึงรีบพยุงมันลุกขึ้น


"เหมยฮัว (ดอกเหมย) พวกเจ้าสบายดีหรือ"


ที่แท้หญิงผู้นั้น ก็คือ จางเหมยฮัว พี่สาวคนโต (พี่คนที่ 2) ของจางฝานนั่นเอง


"พวกข้าพเจ้าสบายดียิ่ง จิ่งกังรีบเข้ามาคำนับท่านตาท่านยาย ท่านน้า และท่านตาฟ่งเร็วเข้า"


เหมยฮัวกวักมือร้องเรียกเฉินจิ่งกังบุตรชายมาคำนับ เมื่อเด็กน้อยเห็นมารดาไม่ทุบตีมันแล้ว ทั้งยังเห็นตายายกับน้าชายที่ใจดีกับมันตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าครั้งใดที่มาเยี่ยมเยือนมักจะนำของเล่นขนมนมเนยต่างๆ มาฝากมัน เด็กน้อยจิ่งกังนั้นถึงกับรีบเข้ามาคำนับตายาย น้าชาย และเฒ่าฟ่งตามลำดับ จากนั้นเจ้าบ้านจึงเชื้อเชิญทั้งหมดเข้าบ้าน


บ้านตระกูลเฉินนั้น เป็นตึกชั้นเดียว แต่ก็ดูโอ่อ่าสง่างามยิ่งนัก สองข้างทางเข้าตึกนั้นเป็นลานกว้าง ฟากหนึ่งมีต้นไทรใหญ่ที่ได้กิ่งก้านสาขามาจากต้นไทรที่บ้านเดิม ทางเข้านั้นประกอบไปด้วยองครักษ์อีกสองคนยืนประจำอยู่หน้าตึกกลาง เมื่อทั้งหมดเดินผ่าน เหล่าองครักษ์ล้วนคำนับสิ้น
จางเหมยฮัวพาทั้ง หมดเดินตามทางเข้าไปยังห้องรับแขกด้านหน้าตึก กลางห้องนั้น มีโต๊ะเก้าอี้พิงแขนสามตัว เบื้องหลังมีตัวอักษร "ชวิ๋น" (ซื่อสัตย์) ประดับอยู่ จางเหมยฮัวให้บิดามารดา และเฒ่าฟ่งอยู่บนนั่งบนเก้าอี้พิงแขนกลางบ้านนั้น ส่วนตนและผู้น้องนั่งเป็นลำดับถัดๆ กันไป พวกมันแย้มยิ้มไถ่ถามสารทุกข์สุขกันพอประมาณแล้ว ก็เข้าสู่หัวข้อหลักว่าเหตุใดพวกมันจึงมาเยือนอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ บิดาเฒ่าจึงพูดถึงเรื่องราวการหลบลี้จากหมู่บ้านหนานเฟิงนั้นแก่จางเหมยฮัว จนสิ้น แม้เหมยฮัวจะตกตะลึงไปบ้าง แต่ก็ยังคงยิ้มแย้มอยู่ ไหนเลยน้ำจะข้นกว่าเลือด ในใจของมันยังไงก็ต้องช่วยครอบครัวของมันให้จงได้


พลันมีเสียงรถม้าเข้ามาเสียก่อน ทั้งหมดชะงักงันวูบหนึ่ง มีขุนนางผู้หนึ่งเดินออกมาจากรถม้าพร้อมด้วยคนอีกผู้หนึ่ง ขุนนางผู้นั้นป้ายมือให้รถม้ากลับไป จากนั้นมันจึงเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมด้วยผู้ติดตาม
ขุนนางผู้นี้เมื่อเดินเข้ามาเห็นทั้งหมด ถึงกับรีบลงไปหมอบกราบกับพื้นเบื้องหน้าของบิดามารดาเฒ่า และเฒ่าฟ่ง


"พ่อตา แม่ยาย ท่านอาฟ่ง เหตุใดมามิบอกกล่าว หากพวกท่านประสงค์จะเดินทาง ข้าพเจ้าจะจัดส่งกองทหารไปดูแลก็ยังได้"


บิดาเฒ่าเมื่อเห็นมันคุกเข่าก็ปรี่เข้าไปประคอง


"ลูกเขยลุกขึ้นเถิด"


