ตำนานสะท้านฟ้า (สารบัญ)
ยังไม่เปิดจ้า
ยังไม่เปิดจ้า
บู๊ลิ้มพันทิพย์
บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 3 มรสุมนครหลวง ปลาแหวกร่างแห






ยุทธภพนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ยุทธภพย่อมเกิดขึ้นเพียงเพราะคำๆ เดียวเท่านั้นเอง นั่นคือ “เงิน”


เงินตราย่อมดลบันดาลทุกอย่าง!!!!


ในสมัยที่บ้านเมืองสงบสุข พรรคต่างๆ ต่างมีวิธีหาเงินมาเลี้ยงปากท้องด้วยกันทั้งสิ้น บ้างรับจ้างคุ้มกันสินค้า บ้างรับจ้างคุ้มกันของสำคัญหรือบุคคลสำคัญ อย่างเช่นสำนักคุ้มภัย (เปาเปียว) ต่างๆ ล้วนอยู่กันด้วยเหตุผลเยี่ยงนี้



มีบ้างที่ทำมาหากินด้วยตนเองไม่พึ่งพาใครทั้งสิ้น แต่ก็รวมกลุ่มกันขึ้นมา เพื่อให้การค้าขาย หรือการกระทำของพวกตนมั่นคงขึ้น อย่างเช่น พวกพรรคกระยาจก เป็นตัวอย่าง


และมีบางพวกไม่เป็นที่ต้องการของสังคมส่วนใหญ่ นั่นคือพวกรับจ้างฆ่าหนึ่ง พวกชมชอบใช้ยาพิษหนึ่ง พวกทำการค้าไม่ลงทุน (โจร) พวกเหล่านี้อีกหนึ่ง
พวกเยี่ยงนี้ล้วนถูกมองจากสังคมว่าเป็น “พรรคมาร” นอกรีตนอกรอยจากกรอบประเพณี แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้หายไปจากโลกใบนี้ พวกมันยังคงวนเวียนอยู่ด้วยกิเลสความอยากได้อยากมีของหมู่มวลมนุษย์


หลังจากยุควุ่ยเหนือ[1] เป็นต้นมา ปรมาจารย์เซ็น (ณาณ) พระโพธิธรรม (ปรมาจารย์ตั๊กม้อ) ได้เดินทางจากเทียนเต็กมาที่วุ่ยเหนือ ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเส้าหลินขึ้นที่เขาเส้าซื่อ ยอดเขาทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน เมืองเหอหนัน ในตอนที่ท่านมาปฎิบัติธรรมนั้นท่านได้นำเอาวิชาโยคะจากบ้านเกิดของท่านมาด้วย
เนื่องจากสมัยก่อนนั้นนักบวชพุทธต้องนั่งวิปัสสนาเป็นเวลาเนิ่นนาน ดังนั้นเพื่อมิให้ร่างกายเมื่อยล้าจนเกินไป จึงต้องมีการฝึกฝนร่างกายกันบ้าง นอกเหนือจากวิชาโยคะดั้งเดิมที่ท่านนำมานั้น ท่านยังได้คิดปฏิบัติท่าโยคะต่างๆ เพิ่มเติมอีก



ไม่ทราบด้วยเหตุผลประการใด วิชาโยคะที่ปรมาจารย์โพธิธรรมได้บัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมาจากของเดิมนั้น กลับกลายมาเป็นวรยุทธ์วิชากำลังฝีมือเสียได้!


นั่นมิเท่ากับว่าเส้าหลินกลายเป็นจ้าวยุทธจักรหรือ!


ย่อมมินับเป็นเช่นนั้น เนื่องจากฝ่ายลูกศิษย์เหล่าจื้อ(เต๋า)เองก็ได้ ประดิษฐ์วิชาเพลงกระบี่ขึ้นมาแข่งขันเช่นกัน พร้อมกันนั้นยังโจมตีจุดอ่อนของปรัชญาพุทธหลายทาง


การโต้เถียงเช่นนี้เองที่นำไปสู่เหตุปัจจัยทางหนึ่งในการเกิดขึ้นของพรรคนิกายต่างๆ ในแวดวงยุทธจักร



ดังนั้นในยุคนั้นย่อมนับว่า มีสองขั้วใหญ่ๆ อยู่สองขั้ววิชาด้วยกัน คือ วิชาแนวเต๋าที่ใช้หลักการของคัมภีร์แปดทิศสร้างสรรค์กระบี่สัตตดารา(เจ็ดดาวเหนือ) และวิชาแนวพุทธ อันได้แก่วิชาของวัดเสี่ยวลิ้มยี่เป็นสำคัญ


หลังจากที่จินกั๊ว (กิมก๊ก) ยาตราทัพลงมาครองเมืองไคเฟิง ล้มล้างแคว้นเหลียว แล้วกุมตัวฮ่องเต้เจ๋ง และ คังไปนั้น


จ้าวโก้ว หนึ่งในแม่ทัพเชื้อพระวงศ์สถาปนาตนเองขึ้นเป็น “ซ่งเกาจง” ตั้งเมืองหลวงที่เมืองหลินอัน (หางโจวปัจจุบัน) นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็เข้าสู่ยุคสมัยซ่งใต้แล้ว


