Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
23 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
จับตาครม.ปู2ซ้ำรอยอดีตผลประโยชน์ทับซ้อนพวกพ้อง

แล้วรัฐบาลเจ้าของฉายา “ทักษิณส่วนหน้า” ก็ได้ฤกษ์ต่างตอบแทนโดยหมุนเวียนเปลี่ยนเก้าอี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งใหญ่ถึง 16 เก้าอี้ แม้ว่าจะทำงานมาได้เพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าถึงเวลาตอบแทนให้ครบทุกมุ้งตามที่ “นายใหญ่” ได้ให้สัญญาใจกันทีเดียว ที่สำคัญยังถือเป็นการเพิ่มเสถียรภาพให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น หลังเกิดปัญหาเกาเหลาอย่างหนักในตัวขุนพลด้านเศรษฐกิจ

ด้วยคะแนนนิยมที่กำลังลดลงทุกวินาที หลังแก้ไขปัญหา “น้องน้ำ” ไม่ประทับใจคนไทย ขณะที่กระแสการเมืองก็กำลังถาโถมเข้ามาในหลาย ๆ เรื่อง ขณะเดียวกันงบประมาณกว่า 2.38 ล้านล้านบาท ก็ใกล้จะมีผลบังคับใช้ออกมาให้ละเลงกันอีกในไม่กี่วันนี้ วินาทีนี้จึงถือเป็นวินาทีสำคัญที่ต้อง “ปรับเปลี่ยน” เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและเป้าหมายของพรรคให้เกิดประสิทธิ ภาพมากที่สุด

ดังนั้นการรื้อเก้าอี้ครม.เศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด ทั้ง ’คลัง-พาณิชย์-พลังงาน-คมนาคม” เพื่อขยับทีมกันใหม่จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้นโยบายเศรษฐกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาล สามารถเดินหน้าไปได้อย่างดีกับนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อรักษาคะแนนเสียงทั้ง 15.7 ล้านเสียงและเริ่มสะสมคะแนนเสียงใหม่

ส่วนจะทำได้มากน้อยเพียงใดคงต้องมาดูกันต่อไป เพราะเส้นทางที่ “ครม.ปู 2” กำลังก้าวเดินจากนี้ไปไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบซะทุกย่างก้าว แต่เต็มไปด้วยปัญหาอุปสรรคที่ต้องการคำอธิบายว่าทำเพื่อใคร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่กระทรวงการคลังกำลังมีการบ้านกับการสางปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินวงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท

เรื่องนี้กำลังส่งผลกระทบมาถึงธนาคารพาณิชย์ที่ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น ถึงขนาดที่ว่าสมาคมธนาคารไทยต้องออกแถลงการณ์มาคัดค้านเต็มที่ รวมไปถึงการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ เช่น บมจ.ปตท. ซึ่งในเนื้อแท้เม็ดในที่ต้องการจริง ๆ แล้วเป็นเพียงแค่การลดหนี้ หรือมีอะไรเคลือบแฝงจากองค์กรแห่งนี้หรือไม่ เพราะการปลดปตท.ออกจากการเป็นรัฐวิสาหกิจไปเป็นเอกชนเกือบเต็มตัว ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในเรื่องของราคาพลังงานอย่างมหาศาลให้กับประชาชนคนไทย ขณะที่ผู้ถือหุ้น (รายใหญ่) ได้กำไรจากการนี้โดยตรง ที่สำคัญการดำเนินการเช่นนี้ในอีกหลายมุมมองเห็นว่าเป็นการซุกหนี้ที่อาจทำให้ไทยต้องเดินซ้ำรอยประเทศกรีซก็เป็นได้

ส่วนการโยกอดีต รมช.คลัง บุญทรง เตริยาภิรมย์ ให้มานั่ง รมว.พาณิชย์ นั้นปรากฏว่า ฟีดแบ็กออกโทนระดับปานกลาง ไม่ยี้แต่ไม่เยี่ยม โดยภารกิจสำคัญแรกที่ต้องเร่งมือก่อนคือ ปัญหาปากท้อง ถึงวันนี้พูดได้เต็มปากว่า สินค้ารัฐบาลปูแพงแซงหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไปแล้ว ราคาดาหน้าขึ้นชนิดเอาไม่อยู่ และยิ่งน่าห่วงกว่านั้น เมื่อราคาน้ำมัน แอลพีจี เอ็นจีวี รวมถึงเงินเดือนข้าราชการที่เตรียมขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า จะกดดันให้สินค้าแพงกว่าเดิมอีกมาก ถัดมา ปัญหาส่งออก แม้ติดลบหนักแต่ยังไม่น่าห่วง เพราะปกติภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนกันเองอยู่แล้ว แค่รอเวลาโรงงานฟื้นจากน้ำท่วมยอดส่งออกก็ฟื้นตามตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยมีภาครัฐคอยสนับสนุน อย่าเป็นตัวถ่วงก็พอ