ที่แท้คนผู้นี้ คือ เฉินเซี่ยหยู่ (ฝนโปรยปรายแซ่เฉิน) นายอำเภอเมืองจิ่งกัง และเป็นสามีของจางเหมยฮัว นายอำเภอเฉินคนนี้ สมัยก่อนมันเคยเป็นคหบดีใหญ่ผู้หนึ่ง เงินตราของมันมีมากมายยิ่งนัก ใช้เยี่ยงใดก็ไม่ยอมหมด เมื่อกังฉินครองเมือง นายอำเภอคนก่อนกดขี่ข่มเหงชาวบ้านจิ่งกัง มันทนเห็นสภาพเช่นนั้นมิได้ มันจึงขอซื้อตำแหน่งนี้จากพวกกังฉินด้วยเงินก้อนโต พวกกังฉินไหนเลยจะปฎิเสธเงินก้อนโตนั้นได้ อำนาจเงินไม่เข้าใครออกไปอยู่แล้ว
ดังนั้นตำแหน่งของมันนั้นก็ได้ มาจากเงินตราเช่นเดียวกัน แต่จุดประสงค์ของมันนั้นกลับประเสริฐยิ่ง


เมื่อมันมารับตำแหน่งนายอำเภอครั้งแรกนั้น มันก็มีเรื่องราวกับกังฉินผู้หนึ่งในข้อคดีความ ผู้เสียหายในคดีนั้นเป็นเพียงคนยากจนผู้หนึ่ง แม้มันจะรู้ว่าเป็นผู้เสียหายจริง แต่มันก็ต้องตัดสินให้ยกฟ้องนั้นเสีย หลังจากนั้นมันจึงจ้างมือสังหารผู้หนึ่งสับสังหารกังฉินผู้นั้น แล้วนำเงินส่วนตัวส่วนหนึ่งมอบให้แก่ผู้เสียหายให้หลบหนีไปพร้อมตั้งตัวใหม่ ที่เมืองอื่น


หลังจากข่าวลือเรื่องนี้เริ่มหนาหู พวกกังฉินแม้รู้ระแคะระคาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งมันอีก เนื่องจากมันเริ่มสะสมพวกมือสังหารเอาไว้ใช้งาน ผู้ใดกล้าไปโต้แย้งในข้อคดีความของมัน ล้วนหลบไม่พ้นคมมีดเป็นอันขาด นับวันยิ่งทำให้คะแนนนิยมในตัวมันพุ่งสูงขึ้น ฐานอำนาจของมันก็ยิ่งแข็งกล้าขึ้น แต่ก็ยังไม่พอไปต่อกรกับกังฉินกลุ่มใหญ่ในเมืองอื่นได้ ยิ่งระดับมณฑลยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันจึงทำได้เพียงทำงานตัดสินคดีความ[1] ทั้งปวงด้วยความเด็ดขาดเที่ยงธรรมที่เมืองจิ่งกังแห่งนี้เท่านั้นเอง แม้จะต้องทำตัวลู่ลมบ้างบางครั้งคราว แต่ชาวบ้านในเมืองก็ล้วนนิยมชมชอบมันเกือบสิ้น ถือเป็นตงฉินที่ดีผู้หนึ่ง


เมื่อมันกระทำการดังนี้ ไหนเลยจะมิมีผู้ที่ไม่พอใจในตัวมัน ดังนั้นผู้ติดตามผู้นั้นย่อมเป็นองครักษ์ของมันนั่นเอง


"เจ้าฝานสบายดีหรือ"


เฉินเซี่ยหยู่หลังจากคารวะพ่อตาเสร็จสิ้น ก็เดินเข้าไปนั่งโต๊ะลำดับก่อนหน้าภรรยา องครักษ์นั้นก็เดินติดตามเข้าไปอยู่เบื้องหลังดุจเงาตามตัว จากนั้นเฉินเซี่ยหยู่จึงหันหน้ากลับมาถามจางฝาน จางฝานจึงคารวะตอบพร้อมรับคำคราหนึ่ง



