การอุทิศบุญให้ได้ผล...หลวงพ่อเกษม อาจิณฺณสีโล
หลวงปู่สอนการอุทิศบุญ 1 หลวงปู่สอนการอุทิศบุญ 2 หลวงปู่สอนการอุทิศบุญ 3 หลวงปู่สอนการอุทิศบุญ 4 การอุทิศบญเป็นกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การอุทิศบุญ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้รับบุญนั้นเกิดความสุข การอุทิศบุญให้แก่ เปรต ผี เทวดา หรือญาติสนิทมิตรสหายที่ตายไปจากโลกมนุษย์นี้ เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เชื้อโรค ก็เป็นสัตว์โลกประเภทหนึ่ง แม้จะมีขนาดของร่างกายที่เล็กมากๆ จนไม่สามารถที่จะมองเห็น ได้ด้วยตาเนื้อธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป แต่เชื้อโรคก็มีจิตใจที่สามารถรับรู้ถึงความสุข ความทุกข์ ความหิว ความกระหายที่สัมผัสให้ได้รับทราบเหมือนกัน และมีอยู่มากมายทั้งภายนอกหรือภายในร่างกายของมนุษย์เป็นต้น การอุทิศบุญให้เชื้อโรค ตามที่หลวงปู่เกษม อาจิณฺณสีโล ได้สั่งสอน แนะนำผู้ที่มาศึกษาพระพุทธศาสนา กับท่านอยู่เป็นประจำนั้น เป็นเรื่องที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ชาวพุทธอย่างมากว่า "มันเป็นไปได้ขนาดไหน พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้หรือไม่" เรื่องนี้ก็มีคำตอบจากพระไตรปิฎก ทั้งในส่วนที่เป็นพุทธพจน์และส่วนที่เป็นอรรถาธิบาย ทั้งสองส่วนนี้ไม่มีขัดแย้งกัน มีแต่สนับสนุนส่งเสริมกันและกันให้ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้เกิดความเข้าใจชัดเจนยิ่งๆ ขึ้น อ้างอิงจากคำสอนของพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกอรรถกถาแปลไทย ชุด 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย ในสถานที่อย่างเช่น หลุม - บ่อโสโครก หรือหลุม - บ่อขยะที่สกปรกเป็นต้น มีสัตว์ตัวเล็กๆ ประเภทจุลินทรีย์ ไวรัส แบคทีเรียอยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด แม้จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ แต่สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาทิพย์และกล้องจุลทัศน์ที่มีความละเอียดสูง สัตว์ตัวเล็กๆ เหล่านี้ เมื่อมีคนไปทำบุญกับมัน ก็ได้บุญอยู่นะ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ในอังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม 34 หน้า 228 (ชัปปสูตร) ...เราตถาคตกล่าวอย่างนี้ต่างหากล่ะ วัจฉะ ว่า แม้สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในหลุมโสโครกหรือท่อโสโครก ผู้ใดเทน้ำล้างหม้อก็ดี น้ำล้างชามก็ดี ลงไปในหลุมและท่อโสโครกนั้น ด้วยเจตนาให้สัตว์ในนั้นได้เลี้ยงชีพ อย่างนี้เราตถาคตยังกล่าวการได้บุญอันมีกิริยาที่ทำอย่างนั้นเป็นมูล จะกล่าวอะไร (ถึงการให้ทาน)ในผู้ที่เป็นมนุษย์เล่า. เรื่องพระพุทธเจ้าตรัสกับท้าวสักกเทวราชถึงการอุทิศบุญให้แก่สัตว์ทั้งปวงและเชื้อโรคก็คือสัตว์ประเภทหนึ่งในสัตว์ทั้งปวง ที่มีอยู่ในโลกธาตุทั้งหลาย เรื่องนี้อยู่ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม 43 หน้า 328 (เรื่องท้าวสักกเทวราช) ...