ฟากชนชาวนักเลงเองก็หลบหนีการรุกรานของทัพจิน(กิม)เช่นเดียวกัน นักบวชพุทธจากเส้าหลินบางส่วนที่ลี้ภัยได้ทัน ก็ได้ลงมาตั้งสำนักปฎิบัติธรรมที่เมืองฮกเกี้ยนเกิดเป็น “วัดเส้าหลินใต้” ขึ้น


พวกช้วนจินก่า(สำนักช้วนจิน) แห่งลัทธิเต๋า และนักบวชเส้าหลินที่หลบหนีลงมาไม่ทัน ก็ยังคงต่อต้านจินอยู่เป็นนิจ เปรียบดั่งก้างชิ้นเล็กๆ ขวางคอพวกจินอยู่ก็ปาน
เมื่อมีศัตรูร่วมกัน ทั้งช้วนจินก่า และเส้าหลินทั้งเหนือและใต้ ต่างมิได้โต้เถียงขัดแย้งกันเรื่องปรัชญาอีกแล้ว เพราะเรื่องดังนี้มันนับว่าน้อยนิดเกินกว่าที่จะไปกล่าวถึง ทั้งสองสำนักจึงร่วมมือกัน เป็นพันธมิตรต่อต้านพวกจินอยู่นั่นเอง
ดังนั้นสำนักเหล่านี้ จึงเรียกพรรคพวกของตนว่า


“พวกสำนักฝ่ายธรรมะ”


ในรัชกาลของซ่งเกาจงนั้นมีกังฉินเสนาบดีใหญ่อยู่ผู้หนึ่ง มันมีชื่อว่า “ฉินกุ้ย” (ฉินไคว่) คนผู้นี้ถึงกับสั่งสับสังหารท่านเย่ว์เฟย (งักฮุย) เสียทั้งครอบครัวโดยมิมีเหตุผลอันใด มันอ้างเพียงว่า “อาจจะมี” ยังความโกรธแค้นแก่ชาวประชายิ่งนัก พวกชาวบ้านประดานี้มิรู้จะกระทำประการใด ก็จับแป้งสาลีมัดติดกันลงไปทอดในกระทะน้ำมัน พวกมันทำเป็นสองซีก เรียกข้างหนึ่งว่า “ฉินกุ้ย” อีกข้างหนึ่งว่า “ฮูหยินหวัง” เพราะพวกมันกระทำประการใดต่อฉินกุ้ย และฮูหยินของมันมิได้ พวกมันจึงทำได้เพียงเท่านั้นเอง!!


เหตุการณ์นี้เรียกรวมต่อเนื่องจากสมัยก่อนหน้าว่า “เจ๋ง คัง ภักดี” คำว่า “เจ๋ง คัง” นั้นมาจากเหตุการณ์การล่มสลายของซ่งเหนือ ส่วนคำว่า “ภักดี” นั้นมาจากวีรกรรมของท่านเย่ว์เฟย์นั่นเอง


ชนชาวนักเลงนั้น มีบ้างที่โกรธแค้นมัน ถึงกับส่งผู้คนไปสับสังหารมัน แต่ก็ข้ามผ่านองครักษ์ข้างตัวของมันมิได้
องครักษ์สนิทของมันนั้น มีชื่อเรียกว่า “ว่านสี่เซี่ย” (ม่อฉีเซี่ย) ฉายาจอมมารหมื่นพิษ ซึ่งมาจากพฤติการณ์ของมันที่มักจะสับสังหารผู้คนด้วยพิษอันร้ายกาจ นอกนั้นมันก็ยังมีซือตี๋ (ศิษย์น้อง) อีกผู้หนึ่ง เรียกว่า “จางจุ้น” ฉายามือปีศาจไร้เงา


พวกมัน สองซือเฮียตี๋ (สองศิษย์พี่น้อง) นั้น ความจริงแล้วเป็นบุตรขุนนางเก่าแก่ในเมืองไคเฟิง วันหนึ่งว่านสี่เซี่ยได้พบเจอกับเฒ่าประหลาดอยู่ผู้หนึ่ง ขณะที่มันกำลังหลบหนีบิดามารดาออกมาเดินเล่นในยามค่ำคืนของเมืองไคเฟิง
มันเห็นเฒ่าประหลาดนั้นใช้วิชาพิษอันน่าตื่นตะหนกต่อกรกับศัตรูที่กลุ้มรุมอยู่ แต่พวกประดานั้นมิอาจสู้พิษร้ายกาจของมันได้ ล้วนล้มตายไปเสียสิ้น เฒ่าประหลาดเห็นมันแต่ไกลจึงเดินเข้าไปมาหามัน คิดจะสังหารมันไปอีกผู้หนึ่ง


แต่มันเนื่องจากเป็นคนขี้ขลาดอยู่แล้ว ในวินาทีแห่งชีวิตนั้น มันจึงก้มลงกราบกรานคารวะคุกเข่าขอเป็นศิษย์เฒ่าประหลาด เฒ่าประหลาดนั้นเห็นว่า มันแต่งตัวดี ดูมีราศี ต้องเป็นบุตรของเจ้าใหญ่นายโตเป็นแน่แท้
มันก็คิดจะเกาะพวกประดานี้ไว้ เผื่อว่ามันจะรับได้เงินทองบ้าง อีกทั้งยังเป็นที่หลบภัยจากชนชาวนักเลงได้เป็นอย่างดี มันจึงยอมรับเด็กชายว่านสี่เซี่ยไว้เป็นศิษย์


หลังจากนั้นว่านสี่เซี่ยก็หาบ้านหลังหนึ่งให้แก่มัน พร้อมกับให้เงินมันใช้วันละหลายอีแปะ แล้วจึงชักชวนจางจุ้นที่เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาเข้าร่วมด้วย
มันจึงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันด้วยเหตุเช่นนี้!