สุดท้าย โครงการรับจำนำข้าว ที่ตอนนี้กำลังเกิดปัญหามีข้าวเข้ามาจำนำน้อยกว่าปกติ ราคาในตลาดยังไม่ขึ้นถึงตันละ 1.5 หมื่นบาท แถมยอดส่งออกยังตกลงอย่างหนัก และ ที่น่าจับตาคือการระบายข้าวที่ได้จากการจำนำหลายล้านตัน รัฐบาลจะทำอย่างไรไม่ให้ขาดทุนเยอะ เพราะการที่นายบุญทรงเป็นสายตรงใกล้ชิดทางการเมือง ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะมีการสอดไส้เข้ามาหากินบนกองข้าวอีกหรือไม่

หันมาที่กระทรวงพลังงาน ที่ ส่ง “อารักษ์ ชลธาร์นนท์” คนเคยค้าม้าเคยขี่ เข้ามากุมบังเหียน กระทรวงที่สร้างได้ทั้งทรัพย์ และฐานเสียงสำคัญของรัฐบาล เพราะทุกนโยบายทางด้านพลังงานล้วนมีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ที่น่าสนใจคือการเกี่ยวข้องกับองค์กรใหญ่ที่มีมูลค่าทางธุรกิจนับล้าน ๆ บาท ทั้งปตท. กฟผ. รวมไปถึงบริษัทด้านพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอีกนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าคนที่จะเข้ามานั่งกุมบังเหียนต้องเป็นผู้ที่ “นายใหญ่” จากแดนไกลไว้วางใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งมาเป็นปู่โสมเฝ้าขุมทรัพย์

เรื่องร้อน ๆ รมว.พลังงานคนใหม่เห็นทีหนีไม่พ้นต้องมาเก็บกวาดงานค้างเก่าของ พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาม็อบแท็กซี่ ม็อบรถบรรทุก จากผลพวงการปรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ ทั้งการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ภายในปีนี้ต้องปรับขึ้นสูงสุดกก.ละ 6 บาท และก๊าซหุงต้มแอลพีจี ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ม.ค. รัฐมีนโยบายให้ปรับราคาเอ็นจีวีขึ้นไปที่กก.ละ 0.50 บาท ส่วนแอลพีจีภาคขนส่งได้ปรับขึ้นอีกกก.ละ 0.75 บาท ส่วนการปรับราคาครั้งต่อไปก็ต้องวัดใจ รมว.พลังงานว่าจะกล้าเดินหน้าต่อไปหรือไม่ การเร่งเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่กำลังจะถังแตกอยู่แล้วมีผลกระทบไปถึงการปรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคตามมา

ประเด็นสำคัญจากนี้ไปทุกสายตาจะจับจ้องมาที่รมว.พลังงาน คนใหม่ ถึงแนวทางการดำเนินนโยบายจัดหาแหล่งพลังงานเพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ซึ่งอยู่ในเส้นทางสุ่มเสี่ยงกับข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากความเคลื่อนไหวของ ’คนดูไบ” ที่มุ่งให้ความสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจพลังงาน ด้วยการตระเวนเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านที่มีแหล่งพลังงานทั้งหลายแหล่

ส่วนกระทรวงที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้ คือ กระทรวงคมนาคมที่หลายคนชอบเรียกว่า กระทรวงฝังเพชร ขึ้นชั้นเป็นกระทรวงเกรดเอของทุกรัฐบาล เพราะเป็นที่รู้กันว่า ทรัพย์สมบัติหรือผลประโยชน์ในกระทรวงนี้มีมากมายมหาศาล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกคนที่จะมานั่งเป็นเจ้ากระทรวง ต้องมีดีกรีไม่ธรรมดา ต้องเป็นระดับสายตรง สายนายทุน สายกวยจั๊บ สายสัมพันธ์แน่นปึ้กเท่านั้น รัฐบาลปู 2 จึงได้ส่ง “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน มานั่งเป็นรมว.คมนาคม และหากมองถึงสายสัมพันธ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะ “จารุพงศ์” มีสายสัมพันธ์ถือเป็นระดับสายตรงนายหญิง–นายใหญ่ดูไบ ได้รับความไว้วางใจมานานเป็นถึงขนาดเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

