จะ สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ คนอื่น ทำ แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^

<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 ตุลาคม 2555
 

► ►►. . .สุมหัวนินทาชาวบ้าน ก๊ะ อิตั้วเจ้นู๋บี - บัวเหล่าที่ 5 ( โครงการ 11 ). . .◄ ◄◄




หวัดดีเจ้าค่ะ ทั่นผู้มีเกือกทุกทั่น
ที่หลวมตัวแวะเข้ามาในบล็อค ของอิฉัน หุหุ

( อ้อ..ไหน ๆ ก็เผลอแวะมาแล้ว นิ )
ไงก็อย่าลืมโพสทักทายกันมั่งนะเจ้าคะ
จะได้ช่วยเสริมสิริมงคลให้กับ บล็อคของอิฉัน
ที่สำคัญ เรทติ้งจะได้ วิ่ง ๆ อิอิ

( เราเน้น ปริมาณ ไม่เน้น คุณภาพ แหะ ๆ )

มิตรภาพ      เกิดขึ้น      ที่ตรงไหน
ไม่สำคัญ     เท่าไร        อย่าไปสน
สิ่งสำคัญ       อยู่ที่ใจ     ในตัวตน
จะรับรู้         ค่าแห่งคน   ค่าแห่งคำ


ด้วยจิตคาราวะ และ มิตรภาพ  จริ๊ง....จริง  เหอ ....เหอ....



ปอลิง

หน้านี้เอาไว้ พูดคุยทักทาย กันจ้า
มีไร เม้าส์ได้ตามสะดวกปาก นะเจ้าคะ
อิฉันชอบฟังเสียงชาวบ้านเข้ามาคุยให้ฟัง  แหะ ๆ ^ - ^

อ้อ ขออนุญาตแนะนำ

สมาคม สูงกินลม ไว้ไม่มีหงอย ... แห่งประเทศไทย
ไว้ในอ้อมใจของทุก ๆ ท่านด้วยเจ้าคะ

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=itoursab&group=6

ครายว่าง ๆ ก็แวะไปกรอกใบสมัคร เข้าสมาคม ได้นะเจ้าคะ
ช่วงนี้ สมาคม ของเราเรามี โปรโมชั่น พิเศษ
แพคเกจกินลมชมวิวบนคาน พร้อม น้ำเต้าหู้กะไข่ลวก

เสิร์ฟโดยทั่นประธานชมรม คนล่าสุด ไอ้แสบ หลานอิฉันเอ๊ง อิอิ




หมายเหตุ

บล็อกนี้ แบ่งเป็น 3 โซน นะเจ้าคะ
คือ

1. สุมหัวคุยกัน 

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&group=1

ส่วนนี้เอาไว้เม้าส์เรื่อยเปื่อย ก๊ะ ชาวบ้านฮ่ะ
( เขตนี้เป็นเขตกรีน โซน )
แพล่มได้โดยไม่ต้องกัว จขกท. กัด เหอๆ




2 ตัวหนังสือธรรมโม๊ะ เอ๊ย ทำมะทำโม ของอิน้องบัวผ่อง

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&group=3

ส่วนนี้เอาไว้โชว์ รัศมี ธรรมโม๊ะ ของ อิน้องบัวผ่อง เค้าง่ะ
จัดเป็น พิ้งค์ โซน ที่ หวานแหวว สะแด่วแห้ว
เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยากบริโภคธรรมะแนวน้ำแข็งใส
ย่อยง่าย ๆ โดยไม่ เสาะท้องเพราะ อาหารเป็นพิษ งิงิ





3.ตัวหนังสืออื้อฉาวววว ของ เจ้าป้าบัวเกรียน !

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&group=2

อืม...อันนี้ เรด โซน ง่ะ เขตมหันตภัย น้อง ๆ ซึนามิ
ถ้าเป็น ไออ่อน อิอ่อน มิสมควร เข้าไปเพ่นพ่านเด็ดขาดดด
เพราะอาจ หงายเงิบ สำลักน้ำลายอิฉันตายได้โดยมิลู้ตัว
โซนนี้เหมาะสำหรับ ตัวพ่อ แอนด์ ตัวแม่
ผู้ พิสมัย ธรรมะแนว อินดี้ + ฮาร์ดคอร์










Create Date : 18 ตุลาคม 2555
Last Update : 18 ตุลาคม 2555 20:30:31 น. 97 comments
Counter : 3086 Pageviews.  
 
 
 
 
อิอิ ขอ อนุยาด ขึ้นหน้าใหม่คร้าาาาา ( เริ่มโหลดช้าแระ แหะ ๆ )
เฮ้ออ แปํ๊บ ๆ ยังสะสมใบแบรนด์ ยังไม่ทันครบโหลเรยวุ้ย
ก็ต้องขึ้นโครงการ 11 จนได้
อิตั้วเจ้นู๋บีมันขี้คุยเหมือนกันนะเนี่ย หุหุ


อืม...ถ้าไง คราย ว่างๆ
ก็อย่าลืม แวะมาเจิม น้าาาา

ปอลิง

อ้อ อันนี้ ความเดิม จากโปรเจคที่แล้ว อิอิ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bsonjb&group=1&month=25-09-2012&gblog=13


 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 18 ตุลาคม 2555 เวลา:20:38:16 น.  

 
 
 
รีบมาเจิมเป็นคนแรก
1472 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.9.38.76 วันที่: 18 ตุลาคม 2555 เวลา:21:36:31 น.  

 
 
 
กระจองงอง ๆ เจ้าข้าเอ๊ยยยย
อิเจ้รองแอบหนีลูกหนีปั๋ว มาเล่นเนต อีกแระ !
จาฟ้องป๋าโจ ดีไหมเนี่ย ? หุหุ
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 18 ตุลาคม 2555 เวลา:21:57:18 น.  

 
 
 
---------------------------------------
อิอ่อน ว่า...
ถ้าเอาตามนี้ อิอ่อนมันคงยอมตกนารก อะ
ถึงแม้จะกัวนารกจนตัวสั่น แต่มันก็บอกว่าขอสั่นสู้ หุหุ
แระก็ขอเลือกข้าง พระสมณะโคดม ตลอดไป อะจะ
เพราะอินในนิทานชาดก ไปหลายๆเรื่อง ยู้ ^.^
และคงไม่ไปชาบูๆ จ้าวววอื่นๆ หรอกจร้า
ขออยู่ข้างพระ ดีฝ่า นิทานชาดกก็สนุกทุกเรื่อง อะ ฮิฮิ
ส่วนเรื่องนิทานชาดกจะเป็นจริงรึป่าว อันนี้ขอตอบว่า
กุไม่รู้ เพราะกุยังไม่มีญาณฮับเบิลเป็นของตนเอง หุหุ
เขาเล่าว่าไง ก็ฟังๆไว้ประเทืองปัญญา ก็สนุกดีอะ
แต่ถ้าได้ฟังจากปากพระสมณโคดมเองเลยเนี่ย ก็อีกเรื่องนุง

จะเข้าข่าย เลือกตำราผิดคิดจนตัวตาย+บ้านพัง อ๊ะป่าวเนี่ย หุหุ
พอดีอิอ่อน มันหัวอ่อน เชื่อคนง่ายๆ
ใครพูดอะไรก็เชื่อเขาไปหมด หุหุ ไม่ค่อยจะไปขัดขาใคร ง่ะ
ถ้าเชื่อแล้วยังไม่มีผลเสียหรือยังไม่ถึงทางตัน
ก็คงไม่เลิกเชื่ออะไรง่ายๆ อะจะ แต่ถ้าเชื่อแล้วเป็นผลเสีย
แบบว่าเชื่อปุ๊บตัวเน่าเขางอกหางโผล่ปั๊บ อะไรแบ่บเนี้ย
ก็คงจะกลับลำเปลี่ยนฟามเชื่อปุ๊บปั๊บไปเรย แหะ แหะ

++++++++++++++++++++++++++++++

นู๋บี ...

อืม... ตอบคล้าย ๆ ไอ้น้อง ด.
ประธานชมรมคนร้ากกก พี่นู๋บี จังเรยอ่ะ
ประมาณว่า กลัวตกนรก แต่ ก็ยังไม่ก็ปล่อยวางศรัทธาของตัวเอง
เพราะ กลัวจะสูญเสีย สิ่งที่เคยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ อิอิ
งั้น ขอเพิ่มเงื่อนไขในคำถาม อีกจิ๊ดนุงส์ ได้ป่ะ

นอกจาก เงื่อนไขที่ กำหนดไว้ว่า
หากเชื่อในตัว สมณะโคดมอันเป็น พุทธอวตาร แล้ว ไซร้
นอกจากจะ ตายไปจะต้องตกนรก ในอนาคตข้างหน้า
ณ ปัจจุบันขณะ ก็ยังจะ ถูกสาป ทำให้ ตัวเน่า
เขางอก หางโผล่ปั๊บ ด้วยอ่ะ อิอ่อนสอนขันจะทำยังไง ?
จะยอมเปลี่ยนความเชื่อ และ ความศรัทธา ไปเลยป่ะ ?


อ้อ ขอ นุยาด ปุจฉาถามเพิ่มเติม อีกจั๊กดอกส์สองดอกส์ โตย

1. ถ้าภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พุทธอวตารเป็นเรื่องจริง
( ซึ่งก็แสดงว่า สมณะโคดม คือ คนโกหกพกลม )
ฉะนั้น ทั้ง ๆ ที่ อิอ่อนมันรู้ทั้งรู้ว่า
พุทธชาดกเป็นเรื่อง สตอเบอร์แหล๋
ถึงแม้ จะได้ยินจากปากสมณโคดมเองเลยเนี่ย
อิอ่อนมันจะยังมีแก่ใจจะ เสียเวลา ไปเชื่อในทุก ๆ ถ้อยคำ
ในนิทานหลอกเด็ก แบบหัวปักหัวปำ เช่นนั้นหรือ ?


2.นี่ ๆ อิอ่อนเจ้าขราาาาาาา
ถ้าถูกบังคับ ให้เลิกนับถือพุทธ อิอ่อนจะทำยังไง ดีเอ่ย?

อ่ะ ไหนลองตอบคำถามข้างล่างนี้
หั้ย อิตั้วเจ้นู๋บี หั้ยฟัง หน่อยสิ
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 18 ตุลาคม 2555 เวลา:21:58:06 น.  

 
 
 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถ้า ถูกบังคับ ให้เลิก นับถือ ศาสนาที่คุณศรัทธาอยู่ ...
คุณจะลุกขึ้นสู้ หรือ หา ทางออก อย่างไร ?

เรื่องมันมีอยู่ว่า
สมัยอยู่ ป.3 เคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง คินนิคุแมน
ภาพหนึ่งที่ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ
คือ การที่ หนังสือเล่มนั้น อ้างถึง
สมัยที่ศาสนาคริสต์ถูกต่อต้านโดยเจ้าผู้ครองนคร
ทหารโรมันจึงบังคับให้ เหล่าชาวคริสต์
เลิกนับถือพระเจ้าและพระเยซู
หากใครขัดขืน จะถูกข่มขู่ ทำร้าย และ ฆ่าให้ตาย

มีคริสตชน จำนวนมากทนทาน
ต่อความโหดร้ายที่ถูกกระทำไม่ไหว
จึงยอมละทิ้ง ความศรัทธา
หันมานับถือเทพเจ้าองค์อื่น
แต่ก็มีหลายคนที่ยังศรัทธาในพระเยซู อยู่
จึงแอบลักลอบปฏิบัติศาสนกิจ

เจ้าผู้ครองนครทราบจึงสั่งให้ ทดสอบความศรัทธา
โดยการให้ชาวบ้านทุกคน เหยียบไม้กางเขน
มันผู้ใดที่ไม่สามารถทำได้ มันผู้นั้นก็ชะตาขาด

-------------------------------------------------------------

ครั้นพอ อยู่ ม.ปลาย ได้อ่าน นิทานเวตาล
ก็เจอเรื่องเล่าถึงความขัดแย้ง
และ สงครามศาสนา ระหว่าง ฮินดูกับอิสลาม

เมื่อชาวฮินดู ถูกบังคับให้เปลี่ยน ศาสนา
เขาก็ถูกแกล้งด้วยการให้กินอาหารที่ทำจากเนื้อวัว
( ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ ซึ่งชาวฮินดูจะไม่กินเด็ดขาด )
เรื่องนี้สร้างความเจ็บปวดให้พวกเขาอย่างยิ่งยวด

------------------------------------------------------------------


เมื่อปีก่อนได้ดูทีวี
ได้ยินทพ.สม สุจิรา พูด ในรายการสุริวิภา
ว่า สมัยที่ อินเดียถูกรุกรานจากมุสลิม
มีการบังคับผู้คนให้เปลี่ยนศาสนา
หากขัดขืนก็ถูกฆ่า

ด้วยเหตุนี้ภิกษุผู้มีใจศรัทธาในตถาคต นับร้อยรูป
จึงนั่งเรียงแถวกันนิ่งอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่หนีไปไหน
ท่านพากันท่องบทสวดมนต์ต่อหน้าพระปฏิมาอย่างสงบ
เพื่อรอให้นักรบต่างศาสนาค่อย ๆ ตวัดใบมีดคมกริบ
ปลิดชีพพวกสมณะเหล่านั้นด้วยการตัดคอทีละคน ๆ


เมื่อหัวที่หนึ่งหลุดออกจากบ่า
หัวที่สอง สามสี่ ก็ทยอยหลุดร่วงตามมา
ส่วนคณะสงฆ์ที่ยังไม่ถูกประหัตประหาร
ก็ยังคงพร่ำสวดกันต่อไปโดยไม่ขาดสาย
แต่แล้วเสียงสวดนั้นก็ขาดหายไป
เมื่อหัวสุดท้ายได้ร่วงสู่พื้น....

-------------------------------------------------------------------

ในสงครามครูเสด ระหว่าง ชาวคริสต์ และ มุสลิม
เมื่อฝ่ายหนึ่งชนะ เคยสงสัยบ้างไหม ?
ว่าเขาจัดการกับ ผู้แพ้อย่างไร ?
ชาวบ้านที่อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้แพ้
จะถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนาหรือไม่ ?

----------------------------------------------------------------

เมื่อสมัยจีนแผ่นดินใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เป็นระบอบสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์
ก็มีแนวคิดบังคับให้สหายร่วมชาติ
ตัดขาดกับความเชื่อความศรัทธาในศาสนา
จนกระทั่งศาสนาต่าง ๆ ต้องสั่นคลอนและดับสูญ

---------------------------------------------------

อนึ่ง จากคำเล่าขานมากมาย ที่ฉันได้รับรู้มาเหล่านี้

ทั้งเรื่อง การเหยียบไม้กางเขน เพื่อทดสอบศรัทธา
การให้อดีตชาวฮินดูต้องมาทนนั่งกินเนื้อวัวร่วมโต๊ะกับชาวมุสลิม
สงครามทุเรศ เอ๊ย สงครามครูเสด
หรือ สงครามแห่งศรัทธาอันศักดิฮสิทธ ?
การที่สมณะนั่งสวดมนต์อย่างพร้อมเพรียง
เรียงแถวกันเพื่อถูกสังหาร

เรื่องราวเหล่านี้ มันทำให้ ฉันเกิดข้อกังขาเกี่ยวกับ ศรัทธาของคน
และ ถามตัวเองว่า หากสักวันหนึ่ง
เหล่าผู้นับถือศาสนาทั้งหลาย ในเวบบอร์ดแห่งนี้
ต้องมาเจอชะตากรรมในสภาวะแวดล้อมที่บีบคั้น เช่นนั้น
พวกเขาจะทำอย่างไร ? ต่อต้านหรือจำใจยอมรับ
เขาจะหาทางออก ให้ชีวิตตัวเองอย่างไร ?


และ ศรัทธาจริตชนอย่างคุณล่ะ ?
ถ้า ถูกบังคับ ให้เลิก นับถือ ศาสนาที่คุณศรัทธาอยู่ ...
คุณจะลุกขึ้นสู้ หรือ หา ทางออก อย่างไร ?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 18 ตุลาคม 2555 เวลา:21:58:38 น.  

 
 
 
อิอิ ไม่อยากจะบอกเลยว่า
ทั้งคำถามเรื่อง พุทธอวตาร
และ คำถามในเรื่อง ข้างล่างนี้
สำหรับอิฉันแล้ว มันมี คอนเซปต์ ในการตอบ
ไปในแนวทางเดียวกันน้าาา


และ คำถามทั้งสองนี้ ถ้าเราตอบตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมา
มันก็สามารถค้นหา รากเหง้าของศรัทธา
และบ่งบอกตัวเตน และ จริต ของเรา ได้ดีทีเดียว
ว่า เรานั้น มันใกล้จะเป็นตัวพ่อตัวแม่ รึยัง หุหุ

ปอลิง

อ้อ ถ้า คนอ่าน บ่ใช่ อิอ่อน ก็ตอบได้น้าาา
ไม่ว่าจาเป็น อิแม่มด หรือว่า อิรจนา
อิตั้วเจ้ มันก็อยากรู้อยากเห็น ทั้งนั้นจร้าาาา
ว่า อีจะมีทีท่าก๊ะเรื่องสมมุตพวกนี้ ยังไง
แล้ว เด๋ว ฤกษ์งามยามดี
( ประมาณอาทิตย์หน้ามั้ง )
จามาเม้าส์โตยจร้าาาา


ส่วนอาทิตย์นี้ ....
ขออนุยาดไปตบตี ก๊ะ ชาวบ้าน
ที่ห้อง หว้ากอ ก่อน แหะ ๆ

บ๊ายบายจร้าาา

++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 13396 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 223 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++

 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 18 ตุลาคม 2555 เวลา:22:14:59 น.  

 
 
 
อ้อ ขอ นุยาด ปุจฉาถามเพิ่มเติม อีกจั๊กดอกส์สองดอกส์ โตย

1. ถ้าภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พุทธอวตารเป็นเรื่องจริง
( ซึ่งก็แสดงว่า สมณะโคดม คือ คนโกหกพกลม )
ฉะนั้น ทั้ง ๆ ที่ อิอ่อนมันรู้ทั้งรู้ว่า
พุทธชาดกเป็นเรื่อง สตอเบอร์แหล๋
ถึงแม้ จะได้ยินจากปากสมณโคดมเองเลยเนี่ย
อิอ่อนมันจะยังมีแก่ใจจะ เสียเวลา ไปเชื่อในทุก ๆ ถ้อยคำ
ในนิทานหลอกเด็ก แบบหัวปักหัวปำ เช่นนั้นหรือ ?
ตอบ...
งง อะ ทำไมพุทธอวตารเป็นเรื่องจริง
แสดงว่า สมณะโคดม คือ คนโกหกพกลม
เรื่องจริงเป็นไงก็ ไม่รู้ง่ะ เราจะสมมุติเอาใช่ปะ หุหุ
แล้วจะสมมุติไปถึงไหนอะ อิอิ (สมมุติให้ยาวๆไป อิอิ)
รู้แต่ว่าคำสอนของพระสมณะโคดมถูกจริต
ก็เลยชอบและรับไว้โยนิโสฯ ก็เท่านั้น จะผิดจะถูกก็ยกไว้
ใครจะโกหกหรือพูดจริงก็อีกเรื่องนึงไม่ได้คำนึงถึง
รู้แต่ว่าความจริงก็คือความจริงและวันนึงความจริงก็
จะปรากฏเวลาเราจะเชื่ออะไรหรือไม่เชื่ออะไรมันอยู่ที่
ฟามชอบและไม่ชอบล้วนๆ อะ เพราะเราไม่รู้ความจริง
ของสัจธรรมไง ถ้าเรารู้ความจริงทุกเรื่องเราก็ไม่ต้องอาศัย
ความเชื่อแล้ว ก็มีสัจธรรมเป็นที่ที่พึ่งในทุกกาลเวลา
มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไง ไม่ต้องอาศัยความเชื่อหรือ
คำพูดของใครมายึดเป็นที่พึ่ง ส่วนคำสอนของใครจะจริง
หรือจะโกหก มันต้องพิสูจน์เอง แต่ถ้ารู้จริงเองว่านี้โกหก
นั้นไม่โกหกมันก็อีกเรื่อง ก็คงตัดสินใจใหม่ได้เองตาม
สัจธรรมที่ประจักษ์ตามจริงแก่ใจนั้น
ถ้าเป็นเรื่องสมมุติมันก็สมมุติไปคิดยังไงก็ได้แต่หาข้อสรุป
ที่เป็นตามจริงไม่ได้ เพราะเราไม่ได้รู้จริง
จะสมมุติให้รู้จริงได้ไง หุหุ
เอาเป็นว่า มันแค่ความเชื่อมันก็แค่ความเชื่อ
แต่ถ้าความเชื่อนั้น มันพิสูจน์ตัวเองจนเราหมดข้อสงสัย
เราก็จะยอมรับความเชื่อนั้นๆเป็นสัจธรรมของเรา
พอถึงตอนนี้ก็เหมือนถวายชีวิตให้สัจธรรม
ที่กลายสภาพมาจากความเชื่อมาเป็นความจริงของเราแทน
แบ่บนี้ไม่เรียกว่าเชื่อหัวปักหัวปำแระน้า
แต่เชื่อเพราะหมดข้อสงสัย
และเห็นตามจริงไม่ได้เห็นแบบเลอะเลือนเนาะ
งง ปะเนี่ย
แต่ถ้าเชื่ออย่างเดียวไม่ทำอะไร งอมืองอเท้า แบ่บว่า
เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วไม่ต้องทำอะไรก็ถึงสวรรค์
ถึงนิพพานได้ อันนี้มันก็เป็นเชื่อแบ่บมิจฉาทิฏฐิ
เชื่อผิดๆ หุหุ เชื่อผิดต่อด้วยทำผิด ไง ก็เฟลล์สัมบูรณ์
เชื่อผิดแต่ทำถูกก็เปลี่ยนเชื่อได้เพราะผลมันแสดงอยู่
เชื่อถูกทำถูกผลถูก อันนี้เป็นสัจธรรมถูกตามจริง
แต่ก็ไม่เกี่ยวกับพุทธอวตาร
หรือแสดงว่าพระสมณะโคดมโกหก นะ
มันเป็นเรื่องนิสัย คติส่วนตัว
ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจะจริงหรือจะโกหก
มันอยู่ที่คนๆนั้นที่เชื่อหัวปักหัวปำแล้วจะพิสูจน์ความเชื่อ
ต่อหรือป่าว ถ้าเชื่อหัวปักหัวปำแล้วแต่ต้องพิสูจน์ความเชื่อ
ต่ออีกก๊อกนึง ถึงจะเปลี่ยนจากเชื่อหัวปักหัวปำมาเป็น
เชื่อแบบหมดข้อสงสัย ตามคำสอนกาลามสูตร
มันเรื่องเดียวกันป่าวเนี่ย ชักจะงง หุหุ

2.นี่ ๆ อิอ่อนเจ้าขราาาาาาา
ถ้าถูกบังคับ ให้เลิกนับถือพุทธ อิอ่อนจะทำยังไง ดีเอ่ย?
ตอบ อิอ่อน มันเชื่อแต่ตัวเอง ไม่เชื่อคนอื่น ง่ะ
ถ้ามันเลือกจะเชื่ออะไรแล้ว ตอนเลิกเชื่อมันก็เลิกเอง
ถ้ามีคนมาบังคับ ให้เลิก มันก็เลิกให้แบบไม่จริงไง
รับๆไปงั้น พอคนบังคับเผลอมันก็กลับไปเชื่อเหมือนเดิมอีก
ถ้าจะฆ่าจะแกงมันก็คงหนีเอาตัวรอดไว้ก่อง อะ
คงไม่ยอมตายเพราะความเชื่อหรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องของ
สัจธรรมความจริงแล้ว คงยอมตายเพื่อสัจรรมนั้นๆอะ
ความเชื่อ vs สัจธรรม
ในฟามเข้าใจของอิอ่อน...น้า.. ฟามเชื่อก็คือฟามเชื่อ
ฟามเชื่อ บ่อใจ้ฟามจริงนะเจ้า ...โอเค ปะ
ฟามเชื่อและฟามศรัทธา บ่ใจฟามจริงแต่เป็นเครื่องมือ
ที่เราใช้นำทางชีวิตไปสู่จุดหมายคือการพิสูจน์ทราบฟามจริง
วันใดที่เราพิสูจน์ฟามเชื่อนั้นๆ จนรู้สัจธรรมตามจริงของ
ฟามเชื่อนั้นๆ เราก็จะรู้แก่ใจเอง ว่าถึงเวลาละทิ้งฟามเชื่อ
ที่ไม่จริงเหลือแต่ฟามเชื่อที่เป็นสัจธรรมตามจริงเท่านั้น
ที่จะยังคงเป็นจริงและเราจะรู้ได้ด้วยตนเองฟามเชื่อที่
เราพิสูจน์ทราบแล้วและเป็นจริงก็จะไม่ใช่ฟามเชื่อและ
ศรัทธาอีกต่อไปแต่มันกลายเป็นสัจธรรมในใจของเรา
ตลอดไป หมดข้อลังเลสงสัย และจะเป็นที่พึ่งให้เราได้
ตามจริงไม่ใช่ฟามเชื่อแบบลมๆแล้งๆ ที่เปลี่ยนๆไปเปลี่ยน
มาตามปัจจัยภายนอก มันจะมั่นคงไม่สั่นคลอนและถึงขั้นนี้
ก็ไม่มีใครจะเปลี่ยนฟามเชื่อที่กลายเป็นสัจธรรมของคนนั้น
ได้อีก ถ้าฟามเชื่อนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิและกลายเป็นสัจธรรมของ
คนนั้นแล้วปลายทางก็ย่อมเป็นสุคติ แต่ถ้าฟามเชื่อนั้นเป็น
มิจฉาทิฏฐิและกลายเป็นสัจธรรมของคนนั้นแล้วปลายทาง
ก็เป็นทุขคติ ดังนั้นฟามเชื่อและศรัทธาที่ใครคนหนึ่งจะ
เลือกใช้นั้นมันสำคัญมั่กๆ เพราะถ้าขาดสติสัมปชัญญะแล้ว
หลงตามไปยอมรับมาเป็นที่พึ่งของตนโดยเข้าใจผิดและ
ไม่เห็นผลเสียตามจริง ผิดก็เห็นเป็นถูก ถูกก็เห็นผิด
แบ่บว่าเห็นบิดเบือนไปจากสัจธรรมตามจริงของสิ่งนั้นๆ
ก็ทำให้เข้าใจผิด ทำผิดคิดผิด ยึดถือผิดๆ ไปจนถึง
เลอะเลือน ฝังแน่น กลายเป็นสัจธรรมของคนนั้นก็สายไป
แล้วสำหรับคนนั้นที่จะแก้ไขฟามเชื่อที่ผิดๆศรัทธาที่ผิดๆ
ของคนๆนั้น แต่ในแง่กลับกันนะ ถ้าคนนั้นมีสัมมาทิฏฐิ
เป็นสัจธรรมของตนอยู่บ้าง เช่น มีสติสัมปชัญญะ มีศีล
มีละอายต่อบาป รู้ถูกตามจริง รู้ผิดตามจริง เวลาที่ไปรับ
ฟามเชื่อหรือศรัทธาที่ผิดๆมา มันจะมี จึ๊กๆ แบ่บว่าเป็น
มโนคติส่วนตัวคอยแย้งว่าฟามเชื่อนี้ไม่ถูกต้องและถ้ายัง
หลวมตัวทำต่อไปเวลาเกิดผลเสียเช่นตัวเน่าเขางอก
หางโผล่ หรือเป็นทุกข์ มันจะเห็นสัจธรรมตามจริง
ไม่ได้เห็นแบบบิดเบือน มันก็หลอกตัวเองให้เชื่อต่อไปอีกไม่ได้
แต่ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะเห็นสัจธรรมตามจริงตรงนี้มันจะเห็น
เป็นบิดเบือนเลอะเลือนไปตลอดแยกแยะถูกผิดตามจริง
ไม่ได้ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งแท่งไม่มีใครเปลี่ยน
แปลงคนนั้นได้นอกจากว่ามันจะโชคดีรู้สึกตัวและเอ๊ะใจ
เกิดซาโตริจะเปลี่ยนสัจธรรมของตนเอง ก็เรียกว่ามีตนเป็น
ที่พึ่งแห่งตน ซึ่งแบ่บนี้ตามตำราก็มีอ้างไว้ว่าแม้แต่
พระพุทธเจ้าก็สั่งสอนคนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ได้ แต่คนที่เป็น
มิจฉาทิฏฐิอาจจะลุกมาสอนตัวเองให้กลับลำได้ถ้ามีสติ
สัมปัชัญญะเห็นถูกเป็นถูกเห็นผิดเป็นผิดได้ เหมือนที่พระ
เทวทัตท่านทำได้ไง (อันนี้อ้างตำรานะ หุหุ) จากมิจฉาทิฏฐิ
กลับลำมาสำนึกถูกต้องได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ตามตำรา
ก็บอกว่าอนาคตจะเข้าถึงสถานะพระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหมดที่พล่ามมาเนี่ย ก็แค่อยากบอกว่า อิอ่อนมันก็ไม่ได้
ปักเป็นปักตายกับทุกฟามเชื่อ แต่เอามาใช้เป็นคัมภีร์
ประกอบการดำเนินชีวิตในการทำมาหากิน และทำข้อสอบ
สอบไล่ไปเรื่อยๆ จนกว่า จะจบบทสุดท้ายของชีวิต
เลือกฟามเชื่อที่เข้าข่ายสัมมาทิฏฐิ ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์
และพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ ไม่บิดเบือน ไม่อคติ
เห็นตามจริงเท่าที่จะรู้สึกได้ ง่ะ รู้สึกเร็วก็กลับลำได้เร็ว
เจ็บน้อยหน่อย ถ้ารู้สึกช้าก็ทุกข์มากหน่อย แล้วฟามเชื่อนั้น
ก็จะถูกตัดสินว่าจะเชื่อต่อหรือจะวางดี อย่างเรื่องพุทธชาดก
นะ อ่านไปแล้วก็ไม่ได้ขัดแย้งกับมนโนคติก็รับไว้เป็น
บทเรียนส่วนตัวเวลาเจอปัญหาคิดไม่ตกก็ยังได้ตัวช่วยว่า
เคยได้ยินเรื่องแบ่บนี้เขาแก้ปัญหาแบ่บนี้ ก็เอามาโยนิโส
ไปถ้าคิดเองได้ก็พิจารณาผลลัพธ์ไป ส่วนเรื่องพุทธอวตาร
อย่างของฮินดูที่ว่าพระนารายอวตารมาเป็นพระฯอันนี้ก็
ตามมโนคติก็ไม่ได้รับเชื่อไว้เพราะรับแต่เรื่องที่บัญญัติ
ไว้ในพระไตรปิฎกของเถรวาทเท่านั้น อะจะ แต่ที่รับเชื่อ
ก็เป็นฟามเชื่ออะยังไม่ได้พิสูจน์ฟามจริงทุกเรื่อง ก็เลยไม่ได้
รู้ไปถึงว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนโกหกเรื่องไหนบิดเบือน
เพราะเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้าในยุคโน้น ก็ได้แต่ฟังว่า
เขาเล่าต่อกันมาว่าเป็นงี้ เราฟังแล้วก็เอามาใช้กับเราได้
เราก็ใช้และพิสูจน์ฟามเชื่อตามนั้นว่าจะพาเราไปสู่เป้าหมาย
คือการหลุดพ้นทุกข์ หลุดจากวงแหวนโมเบียส และวงปฏิจฯ
ได้ เป้าหมายอันนี้ต่างหากคือตัวตนที่เป็นที่พึ่งของเราที่ต้อง
ทำให้เป็นสัจธรรมเกิดขึ้นมาเป็นจริงของเรา ฟามเชื่อ
อันไหนที่เราเห็นว่าไม่ใช่เราก็วางมันไปเพราะเห็นว่า
ไม่มีประโยชน์กับเป้าหมายของเรา ก็เลือกทำตามฟามเชื่อ
ด้วยสติสัมปชัญญะคือเห็นผลตามจริงประกอบการเดินหน้า
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่เราต้องการ ซึ่งถ้าสุดท้ายแล้ว
เลือกเชื่อผิด เลือกทำผิด และได้ผลผิดเป้าหมาย
สติสัมปชัญญะ และสัมมาทิฏฐิที่เรามีในตัวตนจะเป็นตัว
เบรคเราให้รู้ตามจริงและกลับลำได้ถูก แต่ถ้าไม่มีสองอย่าง
นี้หรือไม่มีสิ่งที่จะใช้ชี้วัดได้ตามจริงมันก็จะบิดเบือน
เลอะเลือนหาทางออกบ่ได้ ซึ่งอันนี้ก็อยู่ที่อะไรก็ไม่รู้แระ
อยู่ที่ที่พึ่งที่เป็นตัวตนของเรามันจะเลือกถูกทำถูกได้ตาม
จริงไหม อย่างเช่นเห็นคุณของศีลตามจริง เห็นโทษของ
กิเลสตัณหาตามจริง เห็นโทษของมานะตามจริง เห็นโทษ
ของฟามอิจฉาริษยา การเห็นโทษของความเห็นผิด
เห็นโทษของฟามบิดเบือน เห็นโทษของการไม่ยอมรับ
ฟามเป็นจริง พูดมาตั้งยืดตั้งยาว สุดท้ายก็มีแต่ตนเป็นที่พึ่ง
แห่งตนเนอะ มีตนเห็นถูกเป็นถูกมีตนเห็นผิดเป็นผิด
มีตนเห็นตามจริงไม่บิดเบือน ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องฟามเชื่อ
และศรัทธาที่ผิดๆถูกๆของชาวโลก อะ
ไม่เกี่ยวกับเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วจะได้ดีหรือได้ชั่ว
ไม่เกี่ยวกับเชื่อศาสนานี้นั้นโน้น คนนี้โกหกหรือป่าว
คนนั้นไม่โกหกหรือป่าว มันเกี่ยวกับว่าทำตามนั้นแล้ว
ได้อะไรทำตามคนนี้แล้วได้อะไรตามจริง

ทั้งหมดนี้เรียกว่าแถ หรือว่าโยนิโสก็มะรู้ ยาวจัด หุหุ

4397
 
 

โดย: อิแม่มด หุหุ IP: 110.168.88.9 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:11:35:05 น.  

 
 
 
เรื่องคำสอนของพระสมณโคดม มีหลายเรื่อง
มีสอนเรื่องนี้แล้วก็สอนเรื่องนั้น
ต้องโยนิโสฯทุกคำสอนเพื่อจะได้เข้าใจได้ใกล้เคียง
ความจริงได้เป็นคำสอนที่ไม่แย้งกันเอง
เพราะความคิดคนมันยอกย้อนซ่อนเงื่อนชอบตีความ
คำสอนผิดๆ เหมือนท่านสอนไว้หลายเรื่องแต่ก็มีคำสอน
แบบกาลามสูตรอีกที่บอกว่าอย่าเชื่อจนกว่าจะรู้จริง
เหมือนท่านก็สอนดักไว้หมดทุกประตูแล้ว
แต่คนมันมีหลากหลายระดับ มีทั้งสัมมาทิฏฐิ
และมิจฉาทิฏฐิที่เอาคำสอนของพระไปใช้เป็นอาวุธก็มี
เอาคำสอนพระเป็นตัวตนของตนเองก็มี
เอาคำสอนพระไปใช้ผิดๆก็มี คนสอนเขาก็ได้แต่สอน
แนะนำไว้ คนใช้มันใช้ผิดเชื่อผิดก็อีกเรื่อง มันเยอะแยะ
ยอกย้อนซ่อนเงื่อนเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุก็มาก
ถ้าจะยกพระสมณโคดมเป็นเหตุของทุกเรื่องก็ตาดีได้
ตาร้ายเสีย คนที่เสียเพราะทำผิดเพราะเข้าใจคำสอนดีๆผิด
จะถือว่าคำสอนนั้นผิดก็ไม่ได้ หรือคนที่สอนนั้นโกหกก็ไม่ได้
เพราะคนฟังมันเข้าใจผิดไปเอง ทำผิดไปเองก็มี

แต่ถ้าจะยึดว่าความเชื่อใดๆไม่สมควรมีก็แล้วแต่อะ
จะเชื่อแต่คำสอนที่เป็นจริงเท่านั้น ก็ถูกอะ
แต่ตอนที่ไม่รู้จริงมันก็ได้แค่เลือกเชื่อเอาตามฐานะ
และวาสนาของคนนั้นจะเลือกให้ตัวเอง
เลือกเชื่อผิดหรือถูกสุดท้ายความจริงมันก็ปรากฏเอง
ตอนที่ความจริงปรากฏแล้วเลือกถูกก็รอดเลือกผิดก็
ล่องจุ๊นต่อไป ง่ะ ก็มีแต่ตัวเองที่เลือกเองเดือดร้อนเอง
สุดท้ายก็รู้ผลเอง แหะแหะ

แถได้ถูกประเด็นของอาเหล่าม่าไหมเนี่ย อิอิ

9039 หุหุ

 
 

โดย: อิรจนา มาแว้ววววว IP: 110.168.88.9 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:11:52:12 น.  

 
 
 
มีเรื่องจริงมาเล่า ฟังจากพ่อตัวเองเล่าให้ฟัง ง่ะ
สมัยพ่อยังหนุ่ม ก็เป็นหนุ่มโรงงานทำถังที่เป็นเหล็ก+สังกะสี
เถ้าแก่เป็นคนจีนด้วย ก็รวยมากอยู่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
สมัย50-60ปีที่แล้วมั้ง พ่อก็บอกว่าเถ้าแก่นิสัยไม่ค่อยดี
ชอบเอาเปรียบคนอื่นๆรวมถึงลูกน้องของตัวเองด้วย
พ่อเขาก็ทำงานไปเรื่อยๆ เพราะสมัยจีนสมัยนั้นมาจาก
เมืองจีนก็ไม่มีทางเลือกมาก มีงานทำก็ถือว่าดีมากแล้ว
พ่อเขาว่างั้นนะ ทีนี้พอลูกชายเถ้าแก่จบมาจากนอก
ก็มาดูแลโรงงาน พ่อบอกว่าลูกชายเถ้าแก่แย่กว่าเถ้าแก่อีก
หุหุ ยิ่งทำลูกน้องยิ่งลาออก โรงงานก็แย่ แล้วสุดท้ายแม่ของ
ลูกชายเถ้าแก่ก็ต้องไปติดคุกเพราะเรื่องเช็คแทนลูกชาย
ส่วนเถ้าแก่เอง ก็เลอะเลือน พ่อบอกว่าเถ้าแก่กัดกินนิ้วมือ
ของตัวเองแล้วบอกว่าไก่นี้อร่อยมากกินมือตัวเองอย่าง
เอร็ดอร่อย อะ เพราะเห็นนิ้วมือตัวเองเป็นขาไก่ สุดท้าย
โรงงานก็เจ๊งแล้ว พ่อก็ไปขายไอติมรถเข็นเลี้ยงลูก
เลี้ยงเมียเลี้ยงแม่เลี้ยงย่า ต่อไป
อันนี้อิอ่อนไม่ได้เห็นเอง แต่พ่อเขาเล่าให้ฟังแล้วก็ฟังไว้
เป็นอุทรหรณ์เฉยๆ ง่ะ ใครจะฟังแล้วบอกว่าพ่อโกหกก็
เรื่องงั้นๆ อะ ไม่ได้มีผลอะไรกับเราเพราะเราก็แค่ฟังมา
ไม่ได้เห็นเอง แต่ถามว่าเชื่อไหมก็เชื่อนะ ถ้าถามว่าเชื่อว่า
พ่อโกหกไหมก็ตอบว่าไม่เชื่อ เพราะพ่อเขาไม่ได้ประโยชน์
อะไร ไม่ได้สนุกหรือสะใจแค่เล่าสุ่กันฟังว่าพ่อได้เห็นอะไร
แปลกๆมา แล้วถ้าเกิดเรารู้ความจริงว่าพ่อโกหกก็ไม่ได้มีผล
อะไรกับความรักที่เรามีต่อพ่อ และความเชื่อเรื่องคน
เลอะเลือนกินนิ้วมือตัวเอง ก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรเรา เพราะ
เราฟังแล้วเราก็ไม่ได้เลอะเลือนจนไปกัดกินนิ้วมือตัวเอง
แบบนั้น เพราะเราเชื่อว่าพ่อไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายลูก

แบบนี้เรียกว่าแถได้ใกล้เคียงกับประเด็นในคำถามปะคะ

9705 หุหุ



 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.193.133 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:13:06:53 น.  