เฉินเซี่ยหยู่มีอำนาจในเมืองจิ่งกังขนาดนี้ เหตุใดพวกจางฝานถึงมิมาอยู่อาศัยด้วย นั่นก็เพราะบิดามารดาเฒ่าของจางฝานนั้นอยากอยู่บ้านหลังเดิม เฉินเซี่ยหยู่เชิญชวนเยี่ยงไร พวกมันก็มิยินยอมจากมา มันจึงบอกกล่าวแก่จางฝานว่าหากอยากรับตำแหน่งก็มารับกับมันได้ แต่บิดาของมันนั้นก็ห้ามปรามบุตรชายเสียก่อน มันเห็นมาแล้วว่า เป็นขุนนางนั้นยากลำบาก ยิ่งเป็นขุนนางที่ดีแบบเฉินเซี่ยหยู่ยิ่งยากเข้าไปอีก แม้ตอนนอนมันยังไม่หลับสนิทเลย ต้องคอยระวังพวกมือสังหารจากพวกกังฉินเป็นเนืองๆ ไหนเลยจะยินยอมให้บุตรชายไปเจอสภาพเช่นนั้น มันให้บุตรชายไปเป็นเสี่ยวเอ้อในร้านของเฒ่าฟ่งน้องชายร่วมสาบานยังดีกว่าเสียอีก ดังนั้นคนส่วนมากจึงมิรู้ว่ามันมีญาติเป็นขุนนางใหญ่โตเช่นนี้


เมื่อเฉินเซี่ยหยู่นั่งลงได้ ก็ถามไถ่เหตุผลอีกครา มันเห็นว่าการจากบ้านเดิมมาอย่างฉุกระหุกเช่นนี้ต้องมีเหตุผลเป็นแน่แท้ จางเหมยฮัวจึงบอกเล่าเรื่องราวออกไปจนสิ้น ที่แท้องครักษ์ผู้นั้นเป็นองครักษ์สนิทประจำตัวเฉินเซี่ยหยู่มาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นจางเหมยฮัวจึงไม่ปิดบังอำพรางแต่ประการใด นอกจากนี้ในบ้านยังมีองครักษ์อีกนับสิบ ไหนเลยจะมีใครหาญกล้าบุกรุกเข้าบ้านมัน เมื่อเฉินเซี่ยหยูได้ฟังจนจบ มันก็ถอนหายใจออกมาวูบหนึ่ง


"แม้เจ้าฝานจะมิได้ทำผิดประการใด และปรากฎว่าไม่มีหลักฐานประการใดอีก แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในมณฑลฮกเกี้ยน เนื่องจากพวกมันอยู่ใกล้เมืองหลวงกว่าบ้านเมืองของข้าพเจ้า ดังนั้นอิทธิพลของพวกมันจึงกล้าแข็งกว่าอิทธิพลของข้าพเจ้ายิ่งนัก ข้าพเจ้าคงช่วยได้เพียง ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย และท่านอาฟ่งเท่านั้นเอง ครานี้คงต้องลำบากน้องชายแล้ว"


เฉินเซี่ยหยู่พูดจบก็ถอนหายใจอีกครา ทั้งหมดเข้าใจในความลำบากของมัน กำลังของกลุ่มอิทธิพลนั้นจะกล้าแข็งเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ใกล้เมืองใหญ่นั้นมากน้อยประการใด ยิ่งอยู่ใกล้เมืองหลวงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนเมืองจิ่งกังนั้นแวดล้อมไปด้วยเขาสูงยากต่อการติดต่อ ดังนั้นที่เฉินเซี่ยหยู่ทำได้เฉกเช่นทุกวันนี้ ก็ด้วยเหตุนี้เอง ไม่เช่นนั้นมันคงจบชีวิตน้อยๆ ของมันไปเนิ่นนานแล้ว


พลันองครักษ์สบตาเฉินเซี่ยหยู่เป็นเชิงขออนุญาตจากมัน มันคำนับรอบทิศ พลางกล่าว


"นายท่าน เรื่องนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าคุณชายฝานคงต้องเดินทางหลบหนีเป็นเวลาสักห้าหก เดือนรอเรื่องราวจางหาย ระหว่างนั้นนายท่านก็วิ่งเต้นพลาง กำนัลของต่างๆ แก่นายอำเภอเจิ้งนายเหนือของพวกมันพลาง ไม่นานก็คงลืมเลือนกระมัง"


"เสี่ยวเหลียง (เหลียงน้อย) นับว่าเป็นจริงดั่งเจ้าว่า แต่จะให้น้องชายข้าพเจ้าเดินทางเยี่ยงใดยังเป็นปัญหา"


" นายท่าน ข้าพเจ้ามีความสามารถบางประการ ที่มิได้นำออกมาใช้เนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่นายท่านยังเป็นคหบดี ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยแสดงให้ท่านดู"


"ความสามารถเยี่ยงใด"


"ปลอมแปลงหน้าตาขอรับ"


