|
อาหารเช้า...เพื่อสุขภาพ..แบบแม่ผม
จริงๆ ในการรักษาสุขภาพตามหลักการแพทย์ชะลอวัย จะมีหลักการในการทานอาหาร โดยมื้อเช้าให้ทานแบบราชา มื้อกลางวันให้ทานแบบคนธรรมดา มื้อเย็นให้ทานแบบยาจก แต่อาหารเช้าของแม่ผมเนี่ยใครเห็นต้องสงสัยว่า ... ยาจกหรือราชาเพราะมองไปมองมาน่าจะเป็นยาจกมากกว่า แต่แม่ผมเค้าบอกว่า..เป็นการทานแบบราชาที่ดีต่อระบบลำไส้ยาวๆ ของมนุษย์แบบแม่ต่างหาก มาดูกันว่า.. อาหารแบบราชาของแม่ผมเป็นยังไงบ้าง :laughing:
อาหารมื้อเช้าของแม่ผมจะเป็นอาหารสุขภาพมานานแล้ว ตั้งแต่แม่ผมเริ่มทำงานนั่นแหละ เริ่มจากทานผลไม้กับน้ำสมุนไพร มาเป็นแมคโครใบโอติค คือ น้ำอาร์ซี กับผลไม้ ปลาตัวเล็กตัวน้อย ต่อด้วยนมถั่วเหลืองใส่งาดำคั่วบดและข้าวโอ๊ตที่ทำเองหมดทุกอย่าง ตอนนั้นยังไม่มีดีน่าออกมาขาย พอเบื่อก็เป็นน้ำตะไคร้ใบเตย กับแอปเปิ้ลเขียว และพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (ฟักทองนึ่ง) หรือในฤหนาวก็จะมีไข่หวานน้ำขิง หรือซุปผัก ผลไม้ ธัญพืชเพิ่มอีกหนึ่งเมนู
มาถึงอาหารเช้า...เพื่อสุขภาพ..แบบแม่ผมในปัจจุบัน ก็คือ การทานโยเกิร์ตทำเองผสมนม มะนาว น้ำผึ้ง และเนยนม ตามด้วยน้ำสมุนไพร 2 แก้ว ได้แก่ น้ำตะไคร้ใบเตย และน้ำกระเจี๊ยบ ผลไม้พวก แก้วมังกร และกล้วย แอปเปิ้ลเขียว มะละกอ ฟักทอง ที่แม่ผมทานแบบนี้แม่ผมเค้ายึดหลักให้คุณค่าอาหารครบ 5 หมู่ คือ ได้โปรตีน ไขมันจากนมและโยเกิร์ต ได้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากกล้วย วิตามิน เกลือแร่จากผลไม้
โดยการทานแบบนี้ยังได้จุลลินทรีย์จากโยเกิร์ตที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในกลุ่ม Probiotic เข้าไปไล่กินจุลลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค เชื้อรา และไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายและย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ส่วนพวก แก้วมังกร และกล้วย จะเป็น Prebiotic ซึ่งเป็น Fiber ที่ร่างกายไม่ดูดซึม และจะหลือรอดไปถึงลำไส้ใหญ่ ให้เป็นอาหารของเชื้อจุลลินทรีย์ Probiotic ได้ ทำให้เชื้อ Probiotic จะได้อยู่ในลำไส้ใหญ่ตลอดไปไม่ขาดอาหารตาย :laughing:
การผสม โยเกิร์ต 5 ชต.+ นมแพะ 7 ชต.+ เนยนม 1 ชต. + น้ำผึง 1 ชช. + น้ำมะนาว 1 ลูก ที่แม่ประยุกต์สูตรมาจากหนังสือ "นาฬิการชีวิต" ซึ่งกล่าวไว้ว่าได้นำสุตรมาจากพระไตรปิฎก เนื่องจากชาวอินเดียเรียกโยเกิร์ตว่า "อาหารของพระเจ้า" เชื่อกันว่าโยเกิร์ตช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ ลบรอยตีนกาเป็นยาอายุวัฒนะ ชาวอินเดียผสมโยเกิร์ตในอาหารคาวด้วย เช่น Raita
โยเกิร์ตเป็นอาหารอุดมโภชนาการที่ย่อยง่ายกว่าน้ำนมสด อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี และแคลเซียม โยเกิร์ตในขนาดเสิร์ฟ 1 ขวดเล็ก เทียบกับน้ำนมสดหนึ่งแก้วดื่ม หรือ 1 กล่องมาตรฐาน 240 ซีซี พบว่านมและโยเกิร์ตให้พลังงานใกล้เคียงกัน แต่ปริมาณโคเลสเตอรอลในโยเกิร์ตต่ำกว่ามาก
ดร.เอเลียส เมทช์นิคอฟ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบ "Phagocytes" เซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นทหารประจำบ้าน เคลื่อนที่ไปในกระแสเลือด คอยจับกินเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในร่างกาย ผลงานด้านภูมิคุ้มกันมนุษย์ทำให้เขาได้รางวัลโนเบลในปี 1908 ประกาศว่า "โยเกิร์ตคือยาอายุวัฒนะสำหรับมนุษย์" ในหนังสือ The Prolongation of life และ The Nature of Man เมื่อปี 1907