ทุกวันพอพวกมันเสร็จจากเล่าเรียนหนังสือพวกมันก็มักจะมาขอร่ำเรียนวิชาจากเฒ่าประหลาดนานหลายปี มีบางจุดที่เฒ่าประหลาดมิยอมอธิบายแก่มัน ซึ่งจริงๆ แล้วเฒ่าประหลาดนั้นไม่ต้องการรับมันเป็นศิษย์จริงดั่งคำพูด จึงสอนวิชาให้มันเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ซือเฮียตี๋ทั้งสองนั้นก็รู้ความจริงข้อนี้ดีเช่นกัน นัดหมายสับสังหารคนผู้นี้เสีย


พวกมันรอจนเฒ่าประหลาดไม่สบายอย่างหนัก พวกมันก็เผยหางจิ้งจอกออกมา ซือเฮียตี๋ทั้งสองต่างช่วยกันกลุ้มรุมทำร้ายซือแป๋ (อาจารย์) ของพวกมันเองจนแน่ใจว่าผู้เป็นซือแป๋ตายแล้ว ก็ค้นภายในตัวของเฒ่าประหลาด พลันเจอคัมภีร์เล่มหนึ่งเข้า คัมภีร์นี้เขียนบนปกไว้ว่า “คัมภีร์หมื่นพิษ” พวกมันดีใจยิ่งนัก เนื่องเพราะคัมภีร์นี้ได้อธิบายหลักการใช้พิษเพิ่มเติมจากการสอนสั่งของเฒ่าประหลาดเสียจนหมดสิ้น หลังจากนั้นเมื่อพวกมันได้คัมภีร์สมปรารถนา พวกมันก็ขะมักเขม้นฝึกวิชาในคัมภีร์อย่างหนัก


จนกลายมาเป็นจอมมารในยุคนี้!



พอสิ้นเมืองหลวงเก่าไคเฟิงแก่พวกจิน(กิม) พวกมันจึงไต่เต้าจากระดับองครักษ์ ขึ้นมาเป็นขุนนางได้ไม่ยากเย็นนัก ยิ่งมีฉินกุ้ยที่ทั้งผลักทั้งดันพวกมันอยู่แล้วนั้น ยิ่งมิต้องพูดถึง พวกมันทั้งหมดล้วนแล้วแต่ประจบสอพลอจ้าวโก้วเก่งยิ่งนัก นับวันนับจะมีอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลวงยิ่ง
ว่านสี่เซี่ยถึงกับตั้งพรรคเทวราชขึ้นมา ชักนำเอาผู้คนเข้าสังกัดมิได้ขาด


นับเป็นพรรคมารอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน!



เช้ามืด ดวงอาทิตย์ในยามฤดูตงเทียน (ฤดูหนาว) ใกล้ขึ้นสู่ขอบฟ้าแล้ว มันส่องแสงระยิบระยับประดับกระทบกับพื้นน้ำในทะเลสาบซีหูใกล้นครหลินอัน ดวงอาทิตย์ยามนี้ขึ้นช้ายิ่ง สว่างช้าอย่างยิ่ง
พลันมีเงาร่างหลายสาย วิ่งไล่ติดตามกันอย่างรวดเร็วข้างทะเลสาบอันสวยงามนี้ เงาร่างที่นำอยู่นั้นถึงกับเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง! ที่ติดตามมาเบื้องหลังมันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นลูกสมุนในพรรคเทวราชทั้งสิ้น!


ไฮ้! ที่แท้คือเรื่องราวใดกันแน่!


กังโส่วหู่ (พยัคฆ์ยืนยาวแซ่กัง) คือ ชื่อของชายหนุ่มรูปงามนี้ มันมีฉายาในชนชาวนักเลง ว่า แมวเก้าชีวิต ไม่ว่ามันคิดจะขโมยสิ่งของใดล้วนง่ายดั่งล้วงของในถุงย่ามของตนก็ปาน แต่หากมันประสบพบเหตุร้ายประการใดแล้วไซร้ ส่วนใหญ่มันมักจะรอดชีวิตกลับมาได้แทบทั้งสิ้น ดังนั้นฉายาของมันจึงมีที่มาเช่นนี้เอง


กังโส่วหู่ได้รับข่าวสารรายหนึ่งมาว่า พรรคเทวราชนั้นได้แผนที่ขุมสมบัติอันหนึ่งมา ขุมสมบัตินั้นมีค่าพอๆ กับรายจ่ายหลายสิบปีของราชสำนักเสียด้วยซ้ำ ด้วยใจของหัวขโมยมือหนึ่งอย่างมัน มีหรือจะปล่อยปละละเลยการค้ารายนี้ หน้ำซ้ำยังเป็นการฉีกหน้าว่านสี่เซี่ยอย่างแรงอีกด้วย นั่นยิ่งต้องหาทางขโมยมาให้จงได้!