 
 
 
เคยได้ยินเรื่องผีเสื้อไหม

ถ้าเราจะจับผีเสื้อ เราต้องทำตัวเป็นดอกไม้

ถ้าเราทำตัวเป็นแมว เพื่อจ้องจะจับผีเสื้อ เราไม่มีทาง
ทำได้สำเร็จ เหนื่อยด้วย

แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไร กับเลย
พอดีว่าง ช่วงบ่าย

เท่ห์ไหม
5062
 
 

โดย: หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:14:15:31 น.  

 
 
 
ช่วงนี้ เวบพังจิต เล่นอุ้มข้อความบ้าง อ้างอิงบ้าง
แถมบางที ยกทั้งกระทู้ หาย โมดูเรเซอร์เขาพินาเองชงเอง อุ้มเอง
บางที ยังไม่ทันได้โยนิ หายเลย
ปวดตับ จีจี
แวะมาบ่น

ปล.เรื่องเจ้นู๋บีตั้งกาทู้ไว้ แรกอ่านก็เด้งเอาเหมือนกัน
แต่พออ่านจบ ไหง เห็นตัวนี้เลย

จะ สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ คนอื่น ทำ แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^
 
 

โดย: จิกตรีน IP: 113.53.202.75 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:15:33:57 น.  

 
 
 
เอ่อ...อิอ่อนมันมีคำถามถึงอาเหล่าม่า ง่ะ
ว่า การเชื่อเรื่องพุทธชาดก อย่างเรื่องโคธชาดก
หรือสัตว์พูดได้อย่างหัวปักหัวปำเนี่ย จะทำให้ชีวิตอัน
บอบบางของอิอ่อนถึงแก่กาลวิบัติแลฉิบ-หาย ปะคะ อิอิ
หรือเป็นปัีจจัยทำให้คลาดเคลื่อนจากนิพพานที่เป็นฟามฝัน
อันสูงสุดของอิอ่อนไหมคะ อยากรู้ฟามจริง อะ
ไม่เอาสมมุติน้า เอาแต่สัจธรรมความจริงเท่าน้านนนนน หุหุ
ด้วยคำสอนทั้งหมดของพระสมณโคดมจะทำให้อิอ่อนตัวเน่า
เขางอกหางโผล่และไม่มีทางได้สัมผัสนิพพาน จริงๆเหรอค้า
3508 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.193.133 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:16:55:41 น.  

 
 
 
เป็นเรื่อง!“กวางหนุ่ม” แคนาดาตามจีบ “วัวสาว” 3 ปีติด ก่อนลงมือ “เผด็จศึก” เจ้าของฟาร์มวัวสุดทน จับไปปล่อยไกลลิบ 20 กม.

//www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128354

9561 อิอิ
 
 

โดย: อิอิ IP: 61.90.70.242 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:21:46:17 น.  

 
 
 
อิอ่อนว่า...
งง อะ ทำไมพุทธอวตารเป็นเรื่องจริง
แสดงว่า สมณะโคดม คือ คนโกหกพกลม
เรื่องจริงเป็นไงก็ ไม่รู้ง่ะ เราจะสมมุติเอาใช่ปะ หุหุ
แล้วจะสมมุติไปถึงไหนอะ อิอิ (สมมุติให้ยาวๆไป อิอิ)

ถ้าเป็นเรื่องสมมุติมันก็สมมุติไปคิดยังไงก็ได้
แต่หาข้อสรุปที่เป็นตามจริงไม่ได้
เพราะเราไม่ได้รู้จริงจะสมมุติให้รู้จริงได้ไง หุหุ

เพราะเราไม่รู้ความจริงของสัจธรรมไง
ถ้าเรารู้ความจริงทุกเรื่องเราก็ไม่ต้องอาศัยความเชื่อแล้ว
ก็มีสัจธรรมเป็นที่ที่พึ่งในทุกกาลเวลา มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++
อืม... คือว่า ช่วงนี้ อาเหล่าม่า มันค่อนข้างจะ busy ฮ่ะ
แบ่บว่า มัวแต่ ใช้ บัตรผ่าน ไประริกระรี้ล่อเสือล่อตะเข้ ที่ ห้องหว้ากอ อยู๊ แหะ ๆ
หั้ย ทั่นด๊อก มาตอบคำถามแทน หลังรับประทานดินเนอร์ ได้ป่ะ ? หุหุ


ว่าแต่ อิทั่นด๊อก มันแสยะยิ้ม
แล้ว แลบลิ้นเลียปากแผล่บๆ
อยากจะ ถาม อิอ่อน อ่ะจร้าาาาา ว่า
ที่ผ่าน ๆ มา สวดมนตร์ไหว้พระ และปฏิบัติธรรมมาตั้งนาน
แล้ว อิอ่อนมันเห็น ความจริง ในเรื่องอะไร มั่งอ่ะ ?
หรือว่า ได้มาแต่ ตถาคตโพธิสัทธา พุทธองค์เท่าน้านนน ที่เป็นหนึ่ง !
แบ่บ พ่อกระรอกโพธิสัตว์ คู่กัดของ เจ้ล่ะหว่า อิอิ


ตราบใดที่เรายังเป็น ปุถุชน คนแห่งโลกโลกกียะ
เราก็ต้องอยู่ก๊ะเรื่องสมมุติ อยู่ตลอดเวลานั่นแหล่ะ
ในเมื่อ สมมุติ เรื่อง ตถาโพธิสัทธา ยังมีการเมคขึ้นมาได้
ดังนั้น จะแปลกอะไรล่ะ ถ้า อาเหล่าม่ามันจะเกิดอารมณ์ขันพิเรนทร์
แล้ว เพิ่ม สมมุติ เรื่อง พุทธอวตาร ขึ้นมาบ้าง ?


เฮ้ออ ก็อย่างที่เคยแพล่มบอกชาวบ้าน ในห้องศาสดา นั้นแหล่ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การจะตั้งคำถาม อะไรสักอย่าง
ในรูปแบบ ประโยคสมมุติ ( อีฟ คอร์ส) อ่ะนะ
ต้องอย่าลืมว่า มันเป็นการ สมมุติ แฟคเตอร์ต่าง ๆ ขึ้นมา
เพื่อ ดูว่า ในสถานะการณ์ ที่เต็มไปด้วย แฟคเตอร์ ที่เซตไว้ นั้น
คนถูกถาม จะ ใช้ภูมิกึ๋น ภูมิธรรม ที่มี มาโยนิโส
เพื่อตอบสนองต่อ คำถามเหล่านี้ ยังไง ?
( โดยดูจากคำตอบที่ เขาตอบออกมา )


ไม่ใช่ว่า พอคนถาม เขาถามด้วย
การสร้างสถานะการณ์จำลองขึ้นมา
แต่ สถานการณ์นั้น ๆ มันดันทำให้เรา รู้สึกขุ่นมัว ไม่พึงใจ
เราก็ ทำท่าจะกินหัว คนถาม แทนที่จะ ตอบคำถาม ซะงั้น
งี้ ถ้าแถวบ้านอิฉัน เขาเรียกว่า แถ อ่ะนะ
อืม...แต่ถ้าใช้ ศัพท์ทางจิตวิทยา
ให้ดูมีคลาส ขึ้นมาหน่อย ก็เรียกว่า โปรเจคชั่น


ดังนั้น อิฉัน ถามอะไร ก็ ตอบ ๆ ไป
ให้มันตรงคำถามตรงประเด็น หน่อยเด๊ะ
แมร่ง จะมัวมาเล่นตัว ทำท่ากระทั่ว
แกล้งมาตั้งแง่ แถไปถามยิบถามย่อย ในเรื่องจุก ๆ จิก ๆ
แหม๊ ทำเป็น อิพวกผู้หญิงเรื่องมาก ไปได้


กลัวอะไร กับ คำตอบที่มี ให้กับ ตัวเองหรือไง ?
ไม่อยากให้ ใครเห็น ศรัทธา ที่อาจจะบิดเบี้ยวไป
เมื่อ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่เป็นไป ตามที่คาดหวังใช่ไหม ?


ไม่สำคัญหรอกว่า อิฉันจะพิสูจน์ ยังไง
แต่ สิ่งสำคัญ ก็คือ

ถ้า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ มันขัดแย้งกับ ความเชื่อ
ความศรัทธาของคุณ ขึ้นมา คุณจะทำยังไง ?
และจะเลือกเดินต่อไปในทางไหน ?


+++++++++++++++++++++++++++++++++++


อิอิ อ่านแล้ว ก็ลองโยนิโส เอาเอง แระกัน
ว่า อิอ่อน มัน แถ หรือไม่ ?
อืม...จำตอนที่อาเหล่าม่า มันยุ
ให้ อิอ่อน มัน ไปอ้อน ถามป๋าโจ ได้ไหม ?
เรื่อง จะให้เมียไปเหยียบกับระเบิด ก๊ะ โดนข่มขืน อ่ะ


รู้ไหม อะไรคือ เหตุปัจจัย ที่ทำให้ ป๋าโจ
ไม่ยอมตอบคำถามสมมุติพวกนี้
โดยแสร้งทำเป็นบอกประมาณว่า
มันเป็นคำถามที่ไร้สาระ ที่ไม่ใช่เรื่องจริง
อันนี้ ขอด้นเดาโดยไม่ใช้เจโตฯ อ่ะนะ
ว่า ป๊ะป๋าโจ แกก็คงจะรู้สึกเหมือนกับ อิอ่อนตอนนี้ล่ะมั้ง
กลัวที่จะรู้ และ ไม่เข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดยอมรับ
เลยต้องสร้างเกราะขึ้นมา เพื่อหลีกหนีความจริง
( จาก สมมุติบัญญัติ อันเป็น ยถาสภาวะ ในสถานะการณ์จำลอง )


หุหุ ฝอย ไปโน้นเรยตรู
เอาเป็นว่า ทั่นด๊อกฯ มันขอให้อิอ่อน
คอนเฟิร์มคำตอบพร้อมเหตุผล
( แบ่บสั้น ๆ ได้ใจความ )ให้ฟังอีกครั้ง
โดย ไม่ต้อง มาถามซอกถามแซก ได้ ป่ะ ว่า

ภายใต้เงื่อนไขที่ กำหนดไว้ว่า
หากเชื่อในตัว สมณะโคดมอันเป็น พุทธอวตาร แล้ว ไซร้
นอกจากจะ ตายไปจะถูกสาปให้ตกนรก ในอนาคตข้างหน้าจริง ๆ แล้ว
ณ ปัจจุบันขณะ ก็ยังจะ ถูกสาป ทำให้ ตัวเน่าเขางอก หางโผล่ปั๊บ ด้วยอ่ะ

อิอ่อนสอนขันจะทำยังไง ?
จะยอมเปลี่ยนความเชื่อ และ ความศรัทธา ไปเลยป่ะ ?


 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:22:54:57 น.  

 
 
 
อืม...อันนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่อง พุทธอวตาร ในสถานการณ์สมมุติ นะ
แต่ ท่านด็อกมันอยากจะ แพล่ม เป็นออร์เดิร์ฟ
เกี่ยวกับเรื่อง สัมมาทิฏฐิ ที่ อิอ่อนมันเคยถาม ไว้ เอิ๊ก ๆ
อัน พหูสูตร อย่าง อิรจนาน่ะ มันรู้สารพัด นี่นะ
เหตุใดใย เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนนู้น ถึงต้อง วิ่งโร่
มาถาม เรื่อง มิจฉาทิฏฐิ แล สัมมาทิฏฐิ ก๊ะ อิตั้วเจ้ นู๋บีล่ะจ๊ะ


และ ถ้าให้ไอ้ทึ้ง มันจับ อิอ่อนนอกอ่อนใน
มาลวกน้ำร้อนขูดขน แล้ว ขึงพึดเตรียมจะชำแหล่ะ อ่ะนะ
มันคงจะเม้งอิเจ้รองฉอด ๆ บอกว่า
อิเจ้รอง น่ะรู้ไปโม๊ดดด แหล่ะ
ว่า มหาปเทส 4 นั้นเป็นไฉน ?
อย่างไรคือ มิจฉาทิฏฐิ อย่างไรคือ สัมมาทิฏฐิ ?


แต่ที่ ถาม ๆ ไป ก็เป็นเพราะ อิเจ้รอง
มันยังฝืนใจ ทำตามที่หลักสัมมาทิฏฐิ แนะนำไม่ได้
ก็เลยต้องถามเพื่อหาพวก ให้รู้สึกอุ่นใจ ที่ได้มีสิ่งยึดเหนี่ยว
แหม ? ถ้าจะ ถามอิอ่อน ด้วยการสมมุติ อีก จะโดนกินหัวไหม เนี่ย ?

อืม...อิอ่อนมันชอบอ่าน นิทานชาดก นืนะ
วาน อิรจนา ส่งสัญญาณควัน ไปถามอิอ่อนให้ ทีดิ๊
ว่า สมมุติว่า ถ้าอิอ่อนมันเป็น แม่นางอึ้งย้ง
มัน จะห้าม ก้วยเจ๋ง ลงโทษก้วยพู
ด้วยการตัดแขน ให้ กลายเป็น อิด้วน ตกตามกัน
เพราะ อิลูกสาวไม่รักดี มันทะลึ่ง ไปทำร้าย ไอ้ก้วยยี้ ไหมล่ะ ?
ลองตอบให้ฟัง พร้อมก๊ะเหตุผล หน่อยดิ๊ ?

และ ลองจำแนกแยกแยะ ให้ชื่นสะดือที
ว่าในเหตุการณ์สมมุติครั้งนี้
การแสดงออก ของใคร ที่เป็นสัมมาฯ และ ในสายตาของ อิรจนา
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัมมาทิฏฐิ ( แต่ปฏิบัติตามไม่ค่อยจะได้ )
การแสดงออกแบบไหน จึงจะเป็นสัมมาทิฐิ ?


อ้อ ขอ อีกสักดอกส์ ชัก ติดพัน หุหุ
ถ้าอิอ่อนมันมีโอกาสสะสม ทานบารมีแบบพระเวสสันดร
อิอ่อน มันจะยกลูกตัวเองให้ชูชกไป หรือไม่ ?
การกระทำเช่นนี้ จัดเป็น สัมมาฯ ไหม ?
แล้วสมมุติถ้ามันเป็น สัมมาฯ จริง
เหตุใด ตอนนั้น อิอ่อนมันถึงไม่ยกลูกสาว
ให้พี่สะใภ้ แบบ พระเวสสันดรล่ะ ?


แล้ว อยากรู้ป่ะ ว่าถ้าสมมุติ อิตั้วเจ้นู๋บี
มันต้องเจอสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกงี้ เหมือนอิอ่อน
มันจะเลือกที่จะทำยังไง ถึงจะเรียกว่าเป็น สัมมาฯ ในสายตามัน
เด๋วมีโอกาส จะมาถกให้ฟัง ไอ้เรื่อง สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐินะ
อาเหล่าม่า มันไม่ได้ลืม หรอกจร้าาาา
เพียงแต่ว่า มันยัง บิ้วอารมณ์เขียนไม่ได้


นี่ ๆ รู้แล้วเหยียบไว้เรยน้าาา
ว่า ไอ้รูป หญิงสาวถูกอิลิงคิงคองขึงพืด
ที่ อิทั่นด็อก มันโพสให้ดู เป็นนัย เมื่อ คราวก่อนน่ะ
ทั่นด็อกมันไม่ได้หมายถึง อิรจนา หรอกน้าาา
แต่ อิทั่นด็อก มัน ล็อกสเปค ไปที่ อิอ่อนอ่ะ หุหุ )
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:22:55:32 น.  

 
 
 





 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:22:55:58 น.  

 
 
 
ปอลิง 1

อ้อ ต้องขอบจัย อินู๋หลบหลาย ๆ นะจ๊ะ
ที่ ไปเสาะหา ล็อกอินใหม่
มาหั้ยอาเหล่าม่าเอามาปู้ยี้ปู้ยำ เอ๊ย เอามาใช้
แถมยัง ใจดี อุส่า ยกอุทาหรณ์
เรื่อง ผีเสื้อ - ดอกไม้ และ อิเหมียว
มาเตือน ให้เฉลียว ใจด้วย

แต่ อาเหล่าม่า มันก็มั่นใจ
ในเสน่ห์ของหนึ่งเดียวเขียวมะกอก เสมอฮ่ะ
ว่าไงซะ อิเหมียวเก้าชีวิต อย่าง อิตั้วเจ้นู๋บี
ก็มักจะได้รับอภิสิทธิ ให้ได้สัมผัส บัทเตอร์ฟลาย คิส
แบ่บ ตลอด ๆๆๆ ไม่เชื่อก็เคยดูกันต่อไปแระกัน อิอิ

อ่ะ สองรูปข้างล่างนี้
ฝากหั้ย ไอ้ตี๋จิกตรีน ก๊ะอินู๋หลบ
และ แควน ๆ ทู๊กกกกคน จร้าาาา
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:22:56:35 น.  

 
 
 



The Impossibles ?




Next life ,we'll be together !







จะสุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นทำ
แต่ อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^








 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:22:59:00 น.  

 
 
 
ปอลิง 2

ถึงแควนขับทู๊กทั่น

อืม...หลังจาก ที่เอาเวลาหลวง
มาทำงานราษฏร์ ( แปลว่า เล่นเนต )อยู่บ่อย ๆ
วันนี้ ก็เลยนึกครึ้มอกครึ้มใจ ชดเชยให้โรงบาล
ด้วยการเปลี่ยนโหมด เอา เวลาราษฏร์
มาทำงานชดเชยหั้ยหลวง มั่งอ่ะเจ้าค่ะ อิอิ

เฮ้ออ ช่วงนี้ งานเข้าอีกแระอ่ะคร้าาาา
กะลังพยามเคลียร์ดินพอกหางหมู
เรื่องการยกเครื่องระบบการจ่ายยา คนไข้ IPD ที่อยู๊
แถม ตอนนี้ อิชายที มันก็ชิ่งย้ายไปอยู่ โรงบาลอื่นแระ
ก็เรยมีแต่เภสัชน้องใหม่เพิ่งจบมาช่วยงาน
จึงยังเก๋าไม่พอที่จะช่วยผ่อนแรงอะไรได้มากนัก

ที่สำคัญ อิตั้วเจ้นู๋บีก็มัวแต่เล่นเนตเพลิน
จนผลัดวันประกันพรุ่งก๊ะ พี่ ป. ทั่น หน.ฝ่าย มานานแระ
ดังนั้น เลยแวะมาบอกแควน ๆ ว่า
หลังจากคินนี้ อิตั้วเจ้ นู๋บีคงต้องขอนุญาต
ไปปฏิบัติภารกิจเพื่อปากเพื่อท้องตัวเอง เอ๊ย เพื่อ คนไข้ก่อนเน้ออ
เด๋วถ้า เคลียร์ธุระปะปังทั้งหลายแหล่ เสร็จ แล้ว
ถ้าฤกษ์งามยามดีเมื่อไร จะมาถกต่อจร้าาา แหะ ๆ

บ๊ายบาย แอบมาฝอยตั้งนาน
ขอนุยาด กลับไปเคลียร์งานต่อแระน้าา
ยังไม่อยากโดนพี่ ป. ไล่ออก จร้าาาา อ่ะซิก ๆ

+++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 13597 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 224 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++


 
 

โดย: บัวหุ๊บ...บัวหุบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ (นู๋บี ) วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:23:00:43 น.  

 
 
 
ขอบคุณจ้า สำหรับภาพ สวย
ตอนนี้ก็เริ่มจะบู้เหมือนกัน


ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สงสัยเกิดขึ้น มันจบลงที่ความสงสัย
8075
 
 

โดย: หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:10:32:45 น.  

 
 
 
1. อยากจะ ถาม อิอ่อน อ่ะจร้าาาาา ว่า
ที่ผ่าน ๆ มา สวดมนตร์ไหว้พระ และปฏิบัติธรรมมาตั้งนาน
แล้ว อิอ่อนมันเห็น ความจริง ในเรื่องอะไร มั่งอ่ะ ?
หรือว่า ได้มาแต่ ตถาคตโพธิสัทธา พุทธองค์เท่าน้านนน ที่เป็นหนึ่ง !
แบ่บ พ่อกระรอกโพธิสัตว์ คู่กัดของ เจ้ล่ะหว่า อิอิ

ตอบๆๆๆ...อิอิ
สวดมนตร์ไหว้พระและปฏิบัติธรรมมาตั้งนานก็เห็น
ฟามจริงของตัวเองว่าตรูยังเป็นคนหลงเต็มๆตรีนเรย ง่ะ
ตอนสวดมนตร์นี่ก็เพื่อฝึกรู้สึกตัวมีสติกับการสวดบริกรรม
ก็ได้เห็น spinal cord มันสวดมนต์บ้าง(มีสติ) และก็
ไม่เห็นspinal cord มันสวดมนตร์บ้าง(ขาดสติ)
สวดมนต์แค่15นาทียังมีเรื่องเกิดมากมายคิดโน้นนี่นั่น
ขาดสติหลงจมไปกับการไหลคิดเยอะแยะ มีสติีู้สึกตัวกลับ
มาที่คำสวดก็เยอะ สวดมนตร์บ่อยๆฝึกรู้สึกตัวมีสติบ่ิอยๆ
ก็ทำได้แค่นี้แหละ ยังไปไม่ถึงไหนหรอก แค่รู้ว่าหลงขาดสติ
กับมีสติเกิดสลับกัน ชอบตอนมีสติไม่ชอบตอนหลงยังแก้ไข
อาการนี้ไม่ได้ ก็เลยเหมือนจะโลภอยากมีสติเยอะๆ และพอ
เห็นตัวเองหลงขาดสติก็เกิดปฏิฆะมากถึงมากที่สุด
รู้ความจริงของตัวเองมาถึงแค่นี้แหละ ก็สวดมนตร์บริกรรม
ไปเรื่อยๆ รู้ชอบรู้ไม่ชอบ รู้โลภรู้โทสะปฏิฆะรู้โมหะ
รู้ไปเรื่อยๆ ก็คือการปฏิบัติธรรมของอิอ่อนมัน ง่ะ
ไม่ได้ทำอะไรมากกมาย วันๆก็ทำแค่นี้ รู้ว่ามีสติ รู้ว่าขาดสติ
บางทีก็รู้โทสะ รู้ละอายต่อบาป รู้โลภะ รู้โมหะ รู้ได้แค่ไหน
ก็แค่นั้น ไม่ได้เร่ง รู้ไปวันๆ ทำมาหากินไปวันๆ
แล้วก็นะ พอสวดมนตร์ปฏิบัติธรรมไปแบบนี้เรื่อยๆ
วันๆมันก็รู้กิเลสโลภโกรธหลงได้เร็วกิเลสมันก็ดับเร็ว
ผลพลอยได้คือจิตสงบสบายมันก็ไม่ทุกข์ร้อน แถมยังเป็นสุข
หัวก็แล่นปื๊ดดดดดๆๆๆ ก็ยิ่งทำให้เกิดศรัทธาต่อพระตถาคต
ยิ่งขึ้นไปอีก คือเหมือนเราทำตามคำสอนแล้วได้ผลที่เป็น
ปัตจัตตังเราก็ศรัทธาผู้สอนเพิ่มมากขึ้นไปอีก ก็มีแค่เนี้ย
ตอบได้ถูกหรือแถได้ถูกใจทั่นด๊อกป่าวง่ะ!!!

2.ภายใต้เงื่อนไขที่ กำหนดไว้ว่า
หากเชื่อในตัว สมณะโคดมอันเป็น พุทธอวตาร แล้ว ไซร้
นอกจากจะ ตายไปจะถูกสาปให้ตกนรก ในอนาคตข้างหน้าจริง ๆ แล้ว
ณ ปัจจุบันขณะ ก็ยังจะ ถูกสาป ทำให้ ตัวเน่าเขางอก หางโผล่ปั๊บ ด้วยอ่ะ

อิอ่อนสอนขันจะทำยังไง ?
จะยอมเปลี่ยนความเชื่อ และ ความศรัทธา ไปเลยป่ะ ?
ตอบ อะจะ...
ก็ถ้าเป็นเรื่องของฟามเชื่ออะนะ(แปลว่ายังไม่รู้จริงเนอะ)
ก็ต้องดูผลว่าเชื่อไปแล้วเกิดอะไรขึ้น เช่นเชื่อปุ๊บตัวเน่า
เขางอกหางโผล่ปั๊บ แสดงว่ามีอะไรผิดพลาดแน่นอน
ดังนั้นอิอ่อนมันก็ต้องรีบกลับลำเลิกเชื่อแล้วหนีไปตั้งหลัก
บนเขาหัวซานก่อน(อิอิ) เพื่อตั้งสติกลับมารอดูฟามจริงที่
เกิดตรงหน้าแบบชัดๆไม่เลอะเลือนบิดเบือนไง
เรื่องตกนรกในอนาคตมันไกลตัวเกินไป เรื่องปัจจุบัน อะ
เห็นชัด ขอให้เห็นมีสติเห็นตามจริงเท่านั้น ผลของตัวเน่า
มันก็เตือนแบบเป็นรูปธรรมไงถ้ายังดันทุรังเชื่อต่อ
ก็เขางอกหางโผล่ดิคะ ดังนั้นต้องรีบกลับลำไปตรวจเช็คบั๊ก
และ error ต่างๆว่าตรูทำผิดตรงไหนฟระ!!! แล้วเลือกทำ
ที่ถูกอาทิเช่น เลิกเชื่อสิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้ตัวเน่าก่อน

3.เรื่องสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ นี่บอกตามตรงว่าอยู่ในขั้น
วิจัยธรรมอยู่ ง่ะ ยังไม่ได้รู้จริงยังทำไม่ได้จริงเน้อ
ที่ถามๆไปอะ ก็อยากรู้มุมมองของคนอื่นๆโดยเฉพาะ
ขาฮาร์ดคอ อย่างอาเหล่าม่าหรือทั่นด๊อกฯ น่าจะมีนิยาม
เจ๋งๆให้มาโยนิโสฯเพิ่มหยักในสมองของอิอ่อนได้
อย่างเช่นเรื่องการหาห่วงมาผูกคอเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ถูกใจ ง่ะ
มิจฉาทิฏฐิมันมีอยู่เยอะแยะในชีวิตเรา เราเผลอทำตาม
มิจฉาทิฏฐิไปก็มาก เช่นอิจฉาริษยา การเลือกครองเรือน
การไม่ละอายต่อบาป การพูดมุสาบิดเบือน การหลอกลวง
เยอะแยะ อะ อิอ่อนมันก็โยนิโสไปเรื่อย ว่ามิจฉาทิฏฐิทำให้
เป็นทุกข์แล้วทำไมยังเผลอไปทำอีก หุหุ ตรงนี้ยังหาคำตอบ
สำหรับตัวเองอยู่ ง่ะ ที่ยังไม่ได้ทำผิดอะไรมากมายก็เพราะ
ยังมีสติยั้งตรีนได้ทันบ้างไม่ทันบ้าง มารู้สึกตัวสำนึกได้
ทีหลังบ้าง มีเสียใจทีหลังบ้างก็เยอะแยะไป ที่ทำได้คือรู้แล้ว
ก็เก็บไว้โยนิโสฯอย่าทำผิดพลาดซ้ำๆซากๆบ่อยๆ

4. สมมุติว่า ถ้าอิอ่อนมันเป็น แม่นางอึ้งย้ง
มัน จะห้าม ก้วยเจ๋ง ลงโทษก้วยพู
ด้วยการตัดแขน ให้ กลายเป็น อิด้วน ตกตามกัน
เพราะ อิลูกสาวไม่รักดี มันทะลึ่ง ไปทำร้าย ไอ้ก้วยยี้ ไหมล่ะ ?
ลองตอบให้ฟัง พร้อมก๊ะเหตุผล หน่อยดิ๊ ?
ตอบๆๆๆ อิอิ
ก็ห้ามดิคะห้ามแน่นอน ไม่อยากให้ลูกแขนด้วน ง่ะ หุหุ
แต่ก็ไม่เข้าข้างลูกนะ ก็ทำโทษตัดสินความกันไป
ถ้ายังสำนึกผิดไม่ได้ ก็จับขังคุกมืดให้ลืมโลกไปเลยว่ะค่ะ
(อิแม่มดนี่โหดก่าก๊วยเจ๋งปะเนี่ย หุหุ)

5.และ ลองจำแนกแยกแยะ ให้ชื่นสะดือที
ว่าในเหตุการณ์สมมุติครั้งนี้
การแสดงออก ของใคร ที่เป็นสัมมาฯ และ ในสายตาของ อิรจนา
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัมมาทิฏฐิ ( แต่ปฏิบัติตามไม่ค่อยจะได้ )
การแสดงออกแบบไหน จึงจะเป็นสัมมาทิฐิ ?
ตอบ อิอิ
ก็ต้อง เอี้ยก้วย ดิคะ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะถึงจะโกรธ
แต่ก็ละเว้นชีวิตและแขนของก๊วยพูเป็นอภัยทาน หุหุ
ก๊วยพู ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะฟามอิจฉาริษยาอาฆาต
อยากให้คนที่ตัวเองเกลียดถึงแก่ความฉิบ-หาย
กลายเป็นไอ้แขนด้วน
ก๊วยเจ๋ง ก็มีสัมมาทิฏฐิตรงที่ไม่เข้าข้างลูกของตัวเอง
ถูกก็ยอมรับว่าถูก ผิดก็ยอมรับว่าผิดและทำโทษลูกของ
ตัวเอง แต่ก๊วยเจ๋งขาดปัญญาไปนิสนุง ทำให้บทลงโทษ
ไม่สามารถทำให้ก๊วยพูสำนึกผิดได้ ส่วนย้งยี้ก็มีสัมมาทิฏฐิ
เหมือนกันตรงที่เห็นว่าลูกตัวเองผิด แต่เพราะฟามรักและ
มีสติปัญญาจึงไม่เห็นว่าการตัดแขนลูกจะทำให้ลูกมีสำนึกที่
ถูกต้องได้ และก็ย้งยี้หลงรักลูกและตามใจลูกมากเกินไป
จึงเป็นเหตุให้ก๊วยพูทำผิดซ้ำๆซากๆ อันนี้ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ของย้งยี้ ง่ะ ฉลาดรอบรู้ทุกเรื่องแต่พลาดเรื่องลูก
เพราะฟามหลงในรักทำให้คนมืดบอดขาดสติปัญญาได้

6. ถ้าอิอ่อนมันมีโอกาสสะสม ทานบารมีแบบพระเวสสันดร
อิอ่อน มันจะยกลูกตัวเองให้ชูชกไป หรือไม่ ?
การกระทำเช่นนี้ จัดเป็น สัมมาฯ ไหม ?
แล้วสมมุติถ้ามันเป็น สัมมาฯ จริง
เหตุใด ตอนนั้น อิอ่อนมันถึงไม่ยกลูกสาว
ให้พี่สะใภ้ แบบ พระเวสสันดรล่ะ ?

ตอบ ถ้ามีโอกาสเป็นพระเวสสันดรก็จะยกลูกตัวเองให้ชูชก
เหมือนกัน ง่ะ เพราะรู้ว่าต้องทำอะไร ทำเพื่ออะไร
ทำเมื่อไร ทำกับใคร และผลที่ได้จะเป็นยังไง
คือมีเป้าหมายที่ต้องทำชัดเจนไฟท์บังคับ
จะัผ่านๆหรือทำแบบศรีธนขวัญบ่ได้

ตอนที่อิอ่อนไม่ยกลูกสาวให้พี่สะใภ้แบบพระเวสสันดร
เพราะอิอ่อนมันรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี ง่ะ
ไม่ได้คิดจะทำทานบารมีแบบพระเวสสันดร อะจะ
ตอนที่ยกลูกสาวให้พี่สะใภ้เลี้ยงก็เพราะรู้ตัวว่าเลี้ยงไม่ได้
ต้องหาคนช่วยเลี้ยง พระเวสสันดร ทั่นเลี้ยงลูกไหวนะ
ไม่ได้คิดจะยกให้ชูกชกเลย นี่เริ่มต้นอิอ่อนก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
แระ ส่วนพระเวสสันดรน่ะเป็นสัมมาทิฏฐิ ทีนี้พอยกให้
พี่สะใภ้ไปแล้ว มิจฉาทิฏฐิก็กำเริบอะดิ รักลูกสาวแต่ต้อง
ยกให้คนอื่นมันก็เป็นทุกข์ คิดถึงลูกทุกวันแต่ก็ไม่ยอมรับ
คิดแต่ว่าลูกสาวมีอนาคตดีกว่าอยู่กับเรา นี่ก็มิจฉาทิฏฐิทั้งดุ้น
คิดผิดแล้วก็ไม่รู้ตัว แต่เรื่องนี้มันเศร้าฝ่านั้น อีก ง่ะ
เพราะพี่สะใภ้ก็ดันเป็นมิจฉาทิฏฐิ อิ๊ก โอยยยย เรื่องนี้เจ็บ
กันไปทุกคน หุหุ เรื่องมันมีอยู่ว่า ป๋าโจเขารีเควส ว่า
ยกลูกให้พี่สะใภ้ เขาไม่ว่าอะไรก็ได้ แต่ปีนึงขอลูกมาค้าง
ด้วยจะพาไปทำบุญให้ปู่ย่าที่สุพรรณฯ ผลคือพี่สะใภ้เขา
ไม่ยอมให้ลูกมาอยู่กะเรา ง่ะ บอกว่าให้ไปหาลูกที่บ้านเค้า
ได้อย่างเดียวเท่านั้น ห้ามพาไปไหนเด็ดขาด แรกๆเขา
ให้เหตุผลว่า ลูกยังเล็กเอ็งพาไปตะลอนๆ แล้วกลับมาลูก
ไม่สบายข้าก็ลำบากต้องดูแลมัน แรกๆอิอ่อนก็โอ นะ แต่ป๋า
มันไม่โอด้วย ก็เริ่มมีปัญหาในครอบครัวของเราแระ
ทุกปีตอนสงกรานต์ ต้องทะเลาะกะป๋าเรื่องลูก หุหุ
แล้วป๋าก็เริ่มด่าพี่สะใภ้มากขึ้นทุกปี จนลูก 5 ขวบ
ป๋าประกาศว่าจะไม่ไปเหยียบบ้านพี่สะใภ้่อีก
ใครอยากหาลูกก็ให้ไปคนเดียวไปแล้วก็ให้รีบกลับ
บีบคั้นจิตใจกันน่าดู อิอ่อนก็เริ่มสะสมเครียด(มิจฉาทิฏฐิ)
เป็นกิจวัตร ไม่รู้จะเอาไงดี นั่นก็พี่สะใภ้ นี่ก็ผัว แต่ละคน
ก็มีเหตุผลของตัวเอง ไม่มีใครยอมฟังเหตุผลใคร อิอ่อน
อยู่ตรงกลางแบนแต๊ดแต๋ ฟังเสียงด่าจากป๋าจนหูตูบเรย
ไปหาลูกสาวทีไรกลับมาก็ต้องทะเลาะกะป๋าอีก หุหุ
สัมมาทิฏฐิเริ่มทำงานแระ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี
อยู่ไปแบบนี้กรูเป็นโรคประสาทแดรกก่อนใครแน่นอน หุหุ
ก็เลยเปิดศึกไปเปิดโต๊ะเจรจากะพี่สะใภ้ว่า จะขอเอาลูกสาว
กลับคืนมาเลี้ยงเอง เพื่อฟามสงบของครอบครัวเพราะตอนนี้
บ้านจะแตกอยู่แร้ววววว พี่สะใภ้เขาก็ไม่ยอมอยู่แร้ว
เรื่องของพวกมรึงไม่เกี่ยวกับกุ เพราะฟามรักฟามผูกพันธ์
มันเกิดเขาก็หวงลูกเหมือนกัน ก็ต่อรองกันว่า ขอมาอยู่ด้วย
เดือนละครั้ง พี่สะใภ้เขาก็ไม่ยอม อะไรๆ ก็ไม่เอาไม่สนใจ
ก็ไม่ยอมรับรู้ว่าบ้านอิอ่อนมันจะแตกแว้ววว!!! หุหุ
บอกอย่างเดียวว่าให้ไปฟ้องศาลเอา ก็เข้าทางป๋าเรยดิ
ไม่รอช้าขึ้นโรงพักแจ้งความไปศาล จนสุดท้าย
เขาต้องคืนลูกสาวให้เรา ก็เจ็บปวดกันไปทุกฝ่าย ง่ะ
เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ ง่ะ พอได้ลูกสาวมาก็นะ
เด็กมันไปซึมซับนิสัยทางพี่สะใภ้มาเยอะ
ทั้งดื้อไร้น้ำใจ ขี้ฟ้อง เอาแต่ใจหลงเชิดหยิ่งยะโส
สารพัด โดนพ่อมันด่าทั้งเช้าทั้งเย็น ทั้งทำโทษ ให้รางวัล
อบรม สั่งสอน แต่ก็ได้ผลดีนะ ก็ปรับนิสัยมาเข้ากันได้บ้าง
แต่ก็มีบ้างที่พ่อมันโกรธลูกสาวจนสติแตกแล้วก็พาลโกรธ
ไปถึงพี่สะใภ้อีก ด่าเช็ดทุกเม็ด หุหุ ถึงขนาดป๋ามันบอกว่า
เขาไม่หวังจะให้ลูกสาวมีน้ำใจมากตัญญูกะเขาหรอก ถ้าเขา
แก้นิสัยเลวๆของลูกสาวไม่ได้ เขาก็คงไปบวช ง่ะ
กะว่าไม่อยู่ให้ลูกสาวทำกรรมเนรคุณต่อเขาหรอก
แบ่บว่า โตๆแล้วก็เลือกเอาเอง เลือกทำไม่ดี ป๋าก็หนีไปบวช
ก่อนแระ ทางใครทางมัน หุหุ
สุดท้ายป๋าก็ยังเลือกสัมมาทิฏฐินะเนี่ย หุหุ
สำหรับอิอ่อน ก็ตัดญาติขาดมิตรกับพ่อแม่พี่น้องไปแระ
เพราะทุกคนเขาไม่เห็นด้วยน่ะ เขาเห็นว่าเราเอาแต่ได้
เนรคุณพี่สะใภ้ ขนาดแม่เราเองก็ยังเป็นด้วย ง่ะ
สรุปก็เลยตามเลยต่างคนต่างอยู่ เพราะมิจฉาทิฏฐิมันค้ำคอ
กันอยู่ทุกคน แหะ แหะ
ทุกวันนี้ พี่สะใภ้ให้พ่อมาขออิลูกสาวไปอยู่ด้วยบ้าง
ซักวันสองวัน อิป๋าโจก็ไม่ยอมเพราะบอกว่าไม่อยากให้ลูก
ไปติดนิสัยเลวๆมาจากบ้านโน้น ก็เลยเป็นแบบนี้ต้องทำใจ
ปล่อยวางคนอื่น เหลือแต่ดูแลคนในครอบครัวของเราแทน
แบ่บว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี ไง
ปล่อยวางพ่อแม่พี่น้องออกจากใจ มีสัมมาทิฏฐิกันได้เมื่อไร
ก็ค่อยกลับมาคุยภาษาดอกไม้กันใหม่

สรุปว่า หลายๆเรื่องเป็นมิจฉาทิฏฐิพาไปจนเตลิดเปิดเปิง
กันหมดเรยนะ เรื่องทั้งหลายมันก็เกิดมาหลายปีแระ
ตอนโน้นยังไม่ได้อยู่ในวงการนักปฏิบัติ ง่ะ และยังไม่ได้
มีดำริจะถือศีล5เป็นธรรมประจำใจ ก็ตัดสินใจทำเพื่อตัวเอง
เป็นตัวตั้ง เอาตัวรอดแก้ไขปัญหาโดยไม่ใช้สติปัญญาให้
รอบคอบ ประเมินคนอื่นผิด ประเมินตนเองผิด
ความเสียหายจึงเกิดตามมา ถึงขั้นต้องตัดญาติขาดมิตร
โดนแม่ตัดหางปล่อยวัดแระ พี่น้องก็เลิกคบกับเรา หุหุ
ก็เหลือแต่ครอบครัวเล็กๆนี่แหละ 4 คนพ่อแม่ลูก
ก็หวังว่าสติปัญญาจะอยู่กับเราในวันที่เราตกทุกข์ได้ยาก
อะนะ เจ็บนี้ต้องรักษาบาดแผลในใจกันอีกนาน

8706 ฟามในใจเธอว์ยาวจัด อยากให้ทั่นด๊อกฯเข้าใจ
ตามจริงแบบไม่บิดเบือน หุหุ ฟามจริงก็คือฟามจริงเนอะ


 
 

โดย: อิอ่อนมาตอบทั่นด๊อกฯ แว้วววว IP: 110.168.88.158 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:10:46:34 น.  