หลังจากทั้งหมดกำหนดแผนการเสร็จสิ้น ก็ร่วมรับทานอาหารร่วมกัน องครักษ์เสี่ยวเหลียงก็ได้รับเกียรติร่วมดื่มกินด้วย มันนั้นเป็นองครักษ์ที่เฉินเซี่ยหยู่วางใจยิ่ง เปรียบดังเป็นญาติสนิทก็ปาน


เสี่ยวเหลียงผู้นี้ในตอนเด็กนั้นมันไร้ญาติขาดมิตร บ้านของมันถูกกวาดล้างจากทัพจิน ยังดีที่ซือแป๋ (อาจารย์) ของมันมาพบเห็นมันเข้าเสียก่อน และพามันมาอาศัยอยู่ที่สำนักช้วนจินก่า มิเช่นนั้นมันคงอดตายไปนานแล้ว ดังนั้นสำหรับมันแล้วซือแป๋เปรียบดั่งบิดาก็ปาน


เมื่อเสี่ยวเหลียง อายุ 17 ปี กองทัพจินบุกสำนักช้วนจิน มันและซือแป๋หลบหนีการรุกไล่จากทัพจิน มันนำหน้าแหวกฝ่าด่านของพวกทหาร ซือแป๋ของมันหลบหนีติดตามมันอยู่เบื้องหลัง จนทั้งสองใกล้จะถึงทางออกทางด้านทิศใต้ แต่เนื่องจากซือแป๋ของมันนั้นชราภาพแล้ว เมื่อถูกพัวพันกลุ้มรุมจากพวกทหารจินจนอ่อนล้า ก็เปิดโอกาสให้ทหารนายหนึ่งเสือกแทงหอกเข้าเบื้องหลังจนท่านสิ้นใจ เสี่ยวเหลียงเห็นซือแป๋ตาย พลันกระโดดเข้าไปกลางวงสับสังหารอย่างคลุ้มคลั่งทหารกองนั้นไม่มีผู้ใดสู้ฝีมือได้ ต่างพากันหลบหนีไปสิ้น มันอุ้มร่างไร้วิญญาณซือแป๋ร่ำไห้ปานขาดใจ พลันมีทหารอีกกองหนึ่งบุกเข้ามา มันจึงรีบหลบหนีพร้อมร่างของซือแป๋


จนมาถึงแม่น้ำหวงเหอ (ฮวงโห) มันจึงฝังร่างท่านอยู่ ณ ที่แห่งนั้น


ตอนที่เสี่ยวเหลียงมาถึงแดนใต้นั้น ในตัวของมันไม่มีทรัพย์สินติดตัวมาเลย บ้านช่องของมันก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว มันจะไปอยู่ที่ไหนได้!
เสี่ยวเหลียงเดินทางอย่างไร้จุดหมาย แวะไปทำงานร้านโน้นทีร้านนี้ทีในแต่ละเมืองที่ผ่านทาง แต่ทำงานไปได้สักเดือนสองเดือนร้านนั้นก็ปิดกิจการเสียทุกครั้ง ครั้นไปหางานทำที่อื่น ทุกที่ต่างได้ยินเกียรติศัพท์ความเฮง(ซวย)ของมันทุกครั้งไป จนมันหางานอะไรทำไม่ได้ มันไม่มีข้าวรับทานถึงขนาดขายกระบี่คู่ใจไปเพื่อใช้จ่าย แต่เมื่อมีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ มันจึงต้องเป็นขอทานอยู่ข้างถนน



เสี่ยวเหลียงเดินขอทานมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองจิ่งกัง มันเดินผ่านหน้าตึกร้านค้าขายข้าวสารของเฉินเซี่ยหยู่ ครั้งหนึ่งเฉินเซี่ยหยู่ผู้ใจดีเห็นเข้าก็ให้ข้าวของเงินทองแก่มัน อีกทั้งพามันเข้าในร้านพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์อย่างเป็นกันเอง



เสี่ยวเหลียงจึงบอกกล่าวแก่เฉินเซี่ยหยู่ว่ามันเองมิได้อยากเป็นขอทาน แต่เนื่องจากหางานทำมิได้ จึงต้องกระทำดังนี้ เฉินเซี่ยหยูเห็นดังนั้นจึงถามหาความรู้จากมัน ว่าพอทำงานใดได้บ้าง แล้วรับมันเข้าทำงานในตำแหน่งเสมียนร้านค้าขายข้าวสารนั้น