สำหรับงานเผือกร้อนของกระทรวงคมนาคม ที่รอ รมว.คมนาคม คนใหม่มาสานต่อ และมาดูแลทรัพย์สมบัติ คือ การสานต่อโครงการการเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงคมนาคม ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางราง ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติกรอบวงเงินไว้แล้วสูงถึง 2.27 ล้านล้านบาท รวมทั้งการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งผ่านมาแล้วหลายยุคหลายสมัย แต่ก็ไม่สำเร็จสักที ถูกตราหน้าว่าเต็มไปด้วยผลประโยชน์ทุกครั้ง ก่อนหน้านี้ “บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต” รมว.กลาโหม อดีตรมว.คมนาคม เคยตั้งเป้าจะส่งครม.พิจารณาภายในสิ้นเดือน ม.ค. นี้นอกจากนี้ “รมว.คมนาคม” ป้ายแดง ยังต้องเจอของร้อน อย่างการพิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสาร หลังจากราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นเกินกว่าลิตรละ 30 บาทอีกครั้ง รวมทั้งการปรับขึ้นค่าก๊าซเอ็นจีวี ขณะนี้ผู้ประกอบการขนส่งแต่ละแห่ง อยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลส่งให้กระทรวงคมนาคม รวมทั้งยังมีอีกโครงการที่น่าจับตา ถือเป็นโครงการเมกะโปรเจคท์ ที่มียอดเม็ดเงินลงทุนมหาศาล คือ โครงการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 83,500 ล้านบาท ซึ่งการขยายโครงการดังกล่าว ทำให้หน่วยปราบโกงทั้งหลาย จับตาเป็นมันว่า จะมีการประมูลอะไรที่เป็นสายล่อฟ้าอีกหรือไม่ หลังจากการก่อสร้างสุวรรณภูมิ ระยะแรก แทบจะมีข้อครหาในทุกโครงการ

อย่างไรก็ตามอีกโครงการที่ต้องเร่งสานต่อ คือ การเข้าไปตรวจสอบสัญญาการเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ และร้านค้าปลอดภาษี ของกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นนายทุนใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นคู่ปรับกับพรรคเพื่อไทย รวมทั้งการสานต่อโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ รวมทั้งเดินหน้าเก็บราคา 20 บาทตลอดสาย ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลปูเคยแถลงในสภา รวมทั้งโครงการพัฒนาระบบรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) นั้น จะเร่งดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง เบื้องต้นเส้นทางแรกที่จะสามารถดำเนินการได้ก่อน คือ เส้นทางกรุงเทพ-โคราช, กรุงเทพ-เชียงใหม่ และ กรุงเทพ-หัวหิน และต้องเร่งผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ส่วนที่กระทรวงอุตสาหกรรมแม้จะไม่ใช่กระทรวงในโควตารัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเก้าอี้นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด รมว.มือใหม่ป้ายแดง อย่าง “ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์” ต้องเร่งเดินหน้าสานงานเดิมต่อให้ติดโดยเร็วที่สุด แม้ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเคยเป็นทีมที่ปรึกษาของรมว.คนเก่า แต่เวลานี้การเร่งฟื้นฟูโรงงานอุตสาหกรรมหลังถูกน้ำท่วม รวมไปถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาโดยเร็วถือเป็นเรื่องสำคัญ หลังรัฐบาลได้ประกาศแผนการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลอย่างชัดเจน รวมไปถึงการกำหนดพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่เพื่อให้ปลอดภัยจากน้ำท่วม

อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นบริหารประเทศของครม.ปู 2 จากนี้ไปหากต้องเผชิญกับคำครหาประโยชน์ทับซ้อนเอื้อให้กับคนดูไบ ให้กับบรรดากลุ่มทุนอย่างเห็นได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้นเท่าใดก็จะยิ่งตอกย้ำการเพิ่มคะแนนความเสื่อมทรุดรัฐบาลเข้าไปอีก ดังนั้นจึงต้องรอดูต่อไปว่าจากนี้ไปประวัติศาสตร์จะกลับมาซ้ำรอยเหมือนกับอดีตอีกหรือไม่!!!.

.............................