 
 
 
เขาว่าเมือง ลับแล
เขาไม่ยึด นี้ลูก นี่สามี นี่เมียอ่ะ ตนอ่ะ
แต่ถือศีล 5 ครบ

บางที่ก็ร้องอ้อ
บางทีก็งงๆ

7588 เลข แห่ง ....
 
 

โดย: หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:14:13:01 น.  

 
 
 
หลบ say:
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สงสัยเกิดขึ้น มันจบลงที่ความสงสัย

พี่ขวาน say:
มันยอดมว๊ากกกกก เรยแหละหลบฯ
สงสัยเกิดปุ๊บ รู้ทันว่าสงสัยปั๊บ สงสัยมันก็ดับ ไม่ต้องทำไรต่อแระ
จบ
วันๆมีแต่รู้ หุหุ รู้ทัน spinal cord เหอๆ
spinal cord มันทำงานตลอดเวลาแต่เราไม่ได้รู้ตลอดเวลา
ระบบหายใจของเราก็ทำงานตลอดเวลาตามเหุตและปัจจัย
ระบบอวัยวะภายในก็ทำงานตลอดเวลาตราบที่เรายังมีชีวิต
สงสัยมันก็ทำงานของมันตามเหตุปัจจัยเนอะ
แล้วเราทำอะไรอยู่ถ้ามีสติก็รู้โน่นนี่นั่นได้
รู้ว่าตัวเองเกิดสงสัย รู้ว่าสงสัยมันดับลงไปแระ อิอิ
ถ้าขาดสติก็ไม่รู้อะไรเลยโงหัวไม่ขึ้น หุหุ
สงสัยเกิดก็ไม่รู้ก็อาจจะไปแสวงหาคำตอบหรืออื่นๆ

ปล.1คำพูดเกิด หมื่นคำพล่ามตามมาน้ำลายกะลังแตกฟอง
(55) ทนๆอ่านกันหน่อยนะ

5681 หุหุ
 
 

โดย: พี่ขวาน IP: 124.120.194.101 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:14:24:25 น.  

 
 
 
เรื่องฟามผูกพันธ์ในครอบครัวนี่ พูดยากอะหลบฯ
ใครตัดได้หมดจด ก็สบายตัว ไม่ต้องมีห่วงผูกคอ
คนที่เรานับถือว่าเลิศในมนุษย์อย่างพระอรหันต์ท่านก็ละ
เรือนละครอบครัวหมด อะ ถ้าพ่อแม่หรือคนรักไม่เข้าใจ
ก็หาว่าใจจืดใจดำ แต่ว่ามันเป็นเรื่องของคนเห็นถูกเป็น
สัมมาทิฏฐิ กับคนเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ง่ะ
แต่ก็นะบางทีเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วแต่วาสนาบารมีไม่ถึง
อยู่สันโดษไม่ได้ บวชแล้วร้อนไร้ความสุขต้องออกมาใช้ชีวิต
ครองเรือนก็มี หุหุ แบ่บว่า รู้ถูกแต่ทำไม่ได้ก็มี

8078 หุหุ
 
 

โดย: พี่ขวาน IP: 124.120.194.101 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:14:31:14 น.  

 
 
 
เอิ่ม...มีเรื่องถามนู๋บี ง่ะ
ว่าถ้าเรารีเฟรชหน้าจอ มันนับเป็นจำนวนผู้ชมใหม่ให้ไหม
หรือปิดหน้าจอเข้าออกใหม่นี่มันนับเป็น 1 ผู้ชมด้วยเป่า
จะได้ช่วยทำสกอร์จำนวนผู้เข้าชมให้ อิอิ
แล้วจำนวนprofile มันหมายถึงจำนวนสมาชิกที่มีล๊อคอินมา
เยี่ยมชมใช่ปะคะ

ปล.มะรู้ทั่นด๊อกฯจะเวียนเฮดกับคำแถของอิอ่อนมั่งไหม
หุหุ ทั่นด๊อกฯถามมาจิ๊ดเดียว มันแถซะยาวจัด อิอิ
ถ้าทั่นด๊อกฯยังไม่เข้าใจคำตอบ ก็จะตอบให้ใหม่ก็ได้นะ

6406 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.194.101 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:15:08:37 น.  

 
 
 
พี่ขวัญเข้าลึกซึ้ง จนอยากให้แม่มาขอเลย
ให้ตายซิ เอา


วันไหน เข้ามาอ่านถึงไม่ได้โพส ก็ได้รอยยิ้มกับไป

7787
 
 

โดย: หลบภัย IP: 110.49.225.227 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:19:32:03 น.  

 
 
 
เทส
 
 

โดย: ฟฟ7 IP: 110.171.72.193 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:19:38:39 น.  

 
 
 
แจมสักเล็ก น้อย

การที่ลูก ถูกยกไป
ส่วนนึงก็เป็นวิบากกรรมของเค้าเอง ที่ต้องเกิดมาอยู่กับ
คนที่จะยก ให้เค้า

พุทธประเดน ไม่ใช่ ยกหรือไม่ยก
แต่เป็นว่า ขณะที่ยกให้ไป
มีจิตเจตนาแบบไหน

แบบบุญหรือบาป มีความเห็นมุมมองครบถ้วนมั้ย

ปัญหา สับราง ให้รถไฟ ไปชนคน ยังแรงกว่า

พระพุทธเจ้า ซึ่งผมเข้าใจว่า ขณะที่ท่านตัดสินใจว่า
จะเผยแผ่พุทธ หรือไม่ ตอนนั้น ท่านก็นิพพานแล้ว

และการตัดสินใจนั้นๆ ไม่ได้มีผลต่อการนิพพาน

ผมไม่รู้ว่าถูกผิด แต่เข้าใจแบบนี้อะนะครับ

 
 

โดย: ฟฟ7 IP: 110.171.72.193 วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:19:44:25 น.  

 
 
 


บัตรผ่านของคุณถูกระงับใช้ชั่วคราว


อ่ะซิก ๆ แควน ๆ เจ้าขราาาาาาาาาา

แวะมาซับน้ำตา หั้ยอาเหล่าม่าที
โดนระงับบัตรผ่านอีกแระ แง๊ !


ไรว้าาาา อุส่า ลงทุนปลอมตัว
แอบไปหลบมุม คุยกระหนุงกระหนิงก๊ะไอ้หนุ่ม
ที่กระท่อมน้อยปลายนา ณ หว้ากอ แล้วแท้ ๆ
ไง๋ อิพวก หกเขย ถึงตามมาราวี อีกวะเนี่ย ?

ไหนว่า จะ ลงพรหมทัณฑ์ ไม่ดูดำดูดีนังนู๋บีแล้วไง
หนอย เราหรือก็หลงดีใจ ที่ไม่ต้องมีคนมาจู้จี้จุกจิกจับคอยผิด
อุส่าคิดชะล่าใจ แอบไปเล่นซีน แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง มาได้ตั้งหลายวันแร้วแท้ ๆ

แต่ทำไมพอเห็นเรา ไปจู๋จี๋ก๊ะไอ้หนุ่ม ในกระทู้ แค่เนี๊ยะ
ถึงกับต้องขี่ม้าสามศอก ไปฟ้อง อิพวกมอด ด้วยฟระ
( เฮ้ออ ฉงฉัย อิพวกหกเขย มันจะหึงตรู จนหน้ามืดว่ะ )
แมร่ง ! เซ็งเป็ด !


ปอลิง 1
อืม...ยังเคลียร์ธุระปะปังไม่เสร็จหรอกน้าาาา
แต่เก็บกด เลย แวะมาบ่นลมบ่นแล้งเจ้าค่ะ
ไงก็ขอเวลาเคลียร์งาน แอนด์ นั่งทำใจ แป๊บนึงน้าาา
แล้วเด๋วจามา โพสทิ้งทวน เก็บประเด็นต่าง ๆ
ที่ เม้าท์มอย กันจร้าา
จะพย๊ามไม่ให้แควน ๆ ชะเง้อคอรอนาน( ถ้าสามารถทำได้)
แต่ว่า ตอนนี้ขอผลัดวันประกันพรุ่งไปก่อนน้าาา แหะ...แหะ....


ปอลิง 2
อ่ะ สองลิ้งค์นี้ อาเหล่าม่า เอามาฝาก ให้ดูต่างหน้า
กาทู้ล่าสุด ที่คาดว่า เป็น เหตุปัจจัย ทำให้โดนระงับ บัตรผ่าน อิอิ


รบกวน ท่านผู้ใจดี ในห้องหว้ากอ ช่วยออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์ ความจริงเรื่องนี้ ให้ทีค่ะ ^ - ^
[ย้ายจาก : วิทยาศาสตร์]

//www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X12803455/X12803455.html

//webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:y5ov7o0EwTI


ปอลิง 3
รูปข้างล่างนี้ ก็เอามาฝากแควน ๆ เช่นกัน
( มอบหั้ยเป็นพิเศษ ก๊ะ อิเจ้รองสันขวาน
เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ในการเป็นหมาหัวเน่า
เอ๊ย เป็นแรงบันดาลใจ ในการสู้ชีวิต คร้าาา )





จะสุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นทำ







แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^0^





จำนวนผู้ชม 13745
ครั้ง

จำนวนผู้ชม Profile 225
ครั้ง





 
 

โดย: อาเหล่าม่า เก๊กซิม ได้ชิม แบรนด์ อีกแระ - -" (นู๋บี ) วันที่: 23 ตุลาคม 2555 เวลา:1:28:00 น.  

 
 
 
ขอบใจจร้า ที่มาปลอบใจกันด้วยภาพ หุหุ
แต่ว่ามะต้องห่วงน้า เรื่องหมาหัวเน่าอะชิวๆ
เพราะรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนีไงละเธอว์
และก็ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้สำเร็จแล้ว
คือก่อนจะเกิดเรื่องตัดหางปล่อยวัดเนี่ยก็ได้พาพ่อแม่
ไปกราบหลวงพ่อไก่พระอาจารย์ใหญ่ที่วัดตรีวิสุทธิธรรม
สมความตั้งใจแล้ว ส่วนพี่น้องเขาก็มีครอบครัวกันแล้ว
ก็ยุ่งกับภาระกิจตัวเองกันไปมันก็ต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว
มีปกติบ้านใครบ้านมันไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ง่ะ
ถ้าไม่มีเรื่องลูกสาวก็คงไม่ได้มาร่วมสามัคคีชุมชุนุมกันอะ
เรื่องมันก็เป็นแบบนี้

ป๋าโจเขาบอกว่าให้ห่างๆไปก่อน ซัก 10 ปีไปแล้ว
ค่อยกลับไปดูลาดเลากันใหม่ ซะงั้น
ตอนนี้ก็ชีวิตใครชีวิตมันก็ดูแลกันเอง
มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนกันไป อย่าทำตัวให้ตกต่ำก็ไม่มี
ใครเขามาว่าอะไรได้ ครอบครัวก็สงบสุขไม่ต้องทะเลาะ
เพราะคนอื่นเป็นเหตุ แต่อาจมีทะเลาะกันเพราะ
ลูกสาวเป็นเหตุแทนก็ได้ หุหุ
แต่มีเรื่องแปลกมว๊ากกกกกกกก!!!
ที่อิลูกสาวมันไม่มีร้องขอกลับไปบ้านพี่สะใภ้เลยนะ
ไม่มีร้องหาใครเลย มันก็ลันล้าเล่นแต่เกมส์ของมันไป
ถ้าขับรถผ่านไปทางบ้านพี่สะใภ้นี่มัก็จำได้นะ แต่ไม่ได้
เรียกร้องว่าจะไปหาลุงกะป้าหรือตากะยายเลย
ตอนแรกคิดว่ามันจะร้องกลับบ้านเขาซัก 2-3 วัน
แต่เธอว์เงียบกริ๊บ หรือว่ามันจะได้เชื้ออิแม่มดไปเต็มๆ

2387 หุหุ
 
 

โดย: อิเจ้รองสันขวาน IP: 58.9.136.114 วันที่: 23 ตุลาคม 2555 เวลา:8:12:04 น.  

 
 
 
อิอ่อน ว่า
--------------------------

เอิ่ม...มีเรื่องถามนู๋บี ง่ะ
ว่าถ้าเรารีเฟรชหน้าจอ มันนับเป็นจำนวนผู้ชมใหม่ให้ไหม
หรือปิดหน้าจอเข้าออกใหม่นี่มันนับเป็น 1 ผู้ชมด้วยเป่า
จะได้ช่วยทำสกอร์จำนวนผู้เข้าชมให้ อิอิ
แล้วจำนวนprofile มันหมายถึงจำนวนสมาชิกที่มีล๊อคอินมา
เยี่ยมชมใช่ปะคะ

ปล.มะรู้ทั่นด๊อกฯจะเวียนเฮดกับคำแถของอิอ่อนมั่งไหม
หุหุ ทั่นด๊อกฯถามมาจิ๊ดเดียว มันแถซะยาวจัด อิอิ
ถ้าทั่นด๊อกฯยังไม่เข้าใจคำตอบ ก็จะตอบให้ใหม่ก็ได้นะ

++++++++++++++++++

ทั่นดอ็อก ว่า...

แว่บมาเม้าท์มอย ในประเด็น เบา ๆ
เป็น ออร์เดิร์ฟ อีก สักเล็กน้อย อิอิ
เอิ่ม คือว่า ทั่นด็อก มันขออนุยาด ...
สรุป คำตอบของ อิอ่อนอีกครั้ง
เพื่อให้ เข้าใจตรงกัน ดังนี้้ อ่ะ

ถ้าพุทธอวตาร เป็นเรื่องจริง เชื่อแล้วจะถูกสาป
ให้ ตัวเน่าเขางอก หางโผล่ อิอ่อนมันกจะเกิดอาการลังเล
แล้วพร้อมจะถอยไปตั้งหลัก ที่เขาหัวซาน เพื่อ พิณา อีกครั้ง ว่าจะยังคงศรัทธาในแนวทางของทั่นเจ้าลัทธิ อยู่ดีไหม ?


อันนี้ ท่านด็อกเข้าใจ ถูกป่ะ ?
แต่ที่ ยังไม่เคลียร์ และ ยังไม่ได้ คำตอบ
เพราะ เรื่องที่ อิอ่อน มันเบ่งรับเบ่งสู้ ( แปลว่า แทงกั๊ก )
ก็คือ เรื่องที่ถามบอกว่า ถ้าเชื่อแล้ว ตกนรกจริง ๆ จะเชื่อไหม ?


คือ ไอ้เรื่อง เชื่อในวิถีพุทธ แล้วตายไปต้องตกนรก เนี่ย
สมมุติว่า ถ้าตกจริงอะไรจริง ไม่ได้อิงนิยาย
เพราะข้อมูลที่ได้รู้มา เป็น fact (ข้อเท็จจริง )
เหมือน โลกกลม ลมพัดแล้วใบไม่ไหว
ฝนตกแดดออก นกบินได้ ปลาว่ายน้ำ ฯลฯ


คือ เป็น กฏของธรรมชาติเป็น พีชนิยาม
ไม่ใช่ ความเชื่อ ที่ต้องอาศัยการพิสูจน์ด้วยกาลามสูตร
ประมาณว่า อิอ่อนมันรู้อยู่แก่ใจ
โดยปราศจากการลังเลสังสัยอยู่แล้ว
ว่า ถ้า เชื่อในขี้ปากสมณะโคดมแล้วไซร้
ไงซะ ตรูต้องตกนรกชัวร์ ๆ ไม่มั่วนิ่ม


แถม ไ้อ้เรื่องชาดกสารพัดสัตว์พูดได้
ก็ได้รับการ พิสูจน์แล้วด้วยกระบวนการ
ที่อิอ่อนมันยอมรับจากใจ ว่า สมเหตุ สมผล เชื่อได้ชัวร์ ๆ
ว่า ไอ้ชาดกพวกเนี๊ยะ เป็นเรื่องโกหกพกลม
สมณะโคดมสตอเบออหล๋ จริง ๆ ฯลฯ


อืืม...คือ ตอนนี้ อิอ่อนมัน ไม่มี ความหวัง อะไร
หลงเหลือ อยู่ใน กล่องแพนโดร่า อีกต่อไปแล้ว
กะตถาคตโพธิศรัทธา น่ะนะ
ไม่ทราบว่า อิอ่อนจะ ทำไง จะยังเชื่อ ยังศรัทธาศาสนาที่นับถือ อยู่ ป่ะ ?


ขอ คำตอบจากใจจริง ๆ ของอิอ่อน
ที่คิดว่าจะทำ ณ ตอนนั้น
โดยที่ไม่ต้องพยายามไปควานหาเหตุผล
มาแก้ต่างให้ กับสมณะโคดม
เพื่อเยียวยา ศรัทธาที่บอบช้ำ ของตนอ่ะ


อืม...ใส่เฟคเตอร์ กดดันคนถามซะแยะเชียว
อิอาอน อย่าเพิ่งรำคาญ ทั่นด็อค มันน้าาาาา
ตอน ไอ้น้อง ด. มันโดนถาม มันก็โดนทั่นด็อก ไล่ต้อน
จนมันมองหน้า อิฉัน อย่างคับข้องใจ เหมือนกันแหล่ะ
ว่า แมร่ง ทำไม อิตั้วเจ้ ถึงต้อง พยามบีบให้มันจนตรอกด้วย
แหะ ...แหะ....


แต่ไงก็อยากให้ เจ้ ( และ ทุกทั่นที่เข้ามาอ่าน )
ได้ตอบคำถาม พวกนี้นะ เพราะมันเป็นคำถาม
ที่ทำให้คนตอบ ได้ตระหนักและรู้ซึ้งถึง ตัวตน ของตัวเอง ได้ดีมั่ก ๆ เลยอ่ะ
ถ้าไม่ได้ ตอบคำถามนี้ คงน่าเสียดายแทน ว่ะ


เพราะ หากตอบหลังจากที่ อิฉันเข้ามาเฉลยแล้ว
มันก็คงจะไม่เห็นฟีลอารมณืในการตอบของตัวเองตอนด้นสด
และก็อด ได้ประโยชน์ จากคำถามนี้อย่างเต็มเม็ดเต็ม หน่วย อ่ะ


เฮ้อออ ไม่รู้สินะ อิฉันคงรู้สึกไปเอง มั้ง
ว่า ที่หลาย ๆ คน ไม่ยอมเข้ามาตอบคำถามนี้
ก็เพราะ พวกเขากลัวที่จะรู้ กลัวว่า...
จะถูกทั่นด็อก ชำแหล่ะ ว่ะ

ปอลิง

ถ้าเปิดหน้า บล็อก แล้วรีเฟรชหน้าจอ
บล็อกจะ ไม่นับ เป็นจำนวนผู้ชมใหม่
ต่อให้ เปิด หลายหน้าของบล็อก ในหลาย ๆ ครั้ง
แต่ เป็นการเปิด แท็บจาก หน้าเพจเดิม ก็นับแค่ 1 เท่านั้น
เหมือน โปรแกรมมัน ถูกเซท ให้นับ การคลื๊กเนตเปิดหน้าเพจทีนึงเป็น จำนวนผู้เข้าชม หนึ่งครั้ง โดยไม่สนใจว่า จะ มีการเปิด/ปิด กี่แท็บย่อย ในหน้าเพจนั้นอ่ะ


แต่ถ้า ปิดหน้าจอหน้าเพจ ออกจากเนต
แล้ว คลิ๊กเข้าเนตเข้าหน้่บล็อกใหม่ี่มันนับเป็น 1 ผู้ชมนะ
ส่วนถ้าเจ้าของบล็อก ล็อกอิน เข้าหน้าจัดการบล็อก
จะไม่นับเป็นจำนวน ผู้ชม ยกเว้นจะ คลิ๊กเข้าหน้าบล็อก
ถึงจะนับ เป็น หนึ่ง ครั้ง


ดังนั้นส่วนใหญ่ ถ้าไม่ได้คิดจะโพสข้อความ
อิฉันก็ ใช้ วิธี เข้าหน้าจัดการบล็อก อะนะ
เพราะ สะดวกดี เห็นคอมเม้นต์ ที่มีคนโพส ได้
ครอบคลุม ในทุก ๆ กระทู้ ของบล็อกด้วย
แถม ยังรีเฟรช เห็น การเคลื่อนไหวของ เรทติ้ง ได้ชัดดี
และ ไม่มีผลทำให้ ยอดวิว คลาดเคลื่อน ด้วยอ่ะ


ไม่อยากบอกเรยว่า ทุกวันนี้ อิตั้วเจ้ บี ฮับเบิ้ล
มันก็ อาศัยข้อมูล เรื่องนี้ มาประมวลผล
แร้ว บ้ากดรีเฟรช เชคเรทติ้งตัวเองอยู่ทู๊กวี่ทู๊กวัน อ่ะจร้าาาาาาา
แถม บางครั้ง ครึ้ม ๆ ยัง ใช้วิปัสนึก
มาด้นเดา อีกด้วยนะ ว่าที่เรทติ้ง มันมีการขยับ ในช่วงนั้น ๆ น่ะ
แควนขับคนใด เป็นคนที่แวะเข้ามาเยี่ยม ในบล็อกอ่ะ อิอิ

อาทิเช่น ถ้าเป็นช่วงสาย ๆ บ่าย ๆ
ก็ เป็น อิอ่อน อินู๋หลบ ไอ้เจ้าจิกตรีน
แต่ถ้า เป็น ช่วง สี่ห้าทุ่ม ดึกดื่นเที่ยงคืน
ก็อาจจะเป้น ทั่นตั๋งโต๊ะ ไม่ก้อ เหล่าฮูมั้ง
ส่วนช่วงเช้ามืด ตีสามตีสี่ ตีห้า หกโมงนี่
ี่ถ้าไม่ใช่ ไอ้โซ๊ยตี๋ เก๊าะ ต้องเป็น แควนขับกิตติมศักดิ์
อย่างปู่เจี้ยวฯ อ่ะ ( เอ๊ ? ทายถูกมั่งไหมเนี่ย หุหุ )


อ้อ แล้วจำนวนคนดู profile นี่ มันหมายถึง ใครก็ตาม
ที่ เช้าไปคลิ๊กดูโปรไฟล์ที่อยู่ด้านขวามือของหน้าจอ ( ประวัติ เจ้าของบล็อก ) อ่ะ
จะเป็นคนละส่วน กับ ยอดผู้ชมบล็อก
แต่ ทั้ง จำนวน ผู้ชม ก๊ะ จำนวนผู้ชม โปรไฟล์
ไม่ว่า ใคร คลิ๊ก เปิดเนตเข้ามาดูบล็อก ดูโปรไฟล์
มันก็นับ หมดนะ
ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกที่มีล๊อคอินมาเยี่ยมชมเท่านั้น
ต่อให้เป็น เจ้าของบล็อก ก็เหอะ



+++++++++++++++++++++++

จำนวนผู้ชม 13813 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 225 ครั้ง

++++++++++++++++++


 
 

โดย: ทั่นด็อก มันบอกว่า ตรูยังม่ะอยากจะหุบ ว้อยย หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:0:43:08 น.  

 
 
 
ฝากทั่นด๊อกชำแหละ รากเง่าแลสันดานของอิอ่อน
ทีนะคะ อิอิ จับให้มั่นคั้นให้ตายเรยนะคะ
อินี่มันแม่ปลาไหลทะเล หุหุ
....
ถ้าพุทธอวตาร เป็นเรื่องจริง เชื่อแล้วจะถูกสาป
ให้ ตัวเน่าเขางอก หางโผล่ อิอ่อนมันกจะเกิดอาการลังเล
แล้วพร้อมจะถอยไปตั้งหลัก ที่เขาหัวซาน เพื่อ พิณา อีกครั้ง ว่าจะยังคงศรัทธาในแนวทางของทั่นเจ้าลัทธิ อยู่ดีไหม ?

อันนี้ ท่านด็อกเข้าใจ ถูกป่ะ ?
ตอบ...ทั่นด๊อกฯเข้าใจถูกแว้ววววว

แต่ที่ ยังไม่เคลียร์ และ ยังไม่ได้ คำตอบ
เพราะ เรื่องที่ อิอ่อน มันเบ่งรับเบ่งสู้ ( แปลว่า แทงกั๊ก )
ก็คือ เรื่องที่ถามบอกว่า ถ้าเชื่อแล้ว ตกนรกจริง ๆ จะเชื่อไหม ?
ตอบ...ด้วยสันดานรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดมณี (หุหุ)
ของอิอ่อนตัวจริงเสียงจริงก็ต้องเลือก เลิกเชื่อดิค่ะ
โธ่....เห็นนรกอยู่ตรงหน้าก็ต้องรีบกลับลำดิคะ
จะลุยนรกต่อให้โง่ทำไม อิอิ
ที่ตั้งใจรักษาศีล5 นี่ก็เพราะไม่อยากตกนรก นะวุ้ย
อยากปิดอบายทุกประตู ง่ะ ดังนั้นอะไรที่บิดเบือนทำให้
พลาดเป้าหมายสำคัญ ก็ต้องพินา+โยนิโส ความเชื่อและ
ผลของฟามเชื่อตามที่เป็นของจริงกันใหม่ ง่ะ

ความเชื่อของอิอ่อน มันต้อง base on fact ง่ะ
ถ้าฟามเชื่อไหนขัดแย้งกับความจริงหรือเป้าหมายสำคัญ
ก็ต้องกลับลำมาตั้งสติพินาโยนิโสฯ บนความเป็นจริง เนาะ
อาทิเช่น เชื่ออะไร แล้วทำตามๆไป แล้วเกิดผลเป็นตกนรก
และมันเป็นฟามจริงก็ต้องเปลี่ยนแนวกลับลำ ดิคะ

ศรัทธามันเกิดได้ ก็ดับได้ ตามการเห็นฟามเป็นจริง
ของคนนั้นๆ และศรัทธาที่ไม่ได้มีฟามจริงรองรับมัน
เปลี่ยนได้เสมอ ง่ะ
ถ้าเชื่อและศรัทธานรกว่าเป็นที่พึ่งที่อันสุโขสุขี สะหวีวี่วี
อันนี้ก็คงเต็มใจจะลงนรก อะค่ะ
แต่ที่อิอ่อนเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เพราะ...
ไม่อยากตกนรก นะวุ้ย ไม่ได้เห็นนรกเป็นสุโขสโมสร นี่หว่า
แหะ แหะ
ถ้าเกิดเชื่อแล้วตกนรกมันผิดเจตนารมณ์ ผลไม่ได้ดังหวัง
ก็ต้องเลิกเชื่อดิคะ แล้วไปหาทางอื่นๆต่อไป
เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านแสวงหาสัจธรรมการหลุดพ้นทุกข์
ด้วยการบำเพ็ญทุกขกิริยาทุกอย่างที่โยคีสมัยนั้นทำกัน
จนถึงที่สุดแล้วท่านรู้เองว่ามันไม่ใช่ เพราะผลมันออกมาผิด
base on fact รู้เอง เห็นเอง สัมผัสเอง ไม่เห็นบิดเบือน
ท่านก็ละทิ้งความเชื่อและการทำในแบบนั้น ไปหาทางใหม่

เลือกเชื่อ - ทำตาม - เิกิดผลไม่ได้ตามที่หวัง - ก็เลิก - เปลี่ยนทางคิดใหม่ทำใหม่ - base on fact ^.^

แระก็ เรื่องบลอกนู๋บี....ที่บอกว่า
ถ้าเป็นช่วงสาย ๆ บ่าย ๆ
ก็ เป็น อิอ่อน
ตอบว่า ใช่เลยจร้า อิอิ

1972 หุหุ

 
 

โดย: อิอ่อนมาตอบทั่นด๊อกฯ แว้วววว IP: 124.120.168.201 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:9:25:32 น.  

 
 
 
เรื่องหกเขย ง่ะ
อิอ่อนมันสงสัยว่า
ทั่นหกเขยอาจจะมาสืบราชกิจลับของตะละแม่นู๋บี
เป็นแน่แท้ ถึงได้ตามกลิ่นธูปลายแทงไปถึงกระทู้ในฮาเร็ม
หว้ากอของอาเหล่าม่าได้ ได้ หุหุ
แระก็ ทั่นหกเขย คงรักจริงหวังแต่ง ละมั้ง ถึงได้ห่วงหวง
ประชากรให้ห้องหว้ากอ ซะขนาดนั้น

ทำหยั่งกะ กวางหนุ่มในข่าวตามจีบแม่วัวสาว แระถึงกระทั่ง
กระทำมิดีมิร้าย สุดท้ายเจ้าของวัวสาวเรยต้องอุ้มกวางหนุ่ม
ไปทิ้งไกลๆ ให้ห่างๆฟาร์มวัวสาวๆ หุหุ
ทั่นหกเขยคงปรารถนาจะปกป้องพรมจรรย์ของวัวสาว
ในฟาร์มพันดริฟสุดชีวิต (55)
ถึงได้จ้องจะกีดกันกวางหนุ่มก๊ะวัวสาวไม่ให้ได้เจอกันได้
แร้วกวางหนุ่มจะทำไงต่อไป วะเนี่ย โดนกีดกันสุดชีวิต
ทั้งชีวิตมีแต่แบรนด์ อิอิ ขนาดบัตรผ่านก็ยังไม่ยอมละเว้น
หุหุ

2435
 
 

โดย: ส่งสัญญาณควันถึีงตะละแม่นู๋บี อิอิ IP: 124.120.168.201 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:9:37:12 น.  

 
 
 
คำตอบที่ตอบทั่นด๊อกฯครั้งนี้นี่ มันคนละเรื่องกับคำตอบแรกๆ ง่ะ
เพราะว่าเราสมมุติกันยู๊ หุหุ ก็ตอบแบบสมมุติ
แต่ base on fact ตามเงื่อนไขของทั่นด๊อกฯ
และตอบตามสันดานอิปลาไหลทะเลตามจริง จิงๆนะ หุหุ

คำตอบครั้งก่อนในคำถามเดียวกันนี้
อิอ่อน ว่า...
ถ้าเอาตามนี้ อิอ่อนมันคงยอมตกนารก อะ
ถึงแม้จะกัวนารกจนตัวสั่น แต่มันก็บอกว่าขอสั่นสู้ หุหุ
แระก็ขอเลือกข้าง พระสมณะโคดม ตลอดไป อะจะ
เพราะอินในนิทานชาดก ไปหลายๆเรื่อง ยู้ ^.^
และคงไม่ไปชาบูๆ จ้าวววอื่นๆ หรอกจร้า

คำตอบอันนี้ base on fact ของอิอ่อน
ไม่ใด้ base on fact ของทั่นด๊อกฯ เนาะ
ที่ว่า ทำตามคำสอนพระฯแล้วไม่ตกนารกแน่นอน
แบ่บว่า เชื่อแล้ว ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
และถึงจาตกนารกก็ไม่เจ็บ ง่ะ
(เพราะมีสติสัมปชัญญะ ไม่มีอาการจิตหลอน หุหุ)
ก็เลยคิดว่าสั่นสู้ไปพิสูจน์ในนารกให้เห็นดำเห็นแดง
ในคำสอนพระฯกันไปเลย ก็ได้ฟระ !!!

ตอบตามสันดานอิปลาไหลทะเล เรยนะแบ่บว่า
เข้าใจเจตนารมณ์ของท่านด๊อกฯต่างกัน ก็เลยตอบต่างกัน
แต่ตอบตามจริงตามสันดานที่เข้าใจขณะนั้นเรยนะ ^.^

หุหุ
5591
 
 

โดย: อิปลาไหลทะเล อิอิ IP: 124.120.168.201 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:10:03:44 น.  

 
 
 
อิปลาไหลทะเล มันไม่ยอมตกนรก เพราะความเชื่อเป็นเหตุ
หรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องของสัจธรรมเป็นเหตุแล้ว
ก็ยอมตกนรกได้ ว่ะค่ะ เพราะสัจธรรมมันเปลี่ยนใจไม่ได้แว้ว
เหมือนๆที่อิอ่อนมันเคยพล่ามไว้ว่า
คงไม่ยอมตายเพราะความเชื่อหรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องของ
สัจธรรมความจริงแล้ว คงยอมตายเพื่อสัจรรมนั้นๆอะ

วานทั่นด๊อกฯช่วยสรุปให้ที ว่าเข้าใจคำตอบของ
อิปลาไหลทะเล ว่ายังไง
เพราะชักมึนกะคำแถ-ลง ของตัวเองอิอิ ^.^

หุหุ
9992
 
 

โดย: อิปลาไหลทะเล อิอิ IP: 124.120.168.201 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:10:20:34 น.  

 
 
 
ขาเป็ด ขานกกระเรียน
ผู้ซึ่งบรรลุครรลองธรรมที่แท้ จะไม่สูญเสียรูปที่แท้ของธรรมชาติดั้งเดิม... ขาเป็ดนั้นสั้น แต่หากต้องยืดออกไป ก็จะทำให้มันวิตก ขานกกระเรียนนั้นยาว แต่หากต้องตัดทอนลง ก็จะทำให้มันเป็นทุกข์ สิ่งที่ยาวโดยธรรมชาติไม่จำเป็นต้องตัดทิ้ง สิ่งที่สั้นโดยธรรมชาติไม่จำเป็นต้องยืดออก มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจขจัดความทุกข์
แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子) บทที่แปด
//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000129664
2919 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.168.201 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:11:43:30 น.  

 
 
 
บนทางเดิน...ไร้อิสรภาพ วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ

โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

ถ้าไม่ได้มองว่า ชีวิตมีแค่ขาว หรือ ดำ เรื่องราวของหมอวิสุทธิ์ ก็จะเป็นบทเรียนอีกเรื่องในสังคม

"ท่านพุทธทาสสอนเรื่องตัวกู ของกู ทันทีที่เรามีตัวกู ของกู ก็จะนำมาซึ่งความโลภ โกรธ หลง ถ้าคนสามารถลดตัวตนได้ ปัญหาทุกอย่างก็ไม่เกิด..." นายแพทย์วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งต้องโทษมานานกว่า 9 ปีในคดีฆาตกรรม พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ขมวดปมเรื่องของเขา

เมื่อหลายปีก่อนเรื่องราวของเขาเป็นคดีดังที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เขาถูกตัดสินประหารชีวิต ถูกล่ามโซ่ตรวนอยู่ในแดนประหารเรือนจำบางขวางสองปี ซึ่งเขาสารภาพว่า ทุกข์ทรมานมาก หลังจากนั้นเขามีโอกาสทำงานบำเพ็ญประโยชน์ เป็นหมอรักษาโรคในเรือนจำ จึงได้ออกจากแดนประหารมาอยู่แดนพยาบาล รวมๆ แล้วปัจจุบันติดอยู่ 9 ปี

เพราะงานจิตอาสา ทำให้เขาหมกมุ่นกับตัวเองน้อยลง เห็นใจคนอื่นมากขึ้น และเวลาว่างที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติรอบๆ ตัว ทำให้จิตใจของเขาอ่อนโยนมากขึ้น ประกอบกับมีเวลาไตร่ตรองชีวิตและปฎิบัติธรรม รวมถึงได้ฝึกฝนการเขียนจากโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยมี อรสม สุทธิสาคร นักเขียนสารคดี เป็นโต้โผใหญ่ในการคิดและดำเนินการโครงการ เรื่องเล่าจากแดนประหาร กระบวนการหนึ่งที่ทำให้นักโทษได้เรียนรู้การเขียนและการพัฒนาจิตจากวิทยากรหลากหลายอาชีพ

การเรียนรู้วิธีการเขียน ทำให้หมอวิสุทธิ์มีเรื่องเล่า จนมีผลงานหนังสือเล่มแรกในชีวิต กว่าจะฝ่าข้ามความตาย โดยมีอรสม สุทธิสาครเป็นบรรณาธิการ นอกจากนี้เขายังเป็นส่วนหนึ่งของกองบรรณาธิการ ข่าวจิตต์เสรี หนังสือพิมพ์เพื่อคนเรือนจำเขียนคอลัมภ์ สุขภาพดีมีที่นี่ ใช้นามปากกาว่า หมอธรรมดา

นั่นเป็นเรื่องคร่าวๆ ของหมอวิสุทธิ์ และอีกไม่เกิน 2 ปีเขาก็จะได้รับอิสรภาพ

ส่วนการพูดคุยในบรรทัดต่อไป ณ เรือนจำบางขวาง เป็นอีกบทเรียนของชีวิตในเรือนจำกับวันเวลาที่ไร้อิสระ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนคนที่คิดจะทำผิด...