แม้ท้าวสักกะ ทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า พระเจ้าข้า เพื่อประโยชน์อะไร พระองค์จึงไม่รับสั่งให้ให้ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์ ในธรรมทานอันชื่อว่าเยี่ยมอย่างนี้ ? จำเดิมแต่นี้ไป ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกแก่ ภิกษุสงฆ์แล้วรับสั่งให้ๆ ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า. พระศาสดา ทรงสดับคำของท้าวเธอแล้ว รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเธอทำการฟังธรรมใหญ่ก็ดี การฟังธรรมตามปกติก็ดี กล่าวอุปนิสินนกถาก็ดี โดยที่สุดแม้การอนุโมทนา แล้วพึงให้ส่วนบุญแก่สัตว์ทั้งปวง." พระอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายเปรียบเทียบร่างกายของคนเหมือนจอมปลวกและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ตัวเล็กๆ ประเภทจุลินทรีย์ ไวรัส แบคทีเรีย ที่มีอาศัยอยู่ในร่างกายของคนทุกคน ไม่ยกเว้นร่างกายของใคร และพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่ในร่างกายของพวกเรานี้ ก็แน่นอนว่า เราไม่สามารถจะมองเห็นตัวของมันได้ด้วยตาเนื้อของเรา เรื่องนี้อยู่ใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม 65 หน้า 242 (คุหัฏฐกสุคตนิทเทสที่ ๒) ...เหล่าสัตว์ต่างๆ ภายในจอมปลวก ย่อมเกิด ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ นอนเจ็บไข้ ตายตกไปในจอมปลวกนั้นเอง.จอมปลวกนั้น เป็นเรือนคลอด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาล และเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้ ฉันใด แม้ร่างกายของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น ก็ฉันนั้น มีกิมิชาติ (สัตว์เล็กๆน้อยๆจำพวกไวรัส - แบคทีเรีย) ประมาณแปดหมื่นเหล่า โดยการนับเหล่าอย่างนี้คือ เหล่าสัตว์ที่อาศัยผิว เหล่าสัตว์ที่อาศัยหนัง เหล่าสัตว์ที่อาศัยเนื้อ เหล่าสัตว์ที่อาศัยเอ็น เหล่าสัตว์ที่อาศัยกระดูก เหล่าสัตว์ที่อาศัยเยื่อในกระดูก ย่อมเกิดถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนกระสับกระส่ายด้วยความไข้ ตายตกไปภายในกายนั่นแหละ โดยไม่คิดนึกว่า นี้เป็นกายของผู้มีอานุภาพมาก ที่คุ้มครองรักษาแล้ว ประดับตกแต่งแล้ว กายแม้นี้ย่อมเป็นเรือนคลอด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาลและเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้นด้วยประการฉะนี้ ดังนั้นจึงนับว่าจอมปลวก.(ท่านเปรียบร่างกายของคนเป็นเหมือนจอมปลวก) ในเมตตสูตร พระพุทธเจ้าสอนพระภิกษุที่อยู่ป่า ให้แผ่เมตตาแก่สัตว์ทั้งปวง ทั้งสัตว์ที่มองเห็นและไม่สามารถมองเห็น ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม 39 หน้า 328 ,349 (เมตตสูตร) ...พึงแผ่ไมตรีจิตไปในหมู่สัตว์ว่า ขอสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ ยังเป็นผู้สะดุ้ง (มีตัณหา) หรือเป็นผู้มั่นคง (ไม่มีตัณหา) ทั้งหมดไม่เหลือเลย.เหล่าใดยาวหรือใหญ่ ปานกลางหรือสั้น ผอมหรืออ้วน. เหล่าใดที่เราเห็นแล้วหรือมิได้เห็น เหล่าใดอยู่ในที่ไกลหรือไม่ไกล ที่เกิดแล้วหรือที่แสวงหาภพเถิด ขอสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด. พระอรรถกถาจารย์อธิบายเกี่ยวกับสัตว์ที่มองเห็นและไม่เห็น บทว่า อณุกา ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายที่อัตภาพละเอียดหรือเล็กเป็นต้น ที่บังเกิดในน้ำเป็นต้น ไม่เป็นอารมณ์ของมังสจักษุ (ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ) เป็นวิสัยของทิพยจักษุ (สามารถมองเห็นได้ด้วยตาทิพย์). ที่มา: วัดป่าสามแยก //www.samyaek.com
Create Date : 07 เมษายน 2554 |
|
15 comments |
Last Update : 6 เมษายน 2556 17:52:24 น. |
Counter : 2518 Pageviews. |
|
|
|
เลยค่ะ ฟังหลวงพ่อ
ตั้งแต่ต้นจนจบ ขอบคุณค่ะ
ขออนุโมทนาสาธุกับ
การเผยแพร่คำสอนนี้ด้วย
นะคะ