เอกชนขานรับขุนพลเศรษฐกิจใหม่

“พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล” ประธานสภาหอการค้าไทย มองว่า การปรับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ว่าจะเพื่ออะไรก็ตาม แต่ในด้านของกระทรวงพาณิชย์ที่ได้ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” ที่ย้ายฟากจาก รมช.คลัง มาเป็น รมว. พาณิชย์ ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะรู้เรื่องการค้ามากน้อยขนาดไหน ซึ่งที่จริงอยากได้คนที่มีความรู้เรื่องการค้าเป็นอย่างดีมากกว่า แต่อย่างไรแล้วเชื่อว่าพื้นฐานของนายบุญทรงจากการที่เคยนั่ง รมช.คลัง น่าจะเรียนรู้ และเริ่มงานของกระทรวงพาณิชย์ได้ไม่ยาก โดยสิ่งที่ต้องการให้ผลักดันอันดับแรก คือ การค้าระหว่างประเทศ เพราะตอนนี้ยอดการส่งออกของไทยเกิดปัญหามากจากการได้รับผลกระทบช่วงน้ำท่วม จึงจำเป็นต้องเข้ามาดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากการส่งออกถือมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของไทย และเป็นรายได้สำคัญของประเทศ ส่วนการโยกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มาเป็นรองนายกฯและรมว.คลัง ถือว่าเหมาะสมมาก เพราะนายกิตติรัตน์ เป็นคนที่มีพื้นฐานและเข้าใจเรื่องการเงินดีอยู่แล้ว จึงน่าจะเดินหน้างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่น ยังถือเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงบประมาณฟื้นฟูหลังน้ำท่วมที่มีวงเงินจำนวนมหาศาล.

“พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลปู 2 นั้นคงไม่สามารถที่จะไปเปรียบเทียบว่าจะดีกว่าทีมเศรษฐกิจปู 1 หรือไม่ แต่ในภาพรวมถือว่าไม่ขี้เหร่ เพราะหลายคนมีผลงานให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนได้เห็นกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะแม่ทัพของเศรษฐกิจชุดนี้ก็ถือว่าสอบผ่านในการทำงานที่ผ่านมา ขณะที่ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” รมว.พาณิชย์ ที่โยกมาจากกระทรวงการคลัง แม้ยังไม่ได้โชว์ศักยภาพเต็มที่มากนักเพราะเกิดปัญหาน้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่ถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ในวงการค้าขายมานาน ซึ่งอาจปรับตัวกับการทำงานได้ไม่ยาก แต่ในส่วน “อารักษ์ ชลธาร์นนท์” รมว.พลังงานคนใหม่คงต้องรอดูความสามารถในการบริหารงานด้านพลังงานอย่างต่ำสัก 6 เดือนก่อน แล้วจะรู้ว่าจะบริหารไหวหรือไม่ แม้ว่าเอกชนยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือในการบริหารแต่ รมต.มือใหม่หัดขับก็มีประสบการณ์ในการเป็นผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมซึ่งอาจปรับตัวได้ ซึ่งในภาพรวมแล้วไม่เป็นห่วงการทำงานของทีมเศรษฐกิจมากนัก ยกเว้นรมว.มือใหม่ป้ายแดง.

ส่วน “สมเกียรติ มรรคยาธร” ในฐานะนายกผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เห็นว่า ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่นี้ ในฐานะภาคเอกชนก็ต้องพยายามเชื่อมั่นต่อการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่าจะสามารถบริหารงานและบริหารเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เจริญเติบโตต่อไปได้ แต่ก็ต้องเสนอให้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ อย่างนายกิตติรัตน์ รวมถึงนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ คนใหม่ ในนโยบายข้าว เรื่องนโยบายรับจำนำ มองว่าเป็นนโยบายที่ดี แต่อยากให้รัฐบาลพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมและสถานการณ์ทุกด้านมาประกอบการพิจารณานโยบายด้วย เพื่อให้ทันกับสถานการณ์มากที่สุด ส่วน รมว.พาณิชย์ คนใหม่ ก่อนหน้านี้ได้รับตำแหน่ง รมช.คลัง มาก่อน มั่นใจว่าต้องมีความเข้าใจกับการเงิน การคลัง เป็นอย่างดี โดยเมื่อมารับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในกฎเกณฑ์การค้า การเงิน และการตลาด เช่นเดียวกัน ส่วนนโยบายข้าว อยากให้ รมว.พาณิชย์ ออกมาตรการกระตุ้นให้คนทั่วโลก โดยเฉพาะคนในทวีปยุโรป และสหรัฐ หันมาบริโภคข้าวไทยมากขึ้น เพราะเป็นประเทศที่คนมีรายได้ของประชากรสูง แม้ที่ผ่านมายอดส่งออกข้าวไปสหรัฐและยุโรปจะมีอยู่ แต่ไม่ได้เกิดจากการสั่งซื้อของคนอเมริกันหรือยุโรปแต่อย่างใด.

ทีมเศรษฐกิจ


Create Date : 23 มกราคม 2555
Last Update : 23 มกราคม 2555 8:01:25 น. 0 comments
Counter : 481 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

tangmo_tsu
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add tangmo_tsu's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.