ตอนแรกๆ ที่เข้ามาอยู่แดนประหารเป็นอย่างไรบ้าง
ค่อนข้างลำบาก ต้องมาอยู่ร่วมกันในห้องแคบๆ ถูกใส่โซ่ตรวน ขาดอิสรภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจ ถ้าถามว่าตอนนั้นคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม ในช่วงปีครึ่งที่ติดคุก คิดแค่ว่า ทำอย่างไรให้ออกไปจากที่นั่น เราก็ดิ้นรนขอประกันตัว ต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ตอนนั้นเป็นช่วงการปรับตัว ก็คิดว่าทำไมในคุกโหดแบบนี้ ทำกับเราเหมือนสัตว์ ต้องอยู่ในห้องแคบๆ ประมาณ 23 คน ห้องน้ำมีห้องเดียว มีกฎเกณฑ์เข้มงวด เวลานักโทษขยับตัว เสียงโซ่ตรวนดังตลอดเวลา เหมือนอีกโลกหนึ่ง นั่นคือ สภาพความเป็นอยู่ที่ลำบาก แต่เรื่องจิตใจเป็นเรื่องใหญ่กว่า วันแรกๆ ที่เข้ามาโชคดี เสมียนแดน และเจ้าหน้าที่หัวหน้าแดน ดูแลเอาใจใส่ เพราะหลายคนคิดว่า เราจะรับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ พวกเขากลัวว่า เราจะฆ่าตัวตาย พี่ใหญ่ในแดนประหารก็มาช่วยดูแล ซึ่งผมก็ได้รับความช่วยเหลือ

เมื่อดิ้นรนที่จะออกไปแล้ว แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด คุณหมอปรับตัวอย่างไร
เวลาเดินไปไหนก็มีโซ่ตรวนติดอยู่ อาบน้ำ ใส่กางเกง ลำบากหมด นอนในห้องแคบๆ คนเยอะ กลางคืนเปิดไฟตลอด แออัด ร้อนมาก แรกๆ รู้สึกมาก เมื่ออยู่ไปนานๆ ความรู้สึกทรมานก็น้อยลง เริ่มชิน ในที่สุดเราก็ยอมรับได้ เราเป็นนักโทษ ถ้าเราไม่ยอมรับก็ยิ่งดิ้นรน เหมือนหนูติดจั่น เมื่อเรายอมรับก็คิดว่า เราจะทำอย่างไรให้ดีกว่านี้ ต้องก้าวเดินจากจุดที่คิดวนเวียน ไม่อย่างนั้นก้าวเดินต่อไปไม่ได้

ในปีแรกๆ ที่เป็นผู้ต้องขังไม่ได้ใช้วิชาความรู้ช่วยเหลือคนเลย เพราะวนเวียนอยู่กับความคิด ?
วนเวียนอยู่กับเรื่องตัวเอง มองไม่เห็นคนอื่น แต่เมื่อคิดได้ มีโอกาสไปช่วยงานสถานพยาบาล ทางผู้อำนวยการก็มอบหมายให้ดูแลผู้ป่วย ตอนนั้นเราไม่ถนัดในการรักษาโรคทั่วไป ต้องดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิต ฯลฯ จึงต้องอ่านศึกษาเพิ่มเติม เพราะไม่เชี่ยวชาญ ที่หนักกว่านั้นคือ การรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์และวัณโรค เราต้องมาฟื้นฟูความรู้ ในยุคนั้นมีข้อมูลใหม่ๆอยู่ตลอด เราก็ได้หมอฝรั่งไร้พรมแดนมาช่วยดูแล ได้เรียนรู้จากพวกเขา และพวกเขาก็เต็มใจสอนเรา อ่านหนังสือเยอะมาก เหมือนเป็นนักศึกษาแพทย์และได้เรียนรู้จากผู้ป่วย ตอนนั้นได้ผู้ช่วยที่เป็นเพื่อนผู้ต้องขังที่มีจิตอาสา ตัวเราก็เรียนรู้และสอนพวกเขา ทำให้การดูแลผู้ป่วยดีขึ้น

สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนผู้ต้องขังเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ไม่ได้อยากได้อะไรจากใคร ไม่มีผลประโยชน์กับใคร เพราะในคุกยังมีเรื่องผลประโยชน์ เราก็เลยไม่มีปัญหา และเราเป็นหมอมีประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ใครไม่สบายก็มาปรึกษา เราก็ทำตัวเป็นประโยชน์

ทำให้หมกมุ่นกับตัวเองน้อยลง ?
เมื่อมาทำงานสาธารณะ ทำให้เราเห็นว่า คนอื่นลำบากกว่าเราเยอะ ตอนมาทำงานสถานพยาบาล ผู้ป่วยสอนเรา เขาน่าสงสารกว่าเรา ต้องมาป่วยในยามที่ไม่มีญาติพี่น้องดูแลเหมือนคนป่วยทั่วไป ผู้ป่วยที่นี่จึงต้องสู้ชีวิต เข้มแข็ง โดยเฉพาะผู้ป่วยเอดส์ ผมเต็มที่กับการดูแลผู้ป่วย เพราะอยู่ที่นี่ 24 ชั่วโมง นอนในตึกผู้ป่วย แดนพยาบาล
การมารักษาโรคที่ต่างจากที่เคยทำ ทำให้คุณหมอมีความถนัดในการรักษาโรคมากขึ้น ?
ได้ความรู้เพิ่มเติมในมุมกว้าง แต่ไม่ใช่มุมลึก ต้องดูแลผู้ป่วยเอดส์ วัณโรค เบาหวาน ฯลฯ

การเป็นหมอในเรือนจำมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง
เหมือนเราอยู่อีกโลก เป็นโลกที่ขาดแคลน ผู้ป่วยก็ด้อยโอกาสในทุกเรื่อง โอกาสที่จะไปรักษาที่อื่นก็จำกัด เครื่องมือจำกัดด้วยระบบของเรือนจำ แต่ถ้าผู้ป่วยรายไหน มีความจำเป็นต้องออกไปรักษาข้างนอก เราก็ทำเรื่องขออนุญาตได้

การทำงานในแดนพยาบาล ทำให้คุณหมอค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร
ทำให้เห็นใจคนอื่นและเมตตาคนอื่นมากขึ้น ต่างจากสมัยเป็นหมอข้างนอก ยังมีเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญมาเกี่ยวข้อง แต่อยู่ที่นี่ไม่มีแบบนั้นแล้ว ใจเรามีอิสรภาพมากขึ้น เราทำด้วยความอยากทำ ซึ่งมันก็ดีต่อตัวเรา ในแง่การพัฒนาจิตใจ

การเป็นหมอรักษาโรคในแดนพยาบาล มันท้าทายอย่างไร
ช่วงแรกๆ ท้าทายมาก ทำให้เรามุมานะในการศึกษาเพิ่มเติม เพราะเราไม่มีความรู้หลายเรื่อง ก็ต้องเรียนรู้จากตำราและคนมีประสบการณ์ เพราะต้องดูแลผู้ป่วยให้เร็วที่สุด เพื่อนฝูงในวงการแพทย์ก็ส่งหนังสือที่เป็นความรู้ใหม่ๆ มาให้ การได้ช่วยคนอื่นทำให้เราได้เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น

นอกจากหนังสือทางการแพทย์ คุณหมออ่านหนังสือประเภทไหนอีก
ตอนที่อยู่แดนประหาร หนังสือที่เข้ามาทุกอย่าง อ่านหมด ไม่ว่านิตยสาร หนังสือแปล หนังสือธรรมะ หนังสือการ์ตูน เพราะมีเวลาและทำให้ไม่หมกมุ่น แต่เป็นนิสัยของผม ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว

ถ้าให้มองย้อนหลังอีกนิด คุณหมอเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองตอนไหน
ค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด แต่ผมไม่รู้สึกตัว ผมมาประเมินได้ตอนได้นั่งทบทวนตอนเขียนหนังสือ แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่ว่า พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ความรู้สึกผิดในใจ คุณหมอจัดการอย่างไร
ตอนมาทำงานแดนพยาบาล ผมได้คิด ถ้าเราไม่สามารถให้อภัยตัวเองหรือคนรอบข้าง เราก็วนเวียนอยู่ที่เดิม ถ้าเราเริ่มให้อภัย ก็จะก้าวเดินต่อไปได้ เพราะก่อนหน้านี้ผมก็โทษไปหมด ไม่ว่าตัวเราหรือคนรอบข้าง ทำให้เราต้องอยู่ในสภาพนี้

มีอะไรที่สะกิดใจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แม้ผมจะอ่านหนังสือธรรมะและเข้าใจ แต่ยังไม่สามารถเคาะความรู้สึก มีอยู่วันหนึ่งผมออกมารับพัสดุด้านนอก ได้เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง กำลังจะเดินออกจากเรือนจำ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีพระสงฆ์เข้ามาในเรือนจำ วันนั้นทำให้นึกขึ้นได้ว่า เราต้องเอาอย่างพระคือ ปล่อยวาง ทำให้ผมคิดถึงคำที่เคยอ่านในหนังสือ ถึงแม้เราไม่ได้บวช ก็น่าจะทำตัวอย่างพระ เหมือนที่ท่านพุทธทาสสอนว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็บวชได้เสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ เราก็คิดว่า น่าจะตั้งใจปฎิบัติธรรม ต้องปล่อยวางให้ได้ พอทำอย่างนั้นได้ ก็เบาลง

แสดงว่า เคยมองตัวเองน่าเกลียด ?
ใช่ครับ

คุณหมอเคยคิดจะฆ่าตัวตายไหม
ไม่เคยครับ แต่ผมมาทราบภายหลังว่า คนที่มาช่วยดูแลผม เพราะเป็นห่วงว่า เราจะฆ่าตัวตาย

ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำแค่ไหน
ต้องรับสิครับ ไม่อย่างนั้นก็ให้อภัยตัวเองไม่ได้ แต่ตอนอยู่แดนประหาร ผมไม่ยอมรับ พยายามดิ้นรนเพื่อออกไป แต่ในที่สุดผมต้องยอมรับที่เราไม่ดูแลใจตัวเองให้ดี เพราะชีวิตคนเราคงไม่ใช่ขาวหรือดำ

ในเรือนจำ เพื่อนสนิทที่คุยกันบ่อย ?
มีเพื่อนทุกรูปแบบ ทำให้ผมเข้าใจชีวิตคนอื่นมากขึ้น ได้เรียนรู้เรื่องสังคมศาสตร์มากขึ้น อย่างผมไม่เคยรู้ว่า ชีวิตมือปืนเป็นอย่างไร ผมก็ได้รู้ เพราะมีเพื่อนเป็นมือปืนหลายคน หรือเพื่อนพ่อค้ายา เพื่อนที่สนิทด้วย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร และชาวเขา เพราะพวกเขาไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ตรงไปตรงมา ง่ายๆ มีน้ำใจ

แล้วการเรียนเขียนสารคดีเป็นอย่างไรบ้าง
ก็ช่วยให้เข้าใจการเขียน เพราะผมติดค้างเพื่อนฝูง ไม่ว่าใครมาเยี่ยม ก็มักบอกว่า หมอเขียนหนังสือสิ ผมก็ไม่รู้จะเขียนหรือเล่าอย่างไร พอมาเรียนก็เริ่มเห็นทางจากโครงการเรื่องเล่าจากแดนประหาร
ซึ่งตอนนั้นเปิดรับสมัครคนที่เคยผ่านแดนประหารมาแล้ว การสมัครต้องเขียนเรียงความส่ง ผมเขียนเรื่องความฝันของข้าพเจ้า ตอนนั้นเราฝันอยากออกไปข้างนอกโดยเร็ว ฝันว่าจะทำประโยชน์ให้สังคมอย่างไร ฝันว่า ถ้าตายไปแล้ว ขอให้เกิดในแผ่นดินนี้อีก

นอกจากเรียนเขียนสารคดี ยังได้เรียนรู้เรื่องชีวิตจากวิทยากรที่หลากหลาย ?
เป็นเทคนิคของครูอรสม สุทธิสาคร ไม่ใช่แค่หลักการเขียน เรื่องของจิตอาสาก็พัฒนาเราด้วย ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน มีมุมมองที่สวยงาม ในช่วงสองปีนี้ ผมค่อยๆ เปลี่ยนตัวเอง ทำให้ผมเห็นความสวยงามของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เราสามารถหาความสุขเล็กๆ ง่ายๆ มากขึ้น อย่างดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิทยาศาสตร์ที่ก่อตั้งชมรมคนรักมวลเมฆ มาสอนเราดูเมฆ แค่แหงนหน้ามองดูเมฆ ก็มีความสุขแล้ว ช่วงหลังๆ ชีวิตเปิดรับความสุขได้ง่ายขึ้น ทั้งๆ ที่คนรอบข้างในคุกเป็นคนเดิมๆ แต่เราสามารถเห็นความงดงามของเขามากขึ้น

อะไรทำให้คุณเขียนประสบการณ์ในเรือนจำออกมาเป็นหนังสือ
หลังจากเรียนมาแล้ว 14 สัปดาห์ สัปดาห์ละครั้ง ทำให้เราเริ่มเห็นความท้าทาย เมื่อจบคอร์สทำให้เรามั่นใจว่า คงเขียนได้ระดับหนึ่ง เพราะเราก็อยากฝึกเขียน โดยมีครูช่วยตรวจแก้ ผมมองว่า มันเป็นโอกาสที่ดี เพราะได้ครูแนะนำ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถพัฒนาได้ เพราะเวลามีคนมาเยี่ยมเรา ประโยคที่ต้องตอบเสมอคือ แต่ละวันทำอะไร

แล้วแต่ละวัน คุณทำอะไรบ้าง
ชีวิตที่นี่เหมือนเดิมทุกวัน ไม่มีเสาร์-อาทิตย์ เช้ามาก็รอให้ผู้คุมมาปล่อยตัวออกไปทำกิจวัตรส่วนตัว เพราะถูกขังอยู่บนตึก จากนั้นก็วิ่งออกกำลังกาย มาดูแลผู้ป่วย แต่ละวันผมมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ที่สำคัญคือ ได้ทบทวนตัวเอง ดูแลจิตใจตัวเองมากขึ้น ตอนนี้มีอิสระภายในมากขึ้น ไม่ได้มีความทุกข์ทรมานเหมือนช่วงแรก ทำให้เรามีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทมากขึ้น

มีวันพิเศษที่รอคอยไหม
ตอนนั้นทุกวันจันทร์ที่ถูกปล่อยให้มาเรียนเขียนสารคดี เป็นวันที่รอคอย หรือวันที่มีกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งเป็นวันพิเศษที่เราตื่นเต้นสักนิด ได้ทำกิจกรรมที่เราพอใจ อย่างตอนนี้ก็รอคอยวันศุกร์ เรียนวาดรูป

"กว่าจะฝ่าข้ามความตาย" คุณต้องการสื่ออะไร
ผมมองจากประสบการณ์ที่เจอในเรือนจำ ที่นี่เป็นสังคมปิด อยากให้สังคมภายนอกรับรู้ หวังว่าจะสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองสังคม ผมไม่อยากให้ใครเข้ามาอยู่ในนี้ แม้ผมจะเขียนด้วยคำพูดตลกๆ แต่อ่านแล้วอย่าเข้ามาเลย อย่าเอาชีวิตมาทิ้งในนี้ หลายคนเอาชีวิตและโอกาสมาทิ้งในนี้

เมื่อได้รับอิสรภาพแล้ว คุณหมอจะทำอะไร
ผมยังไม่ได้วาดโครงการไว้ เพราะอยู่ในนี้นาน ไม่รู้ว่า โลกภายนอกเป็นอย่างไร เพราะที่นี่ไม่มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน ผมอยู่เหมือนคนเกษียณ ทำงานสาธารณะประโยชน์ แต่ผมก็อยากได้อิสระภาพ ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง

ณ เวลานี้ คุณหมอได้รับบทเรียนอะไรบ้าง
ถ้าคนเราสามารถลดตัวตนได้ ปัญหาทุกอย่างก็ไม่เกิด เพราะเรามีโลภ โกรธ หลง และตัวตนมาก เหมือนที่ท่านพุทธทาสสอนเรื่องตัวกูของกู ทันทีที่เรามีตัวกูของกู ก็นำมาซึ่งความโกรธ ดังนั้นต้องดูแลจิตใจตัวเอง อย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท ถ้าเป็นไปได้ เข้าวัดฝึกปฎิบัติธรรม คนเราควรปฎิบัติตั้งแต่หนุ่มสาว ไม่ต้องรอให้แก่ ตอนนี้ผมก็ปฎิบัติธรรม ตั้งแต่สวดมนต์และนั่งสมาธิ เมื่อก่อนผมก็ปฎิบัติ แต่ไม่จริงจังเหมือนวันนี้ ผมโชคดีที่มีญาติมิตรเอาหนังสือธรรมะมาให้อ่านเยอะมาก ผมอ่านหมดทุกเล่ม มันช่วยได้ ที่สำคัญคือ เราต้องปฎิบัติธรรม ทั้งสมาธิและวิปัสสนา แต่ไม่ได้มีวิธีเดียวนะ แม้กระทั่งการอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ รวมถึงการทำงานจิตอาสา ทุกอย่างเสริมกัน

.....................
ครู...ผู้เปิดโอกาสให้คนคุก

อรสม สุทธิสาคร ในฐานะหัวเรือใหญ่โครงการอบรม เรื่องเล่าจากแดนประหาร หนึ่งในโครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เริ่มดำเนินการกิจกรรมสอนเขียนสารคดีตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553-มีนาคม 2554 เธอไม่ใช่แค่สอนการเขียน แต่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาจิต

เธอเรียกตัวเองสั้นๆ ว่า ครู ซึ่งครูคนนี้เคยมีความฝันมานานกว่าสิบปี อยากสอนเขียนสารคดีผู้ต้องขัง เพื่อให้พวกเขาเขียนหนังสือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ได้ทบทวนตัวเองและมอบบทเรียนให้สังคม และโอกาสก็มาถึง

"โครงการกำลังใจเปิดโอกาสให้เราได้ทำตรงนี้ ตอนนั้นสอนทุกวันจันทร์ประมาณ 14 สัปดาห์ คัดผู้ต้องขังมาเรียน 30 คน เราออกแบบโครงการ ชวนเพื่อนนักเขียน พระและวิทยากรด้านการพัฒนาจิตมาช่วย เราไม่อยากแค่สอนอย่างเดียว อยากให้วิทยากรช่วยปลุกพลังชีวิต เพื่อให้พวกเขาได้เห็นแง่มุมของโลกที่งดงาม มีความหวัง มีศรัทธาต่อชีวิต"
หลังจากเสร็จสิ้นโครงการแรก ครูเช่นเธอ รู้สึกว่ายังส่งลูกศิษย์ไม่ถึงฝั่ง จึงเสนอโครงการสอง จิตอาสาจากแดนประหาร โดยใช้นักเรียนรุ่นเดิม(ผู้ต้องขัง) มาร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาจิต อาทิ ทำหนังสืออักษรเบรลให้คนตาบอด ถักผ้าพันคอ ทำหุ่นมือให้นักเรียนชนบท ฯลฯ

"เป็นภาพที่น่ารัก พวกเขาได้ทำตรงนี้ ทำให้ได้สมาธิ และทำให้รู้ว่ามือของเขามีคุณค่า อย่างบางคนถักผ้าพันคอได้ 128 ผืน บางคนถักหมวกได้ร้อยกว่าใบ"

พอจบโครงการสอง เธอรู้สึกอีกว่า ควรดูแลพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ก็เข้ามาช่วยทำโครงการพัฒนาจิตอีกเดือนละครั้ง จัดกิจกรรมสร้างคุณค่าทางใจ นอกจากนี้เธอยังทำโครงการจิตอาสาในแดนพยาบาล เดือนละสองครั้ง และโครงการทำหนังสือพิมพ์ จิตต์เสรี โดยมีผู้ต้องขังเป็นกองบรรณาธิการ และผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศได้อ่าน

"ถามว่าทำไมยังเข้า-ออกเรือนจำ เพราะเรารู้สึกว่า การทำกิจกรรมแบบนี้ ทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น ก็เลยรู้สึกว่า ไม่อยากทิ้งกัน อยากดูแลกันยาวๆ เพราะความทุกข์มีทุกวัน และเราทำแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นการให้กำลังใจกัน เวลาไปไหนก็ส่งโปสการ์ดถึงลูกศิษย์ในเรือนจำอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเป็นความรักความเมตตาดูแลกัน

เรามองว่าการทำกิจกรรมพัฒนาจิต ต้องมีความรักความเมตตาเป็นพื้นฐานและเข้าใจกระบวนกร ถ้าเราเข้ามาก่อนหน้านี้ 5 ปี อาจทำได้ไม่เหมือนตอนนี้ เพราะเรามีความสุกงอมกับชีวิต ด้วยวัยและประสบการณ์ ได้สัมผัสความทุกข์ของคน ซึ่งการจะทำงานตรงนี้ ต้องดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะบางคนเข้ามารับไม่ได้ อาจจะรู้สึกทุกข์และเครียด แต่เราเข้ามาด้วยความเบิกบาน ได้ความสุขกลับไป เป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน"

.........................
นั่นเป็นมุมพัฒนาจิตในโครงการกำลังใจ ส่วนในมุมบรรณาธิการหนังสือ กว่าจะฝ่าข้ามความตาย เธอก็มีมุมมองชวนคิดในแบบของเธอ

อยากให้เล่าถึงลูกศิษย์ (คุณหมอวิสุทธิ์) ?
สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นในตัวหมอ คือ เป็นคนมีวินัย มีความมุ่งมั่น มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นคนละเอียดอ่อนและอารมณ์ขัน เพราะฉะนั้นงานเขียนของเขา อ่านแล้วก็จะทำให้คนอ่านยิ้มและหัวเราะได้ บางตอนอ่านแล้วให้พลังกับผู้อ่าน เป็นงานที่ครบทุกรส อ่านสนุก ได้กำลังใจ

นั่นเป็นมุมการเขียน ส่วนมุมชีวิต เอาง่ายๆ เลย แววตาหมอตอนแรกที่เจอกัน กับตอนนี้ไม่เหมือนกัน เวลามาเรียน เขาจะนั่งอยู่หลังห้อง แรกๆ ที่เห็น แม้เขาจะยิ้มแต่ไม่ผ่อนคลาย มีทีท่าระมัดระวัง ต่างจากตอนนี้ค่อนข้างผ่อนคลาย เรามองว่า เขาเป็นนักเรียนรู้ คนแบบนี้ไม่ว่าจะปล่อยไว้ตรงไหน เขาจะมีความสุขเล็กๆ ของตัวเอง บางคนอาจมองไม่เห็นมุมนี้ของเขา เขาชอบปลูกต้นไม้ มีความสุขกับธรรมชาติ เป็นคนช่างสังเกต แม้เขาจะบอกว่า เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ละเอียดอ่อน แต่เรามองเห็นส่วนนี้

อีกอย่างเขาเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ ในช่วงแรกๆ ไม่ปล่อยวางมากนัก แต่เราเชื่อว่า กระบวนการเขียน ทำให้เขาได้ทบทวนตัวเอง กิจกรรมที่นำเข้ามาให้ทำในคุก ทำให้เขาได้เห็นบางมุมของชีวิตที่สวยงาม โดยเฉพาะเรื่องการหาความสุขเล็กๆ ในใจ จากที่เรามาทำงานตรงนี้สองปี เราได้เห็นว่า ใจหมอเปิดรับมากขึ้น แม้คนส่วนใหญ่จะบอกว่า ไม่รู้ว่าหมอคิดอะไร เป็นคนมีกำแพง แต่ตอนนี้เรามองเห็นว่า หมอได้ทำลายกำแพงตรงนี้ลงไปเยอะแล้ว

ทำไมอยากให้คนอ่านหนังสือเล่มนี้
ในส่วนของคนอ่าน เราเชื่อว่า มันจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการมองชีวิต ปกติหนังสือที่เขียนจากโลกหลังกำแพง คนจะคิดว่า ต้องหดหู่ ไม่ก็ดุเดือด เผ็ด มัน แต่เล่มนี้ มันไม่ใช่ มีบางเรื่องอ่านแล้วยิ้มได้ สิ่งที่มองเห็นคือ อ่านแล้วให้พลังชีวิต สำหรับคนอ่านที่อยู่ในโลกอิสระ เวลารู้สึกแย่ๆ หรือทุกข์กับชีวิต ก็จะได้เห็นว่า แม้โลกที่ทุกข์ที่สุดในคุก ก็ยังมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คุณคิดเห็นอย่างไรต่อผู้ต้องขัง
เรารู้สึกว่า บางทีสังคมไม่ค่อยให้โอกาสคน ถ้ามืด ก็คือมืด สว่างก็คือสว่าง ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนก็เคยทำผิดพลาด มากบ้าง น้อยบ้าง และนี่คือความผิดพลาดที่นำมาเป็นบทเรียน ดังนั้นคงไม่ยุติธรรมนัก ถ้าคนเราทำผิดพลาด แล้วคุณจะกาหัว...จบเลย งานเขียนจึงเป็นการเปิดโอกาส อยากบอกว่า ลองเปิดใจให้โอกาสตัวเองในการมองคน คนเราทุกคนผิดพลาดได้ ในขณะเดียวกัน คนเราสามารถก้าวขึ้นมาใหม่ได้และพัฒนาการได้ เปลี่ยนมุมมองของคุณใหม่ คุณก็จะเห็นโลกใบใหม่ อย่ามองอะไรแบบเดิม หรือปิดกั้นตัวเอง คุณควรให้โอกาส เพราะในที่สุด ชีวิตคือ การเรียนรู้

//www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20121023/474795/%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99...%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4.html

6601 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.28.5 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:15:50:41 น.  

 
 
 
คดีฆ่าหมอผัสพร บุญเกษมสันติ
//www.chaibadancrime.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538668875

7736 - -"
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.28.5 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:16:33:38 น.  

 
 
 
อ่านแล้วสะเทือนใจมาก - -"
ขอเป็นกำลังใจให้ ครอบครัว บุญเกษมสันติ พ้นจากความทุกข์
และมีชีวิตเป็นปกติสุขในเร็ววัน
เสียใจต่อผู้สูญเสียทุกท่าน ด้วยค่ะ
ประสบการณ์ของท่านจะเป็นอุทหรณ์สอนใจเราตลอดไป
เหตุเกิดเพราะความรัก ความเกลียด ความโลภ โกรธ หลง
และเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ แท้ๆ

6392 RIP
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.28.5 วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:16:47:23 น.  

 
 
 
พออ่านเรื่องหมอผัสพร แล้วนึกถึงกัณฑ์เทศน์กัณฑ์นี้ของหลวงตามหาบัว
------------------------------------------------------------
เรื่องปริยัติเราก็เรียนมามากพอสมควรแต่จำไม่ได้ เดี๋ยวนี้จำไม่ได้ ถ้ามันสัมผัสตรงไหนก็แย็บออกมาๆ มันจำไม่ค่อยได้ มันเป็นไปตามสายบุญสายกรรม พอมองเห็นปั๊บติดอาจารย์กับลูกศิษย์มันติดกันแล้ว เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวเป็นผัวเป็นเมียกันเป็นสายบุญสายกรรมมาตลอดนะ มีในคัมภีร์ พอมองเห็นกันปั๊บติดปุ๊บเลยไปเลย วิ่งไปตามกันเลย มีในคัมภีร์ พอมองเห็นกันเดี๋ยวนั้นละ ติดกันเดี๋ยวนั้นไปด้วยกันเลย
คือสายมันติดมาแต่ก่อนแล้ว เห็นกันมันก็ติดปั๊บเลย เหมือนไฟกับเชื้อไฟใส่ปุ๊บติดปุ๊บเลย เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่มาอย่างลอยๆ นะ มันมีสายบุญสายกรรมมา อันนี้ถ้าจะพูดแบบโลกๆ ก็ไม่น่าพูด ถ้าพูดแบบธรรมพูดตามหลักบุญหลักกรรมแล้วก็พระพุทธเจ้าเองเป็นผู้แสดง พอดีพระหิวน้ำมาถึงหน้าบ้านเขาตักน้ำมาถวายท่าน ผู้หญิงคนนั้นเคยเป็นเมียพระองค์นี้ พอไปแล้วพระองค์นั้นฉันจังหันก็ไม่ได้ มันจะตาย รักสาวเข้าใจไหม ไปเห็นน้ำน้ำสู้สาวไม่ได้ แต่ก็ดีนะซื่อสัตย์สุจริตดี ไปไม่ฉันจังหัน เป็นอย่างไรถึงไม่ฉันจังหัน โอ๊ย รักผู้หญิง รักผู้หญิงไหน รักผู้หญิงที่ไปฉันน้ำที่บ้านเขา ไปเจอแล้วรักเลย มันเคยเป็นสามีภรรยากัน
พอดีพระพุทธเจ้าบอกความผิดถูกชั่วดีให้ทราบก็กลับตัวใหม่ พลิกปุ๊บเลย รักอะไรผู้หญิงคนนี้แต่ก่อนมันเคยเป็นเทวทัต มันไปรักผู้ชายคนหนึ่งแล้วพาผู้ชายมาฆ่าเธอ เธอตายเพราะผู้หญิงคนนี้ เธออยากตายอีกเหรอ ถ้าอยากตายก็ไป ตัดปุ๊บเดียวเลย พิจารณาจนสำเร็จเป็นอรหันต์ นี่ก็พูดตามสายบุญสายกรรม ผู้หญิงเห็นกันรักกันแล้ว แต่ไม่ได้รู้ว่าสายบุญสายกรรมเป็นมาอย่างไร ไปพบผู้ชายคนหนึ่งแล้วรักเขา เลยสมคบกันกับผู้ชายคนนั้นมาฆ่าผัวตัวเอง เธอยังอยากตายอยู่เหรอกับผู้หญิงคนนี้น่ะ ถ้าอยากตายก็ไป ใครจะอยากตาย
------------------------------------------------------------
นี่เพราะบุญกุศลที่พระรูปนี้เคยสั่งสมมาร่วมกับพระพุทธองค์ ทำให้พระพุทธองค์ได้มาโปรดลากออกจากความหลงที่ครอบงำเพราะหลงรักผู้หญิง สุดท้ายฉีกตัวออกมาได้ ฉีกหนีไปจนถึงนิพพาน เพราะบุญกุศลแท้ ๆ
 
 

โดย: เตชพโล IP: 171.98.103.78 วันที่: 25 ตุลาคม 2555 เวลา:22:25:07 น.  

 
 
 




หมายเหตุ

รูปนี้ แอบหลอยเอามาโพส...เอ๊ย...อภินันทนาการ
จาก ทั่นผู่เฒ่า กัดกาย ณ ลานทำมะจก อิอิ


ปอลิง

เด๋วคืนนี้ จะแอบอู้งาน มาฝอยโตยเน้ออออ หุหุ

+++++++++++++++++++++++++

จำนวนผู้ชม 14022
ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 226
ครั้ง


+++++++++++++++++++++++++


 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:9:20:23 น.  

 
 
 
นี่ ๆๆๆ อิหม่ามี๊เจ้าขราาาาาาาาาาาาาาา
ช่วยชี้ทางสว่าง หั้ย น้องนู๋บี ทีจิค๊ะ
ว่า ถ้าอิหม่ามี๊เป็น ผู้ชาย ผู้ชาย เฉกเช่น เจ้าสุมาอี้ขี้โม้
อิหม่ามี๊สนใจ จะขาย หนมจีบ ให้ คราย ดีเอ่ย ?
ระหว่าง ยัยแม่ม่ายผัวเผลอ อย่าง อินู๋หลบฯ
ก๊ะ อิแม่ม่าย ผัวทิ้ง ..เอ๊ย ทิ้งผัว อย่าง อิน้องนู๋บี ชะเอิงเอย


หมายเหตุ
อ๊ะ ๆ อิตาเฒ่า สุมาอี้ ฯ ที่พูดถึงนี่
ม่ายได้หมายถึง คนแถวนี้นะเจ้าค๊ะ
แต่ หมายถึง กิ๊กคนล่าสุด ของ น้องนู๋บีคร้าาา
( บอกไว้ก่อน เด๋วจามีคนร้อนตัว เอ๊ย เข้าใจผิด อิอิ )

 
 

โดย: ตะละแม่นู๋บี อิแม่ม่ายทิ้งผัว หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:9:55:24 น.  

 
 
 
ถ้าจำเป็นต้องขายหนมจีบอะนะ
ขายให้แม่ม่ายผัวทิ้ง จะปลอดภัยกะชีวิตและข้อศีลที่รักษาอยู่ ง่ะ
ส่วนแม่ม่ายทิ้งผัว กะแม่ม่ายผัวเผลอ ไม่อาววววไม่ยุ่ง ว่ะค่ะ
กัวโดนผัวเขาตามมาเอาคืน หุหุ

เอิ่ม....เรื่องผัวๆเมียๆ เนี่ยะ อ่านแล้วเวียนเฮด ยุ่งตาย5 ว่ะ
แค่เรื่องของตัวเองยังเอาตัวมะรอดเรย ว่ะค่ะ หุหุ
มีทั้งลูกทั้งผัวครบสูตรตุ๊กแกห้าห่วง 55