วันหนึ่ง ศัตรูทางการค้าของเฉินเซี่ยหยู่ส่งมือสังหารมาสับสังหารมันขณะกำลังตรวจวัด ข้าวสาร เสี่ยวเหลียงอยู่ในบริเวณนั้นพอดี มันใช้เพลงกระบี่ออกจากไม้วัดกระสอบข้าว ปัดป้องการทำร้ายจากมือสังหารจนสิ้น เฉินเซี่ยหยู่เห็นดังนั้นก็นิยมนับถือมันยิ่งนัก เชื้อเชิญมันให้รับตำแหน่งองครักษ์ประจำตัว อีกทั้งนิสัยใจคอของทั้งคู่ยิ่งถูกคอกัน ทำให้ทั้งสองมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้น เฉินเซี่ยหยู่ก็ถือมันเป็นดั่งน้องชายผู้หนึ่ง เสี่ยวเหลียงก็นับถือมันดั่งญาติสนิท ไหนเลยพวกมันจะแตกคอกันได้!


เมื่อทั้งหมดแยกย้ายกันเข้านอนแล้ว วันรุ่งขึ้นก็มีป้ายประกาศมาถึงจวนนายอำเภอ เฉินเซี่ยหยู่ถึงกับทำสีหน้ามิถูกต้อง ข้างเสี่ยวเหลียงก็มีสีหน้าเฉกเช่นเดียวกัน



ตกเย็นมันก็ยื่นป้าย ประกาศให้แก่ทั้งหมด เฉินเซี่ยหยู่เห็นว่าคงต้องรีบให้น้องเขยออกเดินทาง เสี่ยวเหลียงจึงตบแต่งหน้าตาของจางฝานโดยเร็ว มันมีฝีมือดียิ่งนัก ตบแต่งจางฝานเป็นขอทานผู้หนึ่ง


เมื่อตบแต่งเสร็จแล้ว จางฝานจึงเดินเข้าไปร่ำลาบิดามารดาเฒ่า เฒ่าฟ่ง และพี่สาวพี่เขยจนสิ้น จึงติดตามเสี่ยวเหลียงออกเดินทาง เฉินเซี่ยหยู่นั้นเนื่องจากเกรงกลัวว่าอาจจะมีผู้ใดจดจำจางฝานออกจึงให้ เสี่ยวเหลียงไปส่งจางฝานสักระยะหนึ่ง เมื่อมาถึงด่านตรวจทางด้านทิศตะวันตกนั้น เสี่ยวเหลียงก็ยื่นใบผ่านทางของนายอำเภอให้ผู้คุมด่านตรวจตรา เมื่อเห็นว่าเป็นใบผ่านทางจริงจึงให้เสี่ยวเหลียงและจางฝานผ่านไปได้


พอมาถึงเก๋งหนึ่ง ณ ริมเนินเขาลูกหนึ่ง เสี่ยวเหลี่ยงก็หยุดยั้งลง


"ขอเน้นย้ำกับคุณชายว่าหากจะหลบหนีควรหลบหนีไปเป็นวง อย่าได้เดินทางโดยมีจุดหมายเป็นอันขาด อีกทั้งคุณชายต้องไม่แวะที่เมืองใหญ่ใดๆ เพียงลัดเลาะไปตามป่าเขา หากจะเข้าไปจับจ่ายซื้อของควรเลือกหาหมู่บ้านที่ห่างไกล ข้าพเจ้าคงส่งคุณชายได้เพียงเท่านี้ โปรดถนอมตัวด้วย"


จางฝานรับคำคราหนึ่งกุมมือเสี่ยวเหลียงไว้ด้วยความอาลัย จากนั้นเสี่ยวเหลียงก็คำนับจากลา
เมื่อเดินทางหลบหนีมาได้สักระยะหนึ่ง จางฝานก็เดินลัดเลาะตามป่าเขาห่างไกลผู้คน ตามคำแนะนำของเสี่ยวเหลียง ตกกลางคืนนั้นเสียงหมาป่าเห่าหอนอยู่ไม่ขาด มันจึงก่อกองไฟขึ้นอยู่ในป่านั้นเพื่อกันสัตว์ร้าย ในเป้ย่ามสัมภาระของมันนั้น ประกอบไปด้วยข้าวของจำเป็นครบครัน เงินทองอีกหลายสิบตำลึง ตั๋วเงินอีกจำนวนหนึ่ง


พี่สาวละเอียดรอบคอบยิ่งนัก มันคิดในใจ



เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ มันก็ปูผ้านอนอยู่กับพื้น จากนั้นจึงใช้มือล้วงหยิบลูกประคำของอาจารย์ขึ้นมาจากอกเสื้อเหม่อมองดูอีก ครา ลูกประคำเม็ดนั้นสะท้อนแสงไฟวาบวับจับตา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่หมู่บ้านหนานเฟิงแล้ว มันก็ไม่เคยฝันประหลาดอีกเลย มันเหม่อมองอยู่อย่างนั้น จนเกิดเหตุการณ์ประหลาด


จู่ๆ ลูกประคำถึงกลับเรืองแสง!!!!


ชั่วอึดใจเดียว มันถึงกับลอยจากพื้น เคว้งคว้างบนนภากาศ มันลอยอยู่บนลูกบอลขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้ม ฉับพลันมันก็เห็นเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอยู่ตรงหน้า แต่ครานี้มิได้รวดเร็วเยี่ยงครานั้น แสงค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ แล้วในที่สุดพลังทั้งมวลก็กลับมาจุกที่หน้าอกของจางฝาน มันรู้สึกอัดแน่นยิ่งนัก แต่พลังก็มิได้ระเบิดออกไปดังครั้งก่อน มันกลับค่อยซึมซาบเข้าสู่ทุกอนูร่างกาย ผสานเข้ากับเนื้อหนังของมันจนหมดสิ้น แล้วลูกบอลยักษ์ก็ค่อยๆ สลายหายไปกับเงามืดยามราตรี


สามเดือนหลังจากที่จางฝานหลบลี้หนีหน้า บัดนี้แป้งพอกหน้าของมันหลุดลอกออกหมดแล้ว มันออกไปหาซื้ออาหารแห้งในหมู่บ้านเล็กๆ ตามคำแนะนำของเสี่ยวเหลียง ครั้งนี้ก็อีกเช่นเคย มันเดินลงจากเขาที่พำนักสู่หมู่บ้านเบื้องล่าง หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในหุบเขา ดังนั้นย่อมห่างไกลความเจริญเป็นที่สุด



มันเลือกซื้ออาหารแห้งในหมู่บ้านแห่งนี้ หลังจากเดินเข้าไปในหมู่บ้าน มันก็จับจ่ายซื้อหาของจนครบถ้วน เงินทองที่ติดตัวใกล้หมดสิ้น คงถึงเวลาที่มันต้องเข้าเมืองเพื่อนำตั๋วเงินไปแลกเสียกระมัง?


ขณะกำลังเดินออกจากร้านขายข้าวสารพลันมีเสียงเสียงหนึ่งทำให้มันหยุดยั้งปลายเท้าเสียก่อน


"เจ้านายท่านนี้"


"ข้าพเจ้าหรือ"


"ท่านนั่นล่ะ"


ที่แท้หมอดูคนหนึ่งทักจางฝานเข้า


"ข้าพเจ้าไม่ดูหมอ"


"ดูสักครั้งจะเป็นไรไป ข้าพเจ้าคาดว่าในตัวของท่านมีของประหลาดอยู่กระมัง"


ไฮ้! เหตุใดหมอดูคนนี้ถึงคาดเดาได้เยี่ยงนี้ มันมีตาเทวดาหรืออย่างไร?


"งั้นก็ได้ ข้าพเจ้าจะลองเชื่อ ให้ท่านลองดู"


ว่าแล้วจางฝานก็นั่งอยู่บนตั่งเบื้องหน้าของหมอดูคนนั้น


"ท่านบอกเดือนปีเกิดวันตกฟากของท่านมา"


จางฝานจึงบอกกล่าวออกไปอย่างไม่ปิดบังอำพราง เมื่อได้ยินแล้ว หมอดูก็พลางนับนิ้วไปไม่กี่ครา


"ข้าพเจ้าดูแล้ว ในวัยเด็กของท่านล้วนยากลำบาก แต่ยังดีที่มีพี่ชายคนหนึ่งและพี่สาวคนหนึ่งของท่านค้ำจุนครอบครัวของท่าน ถูกต้องหรือไม่?"


"นับว่าถูกต้อง"


"ในตอนอายุสิบเจ็ดปี ท่านก็ได้มีอาจารย์บู๊ใช่หรือไม่"


"ถูกต้อง ท่านรู้ได้อย่างไร"


"ฮาฮา ข้าพเจ้าดูหมอให้คนอื่น ข้าพเจ้าอาจดูให้เพียงผิวเผิน อ้างว่าถูกบ้างผิดบ้าง
แต่สำหรับท่าน ข้าพเจ้าดูให้เป็นกรณีพิเศษ"


"เช่นนั้นก็นับว่าข้าพเจ้าโชคดี ได้ดูหมอกับ โหราจารย์เทวดาเช่นนี้"


"หลังจากนั้นท่าน...."