ดังนั้นมันจึงเข้ามาที่เมืองหลวง สืบเสาะร่องรอยของพรรคเทวราช จนรู้ว่าพรรคเทวราชนั้นตั้งสาขาหลักอยู่แห่งหนตำบลใด เมื่อมันรู้ที่อยู่แน่ชัด มันก็สืบหาไปอีกว่า ตึกหลังนี้ ใครเป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง ผังตึกนั้นอยู่ที่ใคร เมื่อมันชัดแจ้งในประการนี้แล้ว มันจึงเข้าไปขโมยผังตึกหลังนี้ออกมาจากบ้านของผู้ออกแบบ สำรวจทางหนีทีไล่จนเสร็จสรรพ แต่ก็มิพบห้องลับแต่ประการใด ดังนั้นมันจึงเฝ้าดูเวรยามในตึก ฉวยจังหวะที่เปลี่ยนกะเวรยามนั้น แอบลอบเข้าไปสำรวจคราหนึ่ง จนมั่นใจว่าห้องใดที่น่าจะเก็บแผนที่ฉบับนั้นไว้


มันเสียเวลาเช่นนี้กว่ายี่สิบวันสำรวจนั่นนี่จนพอใจ และรอคอยเวลา!


ตกกลางดึกคืนหนึ่ง ปฏิบัติการขโมยของมันก็เริ่มต้นขึ้น คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด เหมาะสมกับเวลาทำการค้ารายนี้ยิ่งนัก อีกทั้งวันนี้มันทราบข่าวแล้วว่า ว่านสี่เซี่ยและจางจุ้นจะต้องไปเข้าเฝ้าพร้อมกับฉินกุ้ย ถึงมันจะทำผิดพลาดประการใดลงไป ยอดฝีมือทั้งสองก็คงกลับมามิทันมันหลบหนีเป็นแน่แท้ ยามนี้มันจึงได้แต่หัวร่อในใจ
มันอยู่เหนือต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้กำแพงของตัวตึก ล้วงเอาอุปกรณ์ปีนป่ายประจำตัวขึ้นมา มันใช้เชือกขอเกี่ยวเหวี่ยงไปอีกฟากหนึ่งของตัวกำแพง ยึดติดกับอาคารหลังหนึ่ง มันฝึกใช้เชือกขอเกี่ยวเยี่ยงนี้มาตั้งแต่เล็ก ไหนเลยจะเกิดสุ้มเสียงอันใดได้!


ถึงกระนั้นเพื่อกันความผิดพลาด มันจึงเลือกใช้เชือกขอเกี่ยวในยามที่มีการผลัดเปลี่ยนกะเวรยามเท่านั้น!


จากนั้นมันจึงมัดเชือกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ แล้วใช้ผ้านุ่มเหนียวอันหนึ่งห้อยโหนลงมาจากต้นไม้สูง มันสู่ตัวตึกอย่างแผ่วเบา ใช้เท้าและมือทั้งสองข้างม้วนตัวเอง ตกลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย


ฝีเท้าของมันนับว่าเบาอย่างร้ายกาจ!



พลันมีคนสองคนเดินมาพร้อมโคมไฟใบหนึ่ง! แสงไฟสว่างวาบขึ้นมา กังโส่วหู่รู้สึกเสียท่า ถลันเข้าห้องที่อยู่ใกล้ๆ นั้น มันพิงตัวเองกับผนังนั่งลงอยู่กับพื้น แสงไฟจากโคมค่อยๆ เข้าใกล้หน้าต่างเหนือหัวของมัน



“เมื่อไหร่เมียเจ้าจะคลอดบุตร”


“คงอีกไม่นานกระมัง ตอนนั้นข้าพเจ้าคาดว่าจะขออนุญาตท่านพ่อบ้าน ขาดเวรยามสักครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นเราคงได้ฉลองกัน ฮาฮา”


เสียงพูดคุยดังไกลออกไป พร้อมกับแสงที่ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ แม้เสียงพูดคุยจะไม่ขาดปาก แต่มันมิสนใจฟังอีกแล้ว
ที่แท้เวรยามเพิ่งเปลี่ยนกะใหม่นั่นเอง!
กังโส่วหู่ถลันตัวออกจากห้องอีกครา มันจดจำได้เกือบทุกห้องในตึกนี้ ห้องเมื่อสักครู่ที่มันลอบเข้าไปหลบเป็นห้องครัวห้องหนึ่ง ยังดีในเวลายามนี้ในตึกไม่มีผู้ใดดื่มกิน มิเช่นนั้นน่ากลัวจะต้องเรียกสมุนพรรคเทวราชออกมาอีกเป็นกองทัพทีเดียว มันวิ่งไปไปจนสุดราวระเบียงหนึ่งสู่อีกราวระเบียงหนึ่งของอีกตัวตึก มันพลันหยุดยั้งเท้าของมันอย่างรวดเร็ว


บรรลุถึงตึกที่เป็นเป้าหมายของมันแล้ว!


กังโส่วหู่เดินออกมาจากระเบียงสู่ทางเชื่อมระหว่างอีกตึก ตอนนี้มันอยู่ข้างๆ ตึกเป้าหมายแล้ว มันล้วงเอาเชือกขอเกี่ยวขึ้นมาอีกครา เกี่ยวยึดขอเกี่ยวติดกับขื่อคาของชั้นสอง จากนั้นมันม้วนตัวปีนป่ายเชือกอีกสองสามครา ก็บรรลุถึงบนหอน้อย ห้องนี้ถึงกับเป็นห้องนอนของว่านสี่เซี่ย!