ไหนๆ ก็กล่าวถึงเรื่องโยเกิร์ตแล้ว เลยนำงานวิจัยคุณประโยชน์ของโยเกิร์ตจากหนังสือใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 8-9 กันยายน-ตุลาคม 2546 มารวมไว้ด้วยกันเลย
- โยเกิร์ตรักษาอาการท้องเสีย
ในลำไส้มนุษย์เต็มไปด้วยจุลินทรีย์นานาพันธุ์ บ้างก็เป็นประโยชน์ เช่น ช่วยสร้างวิตามินเค แต่บางชนิดก็เป็นโทษ เช่น ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เชื้อโรคเหล่านี้จะตั้งฐานทัพคุมกำลังกันอยู่เหมือนเป็นสนามรบขนาดยักษ์ สำหรับคนสุขภาพแข็งแรงทั้งหมดจะอยู่ในสภาพสมดุล แต่วันใดก็ตามที่ระบบนิเวศน์เสียสมดุล จุลินทรีย์ที่ดีลดจำนวนลง เชื้อโรคร้ายขยายตัวมากขึ้น จนครอบครองลำไส้ส่วนใหญ่ไว้ได้ มันก็จะทำให้เกิดอาการท้องเสียทันที กรณีเช่นนี้ โยเกิร์ตช่วยคุณได้ โยเกิร์ตชนิดที่มีจุลินทรีย์ Probiotic จะช่วยเติมจุลินทรีย์ชั้นดีกลับคืนมา จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตจะช่วยปรับสมดุล อาการท้องเสียจะหายไป
งานวิจัยในญี่ปุ่น อเมริกา และประเทศแถบอาหรับหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่าโยเกิร์ตสามารถป้องกันท้องเดินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กทารก อิตาลีและรัสเซียจ่ายโยเกิร์ตในหอผู้ป่วยเด็ก สำหรับอาการท้องเสีย การศึกษาในปี 1963 ที่โรงพยาบาลนิวยอร์กพบว่าโยเกิร์ต 3 ออนซ์ หรือประมาณ 6 ช้อนโต๊ะต่อวัน ช่วยระงับอาการท้องเสียในทารกเร็วกว่ายาแก้ท้องเสียเคโอเพคติน-นีโอมัยซินถึงสองเท่า
ในญี่ปุ่น ได้มีการทดลองให้ยาคูลท์ซึ่งเป็นโยเกิร์ตชนิดหนึ่งแก่เจ้าหน้าที่ 500 นายทุกวันเป็นเวลา 6 เดือน เทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่ได้ทานโยเกิร์ต พบว่ากลุ่มที่ทานโยเกิร์ตไม่มีใครท้องเสียเลย ขณะที่อีกกลุ่มท้องเสียร้อยละ 10
ในปี 1985 ศูนย์วิจัยกระทรวงเกษตรสหรัฐ ที่เบลท์สวิลล์ แมรี่แลนด์ ทดลองเลี้ยงหนูด้วยโยเกิร์ต พบว่าอายุยืนกว่าหนูทั่วไป
ไม่ใช่แค่นั้น นักวิทยาศาสตร์ยังได้พยายามค้นคว้าต่อไปว่า เชื้อแลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ต สามารถสกัดกั้นเชื้อโรคร้ายอื่นๆ ได้อย่างไร
ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหารสองนายของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ โรงพยาบาลไมเคลิ รีส ในชิคาโก ทดลองให้เชื้อแลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตแก่ผู้ป่วยที่มีอาการท้องเดินรุนแรงจำนวน 59 ราย พบว่า 57 ราย หายจากท้องเสียอย่างรวดเร็วเกือบทันที ขณะที่บางรายเคยรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมาแล้ว แต่ไม่ได้ผล
ในปี 1963 ดร.เคม ชาฮานี ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยเนบราสกา สามารถสกัดยาปฏิชีวนะตัวใหม่จากโยเกิร์ต เขาให้ชื่อมันว่า "Acidophilin" เนื่องจากมันถูกสร้างโดยเชื้อ L. acidophilus เขาจดทะเบียนลิขสิทธิ์ และต่อมาร่วมกับบริษัทยายักษ์ใหญ่ Merck Company เพื่อผลิตเป็นอุตสาหกรรม แต่ประสพความล้มเหลว
ขณะเดียวกัน ดร.ชาฮานีและนักวิทยาศาสตร์หลายคนสามารถค้นพบยาปฏิชีวนะจากโยเกิร์ตตัวใหม่ อย่างน้อยเจ็ดตัวที่มีฤทธิ์แรงน่าสนใจ ขณะนี้ยังไม่อาจผลิตเป็นอุตสาหกรรมได้ แต่ก็มีความหวังว่า มันจะกลายเป็นเพนนิซิลินตัวใหม่ในวงการแพทย์