ได้อ่านเรื่อง ภิกษุคู่บารมีมาติกมารดา
มหาอุบาสิกา มาติกมารดา กับพระภิกษุรูปหนึ่ง
ที่เคยเป็นผัวเมียมา99ชาติ แต่เมียคบชู้ฆ่าผัวตายไปซะ
99 ชาติ แต่ชาติที่ 100 เมียได้ให้ชีวิตเป็นทานช่วยผัว
และมาชาติสุดท้ายของผัวมาบวชเป็นพระภิกษุก็ยังได้ช่วย
เรื่องปัจจัยการอยู่การกินที่ถูกจริตช่วยให้บรรลุเป็น
พระอรหันต์ได้โดยเร็วอีก
คัดย่อมาจากคำเทศน์พระฯ.....(เพราะอ่านเข้าใจง่ายดี ^.^)
เรื่องมีอยู่ว่า มีหมู่บ้านอยู่หมู่บ้านหนึ่งตั้งอยู่ริมเขาในแว่นแคว้นของพระเจ้าโกศล ชื่อว่ามาติกคาม บ้านชื่อว่ามาติกะ วันหนึ่ง มีภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ได้ไปเรียนกรรมฐาน วิธีนั่งสมาธิ ปฏิบัติจิตให้สงบ วิธีตัดกิเลส วิธีทำตนให้บรรลุอริยบุคคล ตั้งแต่โสดาบันจนถึงอรหันต์ จากนั้นก็ทูลลาพระพุทธเจ้าไปสู่หมู่บ้านนั้น ก็ปรากฏว่าผู้ใหญ่บ้านมีแม่อายุประมาณ ๖๐ กว่าๆ แม่ผู้ใหญ่บ้านเห็นพระ ๖๐ รูปจาริกธุดงค์มา จึงเข้าไปเรียนถามว่า “พระคุณเจ้าทั้งหลายจะไปที่ไหนกัน” ก็ได้ความว่าจะหาที่สงบๆปักกลดสักหนึ่งพรรษาก็คือ ๓ เดือน แม่ผู้ใหญ่บ้านจึงเสนอจะจัดหาที่เงียบสงบสร้างเป็นสำนักสงฆ์ถวายพระคุณเจ้า ขอให้พระคุณเจ้าจำพรรษาที่หมู่บ้านของโยมเถิด โยมก็จะรับสรณะทั้ง ๓ ก็คือขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง โยมจะรับศีล๕และทำอุโบสถกรรม(การรักษาศีล๘ ในวันอุโบสถ) ภิกษุทั้งหลายจึงปรึกษากันว่าหากเราอาศัยโยมแม่ท่านนี้เราก็จะไม่ลำบากด้วยอาหารเพราะว่าโยมแม่ซึ่งเป็นแม่ของผู้ใหญ่บ้านมีบารมีมาก เราก็จะสามารถทำลายกิเลสทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ จึงรับนิมนต์
มาติกมารดาจึงสร้างสำนักสงฆ์ถวายพระภิกษุเหล่านั้น ปรากฏว่าพระเหล่านั้นได้ทำกฎกติกากันในวันเข้าพรรษาว่า “พวกเราอย่าได้ประมาทกันเลย เพราะว่านรกทั้ง ๘ ขุมก็เป็นเหมือนกับบ้านเรา เวลาพวกเราเวียนไหว้ตายเกิดไม่มีนรกขุมใดที่เราไม่เคยไปเกิดเลย ไม่ว่าจะเป็นพรหม สวรรค์ ๖ ชั้น มนุษย์ นรก ๘ ขุม เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน เราก็ได้ไปเกิดมาหมดแล้ว”อาจารย์พูดว่า “ หลายคนบอกว่าอาจารย์บรรยายมาหมดแล้ว แต่เรื่องนรกทำไมจึงไม่นำมาบรรยาย อยากตอบว่าที่ไม่อยากบรรยายเพราะไม่อยากไปเกิด นรกทั้ง๘ขุมนั้นได้แก่ สัญชีวนรก, กาฬสุตตนรก, สังฆาฏนรก, โรรุวนรก, มหาโรรุวนรก, ตาปนนรก, มหาตาปนนรกและอเวจีมหานรก”
พระเหล่านั้นจึงเตือนกันว่าเราอย่าไปเกิดนรกทั้ง ๘ ขุมนี้อีกเลย “เมื่อพวกเราได้เรียนกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าในขณะที่พระองค์ยังมีพระชนมายุอยู่ พระองค์ไม่ทรงโปรดคนที่พูดโอ้อวด เพราะฉะนั้น เราควรทำให้พระพุทธเจ้าโปรดปรานด้วยการตัดกิเลสให้ได้ในหนึ่งพรรษานี้ด้วยเถิด เมื่อออกพรรษาแล้วกลับไปเฝ้าพระองค์จะได้ทรงชื่นชมว่าเราเป็นลูกที่ดี แต่เมื่อพวกเราคนหมู่มากมาอยู่ด้วยกัน ๖๐ รูป มันอดไม่ได้ที่จะต้องพูดคุยกัน จะทำให้เสียเวลา” พระเหล่านั้นจึงตัดสินใจแยกกันอยู่คนละที่ โดยนัดมาเจอกัน ๒ เวลาคือเวลาเช้าเป็นเวลาบิณฑบาตและเวลาเย็นเป็นเวลาที่มาบำรุงพระมหาเถระที่มีอายุมากแล้ว มาตักน้ำ ถวายท่าน นวดให้ท่านบ้าง หรือเวลาถ้าในพวกเรามีใครมีเรื่องไม่สบายก็ให้ตีระฆังแล้วมาเจอกัน นอกจากนั้นก็ให้เรามุ่งหน้าปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น คือในหนึ่งวันให้พักผ่อนเพียง ๔ ชั่วโมง ให้หลังแตะพื้นเวลา ๔ ทุ่มถึงตี ๒ ก็เพียงพอ นอกนั้น ๒๐ ชั่วโมง นั่ง ยืน เดิน ปฏิบัติพากเพียรในการตัดกิเลส จึงตกลงทำกติกากันตามนี้
วันหนึ่งโยมแม่ผู้ใหญ่บ้านคิดถึงพระลูกชาย ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง จึงสั่งให้เด็กรับใช้นำน้ำปานะ(น้ำผลไม้) เนยใส น้ำอ้อย น้ำผึ้งไปถวายพระ ปรากฏว่าพอไปถึงวัด ก็พบว่าวัดนั้นเงียบและว่างเปล่าเหมือนป่าช้า มาติกมารดาสงสัยจึงถามเด็กวัดว่า “พระลูกชายทั้ง๖๐รูปหายไปไหนกันหมด” เด็กรับใช้ตอบว่า “พระท่านแยกย้ายกันไปในที่สงัดของท่าน” มาติกมารดาถามต่อว่า “จะทำอย่างไรถึงจะได้เจอพระเหล่านั้น” เด็กวัดตอบว่า “คุณยายต้องตีระฆัง” มาติกมารดาจึงใช้ให้เด็กวัดตีระฆังเพื่อเรียกพระทั้ง ๖๐ รูปออกมาเพื่อถวายน้ำปานะ เมื่อตีระฆังแล้วโยมยายมาติกมารดาก็ต้องฉงนเมื่อพระทั้งหลายเดินออกมาจาก ๖๐ แห่ง ๖๐ ที่ จึงถามพระลูกชายว่า “อะไรกันลูกๆ ตอนมาถึงที่นี้ก็มาอย่างพร้อมเพรียงกันทำไมตอนตีระฆังเรียกออกมาจึงมากันคนละทิศคนละทาง มาอยู่กันแค่วันสองวันลูกๆทะเลาะกันแล้วหรือ” พระลูกชายจึงตอบว่า “ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหรอกโยมแม่เพียงแต่กำลังเจริญสมณะธรรม ทำกรรมฐาน” ด้วยความที่เรียนมาน้อย มาติกมารดาจึงไม่เข้าใจว่าสมณะธรรม กรรมฐานเป็นเช่นไร พระลูกชายตอบว่า “ก็คือการพิจารณาร่างกาย” สังเกตได้ตามงานบวชที่ให้ท่องอาการ๓๒ จนจิตเป็นสมาธิเรียกว่า กายคตาสติหรือทวัตติงสาการะ พิจารณาให้เห็นว่าไม่เที่ยงและสกปรก โยมแม่จึงถามว่าตนสามารถฝึกกรรมฐานได้อย่างพระลูกชายหรือไม่ พระก็ตอบกลับว่า “พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามใครก็สามารถทำได้”โยมแม่มาติกมารดาจึงเรียนกรรมฐานจากพระลูกชาย
ปรากฏว่าอุบาสิกาโยมแม่ท่านนี้นำไปปฏิบัติที่บ้านจนสามารถบรรลุเป็นอนาคามี
(อริยบุคคลขั้นที่๓) พร้อมทั้งปฏิสัมภิทา๔ หมายถึง เป็นผู้ชำนาญในธรรมะของพระพุทธเจ้า แตกฉานในภาษา มีฤทธิ์มีเดชและที่สำคัญคือสามารถนั่งทางในได้เก่งมาก ทำให้สามารถตรวจจิตพระลูกชายทั้ง ๖๐รูปได้และพบว่าพระแต่ละองค์ยังเป็นพระปุถุชนอยู่เลย ยังคงมีกิเลส ราคะ โทสะ โมหะอยู่ จึงตรวจต่อไปว่าพระลูกชายทั้งหลายมีโอกาสได้บรรลุธรรมหรือไม่ ก็พบว่าพระลูกชายมีบุญเก่าอยู่ทำให้สามารถบรรลุอรหันต์ได้ภายในพรรษานี้อย่างแน่นอน แต่การที่คนเราจะสามารถบรรลุอรหันต์ได้นั้นจะต้องมีความพร้อมหลายประการ เช่น ฤดูสัปปายะหรือไม่ คืออากาศต้องดี ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป บุคคลสัปปายะ เสนาสนะ ที่อยู่ ธรรมะเป็นที่สบาย ก็พบว่าทุกอย่างเป็นที่สบายแล้วยกเว้นอาหารยังไม่เป็นที่สบาย อาจารย์เล่าว่า “ตอนสมัยที่อาจารย์บวชเจอแต่อาหารซ้ำๆ อาจารย์จึงถามโยมที่นำมาถวายว่าทำไมจึงถวายแต่อาหารพวกนี้ โยมก็ตอบกลับมาว่าอาหารพวกนี้ชื่อเป็นศิริมงคลแต่ควรจะเลือกบ้างเพื่อให้พระได้อาหารเป็นที่สบาย” เมื่อพระอยากฉันอะไรโยมแม่ก็นำไปถวาย ลูกพระอยากฉันแกงเขียวหวานโยมแม่ก็นำไปถวาย เมื่ออาหารเป็นที่สบายก็ส่งผลให้บรรลุอรหันต์ทั้ง ๖๐ รูปตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกพรรษา เมื่อถึงออกพรรษาจึงได้กล่าวลาโยมแม่และเจริญพรขอบคุณที่ได้อุปการะจนหมดกิเลส ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว พระทั้งหลายได้สัญญากับโยมแม่ว่าจะกลับมา จากนั้นจึงลากลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อกลับไปพระพุทธเจ้าก็ยิ้มรับด้วยใบหน้าเบิกบานแจ่มใสและตรัสถามว่า “ไปปฏิบัติกรรมฐานมาก้าวหน้าถึงไหนแล้ว” ปรากฏว่าพระเหล่านั้นก็ทูลเล่าให้พระพุทธเจ้าฟังว่า “พวกหม่อมฉันได้ไปปฏิบัติธรรมที่มาติกคาม บ้านอยู่ริมภูเขาและได้โยมแม่ท่านหนึ่งปรนนิบัติพวกข้าพระพุทธเจ้าอย่างดีจนหม่อมฉันบรรลุอรหันต์ ที่สำคัญคือไม่ได้ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาตเลย นึกอยากฉันอะไรโยมแม่ก็จะนำมาถวาย ได้อาหารเป็นที่สบายจึงสามารถบรรลุอรหันต์ โยมแม่ท่านนี้เป็นผู้มีเจโตปริยญาณ คือรู้ใจว่าคิดอะไร จึงช่วยให้ควบคุมจิตจนตัดกิเลสได้หมดสิ้น..”
ในขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังฟังภิกษุเหล่านั้นทูลพรรณนาถึงคุณความดีของอุบาสิกาอยู่นั้น ก็มีภิกษุรูปหนึ่งที่ได้ฟังคุณของอุบาสิกาจึงสงสัยว่าจริงหรือไม่ที่เป็นผู้หญิงจะมาบรรลุอนาคามีและสามารถรู้วาระจิต ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงอยากทดสอบ ก็เลยเรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าและทูลลาพระพุทธเจ้าไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น
ตอนนี้ท่านทั้งหลาย มันมีเรื่องน่าขนลุกเพราะภิกษุรูปนี้ไม่ใช่ธรรมดา เนื่องจากเขาเป็นคู่บารมีกันกับมาติกมารดา โยมแม่อายุ ๖๐ กว่า เวลาพบกันจะเป็นอย่างไร เขาจะทดสอบกันอย่างไร เมื่อเจอเนื้อคู่ของพระรูปนี้เข้าจะทำให้ต้องสึกหรือไม่ จะต้องมาติดตามตอนต่อไป ซึ่งเป็นตอนสำคัญ ตั้งหัวข้อเรื่องว่า “ภิกษุคู่บารมีมาติกมารดา” สำหรับวันนี้ก็สมควรกับเวลา ขอให้นักปฏิบัติทุกท่าน ถือตัวรู้ไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้างลืมตาขึ้นช้าๆออกจากสมาธิฯ
//www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=3&sqi=2&ved=0CCoQFjAC&url=http%3A%2F%2Fwww.buddhism.rilc.ku.ac.th%2Fchachawarn%2Foldpage%2Fscript%2F2.%2520%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%2F8%2520%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%2520(138-163)%2F150%2520%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2589%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B5.doc&ei=n_2JUPbGE7CfmQX7yoGQCw&usg=AFQjCNFrzdrZDQVLAug9-a0Qy9R1sbiq6g&sig2=_dYm1NKhnWwPPDOpHiqNYw
----------
ฝ่ายภิกษุรูปหนึ่งไม่ปรากฏชื่อพอได้ยินว่าอุบาสิกาเป็นผู้ที่รู้วาระจิตก็คิดอยากจะไปหาอุบาสิกาท่านนั้นเพื่อพิสูจน์ จึงเรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงอรหันต์แล้วทูลลาพระพุทธเจ้าไปสู่วัดแห่งนั้น ซึ่งอยู่ติดภูเขาภายในหมู่บ้านที่โยมแม่ของผู้ใหญ่บ้านดูแลอยู่ ปรากฏว่าพอไปถึงวัดก็เริ่มทำการทดสอบแบบวิทยาศาสตร์คือคิดว่าเราเดินธุดงค์มาไกลเหลือเกิน ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อยล้าไปหมด อีกทั้งวัดนี้ก็ร้างพระไม่มีคนดูแลมานาน จึงคิดในใจว่าหากอุบาสิการู้ใจจริง ควรที่จะส่งคนใช้มาทำความสะอาดปัดกวาดวัดให้เราก็คงจะดี ปรากฏว่าฝ่ายอุบาสิกานั่งอยู่ในเรือน รู้ว่าพระลูกชายได้มาแล้วและคิดอยากจะหาคนมาปัดกวาดเช็ดถูดูแลวัด จึงส่งคนใช้ให้ไปดูแลปัดกวาดวัดให้พระคุณเจ้า
เมื่อแผนการที่หนึ่งผ่านไป แผนการที่สองก็เริ่มขึ้นภิกษุจึงคิดต่อว่า เดินทางมาเหนื่อยๆ คอแห้งเหลือเกิน หากได้น้ำปานะหรือน้ำส้มคั้นสักแก้วก็คงจะดี อุบาสิกาจึงส่งคนนำน้ำปานะไปถวายพระคุณเจ้า พระภิกษุคิดต่อไปว่าหากอุบาสิการู้ใจจริงพรุ่งนี้คงจะเอาข้าวต้มกุ้งมาถวายในตอนเช้าและเอาแกงอ่อมมาถวายในตอนเพลก็คงจะดี เมื่ออุบาสิการู้ก็จัดการเสร็จเรียบร้อย พระก็อิ่มหมีพีมันด้วยการสั่งทางความคิด จากนั้นไม่ว่าจะสั่งอะไรทุกอย่างก็เรียบร้อย
พระจึงคิดว่าหากโยมอุบาสิการู้จริงก็ควรจะมาเองเพราะอยากจะเห็นหน้าเห็นว่าเป็นอย่างไร อุบาสิกาเมื่อรู้ว่าพระลูกชายอย่างเห็นหน้าของตนว่าเป็นอย่างไร ก็สั่งให้คนใช้ถือน้ำปานะตามไปที่วัด ความจริงคู่นี้ก็เป็นคู่ปรับกันและก็เป็นคู่บารมีด้วยเหมือนกัน มิฉะนั้นก็จะไม่ตั้งชื่อว่า ภิกษุคู่บารมีมาติกมารดา พอพบหน้ากันก็เหมือนเสือพบสิงห์ งูพบพังพอน ภิกษุรูปนั้นก็เลยถามว่า “มหาอุบาสิกาโยมใช่ไหมที่ชื่อมาติกมารดา” อุบาสิกาก็ตอบกลับว่า “ใช่แล้วพระคุณเจ้า โยมนี่แหละที่ชื่อมาติกมารดา”
พระจึงถามตรงๆว่า “ข่าวเขาว่ากันว่าโยมนี่รู้ใจคนจริงหรือเปล่า” อุบาสิกาก็บอกว่า “แล้วทำไมพระคุณเจ้าต้องมาถามดิฉันด้วย” พระก็ตอบว่า “ก็เพราะว่าไม่ว่าอาตมาจะคิดเรื่องอะไรโยมก็จัดการตามความคิดของอาตมาทั้งหมด เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเรียนถามโยม” อุบาสิกาก็บอกอย่างถ่อมตนว่า “โธ่ พระคุณเจ้าพระที่เขารู้ใจคนก็มีอยู่ตั้งเยอะแยะมากมาย” เพราะว่าพวกอริยะมักจะเลี่ยง ไม่โอ้อวดคุณงามความดีในตนเอง พระก็รุกโดยถามว่า “อาตมาไม่ได้ถามถึงคนอื่น อาตมาถามโยมคนเดียว” อุบาสิกาเลยกล่าวว่าพระคุณเจ้า “คนเราหากรู้ใจคนอื่นเขาก็จะทำตามใจคนนั้นเช่นนั้นแล” ภิกษุรูปนั้นชักใจไม่ดีคิดว่าหากเราอยู่วัดนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่ เพราะปุถุชนย่อมคิดสิ่งที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง หากคิดสิ่งไม่ดีแล้วอุบาสิกาท่านนี้รู้ใจ ก็เหมือนกับโจรที่ถูกจับได้พร้อมของกลางที่มวยผม คือไปลักของชาวบ้านมาแล้วมาซ่อนไว้ที่มวยผม จึงทูลลาอุบาสิกาว่าลากลับก่อน อุบาสิกาก็ตอบว่า “โธ่ พระคุณเจ้ามาตั้งแต่ไกลไม่ทันไรก็จะรีบไปแล้วหรือ เหตุใดจึงไม่อยู่โปรดโยมก่อน พักผ่อนให้สบาย จะรีบไปไหน” พระรูปนั้นก็บอกว่าอาตมาจะกลับไปสู่สำนักพระพุทธเจ้า แม้จะถูกอุบาสิการบเร้าอย่างไรท่านก็ไม่ฟัง
ในที่สุดก็กลับไปสู่สำนักพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า “ภิกษุเธอลาเราไปไม่กี่วัน ทำไมกลับมาเล่า” พระรูปนั้นก็ทูลว่า “หม่อมฉันไม่สามารถอยู่ได้ เพราะอุบาสิกาล่วงรู้ความคิดทุกอย่างไม่ว่าหม่อมฉันจะทดสอบอะไร อยากฉันอะไร ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มกุ้ง แกงอ่อม น้ำส้มคั้น เธอก็สามารถจัดมาถวายได้หมด หม่อมฉันจึงคิดว่าหม่อมฉันยังเป็นปุถุชนอยู่หากหม่อมฉันคิดอุบาทว์เป็นพระแต่อยากมีเมียขึ้นมา แล้วถูกจับได้มันจะเป็นเรื่องน่าอาย หม่อมฉันคงจะทนไม่ไหว” พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า “จริงๆแล้วไม่ยากหรอกภิกษุ ถ้าเธอรักษาสิ่งๆหนึ่งได้เธอก็สามารถอยู่ที่นั่นได้” ภิกษุจึงทูลถามว่าสิ่งๆนั้นคืออะไร
พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า “จิตของเธอนั่นแล เธอจงรักษาจิตของเธอ เพราะว่าธรรมดาจิตบุคคลรักษาได้ยาก เธอจงข่มจิตของเธอไว้ให้ได้อย่าคิดถึงอารมณ์อย่างอื่นอย่างใด” แล้วพระพุทธเจ้าก็รับสั่งตรัสเป็นหัวข้อบาลีที่ยกไว้ว่า
“การฝึกจิตอันบุคคลข่มได้ยาก เป็นธรรมชาติ เร็วมักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่เป็นการดี” เพราะว่าจิตที่ฝึกดีแล้วย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้ นี่คือบาลีที่ยกไว้เป็นหัวข้อก่อนที่จะเล่าเรื่องมาติกมารดา ปรากฏว่าพระรูปนี้เมื่อได้ฟังโอวาทได้กลยุทธ์ ได้อาวุธจากพระพุทธเจ้า ก็มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป จากนั้นจึงแบกกลดทูลลาพระพุทธเจ้ากลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเห็นว่าตนเป็นชายไม่ควรจะยอมแพ้ผู้หญิง พอไปถึงอุบาสิกาก็รู้ด้วยทิพจักษุว่า บัดนี้พระเถระได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นเถระได้อาจารย์ผู้ให้โอวาทอย่างดีบัดนี้ได้กลับมาสู่สำนักของเราอีกแล้ว
เมื่อเถระไปอยู่ในที่นั้นก็ได้อุบาสิกาท่านนี้คอยดูแลปรนนิบัติ ไม่ให้บกพร่องด้วยอาหารขบฉันต่างๆ อยู่มาไม่นานก็ได้บรรลุเป็นอรหันต์ เมื่อบรรลุเป็นอรหันต์แล้วก็ทำการตรวจปัจจเวกขณ-ญาณ คือการพิจารณาทบทวนการบรรลุมรรคผลของตนว่าเป็นอย่างไร ท่านก็ได้รำพึงรำพันในใจว่า “น่าขอบใจเหลือเกิน มหาอุบาสิกาท่านนี้เป็นที่พึ่งของเราอย่างดีเหลือเกิน เราได้อาศัยอุบาสิกาท่านนี้ทำให้ได้ทำการแล่นออกไปจากภพ” ซึ่งสำนวนนี้เป็นสำนวนที่ดีมาก เขาบอกว่าภพคือการหมุนเวียนเปลี่ยนไป กลับไปกลับมา แต่เมื่อเราได้บรรลุอรหันต์ก็เหมือนกับการได้แล่นออกไปจากภพไม่ต้องหมุนเวียนซ้ำซากอีก จากนั้นก็เลยนั่งใคร่ควรต่อไปว่า ชาตินี้มหาอุบาสิกาเป็นทีพึ่งของเราอย่างใหญ่หลวงแล้วในอดีตชาติที่ผ่านมาเธอได้เป็นที่พึ่งของเราหรือไม่
ตรงนี้แหละท่านทั้งหลาย สมัยก่อนตอนอายุสัก ๑๗-๑๘ ผมแปลตรงนี้ทีไรผมขนลุกเลย ที่ขนลุกเพราะมันเป็นเรื่องของภพชาติ เป็นเรื่องที่ปุถุชนยากที่จะรู้ แต่ว่าพระรูปนี้ท่านเป็นอรหันต์ท่านจึงสามารถตรวจดูย้อนกลับไปในอดีต โดยในอำนาจฌานสมาบัติของท่าน ก็ปรากฏว่าได้พบความจริงที่น่าตกใจ คืออุบาสิกาท่านนี้ในอดีตชาติเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา ๙๙ ชาติ และใน ๙๙ ชาตินี้ปรากฏว่ามีชู้ทุกชาติและยังร่วมมือกับชู้ฆ่าตัวเองตายอีกทั้ง ๙๙ ชาติ ภิกษุรูปนั้นเห็นกรรมที่หนักของอุบาสิกาก็ปลงสังเวช บอกว่าน่าสังเวชเหลือเกิน มหาอุบาสิกาท่านนี้ได้ทำกรรมหนักแล้ว ขณะอยู่ในฌานท่านก็ได้รำพึงรำพันว่า “ทั้ง ๙๙ ชาติเธอไม่เคยอิ่มเลย เธอเป็นนางวันทอง โมรา กากี คบคิดกับชู้มาฆ่าเรา ทำไมเธอเป็นขนาดนี้ ทำกรรมหนักเหลือเกิน”
อุบาสิกานั่งอยู่ในเรือนและใคร่ครวญว่าตอนนี้จิตแห่งบรรพชิตของลูกเราสำเร็จหรือยัง ตรงนี้น่าแปลก ที่ว่าน่าแปลกก็เพราะว่าเขาบอกว่าผู้ที่จะรู้จิตของคนอื่น จะต้องรู้จิตคนที่ต่ำกว่า เช่น เป็นอรหันต์ก็จะรู้จิตของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีได้ หรือว่าบรรลุเท่ากัน เช่นพระอนาคามีเหมือนกัน เป็นอรหันต์เหมือนกันจึงจะรู้กันได้แต่จะไปรู้จิตของคนที่สูงกว่าไม่ได้ แต่ในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะอุบาสิกาซึ่งเป็นอนาคามีแต่ก็นั่งตรวจดูว่าบัดนี้จิตแห่งบรรพชิตคือการบรรลุอรหันต์ของลูกเราสำเร็จแล้วหรือยัง เมื่อตรวจไปก็พบว่าลูกเราได้บรรลุอรหันต์แล้ว และก็ได้นึกถึงพระคุณของเราว่าเราได้เป็นที่พึ่งอย่างดี
สุดท้าย อุบาสิกาก็ได้เข้าฌานตรวจดูต่อไปว่าลูกเราคิดอะไร ปรากฏว่าลูกเราได้นึกย้อนไปในอดีตตรวจดูบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกย้อนไปในอดีต ก็พบว่าตัวเราใน๙๙ชาติ เคยเกิดเป็นภรรยาของภิกษุรูปนี้ และก็ร่วมมือกับชู้ฆ่าภิกษุรูปนี้ตายถึง๙๙ชาติ ตอนนี้ท่านกำลังนั่งรำพึงรำพันเป็นเชิงต่อว่า ว่าเรานั้นได้ทำกรรมหนัก ก็เลยคิดต่อไปว่าตลอดเวลาที่เกิดเป็นภรรยาของภิกษุรูปนี้ในอดีตชาตินั้นเราไม่เคยทำอุปการะคุณงามความดีให้กับภิกษุรูปนี้เลยหรือ จึงนั่งตรวจดู ต่างคนต่างตรวจดูก็พบว่าในอัฏฐภาคที่ ๑๐๐ ตัวเองได้เกิดเป็นภรรยาภิกษุนี้อีกเหมือนกันแต่ได้สละชีวิตตนเองเพื่อช่วยชีวิตสามีเอาไว้ และได้พูดกันในญาณบอกว่าท่านจงตรวจดูในอัฏฐภาคที่ ๑๐๐แล้วท่านจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ภิกษุเป็นอรหันต์ก็ตรวจดูอัฏฐภาคที่ ๑๐๐ ก็พบว่าในอัฏฐภาคที่ ๑๐๐นั้น อุบาสิกาท่านนี้ก็เคยเกิดเป็นภรรยาเราและได้สละชีวิตช่วยเหลือให้ชีวิตแก่เรา ก็เลยเปล่งอุทานออกมาว่า โอ้ ช่างเป็นบุญเหลือเกิน อุบาสิกาท่านนี้ได้ทำอุปการะแก่เราในชาติที่ ๑๐๐ เหมือนกัน
จากนั้นก็มีใจเบิกบาน ทั้ง ๒ คนก็กล่าวปัญหาในมรรคผลแก่กันและกัน โดยเฉพาะพระก็เทศน์ให้โยมฟังเพราะว่าพระบรรลุอรหันต์แล้วสูงกว่าโยม สุดท้ายพระก็ลาโยมปรินิพพานด้วยอนุ-ปาทิเสสนิพพาน หมดลมหายใจ จบกันทีนะโยม หมายถึงว่าเคยเป็นคู่บารมีกันหลายภพหลายชาติ เกื้อกูลกันมาก็เยอะ ฆ่ากันมาก็มาก ให้ชีวิตเป็นทานแก่กันก็หลายครั้ง สุดท้ายก็เจอกันชาตินี้ก็ได้มาเกื้อกูลกันอีก
แสดงเห็นว่าในเรื่องภพเรื่องชาตินี้เป็นสิ่งยากที่จะสืบค้นเหมือนกัน คนที่เวลามาเกิดก็ยังมีกิเลสอยู่ พอมีกิเลสบางครั้งมันก็ดีบ้าง บางครั้งมันก็ไม่ดีบ้างเหมือนกับเรื่องของภิกษุรูปนี้กับมาติกมารดา ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าในชาตินี้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันแต่พอย้อนกลับไปในอดีตปรากฏว่าความจริงแล้วมันไม่ได้มีแค่๙๙ชาติหรือว่า๑๐๐ชาติหรอก คนเรานี้เวียนว่ายตายเกิดกันเยอะมากมาย พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า “กระดูกที่เกิดและตายเอามาสุมหรือกองรวมกันสูงเกินกว่าภูเขา น้ำตาที่หลั่งไหลเวลาถูกความทุกข์โศกเข้าครอบงำมากองรวมกันมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔” ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆก็แสดงว่าการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์นั้นมันยืดยาวมาก ก็ลองคิดดูว่าในการเวียนว่ายตายเกิด เกิดมาเป็นสามีภรรยากันมันเยอะแยะมากมาย ไม่ใช่ว่ามีแค่เพียงชาติเดียวแต่ปรากฏว่าในขณะที่เกิดเป็นสามีภรรยากันมีถึง๙๙ชาติที่อุบาสิกาท่านนี้ไปร่วมมือกับชายชู้ฆ่าสามีตัวเอง พอดีอุบาสิกาท่านฉลาดไหวทัน บอกว่า “ท่านมองไม่ครบ ท่านมองแต่สิ่งที่โยมทำไม่ดี๙๙ชาติ ท่านทำไมไม่ยอมมองชาติที่ดีๆของโยมบ้างล่ะ” เหมือนกับว่าโยมผิดไปแล้วแต่โยมก็ยังชดใช้กรรมให้ท่านในชาติที่ ๑๐๐ ด้วยการช่วยเหลือให้ชีวิตโยมเป็นทาน ช่วยเหลือให้ท่านรอดชีวิต
นี่คือเรื่องของภพภูมิการเวียนว่ายตายเกิดการสั่งสมอบรมบารมีของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนก็สร้างมาไม่เหมือนกันแต่สิ่งสำคัญก็คือเรื่องของจิต เราควรจะข่มจิต รักษาจิต เหมือนดังที่ภิกษุรูปนี้ได้ทำการข่มจิตตัวเอง รักษาจิตตัวเองจนกระทั่งสามารถบรรลุซึ่งอรหันต์ได้ และที่สำคัญก็คือมหาอุบาสิกาท่านนี้ได้บรรลุเป็นอนาคามีโดยเฉพาะเป็นอนาคามีในระดับวีไอพี อนาคามีนี้ก็จะมี ๔ประเภทเหมือนกับอรหันต์ คือ สุกขวิปัสสก บรรลุแบบแห้งแล้งไม่เห็นนรกเห็นสวรรค์ เตวิชโช มีความรู้ ๓ ประการ ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ทำกิเลสให้หมดไป ฉฬภิญโญ ก็คือแสดงฤทธิ์ต่างๆได้มีตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้อะไรต่างๆ ส่วนปฏิสัมภิทาญาณ ก็คือแสดงธรรมย่อให้พิสดารได้ แสดงธรรมที่พิสดารให้ย่อได้ มีความฉลาดในการอธิบายธรรมะและก็มีปัญญาแตกฉานในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะปฏิสัมภิทาญาณ ถ้าบรรลุเป็นโสดาบันกับสกิทาคามีปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ประการจะไม่ปรากฏ จะปรากฏในระดับอนาคามีหรืออรหันต์ขึ้นไปปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ จึงจะเกิดขึ้น เนื่องจากพระโสดาบันกับพระสกิทาคามียังมีกิเลส ๒ ตัวหลักๆที่ทำให้ปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ ยังเกิดไม่ได้ ก็คือราคะกับโทสะนั่นเอง เพราะฉะนั้นพอบรรลุเป็นอนาคามีตัดราคะ โทสะได้ ปฏิสัมภิทาทั้ง๔ คือ อัตถะ ธัมมะ นิรุตติและปฏิภาณ แสดงธรรมย่อให้พิสดาร แสดงธรรมพิสดารให้ย่อ เป็นผู้ฉลาดในการใช้เลือกภาษาในการสื่อสารธรรมะ และข้อสุดท้ายคือเป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฎกจึงเกิดแก่เธอผู้ได้บรรลุอนาคามี
นี่คือเรื่องของมาติกมารดาผู้เป็นอนาคามีและภิกษุคู่บารมีของมาติกมารดาซึ่งเป็นคู่บารมีกันเกื้อกูลกัน ในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา ขอให้นักปฏิบัติธรรททุกท่านตั้งสติถือตัวรู้ไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ลืมตาขึ้นช้าๆออกจากสมาธิ ฯ
//www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=2&sqi=2&ved=0CCUQFjAB&url=http%3A%2F%2Fwww.buddhism.rilc.ku.ac.th%2Fchachawarn%2Foldpage%2Fscript%2F2.%2520%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%2F8%2520%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%2520(138-163)%2F151%2520%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2.doc&ei=n_2JUPbGE7CfmQX7yoGQCw&usg=AFQjCNEwX4Ah2CGl0RJAiOk2wglwU5TA2Q&sig2=MiB_92PiOyx7QPutZwIVog

ปล. ขอบคุณท่านเตชที่มาแปะคำเทศน์หลวงตา
แบ่งปันกันอ่านเนาะ ^.^

5589
 
 

โดย: อิหม่ามิ๊ IP: 110.168.118.146 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:10:27:41 น.  

 
 
 
เฮ่ย ! อิหม่ามี๊ นี่ยังไงกันนะ
จะเสแสร้งแกล้ง แอ๊บแบ๊ว หน่อยก็ไม่ได้
เนี่ย อาเหล่าม่า มันกะว่าจะอาศัย ยื้มมือ อิรจนา
หั้ยมาช่วย ชี้โพรงให้ลูกกระรอก ซะหน่อย
ดั๊นมาเตะตัด ขาพวกเดวกัน เผลอไปแหวกหญ้าให้งูตื่น ซะงั้น


งี้ ถ้า อิตาเฒ่า สุมาอี้ แอบเข้ามาอ่าน
แล้วเกิด ซาโตริ ก๊ะตัวหนังสือของ อิหม่ามี๊
จนเห็นดวงตาธรรม ขึ้นมา
อิแม่ม่ายทิ้งผัว อย่างน้องนู๋บี เก๊าะ เฉาตาย จิคะ
ไม่ย๊อม ไม่ยอมมมมม ไม่รู้แหล่ะ
ถ้าเป็นงั้นนะ อิหม่ามี๊ต้องรับผิดชอบ
ยก ฮาร์ทจัง ให้มาเป็นกิ๊ก ก๊ะ อิแม่ม่ายทิ้งผัว อย่างน้องนู๋บี
แทน อิตาเฒ่า สุมาอี้ ด้วยน้าาา

ปอลิง
อ้อ เพื่อป้องกันชาวบ้านมันเข้าใจผิด
เกิดข้อกังขา ว่า ไอ้5ที่ไหน คือ อิเฒ่าสุมาอี้
น้องนู๋บี จึงขอ ชีแจงแถลงไข ว่า
ไอ้เฒ่าสุมาอี้ นั้นไซร้ คือ หมาน่อยธรรมดา
ที่แอบปีนหลังบ้าน....เอ๊ย...หลังไมค์ ไปหาแม่นางเทียวเสี้ยม
ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2555 เวลา 03:02 น. ง่ะ งิงิ

อืม...เที่ยงแระ เด๋วจะไปนอนกลางวัน ตามประสาเด็กอนามัย ล่ะ
บ๊าย บายยยคร้าาา อิหม่ามี๊ขราาา
แล้ว เด๋วว่าง ๆ จา เต่งหน้าทาปาก ออกมาเล่นงิ้ว
ตอน เทียวเสี้ยม ตลบหลัง สุมาอี้
ให้ดูเล่นแก้เซ็ง นะเจ้าคะ หุหุ

++++++++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14034 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 226 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:12:08:28 น.  

 
 
 
55 มีคนหน้ามืดบุกไปหลังบ้านแม่นางเทียมเสี้ยมด้วยวุ้ย 55

พอๆ อย่าเยอะ เดี๋ยวขำตาย5เรย

1299 อิอิ
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:13:47:38 น.  

 
 
 
ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดของอาจารย์ที่สอนวิชาเล่นหุ้นให้แก่อาเป๊าะ ตอนที่อาเป๊าะเล่นหุ้นชนะติงไห่แล้วอยากให้อาป๋อถอนตัวจากตลาดหุ้น ด้วยคำพูดว่า

The original intent of the stock market is to allow a place for people to gather capital, which leads to a prosperous society where everyone gains. However, human instinct tends towards the greedy, and many will go to no end to gain unearned wealth. Thus, a paradise turns into hell, complete with ceaseless violence and killing. Countless people become penniless, even lose their lives. The winners lose all conscience and become inhuman. I have been in the stock market for years, and I have never seen a true winner. A smart person should know that this is a battlefield where no winners will emerge. There is only one way to win: leave the market early

วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งตลาดหุ้นแต่เดิมคือเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รวบรวมเงินทุนซึ่งจะนำไปสู่สังคมอันมั่งคั่งที่ทุกคนได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตาม สัญชาติญาณของมนุษย์มักหนีไม่พ้นความโลภและหลายคนอาจพยายามทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งโดยไม่ต้องยากลำบาก ดังนั้น สวรรค์จึงกลายเป็นนรกที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและการฆ่าฟันกันไม่หยุดหย่อน คนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกลายเป็นคนยากจน หรือแม้แต่ต้องจบชีวิตลง ส่วนผู้ชนะก็ขาดจิตสำนึกและหมดสิ้นความเป็นคนไปในที่สุด ผมอยู่ในตลาดหุ้นมาหลายปีและผมไม่เคยเห็นผู้ชนะอย่างแท้จริงเลย คนฉลาดควรรู้ว่านี่คือสนามรบที่ไม่มีใครชนะ มีวิธีเดียวที่จะชนะ นั่นคือ การออกไปจากตลาดหุ้นเสียแน่เนิ่นๆ

"เจ้าพ่อตลาดหุ้น" หรือ The Greed of Man
6364 หุหุ
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:15:22:56 น.  

 
 
 
ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นต้องพิจารณาถึง risk กับ return
ถ้าจะว่าไปก็น่าจะเข้าได้กับ โลกธรรม มี 2 ทางเช่นกัน
มีลาภ เสื่อมลาภ
มียศ เสื่อมยศ
สรรเสริญ นินทา
สุข ทุกข์
แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านพอแล้ว วางหมดทุกอย่าง
ทำให้นึกถึงเทศน์หลวงตากัณฑ์นี้
------------------------------------------------------
พูดออกมาจากหัวใจนี่นะ พูดเล่นๆ เหรอ สอนโลกสอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้ เรื่องกิริยามารยาทการแสดงออกของร่างกายสังขาร มันอยู่ในท่ามกลางแห่งโลกธรรมเราไม่ตำหนิ เขาติได้ เราติได้ เขาชมได้ เราชมได้ อันนี้เป็นเรื่องสมมุติ ส่วนวิมุตติธรรมที่เรียกว่าธรรมธาตุนั้นครอบไปหมดแล้ว ใครจะตำหนิติเตียนอะไรไม่เกิดผลทั้งหมด ส่วนธาตุขันธ์นี้เป็นสมมุติด้วยกัน ตำหนิติเตียนชมเชยกันได้ เรายอมรับอันนี้ แต่ธรรมชาตินั้นรับหรือไม่รับก็ตาม จะมาชมเชยสูงขนาดไหนไม่สูงเท่ากับธรรมชาติที่พอแล้วด้วยความอัศจรรย์ อันนั้นอัศจรรย์ ใครจะยกขึ้นไปส่งเสริมเท่าไรก็ไม่เป็นผล ใครจะนินทาอะไรไม่เป็นผล ตกออกหมด ธรรมชาตินั้นสูงกว่า อัศจรรย์กว่า นั่นละท่านผู้ทรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ ธรรมธาตุท่านเป็นอย่างนั้น
------------------------------------------------------
 
 

โดย: เตชพโล IP: 171.98.103.78 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:15:37:05 น.  

 
 
 
โดยคุณคนเล่นหุ้น
ลงทุนระยะสั้นหรือยาวดี

95% ของนักลงทุนในตลาดหุ้นจะมองภาพสั้นๆ อีก 5% จะเป็นนักลงทุนระยะยาว ... และคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในสนามแห่งการลงทุนนี้ครับ...

หลายปีมาแล้ว... นักเล่นหุ้นในตลาดอเมริกาสนใจแต่เฉพาะ "ราคาหุ้น" และทำการซื้อๆ ขายๆ อย่างรวดเร็ว... จนมีปรมาจารย์ท่านหนึ่ง คือ อาจารย์ เบนเกรแฮม สังเกตว่า... หากถือหุ้นไว้นานหน่อยจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ดีกว่า แต่มีเงื่อนไขว่าหุ้นตัวนั้นต้องถูกแบบสุด หรือถูกแบบหุ้นก้นบุหรี่...

ด้วยแนวคิดดังกล่าวอาจารย์เกรแฮม จึงได้ตั้งกฏเกณฑ์มากมายส่วนใหญ่ก็เพื่อคัดเลือกหุ้นที่ถูกแสนถูก และเก็บมันไว้นานหน่อย โดยเฉลี่ยแล้วจะเก็บเอาไว้นานกว่า 2 ปี เพื่อรอให้หุ้นตัวนั้นสะท้อนราคาที่แท้จริงของมันออกมา... ด้วยวิธีการแบบนี้ทำให้พอร์ตหุ้นของเกรแฮมมีหุ้นเป็นจำนวนมากมายหลายบริษัท... บางบริษัทก็ประสบความสำเร็จ แต่หุ้นบางตัวถึงขั้นล้มละลายเลยทีเดียว...

ต่อจากนั้นมามีผู้ที่สังเกตเห็นข้อบกพร่องบางอย่างของวิธีการดังกล่าว... คนๆ นั้นก็คือ วอเรนต์ บัฟเฟต ลูกศิษย์เอกของอาจารย์เกรแฮมนั่นเอง... เขาสังเกตุเห็นว่าหากถือหุ้นดีไว้นานหน่อย นานหลายสิบปี บริษัทที่ดีเหล่านั้นจะสะท้อนมูลค่าของมันออกมาอย่างมากมายมหาศาล..

ผมก็ขอสรุปอีกว่า คุณก็คือคุณ คุณไมสามารถที่จะทำเหมือนใครได้หรอก ถึงแม้คุณจะพยายามทำตาม

และที่หลาย ๆคน พยายามทำตามแล้ว แต่แล้วก็ต้องล้มเลิก มาเล่นหุ้นตามแบบฉบับของตนเอง

คำถาม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ คุณไม่สามารถเลียนแบบได้หรอกครับ เพราะคุณก็คือ คุณ คุณไม่ใช่ วอเรนต์ บัฟเฟต

เพราะอะไรอีกหรือครับ ก็เพราะคุณขี้เกียจ ขี้เกียจที่จะเรียนรู้ ใฝ่รู้

คุณไม่พยายามที่จะเข้าไปคุยหาความรู้กับ คนในตลาดหุ้นที่คุณรู้จัก

คุณซื้อขายอะไร ก็พยายามปิดเงียบ ไม่ยอมที่สนทนาในเรื่องที่คุณกระทำ

แล้วอย่างนี้ คุณจะเรียนรู้ต่อไปในสิ่งที่คุณยังไม่รู้ได้อย่างไร

ถ้าใครอยากรู้อะไร เว็บบอร์ดเป็นสถานที่ดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้กัน

ถ้าคุณไม่เข้ามาสนทนา บอกสิ่งที่คุณอยากรู้ หรืออยากจะแลกเปลี่ยนความรู้คุณจะไม่ได้อะไรเลย อาจจะไม่แตกต่างกับขอทานที่รอจะมีเงินล้าน (ล้อเล่นนะ เพื่อกระตุ้นต่อม)
----
เขาทำการ short sales กันอย่างสนุกสนาน

ในช่วงที่ผ่านมาไม่นาน มีการทำ short sales กันอย่างหนัก

set index จึงเตี้ยลง เตี้ยลง

นักลงทุนที่ลงทุนหวังว่า หุ้นจะขึ้นไปตามผลประกอบการจึงต้องระทมกับเคราะห์กรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้น


เขียนเมื่อ : 4 Jun 2012 06:37:27

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีสัญญาณทำชอร์ตเซลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมีสาเหตุมาจากนักเล่นหุ้นในประเทศที่ยังคงกังวลต่อปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะปัญหาที่ว่ากรีซจะต้องออกจากการเป็นสมาชิกของประเทศในยูโรโซนหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในระยะถัดไปของตลาดหุ้นเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต) รวมถึงไทยด้วย ทำให้มีการทำชอร์ตเซลเพื่อทำกำไร รวมทั้งเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากหุ้นขาลงในช่วงนี้

"ในช่วงปีนี้หุ้นผันผวนต่างจากปีก่อนที่เป็นหุ้นขาขึ้น ประกอบกับต่างประเทศก็มีปัญหากรีซที่ทำให้นักลงทุนกังวล อีกทั้งเศรษฐกิจในประเทศเราเองก็ side way ทำให้ภาวะแบบนี้จะเล่นหุ้นขาเดียวไม่ได้ จึงมีการขายชอร์ตค่อนข้างมาก เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการเทรดทำกำไร" นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าว

โดยหุ้นที่จะโดนชอร์ตเซลค่อนข้างมากจะเป็นหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน เป็นต้น เนื่องจากมีความเกี่ยวโยงกับปัจจัยในต่างประเทศเป็นส่วนมาก ตามด้วยกลุ่มธนาคารซึ่งนักลงทุนต่างชาติถือครองค่อนข้างมาก ทำให้มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงหากเกิดปัญหาในต่างประเทศ
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การขายชอร์ตที่เกิดขึ้นมาจากนักลงทุนหลายกลุ่มทั้งรายย่อย และบัญชีซื้อขายบริษัทหลักทรัพย์ (พอร์ตโบรกเกอร์) ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่โบรกเกอร์จะเข้าไปทำกำไรในช่วงตลาดขาลงได้ และโดยภาพรวมยังไม่ถือว่ามีความเสี่ยง

"ภาพรวมตลาดยังไม่มีความเสี่ยง เพราะตลาดหุ้นเรายังไม่ได้ปรับตัวลดลงผิดปกติ หรือมีความผิดเพี้ยนไปจากตลาดอื่น และแน่นอนว่าแม้พอร์ตโบรกเกอร์จะเข้าไปชอร์ตเซลด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำในสัดส่วนที่มากจนเกินไป เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ดูแลอยู่แล้ว" นางภัทธีรากล่าว

ผมสรุปอย่างง่าย ว่า

ตลาดหุ้นใดก็ตามที่เป็นตลาดเล็ก ๆ แล้วผู้บริหารตลาดปล่อยให้มีการ short sales กันได้ โดยเฉพาะอนุญาตเฉพาะ รายใหญ่ และกองทุน ก็เป็นอันเชื่อขนมกินได้เลยว่า นักลงทุนรายเล็ก ๆที่หวังลงทุน โดยคิดว่า การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีความเสี่ยง นั้น เป็นความคิดที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์แน่นอน
*********
มีเรื่องที่อยากรู้มาก

เมื่อ ทำ short sale จะมีรายงาน ให้รู้ทุกวัน ที่
//www.set.or.th/set/shortsales.do

แล้ว สิ่งที่อยากรู้มากอีกคือ เมื่อไหร่ที่ มีการซื้อคืนเกิดขึ้น
รายงาน จะแสดง ที่ใหน
**********
ไม่มีรายงานบอกหรอกครับ. เพราะไม่มีข้้งบังคับที่คุณจะต้องเปิดเผยเมื่อมีการซื้อคืน
โดยมากจะกำหนดไว้ให้ภายในหนึ่งปี หรืกหกเดือน ในระยะกำหนดนี้ คุณจะซื้อคืนเมื่อใดก็ได้
-------------
แนะนำง่าย ๆ จดหุ้นที่คุณเล่นว่า แต่ละวัน เขาทำ short sales เป็นจำนวนเท่าไร

มันดีกว่าที่คุณจะเสียเวลาไปดูกราฟ แล้วมานั่งคิดว่า มันสัญญานหลอกหรือเปล่าวะ

ทำไมแนวรับที่ถูกแนะนำจึงถูกทำลาย ก็เพราะไอ้พวก short sales แหละ มันไปทำลายกราฟที่คุณพี่งพา
--------------
ตามปรกติ การเล่นหุ้นของผม มักจะสนใจจำนวน ราคา ของการ short sales ของตลาด ในหุ้นที่ผมเล่น

เพราะฉะนั้น ผมจึงมีบันทึกไว้ทุกสัปดาห์ ว่า มีการ short sales กันในราคาเท่าไหร่ จำนวนมากน้อยเพิ่มขึ้นหรือลดลงประการใด และมีการรวบรวมไว้แต่ละเดือนด้วย

บันทึกเหล่านี้ ผม email ให้เพื่อน ๆของผมทุกคน ที่ขอมา
จากที่ผมได้บันทึก ผมก็ได้มาวิเคราะห์ หุ้นที่ผมมี

เนื่องจากเดือนพฤษภา set ได้เริ่มลดลงอย่างมาก
ผมก้มาพบความจริงที่ว่า

การ short sales หุ้นที่ผมมี ในเดือน พฤษภา มีมากกว่า 3 เดือนรวมกัน( กุมภา+มีนา+ เมษา)

หุ้นเหล่านั้นคือ ADVANC JAS และ KTB

และหุ้นที่ short sales ในเดือนพฤษภามีน้อยกว่าหุ้นที่ 3 เดือนรวมกัน
คือ BBL และ LOXLEY

แล้วก้มาหาดู ว่า น้อยกว่าหรือมากกว่า เป้นเปอร์เซนต์เท่าไหร่

สิ่งเหล่านี้ จะบอกให้รุ้ว่า คนส่วนใหญ่จะเล่นหุ้นที่คุณมีอยู่อย่างไร
อันที่จริง การดูกราฟเป็นสิ่งที่ดี แต่จะมีประโยชน์สำหรับตลาดที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่ตลาดที่เกิดใหม่ อย่างเช่นตลาดไทย

รายใหญ่มักจะใช้การดูกราฟเป็นเครื่องมือหลอกรายย่อย
และรายย่อย ก็มักจะเข้าไปเป็นเหยื่อ ซึ่งผมเห็นมามากต่อมากแล้ว
ถ้าคุณจะเข้าไปทำ short sales คุณจะต้องรู้จัก ธุรกรรมนี้

   Securities borrowing and lending: SBL

//www.settrade.com/actions/customization/IPO/webboard/pre_board.jsp?content=qa.jsp&tid=31876&page=1

ปล.จัดหนักวันแดงเดือดตลาดหุ้นไทย หุหุ
9474
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:15:49:18 น.  

 
 
 
มะได้เล่นหุ้น นะเจ้าคะ
แต่ชอบดูอารมณ์ของคนเล่นหุ้น มันส์ครบรส
ทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง เย้ยหยัน ดูถูกดูหมิ่น เซียน เม่า
นักต้มตุ๋น สับขาหลอก วันนี้ร้องไห้ พรุ่งนี้หัวเราะ
ขึ้นๆลงๆยังกะปรอท
มีทั้งคนอกหักรักคุดหุ้นดาวสาวมหาลัยโดนจ้าวเหวี่ยงใส่ หุหุ
มีทั้งคนรักจริงหวังแต่งไม่หวั่นแม้จะดอย ไม่ขายไม่ขาดทุน
สุดท้าย จ้าวหรั่งกะจ้าวปอบรับประทานเม่าเรียบวุธ
โดนทั้งหุ้นทั้ง short sale

ชาบูๆๆ จ้าวฮะ อิอิ

8758
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:15:56:58 น.  