ตอนที่มันมาสำรวจห้องนี้ก็มิพบมีที่ใดผิดปกติ เหตุใดจึงยังมาห้องนี้อีกเล่า! นั่นก็เพราะมันจำได้ว่าห้องนี้ประกอบไปด้วย เตียงตัวหนึ่ง เก้าอี้พิงแขนตัวหนึ่ง ภาพวาดอีกภาพหนึ่ง และตู้หนังสืออีกใบหนึ่ง แต่ที่น่าแปลกคือ ว่านสี่เซี่ยนั้นมีห้องหนังสือเป็นเอกเทศอยู่แล้ว เหตุใดใยจึงยกตู้หนังสือขึ้นมาที่ห้องนอนอีกเล่า!


ดังนั้นกังโส่วหู่ค่อยๆ เข้าไปที่ตู้หนังสือใบหนึ่งข้างๆ กำแพง มันเคยมาสำรวจแล้วครั้งหนึ่ง พบว่าเบื้องหลังตู้นั้นไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ครานี้มันล้วงเอาหนังสือที่อยู่ชั้นข้างล่างสุดออกสองสามเล่ม แล้วเคาะเบาๆ ที่พื้นของตู้หนังสือสองสามครา


เสียงดังตึ่กตึ่กดังติดกัน คล้ายดั่งในกลวง!


เป็นจริงดั่งมันคาด ข้างล่างต้องมีช่องลับเป็นแน่!
กังโส่วหู่แย้มยิ้มคราหนึ่งจึงจัดการดันตู้หนังสือนั้น ข้างใต้ตู้เผยอให้เห็นช่องทางบันไดลงอยู่เบื้องล่าง ที่แท้นี่คือช่องทางลงไปยังห้องลับนั่นเอง!
มันเดินลงไปคราหนึ่งแล้วจึงล้วงเอาคบไฟยางสนออกมาใช้ ที่แท้แม้มันจะเป็นหัวขโมยมือหนึ่งและมองเห็นในที่มืดได้ดี แต่ช่องทางเยี่ยงนี้ ไหนเลยจะใช้ตามองเห็นได้ มันเดินตามบันไดลงมาสู่ชั้นล่าง ที่แท้มองไม่เห็นหน้าต่างด้านนี้ก็เพราะมีทางลับนี้นี่เอง
มันเดินลงจากช่องทางลับจนถึงชั้นหนึ่ง ชั้นบันไดก็เปลี่ยนทิศทางลงอีกครา จนมาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง บานประตูนี้ถูกปิดผนึกด้วยลูกกุญแจอยู่สองชั้น มันจึงวางคบไฟลงกับพื้น ล้วงเอาอุปกรณ์อีกอย่างของมันออกมา ใช่แล้ว! นั่นคือเครื่องมือสะเดาะกุญแจ[2] นั่นเอง!


มันสะเดาะกุญแจอยู่นานพอสมควรทีเดียว เหงื่อกาฬของมันไหลหยดลงมาจนเกือบจะนองเต็มพื้นเสียให้ได้ ในที่สุดมันก็กระทำสำเร็จ กุญแจทั้งลูกแรกและลูกที่สองล้วนถูกมันปลดผนึกเสียสิ้น!


มันหยิบคบไฟขึ้นมาอีกครา แล้วเดินเข้าไปในห้องมืดนั้น ห้องนี้เต็มไปด้วยสมบัตินานับปการ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เงาวับมีด้ามจับสวยงาม ไปจนถึงเพชรนิลจินดาละลานตา ล้วนเห็นได้ในห้องนี้ทั้งหมด แต่มันไม่สนใจของประดานี้!


สิ่งที่มันต้องการ คือ “แผนที่” หากมันหันใจไปสนใจของสิ่งอื่น น่ากลัวจะหลบรอดเงื้อมมือของว่านสี่เซี่ยและจางจุ้นยากเสียแล้ว!


มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้ใบหนึ่ง มันคาดว่าน่าจะใช้กลแบบเดียวกับตอนต้น ดังนั้นมันจึงดันตู้นั้นให้เปิดทางออก
แผนที่ขุมทรัพย์ต้องอยู่ข้างหลังตู้นี้เป็นแน่ ข้างหลังตู้ปรากฏช่องๆ หนึ่ง และมีกล่องใบหนึ่งอีกด้วย หากมิใช่เป็นกังโส่วหู่ แต่เป็นหัวขโมยคนอื่น น่ากลัวจะผ่านด่านสมบัติล่อตาที่อยู่ตรงก่อนหน้านั้นไม่ได้
ก่อนที่มันจะล้วงจับแผนที่นั้น มันผลันนึกขึ้นได้ว่าว่านสี่เซี่ยคือยอดยุทธ์ที่ใช้พิษ จึงใช้เข็มจิ้มไปบนกล่องใบนั้น


เข็มถึงกับเปลี่ยนเป็นสีดำ บนกล่องมีพิษ!!


หากมันมินึกขึ้นมาได้เสียก่อน น่ากลัวจะเป็นศพอยู่ในที่นี้เสียแล้ว จากนั้นมันจึงฉีกเสื้อส่วนหนึ่งออกเป็นผ้าชิ้นหนึ่ง แล้วลองใช้ผ้าผืนนั้นจับกล่องดู ผ้านั้นก็พลันขาดลงไปอีก


แล้วมันจะทำประการใดได้เล่า!