หมอดูเทวดาพลางขยับตัวเข้าใกล้จางฝานและกระซิบที่ข้างหู


"....ท่านยังฆ่าคนตายอีกด้วย"


จาง ฝานถึงกับตกตะลึง มาตรแม้นตอนนี้รูปร่างของมัน น่าจะผิดแผกแตกต่างจากเมื่อปีที่แล้วมากมายนัก แต่เหตุใดหมอดูท่านนี้ถึงทายถูกหลายครั้งหลายครา รวมทั้งล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ดังนี้


"แม้ข้าพเจ้าจะรับรู้ แต่รับรองข้าพเจ้าจะไม่ปริปากบอกใคร"


มันพลางขยับตัวกลับไปที่เดิม แล้วพูดต่อ


"ข้าพเจ้าขอดูมุกเม็ดนั้นหน่อยเป็นไร"


จางฝานเห็นความอัศจรรย์นั้นถึงกับล้วงมือหยิบเอาลูกประคำสุดรักให้แก่หมอดู อย่างไม่มีทางขัดขืนแม้แต่น้อย แม้ในใจอาจติดขัดบ้าง แต่ร่างกายไม่ยินยอมรับฟังเลย เมื่อหมอดูท่านนี้ดูเสร็จแล้วก็ยื่นลูกประคำกลับคืนให้


"มุกเม็ดนี้ มีค่าควรเมืองนัก ท่านจงเก็บไว้กับตัวอย่าให้หาย และอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านมีมุกนี้ มิเช่นนั้นจะเกิดมรสุมยิ่งใหญ่ในวงการนักเลงแล้ว"


"ลูกประคำเม็ดนี้ คือกระไรกัน เหตุใดท่านต้องเรียกมันว่า "มุก" ด้วยเล่า?"


"ฮาฮา ที่ข้าพเจ้ามายังที่แห่งนี้ ก็เพราะตัวท่าน ข้าพเจ้ามาเพื่อดูว่ายอดบุรุษเหนือบุรุษนั้นเป็นเช่นไร เมื่อพบเจอแล้ว ก็อยากจะฝากคำแนะนำแก่ท่าน"


"คำแนะนำกระไร"


"ท่านจงเข้าสู่เมืองหลินอัน ช่วยเหลือคนผู้หนึ่ง"


"ไฮ้! จะไปได้เยี่ยงไร ในเมื่อข้าพเจ้ามีคดีความติดตัว"


"ท่านลองส่องกระจกดู"


จางฝานลุกขึ้น เข้าไปในร้านกระจกใกล้ๆ เพื่อส่องดูหน้าตา มันถึงกับตะลึงงัน ที่แท้หน้าตาของมันเปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งหลังของมันที่งองุ่มก็หายไป ผิวของมันก็กระจ่างใสขึ้นแล้วด้วย มันรีบหันหลังกลับไปที่โต๊ะหมอดูอีกที


หมอดูก็หายไปจากโต๊ะเสียแล้ว!


มีเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งขีดเขียนข้อความฝากไว้ว่า


อีกสามเดือนจงช่วยคนผู้หนึ่ง ท่านจะเจอคนผู้นั้นข้างทะเลสาบซีหู แล้วท่านจะล่วงรู้ความลับของ "มุก" เม็ดนี้!!


ผ่านไปสามเดือนในที่สุด จางฝานก็มาถึงเมืองหลินอัน ตอนต้นมันก็เดินไปเดินมาแถวรอบๆ ทะเลสาบ ในเช้าตรู่วันหนึ่ง มันเดินออกมาสำรวจอีก มันก็พบเจอและช่วยเหลือกังโส่วหู่ดั่งที่เห็น


มันบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้กังโส่วหู่ทราบ


"เช่นนั้นแสดงว่า สมบัตินี้ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับ "มุก" ของท่านแล้ว"


จางฝานพลักหน้ารับคำ กังโส่วหู่ทำท่าครุ่นคิดไปมา เอามือเท้าคางพลาง แลบลิ้นเลียริมฝีปากจนแห้งสนิทพลาง


"งั้นข้าพเจ้าคิดว่า พวกเราสมควรเปิดแผนที่นั้นดู"