โยเกิร์ตยกระดับภูมิคุ้มกันโรค
การศึกษาในญี่ปุ่น อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์เมื่อเร็วๆ นี้พบแนวคิดใหม่ว่า โยเกิร์ตไม่เพียงป้องกัน และรักษาโรคได้ด้วยฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อเท่านั้น แต่โยเกิร์ตยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นได้ด้วย
คนญี่ปุ่นทุกวันนี้ ใช้โยเกิร์ตเป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว การทดลองในปี 1985 พบว่า โยเกิร์ตช่วยกระตุ้นการสร้างสารแอนติบอดี้ และสารต้านโรคอื่นๆ เพิ่มปริมาณอินเตอร์เฟอรอนเป็นสามเท่า (อินเตอร์เฟอรอนเป็นสารเคมีที่ร่างกายสร้างโดยธรรมชาติ มีหน้าที่ช่วยต่อสู้กับโรคติดเชื้อหลายชนิด) โยเกิร์ตมีฤทธิ์แรงพอกับยาสังเคราะห์ในท้องตลาดปัจจุบันคือ Lavaesole
การทดลองในโปแลนด์พบว่าเด็กที่ทานโยเกิร์ตเป็นหวัดน้อยกว่าเด็กทั่วไป
โยเกิร์ตกับแผลในกระเพาะ
โยเกิร์ตอุดมด้วยสารไขมันธรรมชาติที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่เรียก พรอสตาแกนดิน อี 2 (Prostaglandin E3) ซึ่งทำหน้าที่ช่วยปกป้องผนังกระเพาะจากสารกระตุ้นหลายตัว เช่น แอลกอฮอล์และบุหรี่ ทุกวันนี้พรอสตาแกลนดิน อี ถูกสังเคราะห์จำหน่ายเป็นยารักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
แต่ ดร.ซามูเอล มันนีย์ แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ค้นพบสารพรอสตาแกลนดินกล่าวว่า โยเกิร์ตมีสารตัวนี้น้อยกว่ายาที่ขายตามท้องตลาด ยิ่งโยเกิร์ตที่ทำจากนมพร่องมันเนยยิ่งมีพรอสตาแกลนดินต่ำมาก อย่างไรก็ตาม โยเกิร์ตสักถ้วยขณะท้องว่างย่อมเป็นประโยชน์สำหรับคนที่มีแผลในกระเพาะกว่าการไม่ทานอะไรเลย
ข้อคิด
โยเกิร์ตที่มีเชื้อจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส ตระกูล Probiotic เท่านั้นที่มีคุณสมบัติตามบทความนี้
ฉะนั้นการจะบริโภคโยเกิร์ตให้ได้ประโยชน์ควรตรวจดูอายุก่อนบริโภคทุกครั้ง และควรเก็บโยเกิร์ตไว้ที่อุณหภูมิ 1-8 องศาเซลเซียส โดยถ้าเก็นเก็บรักษาในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 7 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานประมาณ 15 วัน แต่ถ้าเก็บที่ 1 องศาเซลเซียสจะอยู่ได้นานถึงสองเท่า ไม่ควรแช่แข็งเพราะจะทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
เมื่อมราบประโยชน์ในด้านการเป็นยารักษาโรคของโยเกิร์ตแล้ว มาดูว่าคุณค่าทางโภชนาการของโยเกิร์ต ที่ทางกองโภชนาการ กรมอนามัย ได้วิเคราะห์ไว้
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 1 หน่วยบริโภค ในนมสด นมพร่องมันเนยโยเกิร์ต
- นมสดธรรมดายูเอชทีรสจืด ( 1 กล่อง ขนาด 250 มิลลิลิตร ) พลังงาน 168 กิโลกรัม โปรตีน 8.2 กรัม ไขมัน 9.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม แคลเซียม 305 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 225 มิลลิกรัม ไอโอดีน 18 ไมโครกรัม วิตามินเอ 95 อาร์อี วิตามินบีหนึ่ง 0.1 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.5 มิลลิกรัม และ วิตามินอี 0.4 มิลลิกรัม