มันหยิบคบไฟส่องไปซ้ายทีขวาทีจนรอบห้อง มองหาเศษผ้าอันหนึ่ง ในที่สุดมันก็เจอเศษผ้าชิ้นหนึ่ง ด้านหนึ่งของเศษผ้ามีรอยไหม้อยู่ด้วย แสดงว่าผ้านี้ต้องมีความทนทานอย่างยิ่ง เพราะมันจับกับพิษทุกเมื่อเชื่อวัน!


จากนั้นมันจึงใช้ผ้าผืนนี้เปิดกล่องออกมา ในที่สุดของที่มันต้องการก็ได้มาครอบครอง


ลายแทงแผนที่ขุมทรัพย์!!



ถึงเวลาที่มันต้องรีบหลบหนีออกจากที่แห่งนี้แล้ว มันรีบปิดกล่องไว้ดังเดิม นำเอาลายแทงยัดใส่กระบอกไม้ไผ่อุดปากรูกระบอกให้แน่นนำกระบอกนั้นซุกซ่อนไว้ในอกเสื้อผ้าของมัน แล้วก็ดันตู้ไว้ดังเดิม ลงกลอนกุญแจดังเช่นเดิม จากนั้นรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นบนอย่างรีบเร่ง แล้วค่อยๆ ดันตู้หนังสือกลับ พลันมีเสียงของเวรยามตะโกนดังขึ้น พร้อมกันนั้นพวกมันถึงกับตีโฆ้งร้องป่าวอยู่ไม่ขาดปาก


“มีคนร้าย รีบจับตัวคนร้าย”


มารดามันเถอะ! กังโส่วหู่สบถอยู่ในใจ มันนึกว่าการขโมยของมันจะไร้ช่องโหว่แล้วเชียว ที่ไหนได้ดันมีเสียงป่าวร้องเสียก่อน ที่แท้เวรยามพวกนั้นดันไปเห็นเชือกขอเกี่ยวของมันเสียได้ นี่นับว่าเป็นคราเคราะห์ของมันจริงๆ
มันค่อยๆ ผลักหน้าต่างในหอน้อยกระโดดออกจากหน้าต่างห้องนั้น กระโดดข้ามลงไปสู่หลังคากำแพงใกล้ๆ หวังว่าจะไม่มีผู้ใดพบเห็นมัน จากนั้นจึงหย่อนตัวลงสู่พุ่งไม้ทึบข้างหลังดงป่าไผ่ในตึกพุ่มหนึ่ง


แม้มีเสียงตะโกนโหวกเหวกร้องเรียกจับตัวไม่ขาดปาก แต่กังโส่วหู่ก็พยายามทำจิตให้สงบ
มันหายใจเหนื่อยหอบอยู่ในพุ่งไม้ เห็นแสงวูบวาบผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสาย หลังต้นไผ่ พลันมีเสียงๆ หนึ่ง


“หัวขโมยนั้นมิรู้อยู่ที่แห่งใด ท่านพ่อบ้านคิดจะทำประการใด”


“ข้าพเจ้าว่ารีบไปเรียก ผู้คุมกฎทั้งสามมาปรึกษาหารือดีกว่า หากปล่อยให้เจ้าวายร้ายหลบหนีไป น่ากลัวพวกเราจะต้องถูกปังจู๊ (หัวหน้าพรรค) ลงโทษเป็นแน่แท้”


คนรับใช้รับคำคราหนึ่ง ถลันจากไป ชั่วครู่ใหญ่ผู้คุมกฎทั้งสามก็มาถึง


“ท่านพ่อบ้านเสิ่น เหตุใดจึงเรียกพวกเรามาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้เสียเล่า”


เสียงผู้ที่ถามกลับเป็นเสียงสตรีที่ฟังดูนุ่นนวลน่าถนุถนอมและน่าพิสมัยยิ่งนัก


“ยามนี้ ในตึกพลันปรากฏหัวขโมยผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าว่ามันคงมิได้หนีไปไหนไกล กระมัง ดังนั้นมันยังคงอยู่ในตึกนี้”


“เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น!”


ผู้คุมกฎอีกผู้หนึ่งส่งเสียงดังขึ้นมา หากคาดการณ์จากน้ำเสียงของมัน เจ้าตัวคงเป็นพวกมุทะลุดุดัน กระทำการใดล้วนประมาทเป็นแน่


“ข้าพเจ้าเห็นว่ามันคงยังมิทิ้งเชือกขอเกี่ยวของมันเสียกระมัง เพราะหากมันไปไกลแล้ว มันคงไม่ยินยอมทิ้งหลักฐานใดๆ อีก”


ทั้งหมดกำลังจะพูดจาต่อ แต่พลันมีผู้คุมกฎคนหนึ่งบอกเงียบเสียงเสียก่อน ที่แท้กังโส่วหู่เหยียบเข้าใส่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง! แสดงว่าผู้คุมกฎคนนี้ต้องมีสติปัญญารอบคอบ กระทำการใดมิผิดพลาด เพียงเสียงเล็กๆ มันยังจับเจ่าขนาดนี้ หากเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่านี้ มันมิต้องพิถีพิถันกว่านี้เชียวหรือ?