พูดจบมันก็ล้วงกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุแผนที่ฉบับดังกล่าวออกมา คลี่คลาย แผนที่มีขนาดใหญ่พอสมควร มันดูจนทั่วก็ไม่มีกระไรที่พอเป็นตัวอักษร เห็นแต่เพียงจุดแดงบนแผนที่จุดหนึ่ง
กังโส่วหู่มองแผนที่ไปมองแผนที่มาก็ดีดนิ้วชอบใจ


"ท่านดีดนิ้วชอบใจด้วยเหตุใด"


"ข้าพเจ้าคุ้นตาแผนที่นี้นัก ในตอนแรกนั้นข้าพเจ้าก็มิรู้ว่า มันคือแผนที่กระไร แต่เมื่อหวนนึกถึงแผนที่เมืองหลินอัน ข้าพเจ้าก็เข้าใจในบัดดล"


"ว่าเป็นแผนที่เมืองหลินอันใช่หรือไม่"


"นับว่าท่านเป็นคนช่างสังเกตนัก ใช่แล้ว แผนที่นี้คือแผนที่เมืองหลินอัน"


"แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือสถานที่ใด?"


จางฝานกล่าวพลางใช้นิ้วจิ้มบนจุดแดงในแผนที่ไปพลาง


"ท่านเห็นเป้ย่ามของข้าพเจ้าที่ติดตัวมาด้วยหรือไม่"


"นี่หรือ"


จางฝานลุกขึ้นไปหยิบเป้ย่ามของกังโส่วหู่ที่ตกอยู่ข้างกายมันในวันที่มันหลบหนี จากนั้นยื่นส่งให้แก่กังโส่วหู่ มันล้วงหยิบกระบอกไม้ไผ่อีกอันขึ้นมา มันคลี่คลายแผนที่นั้น แล้วจึงพูด


"ตึกไป๋ลู่ต่ง (กวางขาวซุ่มซ่อน)!!!"


"มัน คือ ที่แห่งใด"


"ตึกนี้เป็นตึกเก่าของอ๋องคนหนึ่ง ต่อมาถูกยกให้เป็นตึกตำราหนังสือ"


"กระนั้น เราจะทำเช่นไรถึงจะลอบเข้าไปได้"


"ตึกนี้อยู่ทางด้านทิศใต้ของเมืองหลวง คงต้องใช้ท่อระบายน้ำแล้วกระมัง?"


พวกมันจะกลับเข้าไปสู่ดงของพรรคเทวราชอีกครั้ง น่ากลัวจะเป็นเหมือนกับลูกแกะเข้าสู่ดงพยัคฆ์ เหตุใดยังดิ้นรนใคร่จะไปนัก!!!!!!!




เกร็ดความรู้


[1] ในสมัยโบราณนั้น การตัดสินคดีความจะขึ้นตรงต่อผู้ปกครองในเขตอำนาจนั้น ไม่มีศาลแยกเป็นเอกเทศอย่างปัจจุบัน





Create Date : 08 กันยายน 2551
Last Update : 8 กันยายน 2551 22:09:05 น. 1 comments
Counter : 275 Pageviews.

 
เนื้อเรื่องในตอนนี้จะเอื้อยๆ (ช้าว่าง่ายเถอะ) นะขอรับ

เป็นการปูเรื่องไปสู่ตอนที่ 5 และต่อๆ ไป ดังนั้น ทนอ่านกันหน่อยนะขอรับ

และที่ไม่สมเหตุสมผล ก็คือ

เีรื่องการกระทำของ เฉินเซี่ยหยู่ ขอรับ

เหตุที่ ต้องอธิบายก่อนหน้า เพราะจะมีอีกคนขอรับ ที่กระทำดุจเดียวกัน

แถมต่อสู้กับ ฉินกุ้ย อีกต่างหาก -*-

นั่นล่ะขอรับ คือ เหตุผลว่าทำไมต้องอธิบาย

แล้วที่อธิบายถึง เสี่ยวเหลียง อีกคนหนึ่ง

เพราะ ... เด๋วจะมีลูกโซ่จากเหตุการณ์ ที่กังโส่วหู่กับจางฝานแอบเข้าไำปในเมืองหลวงขอรับ

ติดตามกันต่อไป ขอรับ ^________^


โดย: ต๊กโกวเก้าเกี่ยม (กระบี่เก้าเดียวดาย ) วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:22:15:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระบี่เก้าเดียวดาย
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ฟังพิรุณบนหอน้อยเพียงเดียวดาย..
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
8 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระบี่เก้าเดียวดาย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.