- นมสดไขมันต่ำยูเอชที (1 กล่อง ขนาด 250 มิลลิลิตร) พลังงาน 135 กิโลกรัม โปรตีน 9.2 กรัม ไขมัน 4.0 กรัม คาร์โบไฮเดรต 15.2 กรัม แคลเซียม 365 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 248 มิลลิกรัม ไอโอดีน 32 ไมโครกรัม วิตามินเอ 38 อาร์อี วิตามินบีหนึ่ง 0.1 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.6 มิลลิกรัม และ วิตามินอี 0.15 มิลลิกรัม
- โยเกิร์ตธรรมดา รสนม (1 ถ้วยขนาด 150 กรัม) พลังงาน 161 กิโลกรัม โปรตีน 5.7 กรัม ไขมัน 6.0 กรัม คาร์โบไฮเดรต 21.0 กรัม แคลเซียม 194 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 170 มิลลิกรัม ไอโอดีน 24 ไมโครกรัม วิตามินเอ 127 อาร์อี วิตามินบีหนึ่ง 0.09 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.5 มิลลิกรัม และ วิตามินอี 0.2 มิลลิกรัม
Create Date : 09 กันยายน 2549 |
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2550 23:25:28 น. |
|
33 comments
|
Counter : 1820 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Dressy วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:2:03:07 น. |
|
|
|
โดย: jaa_aey วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:2:16:35 น. |
|
|
|
โดย: Picike วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:4:56:14 น. |
|
|
|
โดย: VaLovE วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:8:19:31 น. |
|
|
|
โดย: ก้า (อาร์ทู) IP: 203.188.60.143 วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:8:44:52 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:9:02:29 น. |
|
|
|
โดย: 304 คอนแวนต์ (304 คอนแวนต์ ) วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:10:01:30 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:12:35:20 น. |
|
|
|
โดย: its_gemmi วันที่: 9 กันยายน 2549 เวลา:14:31:30 น. |
|
|
|
โดย: Bluejade วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:4:38:43 น. |
|
|
|
โดย: ซออู้ วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:10:44:16 น. |
|
|
|
โดย: แม่จุ๊กกะเป๊ป IP: 124.157.153.98 วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:11:09:20 น. |
|
|
|
โดย: zMee วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:11:10:36 น. |
|
|
|
โดย: ลุงกล้วย วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:12:45:47 น. |
|
|
|
โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:12:50:40 น. |
|
|
|
โดย: Blomster_DK วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:14:31:49 น. |
|
|
|
โดย: mingky วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:17:48:38 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:19:26:26 น. |
|
|
|
โดย: Lee (Hokey ) วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:19:31:27 น. |
|
|
|
โดย: คนรักน้ำมัน วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:21:10:18 น. |
|
|
|
โดย: ying (takom ) วันที่: 12 กันยายน 2549 เวลา:0:40:08 น. |
|
|
|
โดย: ป้าติ๋ว (nature-delight ) วันที่: 12 กันยายน 2549 เวลา:1:18:15 น. |
|
|
|
โดย: ลิตเติ้ลเกิร์ล IP: 219.95.177.91 วันที่: 13 กันยายน 2549 เวลา:11:45:08 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ต้องลองซะแล้ว