จากนั้นผู้คุมที่สั่งเงียบเสียงก็ออกคำสั่งให้สมุนวิ่งขึ้นไปดูชั้นบนตัวตึก พอพวกมันไปถึง มันก็สำรวจตรวจตราโดยรอบ แต่ก็มิพบประการใดผิดปกติ เพียงแต่ประตูหน้าต่างเปิดอ้าเท่านั้น พวกมันตะโกนออกมาว่า



“ท่านผู้คุมกฎ ข้าพเจ้าเพียงพบประตูหน้าต่างเปิดอยู่เพียงเท่านั้นขอรับ”


ผู้คุมกฎคนนั้นกล่าวอีกว่า


“ข้าพเจ้าเห็นว่าตามพฤติการณ์ของปังจู๊ หากท่านจะไปกระทำกิจธุระ ณ ที่แห่งใด ท่านจะต้องมิยินยอมให้ประตูหน้าต่างเปิดอย่างเด็ดขาด ดังนั้น….”



ไม่ทันขาดคำพูด กังโส่วหู่ถึงกับเย็นวาบไปทั้งหลัง เนื่องจากแสงไฟที่ลอดเข้ามายังพุ่งไม้ ตอนนี้เท่ากับมันเปิดเผยตัวต่อทั้งหมดแล้ว!


ตอนนี้ มันไม่คิดสิ่งใดอีกแล้ว รีบกระโจนออกจากหลังพุ่มไม้ และดงไม้ไผ่นั้น รีบหนีออกจากที่นั่นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันได้ยินเสียงผู้คนมากมายวิ่งตามตะโกนป่าวร้องออกมาจากเบื้องหลัง มันลัดเลาะวิ่งออกมาจนถึงหลังตึกที่ทำการใหญ่ของพรรคเทวราชอย่างรวดเร็ว มันถีบประตูอย่างสุดแรงเกิด


เสียงปังดังขึ้น!


ประตูหลังตอนนี้เปิดแล้ว จากนั้นมันก็วิ่งพรวดพรวดออกมาอย่างรวดเร็ว มันวิ่งมาตามถนนเรียบทะเลสาบซีหู่ ที่แท้ตึกที่ทำการของพรรคเทวราชอยู่ข้างทะเลสาบนี่เอง!
ส่วนในสมองของกังโส่วหู่เล่า ตอนนี้มิต้องไถ่ถามมันอีกแล้ว มันก็มิรู้ว่ามันออกมาจากที่แห่งนั้นได้ยังไงกันแน่ ที่ชัดแจ้งที่สุด คือ ตอนนี้มันอยู่ข้างทะเลสาบซีหูแล้ว!


หลังจากพวกเทวราชรวมพลกันได้ ก็วิ่งไล่ติดตามหลังกังโส่วหู่จนใกล้จะถึงประตูเมืองทิศตะวันตก พวกมันก็สั่งหยุดเสียก่อน!


เหตุใดพวกมันจึงสั่งหยุดกัน!


กังโส่วหู่นั้นไม่ได้ยินเสียงตามหลัง ก็รู้สึกผิดสังเกต มันหันหลังไปมองคราหนึ่ง ก็ตกตะลึงยิ่งนัก สันหลังเย็นวาบด้วยความสยดสยอง ที่แท้พวกพรรคเทวราชไม่ได้หยุดไล่ตาม แต่พวกมันได้พาดสายธนูไว้จนสิ้นทุกคนแล้วต่างหากเล่า!


ผู้คุมกฎอันสุขุมผู้นั้นสั่ง ยิง คราหนึ่ง หัวใจของกังโส่วหู่ถึงกับจะหยุดเต้นเสียให้ได้ มันรีบกระโดดลงน้ำในทะเลสาบข้างๆ โดยทันที แต่ก่อนที่มันจะลงถึงพื้นน้ำ พลันมีเสียงหนึ่งที่ทำให้มันต้องถูกไล่ล่าแทบพลิกแผ่นดิน


“กังโส่วหู่ บัญชีนี้พรรคเทวราชจะต้องคิดกับท่านแน่”


มันคล้ายดั่งได้ยินคำนั้น พลันชะงักเพียงน้อยนิด แต่แค่น้อยนิดเท่านั้น ก็ทำให้มันถูกลูกธนูเฉียวที่หัวไหล่จนได้ แต่ยังดีที่ธนูไม่มีพิษ แม้มันจะเจ็บปวดที่บาดแผลยิ่งนัก มันก็ต้องพยายามทนความเจ็บปวดนั้นไว้ให้ได้ และว่ายน้ำต่อไป


มันรีบว่ายน้ำหนีหายลับไปกับพื้นน้ำแห่งทะเลสาบซีหู!!!!!!!!!


“รีบเรียกระดมพลทั้งหมด ออกตรวจตรารอบทะเลสาบแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะให้กังโส่วหู่หนีรอดไปไม่ได้เป็นอันขาด”


ผู้คุมกฎอันสุขุมผู้นั้นออกคำสั่งอีกครา ก่อนที่ทั้งหมดจะรับคำ แล้วปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด พวกเทวราชทั้งหมดจึงรีบแยกย้ายกันค้นหาแทบจะพลิกแผ่นดินหลินอันเสียให้ได้


เพียงเพื่อหากังโส่วหู่คนเดียว!!!


กังโส่วหู่ ยามนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดีประการใด หากแต่มันได้เพาะสร้างศัตรูอันน่ากลัวเข้าให้เสียแล้ว แล้วทั่วแผ่นดินนี้ มันจะหนีรอดไปที่แห่งใดกัน!


……………………………………………………………..