 
 
 
นั่นมันไม่ได้ดูหุ้นแล้ว มันไปดูคนบ้าแล้วล่ะ
เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ คนดีที่ไหนเค้าเป็นกัน

อย่ามัวแต่ไปดูคนอื่นไม่ดูตัวเองล่ะ
ไอ้ที่เห็นคนอื่นเค้ามันอาจไม่จริงก็ได้
เค้าหลอกให้ติดตามชมเค้าไปแค่นั้นแหละ
โฆษณาจะได้เข้า

ของจริงเค้าไม่เอามาบอกหรอกเค้าเหยียบเอาไว้
 
 

โดย: เตชพโล IP: 171.98.103.78 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:05:20 น.  

 
 
 
set ปู่วันนี้ 1281.77 (-15.62 )

โวลุ่ม 28,228.09 ลบ.

--------------------
8444 รหัสส่งข้อความสวยวุ้ย หุหุ
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:13:02 น.  

 
 
 
ก็ดูคนบ้า ดิคะ
แร้วยังมีเผลออินไปคนบ้า ก็มีนะ ถึงได้ มันส์ ไงคะ
เอิ่ม ... ถ้าดูแร้วไม่อิน ก็ ชาบูๆ อะค่ะ
ดูไปนิ่งไป ก็เออ....เรียกว่า เจ๋ง ค่ะ
แบ่บว่าดูอารมณ์คนอื่นแร้วไม่เกิดวิตกวิจารณ์แปลว่า
อุเบกขา ชั้น1 แร้วอะ
เวลาดูตัวเองแล้วมันชอบนิ่งชอบหลับก็ต้องไปหาอะไรมันส์ๆ
สวนอารมณ์ให้มันตื่นๆมั่ง นิสนุง

5408 หุหุ


 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:17:51 น.  

 
 
 
บางคนเล่นหุ้นนี่ เขาบอกว่ารู้ว่าเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอกก็มี
โดยที่คิดว่าตัวเองจะกระโดดลงจากรถปั่นหุ้นได้ทัน
เวลามีคนจุดพลุหุ้นปั่นถึงได้เฮโลเข้าวังวนกะเขาง่ายๆ ไง
เขาถือคติว่าเป็นที่รู้กันว่า ใครลุกทีหลังก็จ่ายรอบวง
ก็ดูเขา หนุกๆ แก้ง่วง บางทีก็ได้ความรู้อีกด้วยนะ

1805 หุหุ
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:21:14 น.  

 
 
 
ระวังอย่าไปดูเขาแล้วหนุกจนเพลิน
แต่พอกลับมาดูตัวเองแล้วมาบ่นว่า
ทำไมมันถึงทุกข์ก็แล้วกัน
 
 

โดย: เตชพโล IP: 171.98.103.78 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:28:35 น.  

 
 
 
มีเม้นท์ ขำขำ
set ลงเพราะอะไรก็เหมือนๆเดิม
เม่าตกใจ เม่าขาย สุดท้าย กอง หรั่ง ปอบ ซื้อถูกมาขายเม่าแพงเหมือนเดิม
พอเม่าไล่ซื้อๆๆๆ กอง หรั่ง ปอบ ทะยอยขายๆๆๆ เม่าติดดอยเหมือนเดิม วนเป็นวัฎจักร

เฮ้อ ลงแค่นี้ไม่กี่อาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว ถ้าแน่จริง 1200 ไปเลยลวกเพ่

จากคุณ : นางฟ้ายังต้องมนต์
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I12841308/I12841308.html

4991 หุหุ
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:39:33 น.  

 
 
 
คุงเตชฯ รุป่าวว่า

สุข ทางโลก = ทุกข์ ทางธรรม
ตั้งกะ มันส์ เพลิน ก็หลุดจากนิ่งไปแร้ว อะ = สุขทางโลก
และ = ทุกข์ ทางธรรม = โดนกิเลสตัณหากินหัวไปแว้ว

มาหัดรู้สุขทุกข์ทางโลก ทดสอบบทเรียนทุกข์ทางธรรมไง
แต่ก็นะ อดเผลอไม่ได้ เสร็จโจรทุกทีซิน่า หุหุ

8978 หุหุ

 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:44:56 น.  

 
 
 
จะได้ฝึกให้ไม่ประมาทในชีวิตๆไง
เข้าใจ ทุกข์ทางธรรม
เข้าใจ อารมณ์ว่างเปล่า (อุเบกขา?)
กะ อารมณ์แบ่บพุ่งปรี๊ดขึ้นๆลงๆ ตื่นเต้น ห่อเหี่ยว เพลิดเพลิน

8760 หุหุ
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.112.3 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:16:49:30 น.  

 
 
 
ต้องเข้าครูอาจารย์ที่ท่านรู้ธรรมเห็นธรรมจริง ๆ
ท่านจะรู้หมดเราคิดอะไร เราเผชิญอะไรอยู่
บางเรื่องเรายังไม่ได้พูดอะไรเลย ท่านรู้แล้ว
ดุเราแล้ว เวลาเราจะนอกลู่นอกทาง ผมนี่โดนดุบ่อย
เรื่องของเรา เรายังไม่รู้เรื่องเลย แต่ท่านรู้เรื่องของเราหมด
มีอะไรจะเกิดขึ้นล่วงหน้าท่านไม่บอกหรอก
แต่ท่านจะพูดเป็นนัย แล้วคอยดูให้ดีจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเราพบท่านแล้วให้เข้าหาท่าน อย่าห่าง
หาเหตุไปหาท่านบ่อย ๆ

นี่ล่ะทางนึงที่จะทำให้เราไม่ประมาทในชีวิต
 
 

โดย: เตชพโล IP: 171.98.103.78 วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:17:17:36 น.  

 
 
 

แหะ ๆ จริง ๆ ตะคืน ก็ จิ้มดีดไปรอบนึงแระ
แต่ คอมฯดันเดี้ยง ตัวหนังสือ ที่ อุส่า จิ้มดีดไว้ยาวเป็นกิโล หายจ้อยยย
ก็เลย ตั้งใจว่าจะมานั่งจิ้มดีดใหม่ ในคืนนี้
แต่ก็มัวไปเพลิดเพลิน กับการ ปั่นกระทู้ตัวเอง ที่เวบพังจิตซะนี่
เลยติดลมดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว ก็ยังม่ะได้ มาแพล่ม ในบล็อก เยยย
ขออำภัย และ ขออนุญาต ผลัดวันประกันพรุ่ง ไปก่อนเน้ออ
คืนนี้ หมดแรงจิ้มดีด แระว่ะเธอว์ แหะ ๆ

อ่ะ เอาลิ้งค์นี้มาฝาก เพือเป็นการไถ่โทษ
แควน ๆ เจ้าขราาา ได้โปรดอย่างอล นู๋บีเรยน้าาา แหะ ๆ

//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I12820463/I12820463.html

++++++++++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14099 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 227 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 27 ตุลาคม 2555 เวลา:0:29:09 น.  

 
 
 
เอิ่ม....แม่นางตะละแม่เทียวเสี้ยม โปรดระวังรักษาสุขภาพ
ของคุงเกรียนเซียนนิ้วจรวด เดีอค่ะ ไม่ต้องรีบ
สีทนรอได้ อิอิ

เมื่อวาน เม่าสินธรเกิด panic sell เข้าทางจ้าวซะงั้น

เช้า -29 บ่าย -20 ปิดตลาด -14 ซะงั้น หุหุ

เห็นพญาเม่าร้องโอยกันเป็นแถว อึดมาได้ตั้งนาน
เจอ panic sell โกยเถอะโยมเข้าไป
พอขายปั๊บ หุ้นเด้งปุ๊บ เหมือนหนังม้วนเดิมๆ หุหุ
คนรอซื้อ LTF ก็บอกว่า จ้าวป๊อดดดด 55
บางคนเขารอเอากระบวยมาช้อนซื้อ LTF
ไม่สะใจปลวกน้อยเลย ง่ะ
คนรอซื้อก็อยาก.ให้ -100 -200 จุด ไป
คนมีหุ้นในมือก็โดนจ้าวปั่นเขย่าให้ขายถูกซื้อแพง
เป็นวัฏฏจักรไม่เข็ดกันเนอะ
จะมีซักกี่คนที่เหมือนป๋าบัฟเฟต ซื้อหุ้นทิ้งไว้เป็นปีๆ
ไม่ต้องสนใจ panic sell เลียนแบบป๋าเนี่ยพูดง่าย
แต่ทำยาก เนอะ แต่ป๋าบอกให้ซื้อตอนหุ้นถูกๆอีก
ตอนหุ้นถูกๆก็ไม่กล้าซื้อ มากล้าซื้อตอนแพงๆกันทั้งนั้น
สงสัย คงมีแต่จ้าวที่เข้าใจอารมณ์ของเม่า คิคิ
จ้าวเดาทางอารมณ์เม่าได้ถูกตล๊อดดดด หุหุ
โดนจ้าวกินเรียบทั้งขาขึ้นขาลง ซะงั้น

7495 หุหุ
 
 

โดย: อิอิ IP: 58.9.149.102 วันที่: 27 ตุลาคม 2555 เวลา:7:15:45 น.  

 
 
 
เอ่อ เค้าไม่ได้กลัวเรื่องหุ้นตก หรือไม่ตกนะ
แต่ช่วงนี้ เค้าไม่สะบาย

เดือนหน้าเค้ารับการผ่าตัด ที่โรงพยาบาล กรุงเทพธนบุรี
อ่ะ

คงจะหายไปนานเลย นะพี่น้อง
ขอบคุณสำหรับความรักความอบอุ่นนะ
5304
 
 

โดย: หลบภัย IP: 110.49.234.214 วันที่: 28 ตุลาคม 2555 เวลา:10:53:45 น.  

 
 
 
ขอให้พระคุ้มครองนะหลบนะ ขอให้ผ่าตัดราบรื่นสำเร็จผล
ตามต้องการนะ
4541
 
 

โดย: อิอิ IP: 58.9.75.245 วันที่: 28 ตุลาคม 2555 เวลา:11:32:15 น.  

 
 
 
ขอให้พระคุ้มครองนะหลบนะ ขอให้ผ่าตัดราบรื่นสำเร็จผล
ตามต้องการนะ
4541
 
 

โดย: อิอิ IP: 58.9.75.245 วันที่: 28 ตุลาคม 2555 เวลา:11:32:16 น.  

 
 
 




ขอความสันติสุข จงมีแด่ท่าน






ปอลิง 1
ขอ อนุญาต อวยพร ในเวอร์ชั่น อาบังสไตล์ นะจ๊ะ อินู๋หลบฯ
แบ่บว่า ช่วงนี้ อิตั้วเจ้นู๋บี มันนึกครึ้ม สนใจในเรื่องพรรณนี้ อ่ะ อิอิ


+++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14215 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 228 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:0:32:52 น.  

 
 
 
ปอลิง 2
อืม...อิหม่ามี๊ขราาาา เด๋วจามา ฝอย โตยน้าาา
แบ่บช่วงนี้ การศึกติดพัน ทั้งงานหลวงงานราษฏร์
แถม อาเหล่าม่า มันกะลังมันเขี้ยวก๊ะ การเล่นพิเรนทร์
ใน เกมส์ปั่นหัวหลอกจับตรูด ด.ช. สุมาอี้ อ่ะคร้าาา
ขออนุยาด ไปล่อเสือล่อตะเข้ แป๊บนึง เน๊าะ
ถ้า ไม่พลาดท่า โดนไอ้เจ้าชายหื่นหมื่นกามมันขย้ำคอหอยซะก่อน
คงได้มาเสวนาธรรม ก๊ะ อิหม่ามี๊ต่อ อ่ะคร้าาา แหะ ...แหะ....


ว่าแต่ ไหน ๆ ทั่นปลาไหลขงเบ๊
ก็มานั่งตีขิมอยู่ บนกำแพง ณ สุสานโบราณ แห่งนี้ แล้วนิ
จะมิช่วย ตะละแม่ เทียวเสี้ยม วิเคราะห์กลหมาก ซะหน่อย ฤา
ว่า ในหมากกระดานนี้ ใครจะเสร็จ ใคร ? ...เอ๊ย ใครจะมีชัยในการประลอง

เอ้า เอา ข้อมูลหลังไมค์ มาหั้ย อ่าน เพื่อ ประกอบการ ตัดสินใจ
ว่า ทั่นปลาไหลขงเบ๊ สมควรจะลงขัน แทงข้างใคร ดีเอ่ย ?
ระหว่าง ตะละแม่เทียวเสี้ยม ก๊ะ ด.ช. สุมาอี้ หุหุ
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:0:33:50 น.  

 
 
 











































From : เทียวเสี้ยม [28 ตุลาคม 2555 00:43]




อ้าววว ....เปิด อีแมว ดูแล้วหรือ เจ้าค่ะ
แหม๊ ? ดีจัง นี่น้องนู๋บียังนึก ๆ อยู่เรย
ว่า ถ้า ขี้เกียจเปิดดูใน อีแมว......
เทียวเสี้ยมคนนี้ อาจจะ ส่งสัญญาณควัน
ไปหั้ยที่ ....@.....com อ่ะค่ะหุหุ


เอาล่ะ ไหน ๆ วันนี้ อ่านหลังไมค์
ของทั้ง ทั่นสุมาอี แล ทั่น ตั๋งโต๊ะ
ก็ดูท่า ทั่นทั้ง สอง จา ก่งก๊ง ง๊งงง
ก๊ะสำบัดสำนวน ของ ตะละแม่ เทียวเสี้ยม
งั้น จะสรุปประเด็น ให้ฟัง อีกสักดอกส์ ก็แระกัน อิอิ

1.ไอ้ลิ้งค์ ที่ส่งไปให้ดูนั่นน่ะ
มันไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกคร้าาา
ก็แค่นึกครึ้ม อารมณ์ ประมาณ เจ้ามือป๊อกเด้ง
ที่อยากจะเปิดผ้าโชว์หน้าไพ่
ก่อนจะกินรวบรอบวงมั้ง อิอิ
แบ่บว่า เกทับบลัฟแหลกกกกกกกกก


เพราะ ไอ้รูป ที่ส่งไปให้ดูนั้น
มันก็คือ มุมมองในเรื่อง มหากาพย์แปลบาลี
ที่ อิฉัน ก๊ะ น้องชาย เคยวิเคราะห์ เอาไว้
เมื่อตอนนั่งบนภูดูพุทธกัดกัน ก็เท่านั้นแหล่ะ หุหุ


2. อนึ่งเนื่องจากมีใครก็ไม่รู้ เคยเลคเชอร์
แนะนำกลหมาก "แสร้งเดินทัพไปทางเหนือ แต่จู่โจมทางใต้"
ผสมกับ "ตีป่าให้เสือตื่น" และ "ตัดไม้ข่มหนาม" ให้ฟังนิ
อิฉัน เก๊าะเลย เกิด อารมณ์ ขันพิเรนทร์ อ่ะคร้าาา
เรยกะว่า จะลองเล่นงิ้ว สำแดงปาหี่
ตอนเทียวเสี้ยมตลบหลังสุมาอี้
ให้ประชาชีได้ทัศนา อิอิ


เฮ้ออ ในสามก๊ก นั้นน่ะ ทั้ง ตั้งโต๊ะ และ ลิโป้
ก็ยัง เสร็จ แม่นางเตียวฯ ทั้งสองคนเรยนิ
ถ้า ทำให้ สุมาอี้ เสร็จแม่นางเตียวฯ เพิ่มขึ้นมาอีกสักคน
เสน่ห์ของแม่นางเตียวฯ คงจะได้ โกอินเตอร์
แล สวย แจ่ม เจ๋ง ระดับ เวิล์ด คลาสส ว่ะเหอ...เหอ...


ส่วน ใคร คือ สุมาอี้ ที่ เสนอหน้า
เข้ามาเป็นหมากอีกตัวในกระดาน
อันนี้ ก็คิดเอาเองก็แระกันเน๊าะ
ขออนุยาดไม่เอ่ยนาม เพราะ มันขู่นู๋บีเอาไว้
ว่า ถ้าเอามันมาเปิดโปง มันจะโกรธ อิฉัน
แบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบคร้าา ( ทายซิ ครายเอ่ย ? อ่ะซิก ๆ )


3.ไว้ครึ้ม ๆ หลอย บัตร ปชช. หม่ามี๊
มาสมัครล็อกอิน ที่ พันติ๊ป ได้เมื่อไร น้องนู๋บี จาตั้งกาทู้
"อิฉันเริ่มมองเห็นความงดงามตามหลักอิสลาม เมื่อเปลี่ยนใจ ไปปฏิบัติธรรม "
ให้ อ่านน้าาาา นี่ ๆ .... ช่วยนั่งทางใน ดูให้ทีจิ
ว่า ถ้าตั้งกาทู้นี้ ขึ้นมา น้องนู๋บี จะมีหนุ่ม ๆ มุสลิมะ
มาสมัครเป็น แควนขับ เพิ่มขึ้น เท่าไร น้อออ? โฮ่ ๆ



โชคดี ( สำลีแปะหัว ) นะเจ้าคะ ทั่นสุมาอี้ ? 5555
















































From : สุมาอี้ [28 ตุลาคม 2555 04:38]




ฮ่ะฮ่า ..เตียวเสี้ยม เอ๋ย
เตียวเสี้ยม ...ระวังอย่าไปเสี้ยมเขาวัวแกว่งตูดล่อจะเข้มากนักเด้อ ...
เดี๋ยวเผลอโดนรุมแบบมวยหมู่แล้วตูดจะกลวงโบ๋บวมเป่งดูไม่จืด ขี้ไหลจ๊อกๆ
แบบไม่ต้องกินยาถ่าย ฮิๆๆ....

ขอเตือนว่าอย่าประมาทสุมาอี้(ซือ
หม่าอี๋)นะจ๊ะอีหนู...
รายนี้ขนาดเคยทำให้ขงเบ้งกระอักเลือดมาแล้วจนป่วยตายหลังจากนั้นไม่นาน ...
ไม่แค่นั้น ยังวางแผน ปูรากฐานให้ลูกหลานตัวเองเป็นใหญ่จนสำเร็จ คือ
เมื่อมาถึงรุ่นหลานที่ชื่อว่า สุมาเอี๋ยน(ซือหม่าเอี๋ยน)
ก็ได้ขึ้นเป็นใหญ่จนเป็นกษัตริย์ที่รวบรวมจีนได้ทั้งหมด ปราบได้หมดทุกก๊ก
แล้วตั้งราชวงศ์จิ้นขึ้นมา

( เฮอะๆ ว่าไปๆก็อยากล่อตูดอีนางเตียวเสี้ยมสักสองสามยก ...จะมีรสชาติจั๋งได แสบอีหลีบ๊อ?? )

ทีแรกนึกว่าจะให้ช่วยอะไน ที่แท้เป็นแค่โยนหินถามทาง ...งั้นก็ตามใจ

แต่จะล่อลวงซือหม่าอี้ ไม่ใช่ของง่ายนะ รายนี้เหมือนมังกรบนเมฆ เห็นหัวก็จะไม่เห็นหาง ถ้าเห็นหางก็จะไม่เห็นหัว ฮ่าๆๆ....








 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:0:34:42 น.  

 
 
 
Thank you for your concern.
And wishes them back to you.

7007
 
 

โดย: หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:8:32:37 น.  

 
 
 
ถามมาได้ไงวะคะ ว่าจะแทงข้างใคร หุหุ
ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องแทงข้างตะละแม่เทียวเสี้ยมอยู่แว๊วววว
ต่อให้ถึงขั้นแพ้หมดตรูด ก็จะแทงข้างแม่นางตลอดไป หุหุ

สุมาอี้...ผู้ชนะทุกก๊ก

พูดถึง"สามก๊ก"..บางคน"ลืม"ไปแล้วว่า สุดท้ายของการสู้รบ ใครชนะ !!!
คำตอบของสุดยอดวรรณกรรมโลกของจีนเรื่องนี้ มีประโยคหนึ่งสรุปได้ชัดเจน นั่นคือ .."เล่า โจ ซุน ต่อสู้แย่งชิงกันไปชิงกันมา สุดท้ายสุมาได้ครองแผ่นดิน”
ใช่แล้วครับ...สุดท้าย"สุมา" ได้ครองแผ่นดิน และชายผู้ชนะทุกก๊กก็คือ สุมาอี้ ...

วิกิพีเดีย..เขียนถึง"สุมาอี้"..ไว้ว่า
"สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้ (Sima Yi) (ค.ศ. 179-251) เป็นบุตรชายคนรองของสุมาฮอง ผู้ว่าการแห่งนครหลวงลั่วหยาง เป็นชาวอำเภออุน เมืองเหอเน่ย ( โห้ลาย ) มณฑลเหอหนาน มีชื่อรองว่า "ชงต๊ะ" มีลักษณะ แววตาแหลมเล็กคล้ายตาเหยี่ยว เป็นคนเฉลียวฉลาด ชำนาญตำราพิชัยสงคราม สุมาอี้เริ่มต้นจากการรับราชการตำแหน่งเล็กก่อนที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาธิการและแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม ความสุขุมลุ่มลึกของสุมาอี้นั้น ทำให้แม้แต่โจโฉยังไม่ไว้วางใจ และเคยเตือนบุคคลรอบข้างให้ระวังสุมาอี้ เมื่อโจโฉและโจผีสิ้นลง โจยอยได้ขึ้นครองราชย์ สุมาอี้ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก และเป็นคู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง.."
ใช่แล้วครับ..หลัง"จิวยี่"เสียชีวิต คนที่ขงเบ้งต้องต่อกรและพ่ายแพ้จน"ตรอมใจตาย"ก็คือ"สุมาอี้"คนนี้แหละ
"สงคราม"ระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้นั้น มีหลายครั้งหลายตอนที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ โดยครั้งหนึ่ง สุมาอี้เกือบตายเพราะแผนขงเบ้งที่หลอกกองทัพของสุมาอี้ไปใน"หุบเขาน้ำเต้า" โดยหวังจะสังหารสุมาอี้ทั้งกองทัพด้วยการคลอกไฟ พร้อมระเบิดภูเขาให้ถล่มทับทั้งหมด และทุกอย่างสำเร็จผล เมื่อสามารถลวงกองทัพสุมาอี้ไปในหุบเขาสำเร็จ แต่สุดท้าย...
"คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต"..เพราะระหว่างที่ดินระเบิดกำลังถล่มกองทัพของสุมาอี้นั้น ก็เกิดฝนตกหนักจนดับไฟ
สุมาอี้..จึงรอดตายเพราะสวรรค์เป็นใจ และกลับมารบจนชนะขงเบ้งถึงขั้น"จนมุม" ที่จุดยุทธศาสตร์เกต๋ง แต่กลับไม่ชนะเด็ดขาด เพราะเจอเกมลักไก่ของขงเบ้ง ที่"ขึ้นไปนั่งบนกำแพงแกล้งตีขิม พยักยิ้มให้ข้าศึกนึกฉงน" พร้อมเปิดประตูเมือง จนสุมาอี้ระแวงแล้วไม่กล้าบุกทัพเข้าไป ...ขงเบ้งจึงรอดตายในศึกนั้น
แต่สุดท้าย ขงเบ้งก็ต้องตรอมใจตายเพราะกลยุทธ์"ไม่รบด้วย" แต่ยังสร้างหุ่นหลอกสุมาอี้จนแตกทัพ โดยเจ้าตัวยอมรับว่า"ข้าพเจ้าไม่เคยแพ้คนเป็น แต่ต้องแพ้คนตาย"

ขงเบ้ง ..คู่ปรับตลอดกาลของสุมาอี้

น่าเสียดายที่หนัง"โจโฉแตกทัพเรือ" ไม่มีสุมาอี้ !!!
เหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นเมื่อ"สุมาอี้"ยอมมาเป็นขุนนางในกองทัพของ"โจโฉ"ในสถานะ"มหาอุปราช" ซึ่งเมื่อทำสงครามปราบปรามอ้วนเสี้ยวทางภาคเหนือสำเร็จจนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ควบคุมแผ่นดินภาคเหนือและกลางของประเทศได้ทั้งหมด โจโฉก็เตรียมตัวรุกลงใต้เพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว
สุมาอี้เป็นคนเดียวที่ค้าน ในฐานะ"เสนาธิการทหาร"ของโจโฉ !!!
"สุมาอี้"อธิบายว่า ตระกูลซุนแห่งง่อก๊ก ที่ปกครองภาคใต้นั้น มีความเข้มแข็ง และมีชัยภูมิดี ยากแก่การตีแตกได้ง่าย และที่สำคัญก็คือ กองทัพโจโฉก็เพิ่งจะปราบอ้วนเสี้ยวลงได้ ดังนั้น แม้จะอยู่ในช่วงฮึกเหิม แต่พลรบที่ได้มาจากอ้วนเสี้ยว ก็ยังไม่พร้อมที่จะทำการรบใหญ่กับพวกที่มีความเชี่ยวชาญพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำของง่อก๊กได้
แต่โจโฉก็ตัดสินใจยกทัพไป"เซ็กเพ็ก" หรือ"ผาแดง" เพราะที่ปรึกษาเก่าๆไม่ได้ทัดทานจนพ่ายแพ้กลับมา

โจโฉก็ระแวงคนๆนี้มาโดยตลอด !!!
ความจริงแล้ว โจโฉระแวงสุมาอี้ก่อนร่วมงานด้วยซ้ำ เพราะในปี ค.ศ.201 ขณะที่"สุมาอี้"มีตำแหน่งเป็น"ส้างจีหยวน"ในเมืองลำหยง "โจโฉ" ซึ่งเป็นซือคง(หัวหน้ากองโยธาธิการ) ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้ทำหนังสือมาเรียนเชิญสุมาอี้ ที่มีสายรายงานว่ามีสติปัญญา เดินทางไปเมืองฮูโต๋ เพื่อเลื่อนเป็นขุนนางใหญ่
แต่สุมาอี้ปฏิเสธ ...อ้างว่า"ป่วย" โดยบอกนายทหารของโจโฉไปว่า "บัดนี้ข้อแลกระดูกเราผิดประหลาดไป แต่จะลุกเดินให้จำเริญใจเป็นที่สบายก็ไม่ได้ ซึ่งจะให้ไปเป็นขุนนางอยู่เมืองหลวงนั้นเห็นขัดสนนัก.."
โจโฉได้รับแจ้งก็โกรธและคิดว่าสุมาอี้ไม่ยินดีร่วมงานด้วย จึงให้มือสังหารเข้าไปลอบฆ่าสุมาอี้ และเมื่อนักฆ่าปีนเข้าไปในบ้านสุมาอี้ ก็ย่องเข้าไปห้องนอนสุมาอี้ แล้วแทงดาบใส่สุมาอี้ ขณะที่สุมาอี้ที่เชื่อว่าโจโฉไม่พอใจและคงให้ทหารมาทำจะสังหารตัวเพื่อดูว่าป่วยจริงหรือไม่ก็นอนเฉย มือสังหารจึงกลับไปรายงานโจโฉ
อย่างน้อยนั่นทำให้โจโฉลดความระแวงลงไป..บ้าง ...แต่สุมาอี้ก็เพิ่มความระวังตัวมากขึ้น

กระทั่งปี ค.ศ.208 ทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่จึงได้ร่วมงานกัน
ในปีนั้น โจโฉเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น"ไจเสี่ยง" หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จึงให้มีโองการไปให้สุมาอี้เข้ามาเป็นที่ขุนนางเหวินเซียะหยวน ที่เมืองฮูโต๋ โดยคราวนี้ โจโฉสั่งความคนใช้ว่าเมื่อไปยื่นหนังสือให้สุมาอี้แล้ว หากเจ้าตัวบิดพลิ้วไม่ยอมมา ก็ให้จับตัวเอามาจงได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย
คราวนี้สุมาอี้เป็น"นกรู้" เชื่อว่าการเชิญตัวครั้งนี้ หากไม่ไปแบบ"คนเป็น"ก็ต้องไปแบบ"คนตาย" เพราะคราวนี้ โจโฉมีอำนาจใหญ่ในพระนครหลวง หากปฏิเสธจนโจโฉโกรธขึ้นมา ก็มีอำนาจสั่งตัดศีรษะในข้อหาขัดพระบรมราชโองการ สุมาอี้จึงออกจากเมืองโห้ลาย ไปเมืองฮูโต๋ รับราชการในตำแหน่ง"หวงเหมินซื่อหลาง"
แม้จะมาอยู่ใกล้ตัว แต่โจโฉก็ระแวงสุมาอี้ตลอด ถึงขั้นสุมาอี้ต้องแกล้งป่วยเพื่อให้โจโฉวางใจ ถึงขั้นแกล้งยอมกินฉี่กินอึของตัวเองเพื่อแสดงว่า"บ้าจริง" จนโจโฉยอมเชื่อ แต่ก่อนตาย โจโฉก็ยังสั่งโจผี บุตรชายที่สืบทอดอำนาจว่า"อย่าให้สุมาอี้คุมทหาร"



เมื่อโจโฉตาย ก็ถึงโอกาสที่สุมาอี้รอคอย...ไม่ว่าจะนานกี่ปี
โจโฉตายในปี ค.ศ.220 "โจผี" บุตรชายคนโตขึ้นสืบทอดอำนาจต่อ และสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์วุยฮั่น ชีวิตของ"สุมาอี้" ดูเหมือนจะดีขึ้น เพราะเขาสนิทสนมกับโจผี ในฐานะที่ปรึกษาคนสนิทมาก่อน จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะเสนาบดีที่คอยดูแลบ้านเมือง
แต่โจผีครองราชย์ไม่ถึง 10 ปีก็สิ้นพระชนม์ "โจยอย" ก็สืบราชบัลลังค์ต่อ แต่เนื่องจากเป็นฮ่องเต้ที่ลุ่มหลงในสุราและนารี และปกครองบ้านเมืองแบบโหดเหี้ยม จนมีขุนนางและประชาชนเริ่มต่อต้านตระกูลโจ และเมื่อโจยอยประชวร ก่อนตายก็ได้ฝากฝัง"โจฮอง" บุตรชายอายุ 9 ขวบให้สุมาอี้ดูแล พร้อม"โจซอง" บุตรชายของ"โจจิ๋น" อดีตแม่ทัพใหญ่ พระญาติใกล้ชิดที่เหลืออยู่ให้คอยดูแลควบคู่กัน แต่"โจซอง" ระแวงว่า"สุมาอี้"จะทำการใหญ่ จึงลิดรอนอำนาจด้วยการเลื่อนยศเขาให้ไปเป็นราชครู ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงแต่ไร้อำนาจทางทหาร
"สุมาอี้"รู้ตัว และ"ยอมรับ"พร้อมให้ลูกชาย 2 คนคือสุมาสูและสุมาเจียว ลาออกจากราชการฝ่ายทหารไปร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง และกลายเป็นขวัญใจประชาชน พร้อมซ่องสุมกำลังคนไว้อย่างลับๆโดย"โจซอง"ไม่รู้เรื่อง

อนุสาวรีย์สุมาอี้ที่เมือง ganzhou

"สุมาอี้"รอคอยนานถึง 8 ปีจึงลงมือ !!!
กระนั้นก็ตาม แม้จะถอนตัวจาก"วัง"ไปทำงานเป็น"ข้าราชการพลเรือน"นานถึง 8 ปี แต่ในปี ค.ศ. 249 โจซอง ก็ได้ส่งคนของตนไปตรวจสภาพของสุมาอี้ ซึ่งเจ้าตัวรู้ว่าคนของโจซองมาเยี่ยมที่บ้าน ก็แกล้งทำเป็นป่วยหนัก จนสามารถหลอกให้โจซองตายใจ และมั่นใจว่าหมดเสี้ยนหนาม โจซองจึงยกกองทัพออกไปล่าสัตว์นอกเมือง พร้อมทูลเชิญฮ่องเต้โจฮองไปด้วย
เมื่อทราบเรื่อง สุมาอี้จึงสบช่อง ยกกองทัพของตนที่ซ่องสุมไว้ประมาณ 3 พันคนลงมือทันที โดยให้"กุยห้วย" แม่ทัพคนสนิทที่เคยนำทัพสู้กับขงเบ้งที่กิสาน นำกำลังพลเข้าควบคุมสถานที่สำคัญในเมืองหลวง โดยได้รับความร่วมมือจากนายทหารคนเก่าแก่ที่เคยร่วมงานกัน และเมื่อควบคุมจุดสำคัญในเมืองหลวงได้หมด สุมาอี้ก็นำกำลังไปดักพวกโจซองไว้ที่หน้าเมือง แล้วให้สุมาสูและสุมาเจียว บุตรชายเข้าไปอัญเชิญประกาศกล่าวโทษโจซองจากไทเฮาถึงในตำหนัก เพื่อความชอบธรรมในการลงมือครั้งนี้
โจซองทราบเรื่อง เตรียมนำทัพเข้าสู้กับสุมาอี้ แต่สุมาอี้ส่งทูตเจรจาว่าต้องการยึดอำนาจการทหารคืนเท่านั้น หากโจซองยอมมอบตัวก็จะให้อยู่ต่อไปอย่างสุขสบาย แต่นั่นเป็นคำลวง เพราะสุมาอี้รู้ว่า หากจะตัดรากต้องถอนโคน จึงสั่งประหารญาติตระกูลโจ 7 ชั่วโคตร
การยึดอำนาจครั้งนี้ ประชาชนไม่ได้ต่อต้านสุมาอี้ เพราะที่ผ่านมา ชาวบ้านถูกโจซองใช้อำนาจผ่านฮ่องเต้กดขี่ต่อประชาชน
2 ปีต่อมา คือปี ค.ศ.251 สุมาอี้ก็ล้มป่วยและถึงแก่กรรมในวัย 72 ปี ก่อนที่สุมาเอี๋ยน หลานชายสุมาอี้ ได้ล้มล้างราชวงศ์วุยของตระกลโจ และขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์จิ้น นามว่า"พระเจ้าจิ้นหวู่ตี้" ในปี ค.ศ.265
และแผ่นดินจีนที่แตกเป็นสามก๊ก ก็ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวในปี ค.ศ. 280 ในปกครองของฮ่องเต้จากตระกูล"สุมา"

//www.oknation.net/blog/print.php?id=324452

ปล. ถึง สุมาอี้...จะเป็นผู้ชนะทุกก๊ก แต่ตะละแม่เทียวเสี้ยม
อิมะใช่ซาก๊ก นิหว่า หุหุ ถึงสุมาอี้จะแกล้งบ้าด้วยการกินอึ
กินฉี่ของตัวเองให้แม่นางเทียวเสี้ยมดู อิขงเบ๊บนกำแพง
ก็เชื่อว่าตะละเทียวเสี้ยมจะไม่แสดงอาการอ๊วกแตกออกมา
แน่นอน อิิอิ เพราะตะละแม่เทียวเสี้ยมนั้นอิมีสาระพัดพิษ
เป็นชาดตระกูล ไม่ซื่อบื้อบ่อมิไก๊อย่างตระกูลโจ หรอกมั๊ง

ถึงตะละแม่เทียวเสี้ยม ยอดเกรียนผู้ชนะทุกโลกเบี้ยว อิอิ
ไม่ได้แกล้งชม เน้อ คิดว่างี้จิงๆ นะเธอว์
ว่าแต่ว่า ท่านสุมาอี้ จะทนลูกบร้าของตะละแม่สุดยอดเกรียน
เทียวเสี้ยมท้ากินโลกเบี้ยวๆ ไปได้ซักกี่มื้ออีแมววะคะ
มะใช่ว่าพอหมดมุกทนฟามเกรียนมะไหว ก็มุดแผ่นดินหนี
ตะละแม่เทียวเสี้ยมไปเหมือนคนอื่นๆ อะเคอะ

5894 หุหุ
 
 

โดย: อิขงเบ๊บนกำแพง IP: 124.120.194.141 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:9:32:32 น.  

 
 
 
ราชวงศ์จิ้น - วิกิพีเดีย (ชะตากรรมของตระกูลซือหม่า)

//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99

3662 หุหุ
 
 

โดย: อิขงเบ๊บนกำแพง IP: 124.120.194.141 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:10:03:37 น.  

 
 
 
โถ ๆๆ อย่าเพิ่งงอล ซิจ๊ะ อิปลาไหลขงเบ๊ จ๋าาาา
ตะละแม่เทียวเสี้ยม มันก็โยนหินถามทาง
เพื่อสร้าง ฟามอุ่นใจให้กับตัวเอง ไปงั้นเองอ่ะ


และถึงแม้อิปลาไหลขงเบ๊จะเอาฟามจิงมาพูด
แต่ ตะละแม่เทียวเสี้ยมฟัง คำสรรเสริญเยินยอ เหล่านี้ แร้ว
มัน ก้ออดที่จะเขิล มิด้ายยยยยยยยย วุ้ยยยย ปลื้มซะไม่มี อิอิ


แหม๊ ? ชมกันระยะเผาขนงี้
เก๊าะต้องงัด กลหญิงงาม-นารีพิฆาต ออกมาโชว์ออฟ
อวด คนที่นั่งตีขิมอยู่บนกำแพง ซะหน่อย หุหุ













To : สุมาอี้ [29 ตุลาคม 2555 01:21]

แท้งกิ๋วเจ้าค่ะ ทั่นซือหม่าอี้ที่มีจิตคิดเป็นห่วงแม่นางเทียวเสี้ยม
เลย อุส่ามาเตือนให้ระวัง เรื่องจะโดนรุมแบบมวยหมู่ฯ

แหม ? พูกถึงรื่อง โดนรุมแบบมวยหมู่นี่
ฟังแล้วก็ให้นึกถึง ชะตากรรมอันรันทด
ของไอ้เด็กผู้ชายคนนึง อ่ะเจ้าค่ะ
เห็นมันเคยโม้เหม็นให้ชาวบ้านฟังว่า
เคยต่อยกับเด็กอิสลาม 1 ต่อ 5 มาแล้ว
(แต่ก็โดนรุมสะบักสะบอม เรย อ่า )


เนี่ยสงสัยว่า ตอนนั้น ไอ้หนูมันจะ "เจอดี"
โดนรุมแบบมวยหมู่แล้วตูดกลวงโบ๋บวมเป่งดูไม่จืด
ขี้ไหลจ๊อกๆ แบบไม่ต้องกินยาถ่าย
แบบที่ ทั่นซือหม่าอี้ ทำนายไว้ มั้ง
พอโตขึ้นมา มันก็เลยมีความหลังฝังใจ
เลยเก็บกด ชอบทำตัวเป็น กาเฟร์ ผู้ชั่วร้าย
เป็น มุนาฟิก ผู้ กลับกลอก
เที่ยวไล่กัด เหล่ามุสลิมะสายเลือดบริสุทธิ์ ผู้ได้รับพร ฮิๆๆ


แต่ทั่นซือหม่าฯไม่ต้องกลัวหรอก
ว่า ตะละแม่เทัยวเสี้ยม จะมีชะตาอันรันทด
แบบไอ้เด็กชายผู้อาภัพ คนนั้น
ใจแบบหมาขี้เรื้อน กับใจสิงโตย่อมเทียบกันไม่ได้ ฉันใด
การเอา สาวสวยหัวใจสิงห์ ไปเปรียบเทียบก๊ะ ดช.ใจหมาขีเรื้อนคนนั้น
ย่อม เป็น การ มิบังควร โฮ่ ๆ

เฮ้ออ โบราณทั่นว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนนี่นะ
ไงก็วานทั่นซือหม่าฯ ไปบอก เจ้าของดาบฟ้าฟื้นสนิมเขรอะ ให้ทีเถิด
ว่า อันสุดยอดอาชา อย่างม้าเซ็กเทาว์ นั้นน่ะ
ไม่ใช่ ม้าสิ้นคิดกระจอก ๆ แบ่บม้าสีหมอก นะเจ้าคะ
จะ ได้ หลับหูหลับตา หั้ย ตาสีตาสาที่ไหน ก็ได้มาขึ้นขี่
สวยเลือกได้อย่างพวกเรา อ่ะนะ ต้องดีกรี ระดับ ทั่นกวนอู เท่าน้านน ที่คู่ควร


ถ้าห่วยแตก แบบ ผัว อิเจ้บัวคลี่ พ่อไอ้เจ้ากุมารทอง
หรือ ไอ้พวกใจหมาขี้เรื้อน ขี้ขลาดไม่ยอมรบ
ชอบสวมกระโปรงอยู่กับบ้าน แบบ คนบางคน
ก็เชิญนั่งฝันเปียก เอ๊ย ฝันกลางวัน ไปเถิดเจ้าค่ะ
ชาตินี้ทั้งชาติ ก็มิมีวาสนาได้ควบขี่
ว่า ม้าเซ็กเทาว์นั้นมัน แซ่บอีหลี ขนาดไหน ? โฮ่ ๆ

เอ้า แวะเอา ลายแทง สุสานโบราณ มาฝาก

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=10-2012&group=1&date=18&gblog=14

ตอนนี้ ตะละแม่เทียวเสี้ยม กะลังให้ ทั่นปลาไหลขงเบ๊
วิเคราะห์กลหมาก ในกระดาน ให้อยู๊ ว่า ใคร จะเสร็จใคร ? หุหุ










 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:10:24:50 น.  

