หลวงปู่เกษม แสดงธรรม ชุดที่ ๑๒๑ "หมู่มารทำสัจจะอธิษฐาน (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)
หลวงปู่เกษม แสดงธรรม ชุดที่ ๑๒๑ "หมู่มารทำสัจจะอธิษฐาน (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เนื้อหา บางส่วนจากการแสดงธรรมชุดนี้ ๑. บาปไม่สงสารผู้ใด ๒. ภัยเกิดจากบาปที่ตนได้สร้างไว้ ๓. ต้นไม้คือบ้านของเหล่าชาวทิพย์ ๔. ใช้สัจจะที่ตรงต่อธรรม... อธิฐานแก้ภัยพิบัติได้ ๕. ภิกษุรับเงินมาก่อสร้าง... สหธรรมิก ๕ ใช้สอยไม่ได้ ฯลฯ บุคคลที่ควรเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้ เล่ม 34 หน้า 87 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลที่ควรเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้เป็นอย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ทุศีลมีธรรมอันลามก (มีการกระทำ) ไม่สะอาด มีความประพฤติน่ารังเกียจ มีการงานอันปกปิด ไม่เป็นสมณะ แต่ปฏิญญา (รับรองตัวเอง)ว่าเป็นสมณะ ไม่เป็นพรหมจารี แต่ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี เป็นคนเน่าใน เปียกชื้น รกเรื้อ (ด้วยกิเลสโทษ) บุคคลเช่นนี้ควรเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้ นั่นเพราะเหตุอะไร? เพราะถึงแม้ผู้คบจะไม่เอาเยี่ยงของบุคคลชนิดนั้น แต่ก็จะมีกิตติศัพท์อันเลวฟุ้งไปว่า เป็นคนมีมิตรชั่ว มีสหายเลว มีเพื่อนทราม งูที่จมคูถ (ขี้) ย่อมไม่กัดก็จริงอยู่ ถึงกระนั้น มันก็ทำผู้จับให้เปื้อน ฉันใดก็ดี ถึงแม้ผู้คบจะไม่เอาเยี่ยงของบุคคลชนิดนั้น แต่ก็จะมีกิตติศัพท์อันเลวฟุ้งไปว่า เป็นคนมีมิตรชั่ว มีสหายเลว มีเพื่อนทราม ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น บุคคลเช่นนั้น จึงควรเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้... *** อีกอย่างหนึ่งการห้ามคบหาสมาคมกับผู้ทุศีลนั้นก็เพราะเมื่อคบหาสมาคมกันแล้ว ย่อมจะเป็นการหักรานประโยชน์เกื้อกูลของตนเองทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าด้วย*** ธรรมเป็นเหตุให้เสื่อมและเจริญ(ปริหานสูตร) เล่ม37 หน้า660-661 [๑๘๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๘ ประการนี้ ย่อมเป็น ไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ธรรม ๘ ประการเป็นไฉน. คือ ความเป็นผู้ยินดีการงาน ๑ ความเป็นผู้ยินดีในการคุย ๑ ความเป็น ผู้ยินดีในความหลับ ๑ ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑ ความเป็นไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ ความเป็นผู้ไม่ รู้จักประมาณในโภชนะ ๑ ความเป็นผู้ยินดีในธรรมเครื่องข้อง ๑ ความเป็นผู้ยินดีในธรรมเครื่องให้เนิ่นช้า ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๘ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ. คำว่าพระเสขะ คือ พระอริยะที่ยังต้องศึกษาในเรื่องของมรรคผลอยู่ต่อไป หมายเอาพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ส่วนพระอรหันต์ เรียกว่าพระอเสขะ คือ พระอริยะที่ไม่ต้องศึกษาเรื่องมรรคผลอีกต่อไป เพราะสำเร็จเสร็จสิ้นกิจการทั้งหลายทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเองแล้ว ผู้ยินดีในการงาน ก็คือ การใช้เวลาในแต่ละไปกับการทำงานมากกว่าที่จะใช้เวลาให้หมดไป กับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการทำและคิดอยู่กับเรื่องของการงานทั้งหลาย เมื่อไม่มีเวลามาคิดเรื่องมรรคผลในขั้นสูงๆขึ้นไป พระเสขะทั้งพระและโยมก็ติดแหง็กอยู่ที่เดิมนั่นล่ะ ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็มี นางวิสาขาบ้าง อนาถบิณฑิกเศรษฐีบ้าง เป็นต้น ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ก็คือ ปล่อยให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพลิดเพลินไปกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่มากระทบ และไม่ได้พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทั้งหลายที่มาสัมผัสและที่รับสัมผัส ธรรมเครื่องข้อง ก็คือ เครื่องผูกพันทั้งหลายที่พระเสขะยังละไม่ได้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังโยชน์"ซึ่งสังโยชน์หรือเครื่องผูกพันนี้จะทำให้พระเสขะต้องเกิดและตายวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารต่อไป ถ้าเป็นพระโสดาบันก็ยังเหลืออีก 7 อย่าง (ถ้าสงสัยเปิดดูสังโยชน์10) ถ้าเป็นพระสกทาคามีก็ยังเหลืออีก 7 อย่าง (แต่เป็น 7 แบบพิเศษคือ บางเบากว่าพระโสดาบัน) ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ยังเหลืออีก 5 อย่าง ธรรมเครื่องเนิ่นช้า ก็คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เมื่อพระเสขะเพลิดเพลินเมามันอยู่กับเรื่องเหล่านี้ กรรมฐานเพื่อมรรคผลเบื้องสูงๆขึ้นไปก็ไม่เจริญ พระเสขะทั้งพระและโยมก็ติดแหง็กอยู่ที่เดิมนั่นล่ะ ตัณหาก็หมายเอา ตัณหา 108 มานะก็หมายเอา มานะ 9 ทิฏฐิก็หมายเอา ทิฏฐิ 62 ความเสื่อมของพระเสขะก็หมายถึง กรรมฐานเพื่อมรรคผลเบื้องสูงๆขึ้นไปของท่านเหล่านั้นมันเสื่อม มันเสื่อมคือมันไม่เจริญ ที่มันไม่เจริญเพราะธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลายตามที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้นั้น มันฉุดรั้งพระเสขะเอาไว้ หมายถึงว่า เมื่อเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจที่จะยกระดับจิตให้เข้าสู่ความเป็นพระสกทาคามีได้ เมื่อเป็นพระสกทาคามี ก็ไม่อาจยกระดับจิตให้เข้าสู่ความเป็นพระอนาคามีได้ เมื่อเป็นพระอนาคามี ก็ไม่อาจยกระดับจิตให้เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ได้ แบบนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เป็นความเสื่อมของพระเสขะ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นพระโสดาบันแล้ว จะเสื่อมจากพระโสดาบันมาเป็นปุถุชน เป็นพระสกทาคามีแล้วจะเสื่อมมาเป็นพระโสดาบันหรือเสื่อมมาเป็นปุถุชน เป็นพระอนาคามีแล้วเสื่อมาเป็นพระสกทาคามีหรือเสื่อมเป็นพระโสดาบันหรือเสื่อมเป็นปถุชนนะ แบบนี้ไม่ใช่ ความเป็นพระอริยะแต่ละขั้น เมื่อเป็นแล้วไม่มีทางเสื่อมจากธรรมของอริยะขั้นนั้นๆเด็ดขาด เป็นแต่เพียงท่านไม่สามารถเจริญกรรมฐานเพื่อยกระดับจิตของตัวเองไปสู่ความเป็นอริยะขั้นสูงขึ้นไปเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะธรรม 8 ประการเป็นตัวเหนี่ยวรั้งท่านเอาไว้ตามที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้นั่นเอง ถ้ามีคนมาบอกว่า ตอนนี้เสื่อมจากพระโสดาบันแล้ว หรือเสื่อมจากพระสกทาคามีแล้ว หรือตอนนี้เสื่อมจากพระอนาคมีหรือเสื่อมจากพระอรหันต์แล้ว จำเป็นต้องบำเพ็ญเอาความเป็นอริยะใหม่ แบบนี้ไม่ใช่พระอริยะในพระพุทธศาสนาเด็ดขาด เป็นความเพ้อเจ้อ เป็นความวิปลาสคลาดเคลื่อนจากธรรมที่ถูกต้องไปแล้ว หรือ พูดให้ชัดๆอีกทีก็คือเป็น "บ้า" ไปแล้ว ทรัพยากรธรรมชาติก็มีชาวทิพย์หวงแหน //www.samyaek.com/board2/index.php?topic=2418.0 ถามปัญหาครับ //www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1414.0 วัดป่าสามแยก เบิกบุญ โอนบุญ อกหัก โดนของ ธรรมะ ธรรมทาน คลายเครียด เจริญรุ่งเรือง www.samyaek.com
Create Date : 17 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 7 เมษายน 2556 18:24:31 น. |
|
9 comments
|
Counter : 1306 Pageviews. |
|
|
รับชมได้ที่
www.samyaek.com
ดูวีดีโอช่องที่ 1 (สำหรับผู้ที่อินเตอร์เน็ทช้า: 56k)
www.samyaek.com/?channel=2
ดูวีดีโอช่องที่ 2 (สำหรับผู้ที่อินเตอร์เน็ทเร็ว: 212k)
//www.samyaek.com/board2/index.php?topic=2303.msg17659#msg17659
(หัวข้อ: สำหรับท่านที่มีปัญหาดูถ่ายทอดสดไม่ได้)