“อัก แค่กๆ”


กังโส่วหู่แทบสำรอกเอาน้ำในทะเลสาบออกมาเสียครึ่ง! ที่แท้มันถึงอีกฟากของทะเลสาบแบบปาฎิหารย์จริงๆ


“ท่านผู้นี้ ฟื้นแล้วกระมัง!”


“โอ้ย ข้าพเจ้าอยู่ที่แห่งใด”


กังโส่วหู่พยายามฝืนลุกจากกองฟางอย่างลำบาก มันมองเห็นหน้าตาของบุรุษผู้นั้นดูองอาจยิ่ง ผ่าเผยยิ่ง ดวงหน้าของคนผู้นั้นมีเหลี่ยมโครงเพียงน้อยๆ ดั่งหยกที่สลักเสลาไว้ คิ้วตั้งชันของคนผู้นั้นถึงกับเป็นแบบคิ้วมังกร ดั้งจมูกแม้ไม่ตั้งโด่ง แต่ริมฝีปากอวบอิ่ม แม้สีผิวคล้ำไปบ้าง แต่งตัวมอซอไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจบดบังบุคลิกเหนือคนอันนี้ไปได้


“ตอนนี้ ท่านห่างจากหลินอันราวๆ หนึ่งลี้ คงไม่ต้องบอกกระมังว่าที่แห่งนี้เป็นศาลเจ้าร้าง”


มันหัวร่อพลางยืนมือส่งผ้าชุบน้ำให้แก่กังโส่วหู่ กังโส่วหูรับผ้าจากมันแล้วก็นำมาเช็ดบริเวณลำคอให้รู้สึกชุ่มฉ่ำ แล้วถามมันต่อว่า


“ท่านผู้นี้ คือ?”


“ท่านบอกก่อนจะเป็นไร”


“ก็ได้ งั้นข้าพเจ้าบอกแก่ท่าน ข้าพเจ้ามีนามว่า โส่วหู แซ่ของข้าพเจ้าคือ กัง เรียกข้าพเจ้าว่า โส่วหู่เถิด”


หยุดพลางขยับมือเปลี่ยนข้างเช็ดคออีกด้านหนึ่ง แล้วถามต่อ


“ข้าพเจ้าบอกแก่ท่านแล้ว ท่านบ่งบอกแก่ข้าพเจ้าหน่อยเป็นไร?”


“ท่านเป็นคนของทางการหรือไม่?”


มันไม่ยินยอมบอกแก่กังโส่วหู่ แต่กลับหันมาถามกลับเสียได้ กังโส่วหู่แม้จะไม่สบอารมณ์ แต่ก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปฎิเสธ


“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงถูกตามล่า”


“ข้าพเจ้าขโมยของสิ่งหนึ่งมาจากพรรคเทวราช ท่านคงเข้าใจแล้วกระมัง!”


“เช่นนั้น ข้าพเจ้าบอกแก่ท่านก็ได้ ข้าพเจ้า ชื่อ ฝาน แซ่ของข้าพเจ้าคือ จาง”


ไฮ้! เป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร


เหตุใดจางฝานถึงได้มาอยู่ในที่เยี่ยงนี้!


แล้วเหตุใด หน้าตาของมันจึงเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้เล่า!





เกร็ดความรู้


[1] ราชวงศ์วุ่ยเหนือ เป็นราชวงศ์หนึ่งในสองของสมัยราชวงศ์เหนือใต้


[2] ในปัจจุบัน การสะเดาะกุญแจเป็นเรื่องทั่วไป และปกติอย่างยิ่ง แต่การสะเดาะกุญแจในปัจจุบันนั้นเกิดจากความจำเป็นของศาล ที่ต้องการไขกุญแจ หรือตู้เซฟอื่นใด เพื่อตรวจค้นทรัพย์สินในนั้น ดังนั้นหากทำลายกุญแจ หรือตู้เซฟก็จะเป็นความผิดของศาล และผู้ถูกกระทำมักจะมีสิทธิฟ้องศาลกลับ ดังนั้นศาลจึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้


หมายเหตุ เปลี่ยนกลับมาใช้จีนกลางเหมือนเดิม


- เฒ่าฮง เปลี่ยนกลับเป็น เฒ่าฟ่ง


- ย้งกิมฮ้วง เปลี่ยนเป็น หย่งจินอวิ๋น


- เมืองหลิงช้วง เปลี่ยนกลับเป็น เมืองหลินฉวน


- เมืองฮกเกี๊ยง เปลี่ยนกลับเป็น เมืองฮกเกี้ยน



ขอให้เข้าใจดังนี้ และสนุกกับการอ่านนะขอรับ ^_________^





Create Date : 06 กันยายน 2551
Last Update : 6 กันยายน 2551 2:02:18 น. 2 comments
Counter : 387 Pageviews.

 
เดี๋ยวมาอ่านนะเพื่อน อาบน้ำกอ่น มีกะเขาด้วยหรอ เดี๋ยวมาอ่านวุ้ย ชอบๆๆๆ


โดย: หมูตุ้ย IP: 222.123.80.143 วันที่: 6 กันยายน 2551 เวลา:16:03:11 น.  

 
อ่านแล้วสนุกดี จะตามอ่านน่ะ ขอรับนายท่าน


โดย: เวหา IP: 119.42.77.141 วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:21:34:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระบี่เก้าเดียวดาย
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ฟังพิรุณบนหอน้อยเพียงเดียวดาย..
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
6 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กระบี่เก้าเดียวดาย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.