ปวดประจำเดือน
หลายคนคงประสบปัญหากับอาการปวดประจำเดือนตัวเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ปวดประจำเดือนเลยเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการเหล่านี้เพิ่มเติมเพราะจิตตกอย่างแรงกลัวจะเป็นอะไรร้ายแรง เพราะปวดมาตั้งแต่เป็นประจำเดือนครั้งแรกและจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ พอมาเจอข้อมูล โอ้ว กรุปวดแบบ ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ ( secondary dysmenorrhea ) อาการแบบนี้เลย ยิ่งอ่านยิ่งจิตตก นึกย้อนไปถึงตอนที่อยู่ม.ปลายมีเพื่อนที่ปวดประจำเดือนมากๆแบบนี้เหมือนกัน แล้วไปโรงพยาบาลบอกอาการหมอและอยากตรวจภายในแต่หมอไม่ตรวจให้ บอกว่าอายุยังน้อยไม่ตรวจให้ ตอนที่ไปถามอายุประมาณ 17-18 สรุปคือจะให้ไปใช้งานโชกโชนก่อนชิมิค่ะค่อยมาตรวจมันจะได้ง่ายๆ ไม่สร้างความเจ็บปวด จะให้ไปตรวจเองก็ยังทำใจไม่ได้เพราะเคยได้ยินว่าเครื่องมือตรวจภายในมันสร้างความเจ็บปวดขนาดไหน ช่างมันเหอะ มาต่อเรื่องที่เป็นสาระดีกว่า
ปวดประจำเดือน ( Dysmenorrhea ) ปวดประจำเดือน หมายถึง อาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน พบได้ประมาณร้อยละ 71 ของผู้หญิงในวัยที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะปวดไม่มากและสามารถทำงานได้ตามปกติ ส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจปวดรุนแรงจนต้องพักงาน อาการปวดประจำเดือนแบ่งได้เป็น ชนิดปฐมภูมิ ( หรือไม่ทราบสาเหตุ ) ซึ่งพบเป็นส่วนมาก กับชนิดทุติยภูมิ ( หรือมีสาเหตุ ) ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย
ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ ( primary dysmenorrhea ) จะพบในเด็กสาว ส่วนมากจะเริ่มมีอาการตั้งแต่มีประจำเดือนครั้งแรก หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายใน 3 ปีหลังมีประจำเดือนครั้งแรก จะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15-25 ปี หลังจากวัยนี้อาการจะค่อยๆลดลงบางรายอาจหายปวดหลังแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมีบุตรแล้ว จะมีน้อยที่ยังอาจมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน
ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ ( secondary dysmenorrhea ) จะมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลย สาเหตุ ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ จะไม่มีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด ปัจจุบันนี้เชื่อว่า มีสาเหตุมาจากเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างมีประจำเดือน และมีการหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) มากผิดปกติ ทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัวเกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ มักมีความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น เยื่อบุมดลูกงอกผิดที่ (endometriosis ถ้าเป็นที่รังไข่จะชอบมีแพทย์เรียกว่า ซิสชอกโกแลทchocolate cyst) , เนื้องอกมดลูก ( myoma ) , มดลูกย้อยไปด้านหลังมาก , ปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น เชื่อว่าอารมณ์มีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจำเดือนทั้ง 2 ชนิด เช่น พบว่าคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายหรือมีความเครียดจะมีอาการปวดรุนแรงกว่าคนที่มีอารมณ์ดี
อาการ จะเริ่มมีอาการก่อนมีระจำเดือนไม่กี่ชั่วโมง และเป็นอยู่ตลอดช่วง 2-3 วันแรกของประจำเดือน โดยมีอาการปวดบิดเป็นพักๆ ที่บริเวณท้องน้อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ใจคอหงุดหงิดร่วมด้วย ถ้าปวดรุนแรงอาจมีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็นได้ การรักษา 1. ถ้าปวดไม่มาก ให้กินยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน หรือพาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด เวลาปวด ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง 2. ถ้าปวดมาก ให้นอนพัก ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้อง และให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ เช่น พอนสแตน, ไอบูโพรเฟน ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหาร ควรกินก่อนมีประจำเดือน 48 ชั่วโมง และกินทุกวันจนเลือดประจำเดือนหยุดออก หรือให้ยาแอนติสปาสโมดิก เช่น อะโทรพีน, ไฮออสซีน ครั้งละ 1-2 เม็ด บรรเทาปวด ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง 3. ถ้าปวดจนมีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น ให้ฉีดแอนติสปาสโมดิก เช่น อะโทรพี หรือไฮออสซีน - 1 หลอด เข้ากล้ามเนื้อเข้าหลอดเลือดดำ ถ้าไม่ทุเลาควรส่งโรงพยาบาล 4. ในรายที่เป็นอยู่ประจำ อาจให้กินยาเม็ดคุมกำเนิด (กินแบบเดียวกับใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด คือวันละ 1 เม็ด ทุกวัน) เพื่อมิให้มีการตกไข่ จะช่วยไม่ให้ปวดได้ ชั่วระยะหนึ่ง อาจให้ติดต่อกันนาน 3-4 เดือน แล้วลองหยุดยา ถ้าหากมีอาการกำเริบใหม่ ก็ควรให้กินยาเม็ดคุมกำเนิดต่อไป อีกสักระยะหนึ่งจนกว่าเมื่อยาหยุดแล้ว อาการปวดประจำเดือนทุเลาลงไป 5. ถ้าพบว่าอาการปวดประจำเดือนเริมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในผู้หญิงอายุมากกว่า 25 ขึ้นไป หรือมีอาการปวดมากหลังแต่งงาน หรือมีเลือดประจำเดือนออกมากกว่าปกติ ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องตรวจภายใน และทำการตรวจพิเศษ เช่น อัลตราซาวนด์, การใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (laparoscope) เป็นต้น เพื่อค้นหาสาเหตุให้แน่นอน และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ ข้อแนะนำ 1. ควรให้ความมั่นใจแก่เด็กสาวที่เริ่มมีอาการปวดประจำเดือนว่า โรคนี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด และส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้นอาจทุเลาหรือหายได้เอง ตลอดจนให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับประจำเดือน 2. ผู้หญิงที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ ถ้าหากมีอาการปวดท้องรุนแรงผิดไปจากที่เคยเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวาก็ควรจะรีบไปหาหมอ อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ หรือสาเหตุที่ร้ายแรงอื่นๆ ได้
//www.thaihealth.net/h/article523.html
Free TextEditor
Create Date : 28 มกราคม 2552 |
Last Update : 28 มกราคม 2552 5:52:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 117 Pageviews. |
|
|