 
 
 
+++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14237 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 228 ครั้ง
+++++++++++++++++
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:10:29:42 น.  

 
 
 
คัดลอกบทความคนอื่นมาบางส่วน เนาะ
ขงเบ้ง สุมาอี้ สุมาเต็กโช ใครเก่งกว่ากัน ?
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าในเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งเก่งที่สุด
แต่จากการอ่านหนังสือสามก๊ก ผมทราบว่ามีอยู่คนหนึ่งซึ่งเล่าปี่บังเอิญไปพบเข้าก่อนที่จะพบขงเบ้ง (ตอนที่หนีชัวมอ ออกจากเมืองซงหยงขี่มาเต๊กเลา ข้ามแม่น้ำตันเข) ชื่อว่า "สุมาเต็กโช"
ผมเดาว่าต้องเป็นอาจารย์ของขงเบ้งอีกทีหนึ่ง เพราะเมื่อเล่าปี่ปรึกษาเรื่องกุนซือหรือที่ปรึกษา สุมาเต็กโชกล่าวว่า "ฮกหลงหรือฮองซูหากได้ใครไปคนหนึ่งก็จะทำการใหญ่ได้สำเร็จ" (ฮกหลงคือขงเบ้ง ฮองซูคือบังทอง)

พอเล่าปี่กลับมาเมืองซินเอี๋ย ได้ซีซีมาเป็นที่ปรึกษา แต่โดยอุบายของเทียหยกที่ปรึกษาโจโฉ ปลอมหนังสือของมารดาให้ชีชีไปเมืองฮูโต๋ (เมืองหลวงของราชวงค์ฮั่นในสามก๊ก) ทำให้ซีชีต้องเดินทางไปหาโจโฉ เมื่อชีชีไปแล้ว สุมาเต็กโชได้มาหาเล่าปี่ที่เมืองซินเอี๋ย พอทราบว่าชีชีไปหา โจโฉ ก็กล่าวว่า "ถ้าชีชีไม่ไปมารดาจะไม่ตาย เมื่อชีชีไปมารดาก็จะตาย" (เพราะมารดาต้องการให้ชีชีอยู่กับเล่าปี่มากกว่าโจโฉ)

อีกตอนหนึ่งตอนที่ขงเบ้งมาอยู่กันเล่าปี่ สุมาเต็กโชกล่าวว่า "ขงเบ้งจะได้นายก็ดีแล้ว แต่น่าเสียดายที่เล่าปี่เป็นคนอาภัพ และขงเบ้งจะกระอักเลือดตาย" ผลสุดท้ายขงเบ้งก็รากเลือดตายเมื่อตอนอายุ 54 ปี เมื่อคราวบุกกิสานครั้งที่ 6 รบกับสุมาอี้ (ภายหลังตระกูลสุมา คือ สุมาเอี๋ยน ลูกของสุมาเจียว หลานสุมาอี้ ได้เป็นฮ่องเต้ราชวงศ์จิ้น รวมสามก๊กมาเป็นก๊กเดียวได้สำเร็จ)

ขงเบ้งรู้ก่อนออกจากกระท่อมน้อยแห่งเขาโงลังกั๋งว่า แผ่นดินจะแยกเป็นสามก๊ก แต่สุมาเต็กโชนั้นรู้ก่อนที่ขงเบ้งไปทำงานกับเล่าปี่ว่า ขงเบ้งจะรวมสามก๊กเป็นก๊กเดียวไม่ได้ และจะกระอักเลือดตาย

//www.gotoknow.org/blogs/posts/5099

จูกัดเหลียง - วิกิพีเดีย (ชะตากรรมขงเบ้ง)
จูกัดเหลียงมาเป็นที่ปรึกษาให้แก่เล่าปี่จากการได้รับคำแนะนำจากชีซี และคำกล่าวยกย่องจูกัดเหลียงและบังทองจากสุมาเต๊กโช ซึ่งถ้าเล่าปี่ได้บุคลหนึ่งในสองนี้เป็นที่ปรึกษา จะสามารถทำการใหญ่กอบกู้แผ่นดินได้สำเร็จ โดยเล่าปี่ต้องดั้งด้นเดินทางท่ามกลางอากาศหนาวเย็น และเข้าคำนับผิดคนที่มีท่าที่และการเจรจาที่ฉลาดเฉลียวมาตลอดเส้นทางด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นจูกัดเหลียง เล่าปี่มาหาจูกัดเหลียงด้วยใจศรัทธาถึงกระท่อมไม้ไผ่ที่เขาโงลังกั๋ง ถึง 3 ครั้ง 3 คราก็ไม่พบตัวจูกัดเหลียงแม้แต่ครั้งเดียว
จูกัดเหลียงเป็นผู้ชอบลองนิสัยของบุคคล ยิ่งเห็นเล่าปี่ศรัทธาในตนยิ่งนักจึงแกล้งลองใจเล่าปี่ด้วยการหลบออกจากบ้าน และแกล้งให้เด็กรับใช้แจ้งแก่เล่าปี่ว่าตนไม่อยู่บ้าน และครั้งสุดท้ายบอกว่าตนนอนหลับ เล่าปี่ก็ไม่ละความพยายามในความอุตสาหะที่จะเชิญตัวจูกัดเหลียงไปอยู่ด้วย เมื่อจูกัดเหลียงนอนหลับจึงมายืนสงบที่ปลายเท้าด้วยกิริยาสำรวมรอคอยจนกระทั่งจูกัดเหลียงตื่น และได้สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เล่าปี่เอ่ยปากเชิญจูกัดเหลียงไปอยู่ด้วยกันเพื่อกิจการบ้านเมือง จูกัดเหลียงเห็นความมานะพยายามของเล่าปี่รวมทั้งอุปนิสัยใจคอและการเป็นคนอาภัพวาสนา จึงยอมไปอยู่ด้วย ซึ่งขณะนั้นจูกัดเหลียงมีอายุได้เพียง 26 ปีเท่านั้น

บังทองเป็นเพื่อนสนิทของจูกัดเหลียงตั้งแต่สมัยเรียน โดยที่สุมาเต็กโช ปราชญ์ในสมัยนั้นยกย่อง 2 คนนี้ว่า เป็นดัง มังกรซุ่ม-ฮกหลง และ หงส์ดรุณ-ฮองซู ซึ่งฮองซูคือบังทองนี่เอง ตัวจูกัดเหลียงยังยกย่องว่าบังทองฉลาดกว่าตน 10 เท่า ในครั้งที่จิวยี่ตายจูกัดเหลียงได้ไปพบกับบังทองเพื่อชักชวนไปทำงานกับเล่าปี่ เมื่อบังทองได้รับราชการกับเล่าปี่ และได้เป็นทัพหน้าในการตีเมืองเสฉวน ระหว่างการรบ จูกัดเหลียงได้ส่งจดหมายมาเตือนเล่าปี่ว่า ดาวศุกร์ขึ้นเหนือเมืองลกเสีย เป็นลางว่าจะเกิดอันตรายกับแม่ทัพคนสำคัญ เล่าปี่จะยกทัพกลับ แต่บังทองคิดว่าจูกัดเหลียงอิจฉาที่ตนกำลังจะได้ผลงาน จึงห้ามมิให้เล่าปี่ถอยทัพกลับ จนในที่สุดบังทองจึงเสียชีวิตที่เนินหงส์ตก เมื่อจูกัดเหลียงทราบข่าวการตายของบังทองก็ร้องไห้อาลัยในตัวบังทอง ทำให้เกิดการถกเถียงกันว่าขงเบ้งเก่งกว่าบังทอง

จูกัดเหลียงเป็นผู้รอบรู้สรรพวิชาอย่างถ่องแท้ มองจิตใจคนทะลุปรุโปร่ง ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำ จึงสามารถล่วงรู้ได้ถึงสภาพดินฟ้าอากาศ สามารถเรียกลมได้ ผู้คนจึงกล่าวขานว่าเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้า

บั้นปลายชีวิตจูกัดเหลียงเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ จูกัดเหลียงสิ้นอายุเมื่อได้ 54 ปี (จูกัดเหลียงฉบับการ์ตูนบอกว่าสิ้นอายุเมื่อตอน 52 ปี) บนรถม้ากลางสนามรบ ในหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เขียนไว้ดังนี้

ครั้นเวลาค่ำ จูกัดเหลียงอุตส่าห์เดินออกไปดูอากาศ เห็นดาวสำหรับตัว มันเศร้าหมองกว่าแต่ก่อน ก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก จึงพาเกียงอุยเข้าไปที่ข้างในแล้วว่า "ชีวิตเรานี้ เห็นทีจะตายในวันพรุ่งนี้แล้ว" เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามว่า "เหตุใดมหาอุปราชจึงว่า ฉะนี้" จูกัดเหลียงจึงว่า "เราพิเคราะห์ดูอากาศ เห็นดาวสำหรับตัวเราวิปริต จึงรู้ว่าสิ้นอายุแล้ว" เกียงอุยเสนอให้จูกัดเหลียงทำพิธีต่ออายุ ด้วยการตั้งโต๊ะบูชาเทพยดาและจุดโคมเสี่ยงทายอายุ ถ้าไฟโคมยังสว่างไสวตลอดพิธีจะมีอายุยืนยาวได้อีกสิบสองปี แต่ถ้าไฟโคมดับก่อนเสร็จพิธี ชีวิตก็จะสิ้นสุด จูกัดเหลียงคิดถึงภาระหน้าที่และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเล่าปี่ว่าจะรวบรวมแผ่นดินถวายคืนสู่ราชวงศ์ฮั่น จำต้องทำพิธีต่ออายุแต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้น เมื่อนายพลอุยเอี๋ยนผลีผลามเข้ากระโจมเพื่อรายงานว่าสุมาอี้ส่งทัพมาท้ารบ ได้เตะเอาโคมเสี่ยงทายล้มไฟโคมดับ"

เรื่องการดูดาวประจำตัวนั้นจูกัดเหลียงรู้แต่สุมาอี้ก็รู้ สุมาอี้ต้องการยืนยันความรู้ของตนว่าจูกัดเหลียงใกล้ตายแล้วหรือไม่ด้วยการส่งทัพมาท้ารบ ถ้าทัพจูกัดเหลียงออกสู้ แสดงว่าจูกัดเหลียงยังไม่เป็นอะไรถ้าไม่สู้แสดงว่าจูกัดเหลียงแย่แล้วจะได้ตีซ้ำบดขยี้ทัพจูกัดเหลียงให้แหลกลาญ จูกัดเหลียงรู้ทันความคิดแม้รู้ว่าชีวิตจะสิ้นยังคงสติได้ดีสั่งให้ทหารออกปะทะขับไล่ทัพสุมาอี้ถอยไปตามเดิม
ถึงจูกัดเหลียงลาลับดับโลก แต่ยังได้ทำพิธีรักษาดวงดาวประจำตัวไม่ให้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นการขู่สุมาอี้ มิให้ตามโจมตีเวลาถอยทัพ ซึ่งอุบายนี้สามารถรักษาชีวิตทหารของตนได้หลายหมื่น และยังทำให้อาณาจักร จ๊กก๊ก (ของเล่าปี่) ยืนยาวอยู่ได้อีกกว่ายี่สิบปี พระเจ้าเล่าเสี้ยนโศกเศร้าเสียพระทัยมาก ศพของจูกัดเหลียงถูกฝังอยู่ที่เชิงเขาเตงกุนสัน ปากทางเข้าเสฉวน
ภายหลังจากที่จูกัดเหลียงสิ้นชีวิตไปแล้ว 29 ปี เมื่อเตงงายแม่ทัพของวุยก๊กได้ยกทัพผ่านมาทางเขาเหยียดฟ้าปากทางเข้าเมืองเสฉวนอีกทาง ได้พบกับป้อมค่ายที่ร้างบนเขาซึ่งปราศจากทหารดูแลเมื่อจูกัดเหลียงสิ้นชีวิตไปแล้ว ซึ่งจูกัดเหลียงทำนายว่า ในอนาคตข้างหน้าจะมีแม่ทัพของวุยก๊กยกทัพผ่านทางนี้จึงให้เฝ้าระวังไว้ และเมื่อจงโฮยแม่ทัพวุยก๊กอีกคนที่ยกทัพผ่านมาทางเขาเตงกุนสัน นอนหลับไปฝันเห็นว่าจูกัดเหลียงมาเข้าฝันว่า เมื่อยกทัพเข้าเสฉวนได้แล้วขอให้ไว้ชีวิตราษฎร ซึ่ง จูกัดเจี๋ยม ที่เป็นแม่ทัพคนหนึ่งของจ๊กก๊กได้เข้าต่อต้านทัพวุยและก็เสียชีวิตพร้อมบุตรชายตัวเองในครั้งนี้ด้วย ปัจจุบันมีศาลเจ้าจูกัดเหลียงและเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย และบรรดาขุนพลของจ๊กก๊กที่เมืองเฉินตู มณฑลเสฉวน ซึ่งได้รับการบูรณะในปีที่ 11 ของรัชสมัยจักรพรรดิคังซีของราชวงศ์ชิง

//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87

8235
 
 

โดย: อิขงเบ๊บนกำแพง IP: 124.120.194.141 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:10:31:04 น.  

 
 
 
คำคม สุมาอี้
"ข้าพเจ้าไม่เคยแพ้คนเป็น แต่ต้องแพ้คนตาย"
"เลี้ยงทหารพันวัน ใช้ในสงครามวันเดียว"

คำคม ขงเบ้ง
"ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
"คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต"
"นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ"
"เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี"
"ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้"
"น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น"
"ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่"

//www.baanjomyut.com/10000sword/2548/kongbeng.html

คำคม โจโฉ
"ข้าพเจ้ายอมทรยศโลก ดีกว่าให้โลกทรยศข้าพเจ้า"
"ความหยิ่งด้วยความโง่ ไม่มีค่าเหมือนผู้ที่หยิ่งด้วยความฉลาด"
"ซึ่งจะมาถืออิศริยศในท่ามกลางศึกดังนี้ไม่ควร"

//thai__samkok.igetweb.com/index.php?mo=3&art=500058

คำคม เล่าปี่
"ธรรมดาภรรยาอุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วก็จะหาได้ พี่น้องเหมือนแขนซ้ายขวา ขาดแล้วยากที่จะต่อได้"
"ธรรมดาเกิดมาเป็นชาติทหารแล้ว ถ้าจะเสียทีก็อย่าเป็นทุกข์ ถึงจะได้ทีก็อย่ายินดี"
"ความโกรธความยินดี มิได้ปรากฏออกมาภายนอก"
//thai__samkok.igetweb.com/index.php?mo=3&art=500060

คำคม กวนอู
"ตัวเราก็มิได้รักชีวิต อันความตายอุปมาเหมือนนอนหลับ"
"เราเป็นชายชาติทหารชาวเมืองไก่เหลียง อันพระเจ้าเล่าปี่ก็ได้ให้สัตย์ปฏิญาณเป็นพี่น้องกัน จะสู้เสียชีวิตด้วยกัน อันเราจะกลับไปเข้าด้วยกับศัตรูนั้นหามิได้ ถึงเราจะแพ้ก็ขอตายด้วยความสัตย์ ขึ้นชื่อว่าแก้วแล้ว ถึงจะแตกทำลายก็ไม่หายชื่อ อนึ่งชาติไม้ก็คงเป็นไม้หากลายเป็นอื่นไม่ ถึงตัวเราจะตายก็ให้ปรากฏชื่อไปภายหน้า ท่านอย่าพักว่าไปเลย จงกลับไปบอกซุนกวนเถิด เราจะขอทำสงครามด้วยท่านกว่าจะสิ้นชีวิต"
//th.wikiquote.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B9

3568

 
 

โดย: อิขงเบ๊บนกำแพง IP: 124.120.194.141 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:11:12:21 น.  

 
 
 
ข- มิ่งมงคล ร้อยรัดคติจีน 2 ขงเบ้ง คำคมขงเบ้ง

1. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย

เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส

เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้ แล้ว "ลิขิต ฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

2. นกทำรังให้ดูที่ไม้ ข้าเลือกนายให้ดูที่น้ำใจ

3. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

4. ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

5. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

6. ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

7. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิตจะไม่คิดได้อย่างไร

8. เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่

ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียว กับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

9. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

10.ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง

ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

11.อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

12.เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่" หรือ "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"

เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"

เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูตเพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

13.เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ"

หล่อนมีความหมายว่า "ใช่" หรือ "ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่" หรือ " ได้"

หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี.สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ

14.คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

15.ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน

16.คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต


จาก //www.pantown.com/board.php?id=4057&name=board1&topic=577&action=view
//hakkapeople.com/book/export/html/268

6639 หุหุ
 
 

โดย: อิขงเบ๊บนกำแพง IP: 124.120.194.141 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:11:22:17 น.  

 
 
 
จากคำคมของท่านขงเบ้ง นำมาโยนิโสแล้ว พบว่า...

สงสัย อิอ่อน กะ ตะละแม่เทียวเสี้ยม จะไม่ใช่สตรี กระมัง 55

6674 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.194.141 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:11:26:43 น.  

 
 
 
เอเยนซี - สามีชาวจีนชนะคดีฟ้องหย่าภรรยา พร้อมได้รับค่าเสียหายชดเชยเป็นเงิน 75,000 ปอนด์ โดยเขากล่าวหาว่า ถูกเธอหลอกลวงให้หลงรักด้วยเข้าใจผิดว่า เธอมีใบหน้าสวยและยอมแต่งงานด้วย

รายงานข่าวระบุ (28 ต.ค.) ว่า นายเจียน เฟิง สามีชาวจีน ตกใจมากเมื่อเห็นลูกของตนที่คลอดออกมาหน้าตาน่าเกลียด แตกต่างจากเขาและภรรยาเป็นอย่างมาก เจียนเฟิง ได้กล่าวหาภรรยาของตนว่า ทำศัลยกรรมใบหน้าหลอกลวงเขาตลอดว่ามีหน้าตาสวยงาม จนเขาหลงรักยอมแต่งงานด้วย

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000131828

เมื่อความจริงปรากฏ - -"
ก็กลายเป็นเรื่องเศร้าของแม่และลูก ซะงั้น

9989
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.194.141 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:11:56:26 น.  

 
 
 
ทีหลังก็บอกไปว่า ถึงเราหน้าไม่สวย
แต่ใจเราสวยมาก เว้ย ดีป่ะคะ


8402 เอ่อ ทะเบียนรถเยย
 
 

โดย: หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:12:36:05 น.  

 
 
 
เออนี่ ๆ อิหม่ามี๊เจ้าขราาาาวานช่วยหาให้ทีจิ ว่า
บัณฑิต คนใด ในสามก๊ก น๊ออ
ที่ปฏิเสธการไปเป็น กุนซือหญ่าย
แต่สมัครใจ ปลีกวิเวกไปอยู่ในบ้านนอกคอกนา
แล้ว ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจนถึงบั้นปลาย?


จำได้เลา ๆ ว่า เมื่อหลายปีก่อน
เคยได้ยิน อิปลาไหลมันเปรย ๆไว้
แต่จำชือ บัณฑิต คนนั้น บ่ได้แร้วอ่า
น่านะ ช่วยมาเฉลยให้ฟังที
เผื่อ ครึ้ม ๆ อาเหล่าม่านู๋บี จะได้ เอาไปยำรวม
แล้ว ตั้งกาทู้ ธรรมะ ก๊ะ สามก๊ก อิอิ


ปอลิง

บ่ายนี้ ขึ้นเวรเมคมันนี่ อีกแระจร้าาาาาาา
ม่ะรู้ว่า จาแอบอู้งาน มาเม้าท์ด้วยได้ปล่าวเด้อออ แหะ ๆ

++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14242 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 228 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:13:20:53 น.  

 
 
 
Tfex. 29/10/2012 อ้างอิงจาก
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=trade4u&month=10-2012&date=29&group=1&gblog=320

นลท.ต่างชาติ Net short sale เยอะ สงสัยตลาดหุ้นจะติดลบ
หรือ ขึ้นๆลงๆ ผันผวน ออก side way หรือ side down
ไปอีกหลายๆวัน จะลองเป็นหมอดูตลาดหุ้น กะเขามั่ง หุหุ

ไม่รู้ใครคิด Tfex. future ขึ้นมา ตลาดหุ้นก็เลยกลายเป็น
ตลาดขาใหญ่สัมบูรณ์กินขาย่อยทั้งขึ้นทั้งล่อง
ไปซื้อ short sale ไว้ล่วงหน้าแล้วกระหน่ำขายหุ้นให้
set มันลง ได้กำไรจาก short sale แถมยังกำเงินที่ขายหุ้น
ไปช้อนซื้อหุ้นราคาถูกกว่าตอนขายออกไปอีก
คนไม่รู้ก็โดนขาใหญ่ กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว หุหุ
สตอรี่จะเป็นแบบนี้รึป่าวไม่รู้ เดาๆเอา

มีคนได้ตังค์ ก็ต้องมีคนเสียตังค์
zero sum game have no win win !!!

6247
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.79.156 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:13:33:32 น.  

 
 
 
เรื่องบัณฑิตที่ไม่ชอบรับราชการในสามก๊ก ก็น่าจะเป็น
สุมาเต็กโช มั้ง ไม่รู้จะใช่คนที่อิปลาไหลมันเปรยๆรึป่าวนะ

สุมาเต็กโช - วิกิพีเดีย
สุมาเต็กโช ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อเล่าปี่โผนม้าเต็กเลาหนีการตามล่าของชัวมอและเตียวอุ๋น ลูกน้องของเล่าเปียวจากเมืองเกงจิ๋ว ระหว่างที่เดินทางหนี เล่าปี่ได้พบเห็นวิถีชีวิตชาวนาธรรมดา เล่าปี่จึงถอดถอนหายใจว่า เหตุใดเราจึงไม่มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายเช่นคนเหล่านี้ ขณะนั้นมีเด็กชายคนหนึ่งเป่าขลุ่ยขี่ควายผ่านมา เด็กคนนั้นทักเล่าปี่ว่า ท่านใช่เล่าปี่หรือไม่ จนเล่าปี่รู้สึกประหลาดใจว่า เหตุใดเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่งถึงรู้จักตน เด็กชายขี่ควายจึงบอกว่า อาจารย์ของตนคือ ท่านสุมาเต็กโช บอกว่า ผู้ที่ขี่ม้าสีขาวผ่านมาคือ เล่าปี่และอีกไม่นานจะต้องผ่านมาทางนี้ จึงให้ข้าพเจ้าออกมาต้อนรับ
เมื่อเล่าปี่ได้พบกับสุมาเต็กโช ในกระท่อม สุมาเต็กโชแกล้งแหย่ถามเล่าปี่ว่า ท่านก็ทรงคุณธรรม เหตุใดถึงยังตั้งตัวไม่ได้ เล่าปี่ตอบว่า เพราะไม่มีเมืองอาศัยเป็นของตนเอง สุมาเต็กโชจึงว่า ที่ท่านยังไม่มีเมือง ไม่อาจตั้งตนได้ เห็นเป็นเพราะยังไม่มีที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำมากกว่า เล่าปี่ตอบว่า ก็ข้าพเจ้ามีซุนเขียนและบิต๊กอยู่แล้ว แต่สุมาเต็กโชแย้งว่า ซุนเขียนและบิต๊กเป็นเพียงบัณฑิตผู้รู้หนังสือธรรมดา ๆ ยังไม่อาจเป็นปราชญ์ผู้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ เล่าปี่จึงสำนึกขึ้นได้และถามสุมาเต็กโชว่า แล้วจะหาปราชญ์ที่ปรึกษาได้ที่ใด สุมาเต็กโชตอบว่า ในแผ่นดินขณะนี้มีเพียงปราชญ์ 2 คนเท่านั้นที่จะช่วยท่านพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ เมื่อเล่าปี่ถามว่าใคร สุมาเต็กโชหัวเราะไม่ตอบ แต่เทน้ำจากกาเขียนตัวอักษรลงบนโต๊ะ คำว่า "ฮงหลง" กับ "ฮองซู" พอให้เล่าปี่เห็น แล้วลบออก
หลังจากที่ชีซีจากเล่าปี่ไปแล้ว และแนะนำขงเบ้งให้เล่าปี่ พร้อมเฉลยปริศนาของคำว่า ฮกหลง ฮองซู แก่เล่าปี่แล้ว สุมาเต็กโชแวะมาหาเล่าปี่ และถามถึงชีซี เล่าปี่เล่าว่า ชีซีต้องไปอยู่กับโจโฉ เพราะแม่ของชีซีถูกบังคับจากโจโฉ สุมาเต็กโชอุทานว่า ชีซีโดนหลอกเข้าให้แล้ว นี่เป็นอุบายของโจโฉ ถ้าชีซีไม่ไปแม่เขาจะไม่ตาย แต่ถ้าชีซีไปแม่เขาต้องตายแน่นอน เพราะนางนั้นเกลียดโจโฉมาก เมื่อรู้ว่าลูกชายตนต้องอุบายโจโฉ นางจะเกิดความอับอายจนฆ่าตัวตาย พร้อมกับอุทานว่า "เสียดายที่ชีซีไม่ได้นายที่ดี น่าเสียดาย...น่าเสียดาย" ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามคำที่สุมาเต็กโชกล่าวทุกประการ

//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%8A

เล่าปี่เห็นสุมาเต๊กโชไม่ตอบคำและไม่แสดงความนัยแห่งปริศนา ได้แต่หัวเราะและกล่าวแต่คำว่า “ดีแล้ว” ดังนั้นก็เสียใจ เกิดความรู้สึกเหมือนดั่งศิษย์ที่ครูไม่ยอมบอกวิชา แล้วกล่าวขึ้นด้วยความน้อยใจว่า “ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความปรารถนาจะทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุขก็ยังไม่สำเร็จ ถ้าได้ท่านผู้ประกอบไปด้วยสติปัญญาฉะนี้ไปเป็นที่ปรึกษาคิดอ่าน เห็นแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเริญ”

เล่าปี่อับจนปัญญาในการแสวงหาที่ปรึกษา ทั้งไม่แจ้งว่าฮกหลงและฮองซูเป็นผู้ใด หรือแม้แต่แขกผู้มาเยือนในยามวิกาลว่าเป็นใคร จึงคุกเข่าลงคำนับสุมาเต๊กโชแล้วว่า “ขอเชิญท่านไปทำราชการกับข้าพเจ้าเหมือนช่วยทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย”

สุมาเต๊กโชได้ยินเล่าปี่กล่าวดังนั้นก็มีน้ำใจสงสาร ก้มลงประคองเล่าปี่ให้ลุกขึ้นแล้วว่าตัวข้าพเจ้าเป็นชาวป่าชาวดง มีความรู้แลสติปัญญาน้อยนัก ไม่ถึงขั้นที่จะเป็นกุนซือช่วยเหลือท่านคิดการกอบกู้แผ่นดินได้ เพราะรู้ดีดั่งนี้จึงไม่อาจไปทำราชการอยู่ด้วยท่าน อันผู้มีสติปัญญามากกว่าข้าพเจ้าและสามารถเป็นกุนซือให้กับท่านได้นั้นมีอยู่ และอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลสุดสายตาท่านเท่าใดดอก จงตั้งใจสุจริตสืบเสาะหาก็คงจะพบสมความปรารถนา

//www.paisalvision.com/2008-10-30-11-41-42/914--187-.html

1438
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.79.156 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:14:46:35 น.  

 
 
 
ตอนที่ 186. คุณสมบัติของกุนซือ
เล่าปี่หนีอันตรายเข้าสู่เขตแดนเมืองลำเจี๋ยงโดยไม่รู้ตัวว่าดินแดนนี้คือดินแดนที่อยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งพญามังกร และเพียงแค่สัมผัสกับเงาอันเลือนลางแห่งพญามังกรที่ทาบอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้เท่านั้น เล่าปี่ก็ได้รู้ซึ้งถึงความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยประสบมาแต่ก่อน ครั้นได้เล่าความเป็นมาจนกระทั่งได้มาพบกับสุมาเต๊กโชแล้ว เล่าปี่ก็ก้มหน้านิ่งด้วยความรัดทดใจในโชควาสนาของตัว

สุมาเต๊กโชฟังคำเล่าปี่แล้วจึงว่าเราได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือมาแต่ก่อนว่าตัวท่านนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง แต่ไฉนหนอจึงยังตั้งตัวไม่ได้ ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ฉะนี้

สุมาเต๊กโชผู้นี้ลำพังเพียงเล่นพิณโดยไม่ติดขัด ก็หยั่งรู้ได้ว่ามีผู้มีสติปัญญามาลอบฟังเพลงพิณ และเพียงแต่เห็นเสื้อผ้าและสีหน้าของเล่าปี่ก็รู้ว่าหนีภัยตาย ซึ่งแสดงอยู่ว่าบุคคลผู้นี้มีญาณหยั่งรู้บางอย่าง แต่ปรากฏว่าในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มิได้ไขถึงเหตุผลต้นปลาย จึงทำให้รู้สึกเพียงแค่ประหลาดมหัศจรรย์โดยไม่รู้ความเป็นมา ส่วนสามก๊กฉบับบริวิทเทเล่อร์ของอังกฤษระบุว่าสุมาเต๊กโชผู้นี้มีสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า “อาจารย์แว่นน้ำ” คือเมื่อเพ่งมองน้ำแล้วสามารถหยั่งรู้การในอนาคตแลอดีตได้ และสามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบได้ระบุว่าสุมาเต๊กโชผู้นี้เป็นผู้ชาญอาโปกสิณ หรือนัยหนึ่งก็คือเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเจริญกสิณแห่งธาตุน้ำ และเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งกสิณวิธีนี้จึงทำให้สามารถหยั่งรู้การณ์อดีตและอนาคตได้ ซึ่งสอดคล้องกับความในฉบับภาษาอังกฤษของบริวิทเทเล่อร์นั้น

ในพระพุทธศาสนามีวิถีปฏิบัติทางจิตไว้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบอานาปาณสติ กายคตาสติ หรือกสิณวิธี เพื่อทำให้จิตตั้งมั่นเป็นปาริสุทโธ ทำให้จิตบริสุทธิ์เป็นปาริสุทโธ และทำให้จิตควรแก่การงานในหน้าที่ของจิตเป็นกัมมะนิโย โดยหนึ่งในกสิณวิธีนั้นคือการเจริญอาโปกสิณหรือการเพ่งน้ำเป็นอารมณ์ ทำให้จิตมีอาการครบทั้งสาม แล้วเป็นที่ตั้งแห่งอิทธิฤทธิ์ เพราะเมื่อจิตเป็นสมาธิถึงระดับอัปปนาสมาธิแล้ว สามารถถอนจิตนั้นกลับมาที่ขั้นอุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นขั้นที่ใช้อิทธิฤทธิ์อำนาจแห่งจิตไปในการต่าง ๆ ได้ สำหรับผู้ที่เจริญอาโปกสิณหรือกสิณธาตุน้ำมีกำลังกล้าแล้ว สามารถใช้อำนาจแห่งจิตนั้นเพ่งไปในน้ำ หยั่งรู้ถึงเหตุการณ์เป็นมาในอดีตและอนาคตได้ สามารถทำให้แผ่นน้ำดุจแผ่นดิน สามารถเดินไปบนผิวน้ำได้ หรือสามารถทำให้น้ำเป็นช่องว่าง สามารถลอดหรือลงไปอยู่อาศัยได้ กระทั่งสามารถทำให้กระแสน้ำไหลทวนขึ้นแลลงได้ดังปรารถนา

สุมาเต๊กโชเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมในลัทธิเต๋า บำเพ็ญเพียรทางจิตอยู่ในป่าเขาอันวิเวก แม้มิได้ปฏิบัติตามวิถีทางอันบัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนา แต่วิถีปฏิบัติในลัทธิเต๋าเพื่อการเข้าสู่ถึงความเป็นธรรมชาติก็มีมรรควิธีที่ทำให้จิตมีอาการครบทั้งสามได้ เป็นแต่เป้าหมายสูงสุดนั้นไม่ใช่การหลุดพ้นจากทุกข์สิ้นเชิง หากคงมุ่งหวังสู่ความเป็นธรรมชาติ หรือความมีฤทธิ์ที่ยังมีกิเลสครอบงำอยู่

การที่สุมาเต๊กโชได้ปฏิบัติโดยมรรควิธีแห่งลัทธิเต๋า โดยถือน้ำเป็นอารมณ์ในการเพ่งพินิจพิจารณาและฝึกฝนทางจิต ทำให้จิตตั้งมั่นบริสุทธิ์เป็นสมาธิควรแก่งาน และสามารถทำงานของจิตโดยอาศัยน้ำเป็นบาทฐานนั้น สามก๊กฉบับบริวิท เทเล่อร์จึงแปลสมญาของสุมาเต๊กโชว่า “อาจารย์แว่นน้ำ” อาศัยการเพ่งน้ำสอดส่องเพื่อความรู้อดีตและอนาคต ในขณะที่ยาขอบซึ่งมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาได้ถอดความให้สอดคล้องกับความเข้าใจของคนไทยว่าสุมาเต๊กโชเป็นผู้ชาญอาโปกสิณดังนี้

สุมาเต๊กโชถามเล่าปี่ถึงต้นสายปลายเหตุว่าเหตุใดจึงยังตั้งตัวไม่ได้ ซึ่งเป็นคำถามที่สุมาเต๊กโชเองย่อมมีคำตอบในใจดีอยู่แล้ว เป็นการตั้งคำถามเพื่อต้องการฟังความคิดและความเข้าใจของเล่าปี่จากปากของเล่าปี่เอง หาใช่เป็นการตั้งคำถามโดยความไม่รู้แต่ประการใดไม่

เล่าปี่ได้ฟังคำถามของสุมาเต๊กโชดังนั้นจึงว่า “ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้วาสนาน้อย ทั้งชะตาราศีก็อาภัพจึงได้ความลำบาก”

สุมาเต๊กโชจึงว่า เกิดเป็นชายชาติอาชาไนย ไฉนจึงหวังพึ่งพาแต่วาสนาเล่า ท่านกล่าวความทั้งนี้มิต้องด้วยความเห็นของข้าพเจ้า การที่ท่านยังตั้งตัวมิได้แลต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ดังนี้ก็เพราะ “ท่านหาคนดีมีสติปัญญาเป็นที่ปรึกษานั้นยังมิได้”

เล่าปี่จึงว่า อันคนดีมีสติปัญญาเป็นที่ปรึกษาของข้าพเจ้านั้นก็มีอยู่ คือซุนเขียน บิต๊ก บิฮอง และกันหยง ทั้งสี่คนนี้ทำการอยู่ด้วยกัน เป็นที่ไว้วางใจกันมาช้านาน มีสติปัญญาและรอบรู้การบ้านเมือง เป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็นบัณฑิต ส่วนฝ่ายทหารนั้นเล่าข้าพเจ้าก็มีกวนอู เตียวหุย จูล่ง สำหรับกวนอูกับเตียวหุยนั้นมีฝีมือกล้าแข็ง แลยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ส่วนจูล่งแม้นมิได้ร่วมน้ำสาบานเป็นพี่น้องแต่ก็เหมือนดั่งพี่น้อง มีความซื่อสัตย์ภักดีและฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก ข้าพเจ้ามีทั้งที่ปรึกษาแลขุนพลพร้อมพรั่งดั่งนี้แล้ว แต่ที่ยังตั้งตัวมิได้ก็เพราะบุญวาสนาของข้าพเจ้าอาภัพ จะตำหนิติเตียนหรือโทษใครหาได้ไม่

สุมาเต๊กโชจึงว่าอันซุนเขียน บิต๊ก บิฮอง แลกันหยงนั้น ถึงจะมีสติปัญญาก็เป็นเพียงสติปัญญาระดับนักวิชาการทั่วไป ประสบการณ์ความรู้ความสามารถก็เป็นแต่ด้านธุรการแลการปกครองตามแบบเดิม ๆ มา ไม่อาจอาศัยความรู้ความสามารถคิดอ่านการสงครามกอบกู้แผ่นดินให้สำเร็จได้ดังปรารถนา คนเหล่านี้ถึงมีก็เหมือนไม่มี ส่วนกวนอู เตียวหุย แลจูล่งนั้นแม้เป็นทหารมีฝีมือกล้าแข็ง สามารถต่อสู้กับข้าศึกนับหมื่นนับแสนได้ก็จริงอยู่ แต่ขาดผู้ใช้สอยจับวางให้มีอานุภาพสูงสุดเท่าที่พึงมี เหตุนี้การกอบกู้แผ่นดินตามปณิธานของท่านจึงยังไม่อาจบรรลุผลและต้องกระเสือกกระสนพเนจรร่อนเร่อยู่ดั่งวันนี้

เล่าปี่จึงว่าถ้ากระนั้นคนดีที่มีสติปัญญาควรแก่การเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้แผ่นดินนั้นเป็นฉันใด

สุมาเต๊กโชจึงว่าอันคนดีมีสติปัญญาควรแก่การเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้บ้านเมืองนั้นย่อมต้องเป็นผู้รู้แจ้งในวิชาทั้งสี่และในนิติทั้งสาม อันวิชาทั้งสี่แลนิติทั้งสามนี้เป็นไฉน

สุมาเต๊กโชพรรณนาต่อไปว่าวิชาทั้งสี่นั้นได้แก่

หนึ่ง วิชาพิชัยสงคราม ซึ่งว่าด้วยยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ยุทธการ ยุทโธบาย และการดำเนินสงคราม ทั้งย่อมหมายรวมเอาการฝึกฝนบังคับบัญชาการทหารและการใช้กำลังทหารให้สอดคล้องกับสถานการณ์แลภูมิประเทศ

สอง วิชาธรรมะ ซึ่งว่าด้วยความเป็นจริงแห่งธรรมชาติทั้งปวง กฎแห่งธรรมชาติทั้งปวง หน้าที่แห่งธรรมชาติทั้งปวงแลผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น

สาม วิชาหมากล้อม ซึ่งว่าด้วยการตัดสินใจแลการวางแผน ทั้งในด้านการเมือง การทูต การทหาร และประกอบเข้าเป็นอัธยาศัยที่ตัดสินใจโดยคะเนการทั้งปวงถ้วนทั่วทั้งกระดาน ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายตรงกันข้าม กระจ่างแจ้งถึงสภาพการทั้งฝ่ายเราและฝ่ายข้าศึก แล้วคิดอ่านแผนการช่วงชิงชัย

สี่ วิชาดาราศาสตร์ แลคัมภีร์พยากรณ์ ซึ่งว่าด้วยวิถีโคจรของดวงดาวบนนภากาศและความผันแปรแห่งธาตุทั้งห้าที่ยักย้ายถ่ายเทผันแปรก่อเกิดเป็นกลางวัน กลางคืน ฤดูกาลร้อนและหนาว เมฆ หมอก พายุ น้ำหลาก ตลอดจนปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ

นี่คือวิชาทั้งสี่ที่พึงมีประจำตัวสำหรับคนผู้ควรเป็นที่ปรึกษาการแผ่นดิน ส่วนนิติทั้งสามนั้นคือ

หนึ่ง โลกนิติ คือกฎ แบบแผนแลคติความนิยมที่เป็นไปในโลกว่าสิ่งใดคือธรรม สิ่งใดคืออธรรม สิ่งใดคือสุทธิ สิ่งใดคืออสุทธิ สิ่งใดคือมงคล สิ่งใดคืออัปมงคล สิ่งใดคือความปรารถนานิยมแห่งมหาชน สิ่งใดคือความไม่พึงปรารถนานิยมแห่งมหาชน

สอง ธรรมนิติ คือกฎเกณฑ์ธรรมเนียมประเพณีแลแบบแผนในการครองแผ่นดิน บ้านเมือง และใจคน ให้ปรองดองสามัคคีสมานฉันท์ เป็นวิถีปฏิบัติในการครองอำนาจรัฐ ในการใช้อำนาจรัฐและในการรักษาอำนาจรัฐให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมหาชน

สาม ราชนิติ คือบทกฎหมายพระอัยการทั้งปวงที่มีมาสำหรับแผ่นดิน เพื่อเป็นหลักปฏิบัติและห้ามปฏิบัติของอาณาประชาราษฎรและในการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนนิติปรัชญา นิตินโยบายที่ถือเอาประโยชน์สุขของมหาชนและความมั่งคงของแผ่นดินเป็นที่ตั้ง

ผู้มีสติปัญญาผู้ใดประกอบบริบูรณ์ด้วยวิชาทั้งสี่แลนิติทั้งสามนั่นแล้วจึงมีค่าควรแก่ความเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้แลบริหารบ้านเมือง ผู้บริบูรณ์ด้วยวิชาทั้งสี่แลนิติทั้งสามนี่แล้วจึงพึงได้นามว่า “กุนซือ” ที่ปรึกษาดังนี้ท่านมีหรือไม่

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตะลึงงัน ใจเปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธาในภูมิปัญญาอันกว้างไกลของสุมาเต๊กโชยิ่งนัก เพราะความอันสุมาเต๊กโชกล่าวพรรณนานี้เป็นสิ่งซึ่งเล่าปี่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ครั้งได้ตรองพิจารณาแล้วเห็นว่าบรรดาผู้คนที่มีอยู่นั้นไม่มีบุคคลใดที่บริบูรณ์ด้วยวิชาทั้งสี่และนิติทั้งสามนี้เลย เล่าปี่จึงว่าความอันท่านกล่าวนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้ตื่นขึ้นจากความฝัน ก้าวออกจากที่มืดสู่ที่สว่าง แม้คุณลักษณะของกุนซือดั่งนี้ ข้าพเจ้าจะไม่เคยได้เห็นได้ฟังมาก่อน แต่ตัวข้าพเจ้านี้ก็มีความปรารถนาตลอดมาที่ใคร่ได้ผู้มีสติปัญญามาช่วยคิดอ่านทำการ เมื่อได้ฟังคำท่านดั่งนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็วิตกนักว่าจะหากุนซือดังคำท่านได้จากที่ไหน

สุมาเต๊กโชจึงว่า “โบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนว่าสิบคนจะหาผู้กล้าหาญได้คนหนึ่ง ร้อยคนจะจัดหาผู้มีสติปัญญาได้คนหนึ่ง แลคนทั้งปวงก็มีอยู่เป็นอันมาก แม้ท่านจะประสงค์หาผู้มีสติปัญญานั้นก็จะได้สมความปรารถนา”

สุมาเต๊กโชเล็งด้วยฌาณแห่งอาโปกสิณจึงกล่าวเป็นคำขาดว่าเล่าปี่จะสมความปรารถนาในการหากุนซือแต่ถ้อยร้อยคำที่กล่าวนั้นกลับกล่าวกลืนกลมดูเป็นธรรมดาแลปกติยิ่งนัก เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นหาได้สะกิดใจในคำพยากรณ์แห่งสุมาเต๊กโชนั้นไม่ เพราะใจมัวพะวงอยู่แต่การที่จะหากุนซือได้จากที่ไหน

เล่าปี่จึงว่าตัวข้าพเจ้ามีสายตาอันสั้น มีปัญญาอันแคบ ไม่อาจล่วงรู้ถึงภูมิปัญญาแลความรู้ของผู้มีลักษณะอันเป็นกุนซือดังคำท่านได้ จึงขอท่านจงเมตตาช่วยอนุเคราะห์แนะนำกุนซือให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด

สุมาเต๊กโชจึงว่าคนที่เป็นกุนซือนั้นแผ่นดินนี้มีอยู่ ขอบฟ้าที่กว้างไกลก็แลเห็นได้ด้วยตา ผู้มีสติปัญญาก็ย่อมอยู่ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อท่านมีความปรารถนามั่นคงที่จะใคร่เสวนาสมาคมแน่วแน่แล้ว ก็จงตั้งความวิริยะอุตสาหะสืบเสาะหาด้วยใจสุจริตก็จะประสบความสำเร็จได้ในวันหนึ่ง

เล่าปี่จึงว่าขอบฟ้ากว้างไกลแลเห็นได้ก็จริงอยู่ แต่แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลนักผู้มีสติปัญญาที่ควรแก่ฐานะกุนซืออยู่ที่แห่งหนตำบลใดเล่า แม้ต่อให้ข้ามน้ำข้ามทะเลลุยป่าฝ่าเพลิงยากลำบากสักเพียงไหน ขอเพียงท่านไขชี้ให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าก็จะไม่พรั่น พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงดั้นด้นไปหาจงได้

สุมาเต๊กโชได้ยินคำอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวดังนั้นจึงว่า “อันฮกหลงกับฮองซูสองคนนี้ถ้าได้มาเป็นที่ปรึกษาด้วยแต่ผู้ใดผู้หนึ่งก็อาจสามารถจะคิดอ่านปราบปรามศัตรูแผ่นดินให้สงบได้”

เล่าปี่ได้ยินนาม “ฮกหลง” แล “ฮองซู” จากปากสุมาเต๊กโชแล้วไม่ทราบว่านามนี้เป็นนามเฉพาะแห่งบุคคลหรือว่าเป็นชื่อแซ่หรือว่าเป็นสมญาก็สงสัย จึงถามว่าอันฮกหลงแลฮองซูที่ท่านบอกนั้นข้าพเจ้ายังไม่กระจ่างแจ้งว่าเป็นผู้ใด ขอท่านได้เอ็นดูบอกความให้กระจ่างพอที่ข้าพเจ้าจะรู้แลแสวงหาได้เถิด

สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนปรบมือหัวเราะแล้วว่าพระเจ้าอาช่างมีใจร้อนใคร่ได้กุนซือเสียจริง ๆ แล้วว่าเวลาวันนี้จะค่ำแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนไต่ถามเรื่องนี้ต่อไปเลย จงพักอยู่ที่เรือนข้าพเจ้าให้เป็นที่สบายเสียคืนหนึ่งก่อน พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะแจ้งความละเอียดให้ท่านทราบ

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เกรงใจสุมาเต๊กโช ไม่กล้ารุกเร้าอีกต่อไปจึงรับคำเชิญ สุมาเต๊กโชจึงให้ลูกศิษย์เอาม้าของเล่าปี่ไปผูก จัดแจงข้าวปลาอาหารเลี้ยงดู แล้วจัดที่พักหลับนอนให้แก่เล่าปี่ ในขณะที่อุ้งหัตถ์แห่งรัตติกาลได้แผ่ปกคลุมบ้านป่าแดนเมืองลำเจี๋ยง จนเห็นเพียงแสงไฟในบ้านสลัว ๆ เท่านั้น.

//www.paisalvision.com/2008-10-30-11-41-42/899--186-.html

8846 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.79.156 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:14:49:18 น.  

 
 
 
นู๋หลบ say:
ทีหลังก็บอกไปว่า ถึงเราหน้าไม่สวย
แต่ใจเราสวยมาก เว้ย ดีป่ะคะ

อิอ่อน say:
ดีค่ะ เห็นด้วยทุกประการ หุหุ

สามตะละแม่มหาภัย แห่งสุสานโบร่ำโบราณ หุหุ
1.ตะละแม่ หลบปาย
2.ตะละแม่ ขงเบ๊บนกำแพง
3.ตะละแม่เทียวเสี้ยม

อะไรที่เป็นธรรมชาตินั้นดีอยู่แล้ว เนอะ
ธรรมชาติของใครของมันหน้าไม่สวย แต่ใจสวย อิอิ
ไม่ดัดไม่หลอกไม่ลวง ปากกะใจตรงกัน
ไม่นิยมศัลยกรรมรูปภายนอก ปากยังไงใจก็ยังงั้น
หน้าเป็นไง ใจก็เป็นงั้น อิอิ แบบว่าหน้าโกรธใจก็โกรธ
ไม่ใช่หน้าอย่างใจอย่าง หน้าแสดงออกยังไง ใจก็ยังงั้น อิอิ
บ่ใจ้เรื่องหน้าสวยหรือไม่สวยเน้อ

7932 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.79.156 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:15:17:22 น.  

 
 
 
ความตรงไปตรงมาก็ดี แต่ก็ไม่ทั้งหมด
ใจโกรธก็อย่าให้หน้าโกรธให้หน้าดีเข้าไว้
ใจดีก็ยิ่งทำให้หน้าดี
เพราะในสังคมไม่อยากเห็นใครมาแสดงหน้าโกรธใส่เราหรอก
ไม่หน้าไหว้หลังหลอกก็พอ
ถึงหน้าจะไม่ไหว้ก็ขอให้หลังไหว้เข้าไว้

สำคัญที่ความดี กุศลกรรม
หลวงตาบอกว่า ความดีทั้งหมด รวมลงที่ธรรมธาตุ

มีเพลงหนึ่งที่อยู่ในใจผมมาตลอดเวลานับตั้งแต่จำความได้
//www.youtube.com/watch?v=Mm1JlJgKnqw

ขอให้โชคดีมีความสุขทุกท่าน
 
 

โดย: เตชพโล IP: 171.98.103.78 วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:18:01:23 น.  

 
 
 
อืม... 2 เพลงนี้ อยู่ในใจ อาเหล่าม่า มาตลอดเวลา
นับตั้งแต่ สมัยละอ่อน ฟังเพลงนี้ทีไรก็รู้สึกดี ทู๊กที
โดยเฉพาะ เพลง ที่ 2 อ่ะนะ ฟังแล้ว
มีกำลังใจในการขึ้นคาน โคตร ๆ เอิ๊ก ๆ

//www.youtube.com/watch?v=B20P1xHsVyo


//www.youtube.com/watch?v=ex9E__D5dJ0
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:0:44:41 น.  

 
 
 
อ้อ แท้งกิ๋ว นะเจ้าคะ อิหม่ามี๊ขราาาา
สำหรับ คำตอบ เรื่อง สุมาเต๊กโช
แหม๊ ? นี่ถ้า ไอ้เฒ่าสุมาอี้ มันคิดได้
แล้วรู้จักหยุด รู้จักเย็น รู้จักยอม แบบ บัณฑิตคนนี้
ชีวิตมันคงจะเข้าถึงหลักแห่งสันติ
และ ซาบซึ้งกับความงดงาม ตามหลักอิสลาม
ได้ตามจริง ยิ่งกว่านี้เยอะเรย เหอะ ๆ


เออ จิงดิ ว่าจะโพสถามตะแต่อาทิตย์ก่อนแระแต่ คอมดันเจ๊ง
ตัวหนังสือที่จิ้มดีดหายเกลี้ยงงงงง ถามใหม่ แระกันเน๊าะ อิอิ
นี่ ๆ ทั่นด็อก มันฝาก มา ถาม อิขงเบ๊ปลาไหลทะเล เพิ่มเติมอ่า
ว่า ถ้าไอ้เรื่อง พุทธอวตาร เป็น base on fact บทสรุปของ อิอ่อนคือ

1. พอรู้แน่แก่ใจ (ตาม base on fact ) ว่า
ถ้าเชื่อคำสอนของสมณโคดม (ซึ่งเป็น พุทธอวตาร)
แล้วต้อง ตัวเน่าเขางอก ก็จะถอยไปตั้งหลัก
กลับไปค้นหา บั๊กของระบบ บนเขาหัวซาน เพื่อดูลาดเลาก่อน
หาก แก้บั๊ค ไง ตัวก็ยังไม่หายเน่า เขาก็ยังยาวเอา ๆ
แถมหางก็ยังแยกเป็น 5 แฉก ซะอีกแหน่ะ
อิอ่อนมันก็พร้อมจะละทิ้งสิ่งที่เคยเชื่อเคยศรัทธา
ตามประสา ผู้รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดมณี

2. พอรู้แน่แก่ใจ (ตาม base on fact ) ว่า
ถ้าเชื่อคำสอนของสมณโคดม (ซึ่งเป็น พุทธอวตาร)
แล้ว จะต้อง ตกนรก อิอ่อนมันก็พร้อมจะโกยแน่บเลิกเชื่อทันที
โดย เปลี่ยนทางคิดใหม่ทำใหม่ อาทิเช่น
หันไปชาบู ๆ นับถือ พระวิษรุเป็นไอดอล แทน
( ถ้ามันช่วยให้ ตัวเองไม่ต้องตกนรกหมกไหม้ ได้ไปตีขิมในแดนสุขาวดี )


3. พอรู้แน่แก่ใจ (ตาม base on fact ) ว่า
สมณะโคดมนั้น สตอเบอร์แหล๋ เรื่อง พุทธชาดก
อิอ่อนมันก็พร้อมจะโยน ตถาคตโพธิสัททา ทิ้งไปในทันทีทันใด
โดยไม่มีเสียความรู้สึกสักแอะ
( เอ ? หรือจะยังคงหลงเหลือความรู้สึกดี ๆ ไว้
แบบเดียวก๊ะ เคส ลพ. ปราโมช ล่ะหว่า ? )


อันนี้ ทั่นด็อก มัน สรุปคำ แถ-ลง
ของ อิปลาไหลทะเล ได้ ถูกต้อง ป่ะค๊ะ ?
อืม...แต่ ที่ ทั่นด๊อก ฯ มันยังคาใจ อยู่
ก็คือ คำพูดของ อิอ่อนที่บอกว่า

--------------------------------------------------
อิปลาไหลทะเล มันไม่ยอมตกนรก
เพราะความเชื่อเป็นเหตุหรอก
แต่ถ้าเป็นเรื่องของสัจธรรมเป็นเหตุแล้ว
ก็ยอมตกนรกได้ ว่ะค่ะ
เพราะสัจธรรมมันเปลี่ยนใจไม่ได้แว้ว
++++++++++++++++++++++++++++

อืม...จิง ๆ ก็เคยหยั่งเสียง ถามอิปลาไหล
ไปรอบนึงแล้ว อ่ะนะ ว่า สัจธรรมที่ว่านั่นคืออะไร
แต่ ยังไม่แน่ใจ ว่าสัจธรรม สำหรับ อิปลาไหล นั้น
มันก็แค่ เรื่องของการที่ อิปลาไหล มันสวดมนต์ แล้ว
รู้สึก ว่าทำให้มี สติสัมปชัญญะ รู้สุข รู้ทุกข์ ณ ปัจจุบันขณะ
ก็เลยเกิด ตถาคตโพธิสัททา จนถึงขนาดที่ว่า พร้อมที่จะยอมตกนรกตาย 5
เพื่อปกป้องไอ้ตัว สัจธรรมพวกนี้เอาไว้เชียวหรือ ?


เฮ้ออ ไม่รู้สินะ เวลาที่ได้ยินใคร บอกว่า ตรูจะยอมตาย 5
และจะขอปกป้องรักษาพระรัตนตรัยด้วยชีวิตตตต นี่
ฟังแล้ว ขำจนแทบตกเก้าอี ทู๊กที อ่ะ
มันน่าขำ พอ ๆ กับ การกระทำการระเบิดพลีชีพ
ของพวก อัลกออิดะฮ์ นั่นแหล่ะ


นี่ ๆ ทั่นด็อก ฯ มัน ฉงฉัยว่ะ ว่า
ไอ้ คำว่า สัจธรรม ที่พูดปาว ๆ เป็นนกแก้ว เนี่ย
ตามความคิดของ อิปลาไหล นั้น สัจธรรมมันคือ อะไรอ่ะ
แล้ว ไอ้ สัจธรรม เนี่ย มันเอาไปทำ5 อะไรได้มั่ง และ มัน สำมะคัญ ยังไงจ๊ะ
ทำไม ถึงต้องยอมพลีกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องมันด้วย ?




อืม...ขออนุยาด ถามซ้ำถามซาก จิ๊ดนุงส์ เน๊าะ
เพราะ นาน ๆ ทีจะมีคนหน้ามืด
ยอมมาขึ้นเขียงให้ทั่นด็อก ชำแหล่ะ อ่า
ผู้มี รสนิยมอันวิไล ในการชำแหละอย่างทั่นด็อก
มันก็เรยต้อง พิถีพิถันในการ ลวกน้ำร้อนขูดขน
ก่อนจะเอาไปขึงพึด ขึ้นเขียงชำแหละ กันหน่อย หุหุ


เออ 2 ลิงค์นี้ก็แถมมม
เห็นแล้วนึกถึงเรื่องราวของอิหม่ามี๊ อ่ะ อิอิ

//www.youtube.com/watch?v=B20P1xHsVyo


//morning-news.bectero.com/เรื่องเล่าเช้านี้-ข่าวต่างประเทศ/ตร.ออสเตรเลียพรากลูกจากอกแม่ส่งหาพ่อที่อิตาลีตามหมายศาล-2012100529-10-1.html

อืม...ปุจฉา ! ถามอิปลาไหล หน่อยจิ
ว่า คู่กรณีทั้ง 2 จะต้องเลือกที่จะ กระทำ เช่นไร
จึงจะได้ชื่อว่า เป็น สัมมาฯ สไตล์ สามารถจบได้แบบ แฮ่ปปี้เอนดิ้ง
โดยไม่ต้อง วิ่งโร่ไปขอหมายศาล หุหุ
 
 

โดย: ทั่นด็อก ออกแขกกกกกกกกกกกก หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:0:45:51 น.  

 
 
 
นู๋หลบ say:
ทีหลังก็บอกไปว่า ถึงเราหน้าไม่สวย
แต่ใจเราสวยมาก เว้ย ดีป่ะคะ

อิอ่อน say:
ดีค่ะ เห็นด้วยทุกประการ หุหุ


อิตั้วเจ้ say :
อันนี้ เห็นต่าง อ่ะ จร้าาาาาาาาาาาา
เพราะการจะ อวดความสวยแจ่มเจ๋งของตัวเองได้โดย ที่ไม่กระดากปากนั้น
มันต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงจากการที่ มีคนอื่นมาอวยเราก่อน นะจ๊ะอีนู๋
จะได้ไม่มีไอ้หน้าไหนกล้ามา ครหา ว่า อิบร้านี่ มันหลงตัวเอง อิอิ

อาทิเช่น ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก อยู่ดี ๆ
ก็มีไอ้หนุ่มมาบอกว่าเราเป็น ปูชะนียะบุคคล
บางคนก็ชมเปาะ ว่าเราเหมือน บัวผ่องเป็นยองเป็นใย
แถมบางทีก็มี แควนขับมาบอก ประมาณว่า
ถึงใครจะเห็นพี่เป็นนางมาร
แต่ถึงยังไงพี่ก็เป็นนางฟ้า สำหรับผมเสมอออหุหุ


ส่วนไอ้เรื่อง อิหมวยที่เจื๋อกไปศัลยกรรมหลอกไอ้ตี๋ให้หลงรัก
จนสุดท้ายถูกผัวฟ้องหย่านั่นน่ะ ทั่นด็อก มันบอกว่า
ก็ สมน้ำหน้า เอ๊ย ก็ สมควรแล้วว่ะ
และถ้าให้ทั่นด็อกมันวิเคราะห์ อ่ะนะ
ที่ ไอ้ตี๋มันฟ้องหย่า อ่ะ ไม่ใช่เพราะ..
ทนความอัปลักษณ์ของเมียมันม่ะได้หรอกนะ
แต่ มันทนอยู่กับ คนที่ไร้ซึ่ง ความจริงใจ ไม่ได้ตะหาก
ถ้าตอนคบหากัน มัน เฟค ด้วยการเอาซิลิโคนโป๊ะหน้า
โดยไม่ ตรงไปตรงมา บอกกล่าวกันตะแต่แรก อ่ะนะ
มันก็เจ๊งบ๊งตะแต่ในมุ้งแว้วววววววววววววววว

+++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14282 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 229 ครั้ง
++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ทั่นด็อก ออกแขกกกกกกกกกกกก หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:0:50:29 น.  

 
 
 
คนเราคิดว่าการที่เรามองตัวเอง ว่าดี ก็เพราะกลัวว่า คนอื่น จะมองว่าเลว
ทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกมา ก็จะแสดงออกเป็นนางมารร้ายบ้างเป็นแม่มดบ้าง
หารู้บ้างไหมว่า มันเป็นการสะสม อุปนิสัยที่เราไม่เคยรู้ตัว ละพอกพูนไปทีละนิด

เพราะความคิด กำหนดพฤติกรรรม

การมองโลกในแง่ดี ก็คือ การมองตัวเองในแง่ดีก่อน
แม้ตอนนี้เราจะมองโลกในแง่ดี แต่โลกก็ทำร้ายเราได้
แต่มันเป็น ยาวิเศษ ที่ทำให้เราเห็นว่า เราคือปุถุชน
ไม่ใช่นางมารร้าย ไม่ใช่แม่มด แต่เราคือ มุนิล

9797

 
 

โดย: นู๋ไม่หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:8:53:02 น.  

 
 
 
w๊ow ๆๆๆๆๆๆ
นู๋ไม่หลบภัย มาละวุ้ย อิอิ
มุนิล มาแว้ว มุตาไปอยู่ไส ล่ะเนี่ย หุหุ
จริงใจ ตรงไปตรงมา ซื่อตรง กะตัวเอง อะ สุดยอดแว้ววว
ดี ก็ยอมรับว่าดี (มะด้ายหลงตัวเองเนอะ อิอิ)
เกรียน ก็ยอมรับว่าเกรียน 55
ร้าย ก็ยอมรับว่าร้าย
โกรธ ก็ยอมรับว่าโกรธ
ดัดฯ ก็ยอมรับว่า ดัดฯ หุหุ
รู้ตัวเองได้ตามจริง นี่แหละ ยอดคน หุหุ
รู้แบ่บเห็นสัจธรรมของตัวเองตามจริง
ไม่ต้องอิงมายาสาไถยจากคนอื่น 555
ถ้าคนอื่นยอมรับฟามจริงของเรามะด้าย ก็แปลว่า....
มะใช่คนกันเอง ง่ะ
แต่เป็นคนอื่นที่เราต้องคอยซ่อนฟามจริงของเราเอาไว้
เพราะถ้าเขายอมรับฟามจริงอันเป็นสัจธรรมของเรามะด้าย
วันไหนเราลืมซ่อนฯ แร้วฟามจริงมันเผลอตัวแจ๋นออกมา
คนอื่นเขารับฟามจริงของเรามะด้ายเขาก็เลิกคบกะเรา
และก็คงจะเปิดตรูดโกยแน่บ ไม่มีเหลียวหลัง
หนีหน้าจากเราไปเองแหละเนอะ 55
ที่สำคัญ ตัวเองอย่าตาเหล่ตาเขเห็นบิดเบือนซะเอง ล่ะ
ดีเห็นเป็นดี จริง ถูกเห็นถูก ผิดเห็นเป็นผิด
มะใช่ ไม่ดีแต่ดันเห็นเป็นดี
ถูกเห็นเป็นผิด ผิดเห็นเป็นถูก ซะงั้น
เห็นบิดเบือนแบ่บนี้ก็...
ตัวใครตัวมัน อะจร้า!!! เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เท่าน้าน
อิอิ

1949 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.79.156 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:9:28:05 น.  

 
 
 
มุตาฆ่าตัวตายไปแระพี่ ฆ่าความอ่อนแอ ฆ่าความไม่สู้คน
ฆ่าความหลง
มีแต่มุนิล ปรากฏตัว ขึ้น เพื่อสะสางปัญหา
เหมือนประมาณว่า ตัวแทนของกฏแห่งกรรมมั้ง
แต่ว่าจริงก็กระโจนมา ผูกกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
มันก็เลยพ่วงไปเรื่อย เพราะการหวงแหนของรัก
การล้างแค้น เวลาดูหนังเรื่องนี้นะ นั่งมองใจตัวเองไปเรื่อย ใจมันเต้นเลย

จำไว้นะพวกผู้ชาย อย่าให้ผู้หญิง กลายเป็นมุนิลเด็ดขาด
นะเว้ย
9944 ตัวจริง นู๋แระ
 
 

โดย: นู๋ไม่หลบภัย จริงๆ นะ IP: 58.181.134.142 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:10:35:37 น.  

 
 
 
นี้ ยังมองตัวเอง ไม่ใช่นางร้าย เลยน่ะนิ
เห็นป่ะเค้า link ตัวเองนะ
6508
 
 

โดย: หลบ ก็ด้าย IP: 58.181.134.142 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:10:38:19 น.  

 
 
 
*-*
สลด! ตำรวจออสซี่พรากลูกจากอกแม่ ส่งให้พ่อที่อิตาลีตามหมายศาล
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบจาก mamamia.com.au, คุณ hamidkerzakov สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า เกิดเหตุสุดสะเทือนใจขึ้นในออสเตรเลีย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รุมจับตัวลากพาเด็กสาว 4 คนพรากจากอกแม่ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เพื่อนำตัวพวกเธอส่งไปยังสนามบิน ขึ้นเครื่องกลับไปหาพ่อที่ประเทศอิตาลี ขณะที่ผู้เป็นแม่ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้เพียงเอ่ยคำขอร้องห้ามปรามไม่ให้พาตัวลูก ๆ ของเธอไปเท่านั้น

รายงานระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบมากกว่า 10 นาย ได้บุกไปที่บ้านหลังหนึ่งในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อพาตัว 4 สาวพี่น้อง ลูกครึ่งออสเตรเลีย-อิตาลี อายุระหว่าง 9-15 ปี ไปยังสนามบินบริสเบน เพื่อพาตัวพวกเธอทั้งหมดกลับไปคืนยังฝ่ายผู้เป็นพ่อที่ประเทศอิตาลี หลังจากแม่พาเธอทั้ง 4 คน เดินมายังประเทศออสเตรเลียเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยอ้างว่าจะพามาเที่ยว แต่ก็ไม่เดินทางกลับไปอิตาลีอีกเลย

โดยฝ่ายผู้เป็นพ่อนั้นได้ฟ้องร้องศาลระหว่างประเทศขอสิทธิ์เลี้ยงดูลูก ๆ ของตนที่ถูก "ลักพาตัวไป" และศาลได้ลงความเห็นให้เด็กทั้งสี่ควรกลับมาอยู่ในความดูแลของพ่อ เมื่อมีคำสั่งศาลดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้ออกตามหาตัวแม่และลูก ๆ ทั้ง 4 คน จนพบว่าทั้งหมดพักอยู่ที่บ้านของคุณยายในรัฐควีนส์แลนด์ และได้แจ้งคำตัดสินของศาลตามที่กล่าวเพื่อให้เตรียมตัวเดินทางกลับ แต่ระหว่างระยะเวลานั้นเด็ก ๆ ทั้งสี่คนมีอาการเครียดและซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะปรารถนาที่จะอยู่กับแม่ แต่เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็มาพาตัวพวกเธอไป โดยมีรถมาจอดรอที่หน้าบ้าน และเจ้าหน้าที่หลายนายพากันไปนำตัว เด็ก ๆ ซึ่งกรีดร้องหาแม่ ก็ดิ้นรนขัดขืนบอกให้ปล่อยเธอ และบอกว่าเธอเจ็บแขนที่ถูกลากดึงไป โดยที่ผู้เป็นแม่ทำได้ร้องไห้ขอร้องตำรวจไม่ให้พรากลูก ๆ ของเธอไป เกาะกระจกรถมองดูลูกที่อยู่ด้านในด้วยใจจะขาด แม้รถจะแล่นไปแล้วก็ยังวิ่งตามไป แต่ในที่สุดก็ฟุบลงร้องไห้อยู่บนถนน ก่อนจะรีบนั่งรถตามลูก ๆ ไปที่สนามบิน ซึ่งทำได้เพียงเฝ้ามองลูกถูกเจ้าหน้าที่นำตัวเข้าไปยังส่วนผู้โดยสารเตรียมเดินทาง และตะโกนบอกว่า "ลูกรัก แม่รักลูก" และ "อย่าทำร้ายเธอ" เท่านั้นเอง

เมื่อภาพข่าวดังกล่าวแพร่ออกไป ก็ได้นำมาซึ่งกระแสความไม่พอใจแก่ชาวออสเตรเลียจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือนักจัดรายการวิทยุ นีล มิทเชล ซึ่งได้กล่าวในรายการวิทยุของตนเองว่า นี่เป็นภาพที่โหดร้ายที่สุด แม้จะเป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่อย่างน้อยก็ควรที่จะให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเด็ก ๆ ด้วย
//hilight.kapook.com/view/76937
*-*
อืม...ปุจฉา ! ถามอิปลาไหล หน่อยจิ
ว่า คู่กรณีทั้ง 2 จะต้องเลือกที่จะ กระทำ เช่นไร
จึงจะได้ชื่อว่า เป็น สัมมาฯ สไตล์ สามารถจบได้แบบ แฮ่ปปี้เอนดิ้ง
โดยไม่ต้อง วิ่งโร่ไปขอหมายศาล หุหุ
*-* สัมมาสไตล์ ก็ต้องแบ่บนี้ ดิคะ
แม่ก็ต้องยอมรับสิทธิ์ของพ่อและลูก
และพ่อก็ต้องยอมรับสิทธิ์ของแม่และลูก ง่ะ
ลูกอยู่ภายใต้การดูแลของพ่อและแม่
ให้สิทธิ์ของลูกได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่ เท่าๆกัน
แต่ถ้ามีการละเมิดสิทธิื์กันและกันไปแล้ว
แต่สามารถยอมรับกันได้และยอมความกันในภายหลัง
ก็ถือเป็นสัมมาฯเช่นกัน คือยอมรับเจตนาของคู่กรณีได้
เรื่องก็ไม่ต้องถึงศาล เพราะตกลงกันได้
*-* สัมมาสไตล์ อิอิ

4004 หุหุ

 
 

โดย: อิอ่อน ตอบทั่นด๊อกฯ IP: 124.122.79.156 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:10:51:28 น.  

 
 
 
ตามมากรี๊ด สัมมาสไตล์
 
 

โดย: นู๋มาหลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:11:20:41 น.  

 
 
 
ตอบ ข้อ 1. (ตาม base on fact ) ท่านด๊อกฯเข้าใจถูกแว้ว
ตอบ ข้อ 2. ท่านด๊อกฯเข้าใจถูกแว้ว ครึ่งแรก แต่ครึ่ง2 นี่
ยังมะถูก เพราะไม่ได้คิดจะไปชาบูๆ กะทั่นวิษรุ ทันที ต้องดู
ก่อนว่า คำสอนท่าน วิษรุ ขัดกับมโนคติส่วนตัวรึป่าว ง่ะ
แบ่บ ว่า ขอดูเชิงก่อน อิอิ
ตอบ ข้อ 3. ท่านด๊อกฯเข้าใจถูกแว้ว แต่ไม่เสียฟามรู้สึก ฮ่ะ
เพราะได้ประสบการณ์เพิ่ม ได้ตาสว่างไงฮะ

ตอบเรื่อง สัจธรรม
สัจธรรม ก็คือความจริงที่เรารู้ได้ด้วยตัวของเราเอง ไงฮะ
และเราปฏิเสธมันก็ไม่ได้ เพราะมันเป็น fact ของเรา
สัจธรรมของเรา ก็คือธรรมชาติที่เป็นฟามจริงของเราเอง
ต่อให้เราไม่ยอมรับหรือปฏิเสธมันยังไง มันก็ไม่ได้เปลี่ยน
ไปตามใจของเรา มันก็ยังคงเป็นอย่างงั้นตามสภาพจริง
ของมัน การจะรู้ตามจริงได้ ก็ต้องมีสติ ไม่มีอคติ
ไม่เข้าข้างตัวเอง ที่เรายอมตายเพื่อสัจธรรมได้ก็เพราะ
เราปฏิเสธสิ่งนั้นไม่ได้ เหมือนที่เราปฏิเสธตัวเองไม่ได้
เหมือนคนที่รักตัวเองก็ยอมตายเพื่อความรักตัวเองได้
งง ปะคะ ไม่ได้ยอมตายเพื่อตัวเอง แต่ยอมตายเพื่อความรัก
เพราะหวงแหนความรัก หรือหวงแหนสิ่งนั้นๆ

อย่างทั่นด๊อกเลคเตอร์ ชอบกินสมองคนที่เป็นเหยื่อ
สัจธรรมของท่านด๊อกเลคเตอร์คือความรักความชอบใน
การกินสมองคนที่เป็นเหยื่อ กินแล้วมีฟามสุข *-*
ถ้าจะให้ทั่นด๊อกเลคเตอร์ เลิกกินสิ่งนี้ จะเป็นไงอะ
จะยอมตายหรือยอมเลิกกิน? - -"
ถ้ายอมตายก็เพื่อรักษาความรักความชอบของตัวเองไว้
ถ้ายอมเลิกกิน ก็เพื่อรักษาชีวิตไว้โดยแลกกับความรัก
ความชอบอันนั้น เลิกกิจกรรมกินสมองคน หุหุ

สัมมาทิฏฐิ ก็เป็นสัจธรรม
มิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นสัจธรรม
ศีลก็เป็นสัจธรรม
กิเลสตัณหาก็เป็นสัจธรรม
คนเราบางคนยอมตายไม่ยอมผิดศีล
คนบางคนบางยอมตายแต่ไม่ยอมละกิเลส
ทุกอย่างเป็นสัจธรรม เพราะมันเป็นเรื่องจริง มีอยู่จริง
ไม่ขึ้นกับกาลเวลา เกิดขึ้นในคนได้เสมอตามแต่สัจธรรม
ของคนนั้นๆ จะเป็นแบบไหน คนเปลี่ยนสัจธรรมไม่ได้
แต่ยอมรับและรู้เรื่องของสัจธรรมหนึ่งๆได้ตามภูมิธรรม
ของคนนั้น สัจธรรมของพระอริยะ ก็อย่างหนึ่ง สัจธรรมของ
ปุถุชน ก็อย่างหนึ่ง ถ้าเปรียบพระอริยะคือบุคคลที่สายตา
ปกติไม่ต้องใส่แว่น เห็นทุกสิ่งตามจริงไม่ผ่านแว่น
ปุถุชนคือบุคคลที่เห็นบิดเบือนตลอด (อิอิ) สายตาบิดเบือน
เหมือนมีแว่นอันหนึ่งติดตัวมาแต่เกิดแต่ไม่รู้ว่าตัวเอง
ใส่แว่น แว่นคือสัจธรรมของปุถุชน ไม่มีแว่นคือสัจธรรม
ของพระอริยะ แต่โลกที่พระอริยะและปุถุชนอยู่คือโลก
เดียวกัน ชิมิ โลกก็มีสัจธรรมของโลก พระอริยะไม่มีแว่น
ก็เห็นโลกถูกตามจริงตรงตามสัจธรรมของโลก ส่วนปุถุชน
ก็เห็นโลกตามแว่นที่ใส่ติดตัวมาแต่เกิด ส่วนปุถุชนคนใด
รู้ตัวว่าใส่แว่นอยู่ ก็เรียกว่ารู้ตัวตามจริงว่าใส่แว่น รู้สัจธรรม
ของแว่น ก็เรียกว่ามีภูมิธรรมระดับปุถุชนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
รู้สัจธรรมตามจริงได้ระดับหนึ่ง
ก็ประมาณนี้ อะ ที่อิอ่อนเข้าใจเรื่องสัจธรรมแบบปุถุชน ง่ะ
มีสติก็เหมือนคนไม่ใ่ส่แว่น ขาดสติก็เหมือนคนใส่แว่นดำ
แถมยังเห็นบิดๆเบี้ยวๆไม่ตรงกับความเป็นจริงอีก หุหุ

ที่บอกว่าคนเรามักยอมตายเพื่อสัจธรรม ก็เพราะมันปฏิเสธ
สัจธรรมนั้นไม่ได้ ต่อให้ฆ่าแกงยังไงมันก็ปฏิเสธความจริง
ไม่ได้ ถ้าปฏิเสธได้อยู่มันก็ไม่ใช่สัจธรรมดิคะ มันก็เป็นได้
แค่ความเชื่อที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้เรื่อยๆ

เหมือนอย่างที่อิอ่อนมันเห็นสัจธรรมของสติและโมหะ
แล้วมีคนมาบอกว่าให้เปลี่ยนคำพูดซะสติไม่มีจริง
โมหะไม่มีจริง สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่มีจริง
ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะถูกตัดหัว(อิอิ) ต่อให้รักตัวกลัวตาย
ขนาดไหนยอมรับปากเปลี่ยนคำพูดเพื่อให้รอดตาย
แต่สัจธรรมมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ได้เปลี่ยนไปตาม
ลมปากหรือคำพูด สัจธรรมมันก็แสดงตัวตนของมันเสมอ
เช่น อิอ่อนมีสติ มีโมหะ มีสัมมาฯ มีมิจฉาฯ เหมือนเดิมๆ
แถมยังได้รู้สัจธรรมของตัวเองเพิ่มมาอีกว่ากลัวตายสุดชีวิต
อิอิ คือมันก็ได้รู้ความจริงของตัวเองแต่มันเปลี่ยนสัจธรรม
ของตัวเองไม่ได้ งง ไหมนี่ คำแถ-ลง ของปุถุชนมักจะไม่ชัด
แบบนี้แหละ วกวน เข้าใจยาก เนอะ

เอาเป็นว่า สัจธรรม ก็คือความเป็นจริงตามธรรมชาตินั้นๆ
ละกัน มันก็คือ fact ของธรรมชาิติหนึ่งๆ อะจะ

7999 หุหุ

 
 

โดย: อิอ่อน ตอบท่านด๊อกฯ IP: 124.122.79.156 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:11:53:49 น.  

 
 
 
อิอิ ได้ฟัง สัมมาฯสไตล์ ของ อิปลาไหลทะเล ไปแระ
งั้นเด๋วถ้าไง ฤกษ์งามยามดี
เคลียร์งานหลวงงานราษฏร์
( ที่เป็นดินพอกหางหมูเสร็จเมื่อไร )
ทั่นด็อกฯ จะแวะออกมาฟ้องเงี้ยว
สำแดงธรรมเกี่ยวกับเรื่อง สัมมาฯสไตล์
ในแบบของ อิปลาไหลไฟฟ้า ให้ฟังนะจ๊ะ

ส่วนตอนนี้ เอา เดอะ เลตเตอร์ ฉบับล่าสุดของตะละแม่เทียวเสี้ยม
มาให้ชำแหล่ะเล่น เอ๊ย อ่านเล่น เป็นการฆ่าเวลาก่อนจร้าาา หุหุ






























To : ซือหม่าอี้ [30 ตุลาคม 2555 01:14]

อืม...ใครก็ม่ะลู้ ทำมาเป็นโม้เหม็นบอกชาวบ้าน ในห้องศาสดา ว่า

"จะ
สังเกตธาตุแท้ของคน ก็ตอนที่คนนั้นโดนเรื่องกระทบแรงๆ เกิดความทุกข์มากๆ
หรือโดนกิเลสมาล่อหรือกดดันบีบคั้นจิตใจหนักๆ ...
สังเกตว่าเขาแสดงท่าทีตอบสนองยังไงออกมา "

ถ้าเช่นนั้น ธาตุแท้ของ ไอ้นู๋ซือหม่าอี้ เป็นยังไงกันแน่น้อออ ?
เอ๊ะ หรือว่า พวกพระป่า ทั่นมักจะเสี้ยมสอน
หั้ยลูกศิษย์ลูกหา เป็นคนตะบึงตะบอน
มี นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้ล่ะหว่า
แหม ? นี่ถ้า หลงพี่หลงตาที่ไหน
รับไอ้เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ลูกหา
คงต้องเอาปี๊บคลุมหัวเป็นแน่แท้ หุหุ


อ้อนี่ ๆ ทั่นซือหม่าอี้ เจ้าขราาาาาา
17 พ.ย. นี้ว่างป่ะ ตะละแม่เทียวเสี้ยม
อยากจะชวนออกเดต อ่ะ ไม่ทราบว่าพอจะให้เกียรติ
ไปร่วมดื่มน้ำชาการกุศล ด้วยกันในงานนี้ หน่อยจะได้ไหมคร้าาาาา อิอิ

//www.thaimuslim.com/view.php?c=1&id=20347

เฮ้ออ ที่เค้าว่า มุสลิม เหมือน ทุเรียน ในเข่ง แมงโก้ เอ๊ย แตงโม นี่นะ
ถ้าจะจริง ของเขาว่ะ หุหุ

อัสลามูอาลัยกุมวาเราะห์มาตุ้ลลอฮฺอิวาบารอกาตุฮฺ

ขอความสันติสุข จงมีแด่ ทั่นซือหม่าอี้ นะจ๊ะ อิอิ







+++++++++++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14310 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 229 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:13:22:56 น.  

 
 
 
วานตะละแม่เทียมเสี้ยมหนีบคำคมๆเป็นของหวาน
เอาไว้ทานคู่กะน้ำชาการกุศล หุหุ

"ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน"

คำคมจากซาก๊ก หุหุ

6974
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.12.0 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:14:03:22 น.  

 
 
 
ดูดิเมื่อว่าแค่ฟันธงว่าหุ้นจะตกต่อไป วันนี้ดัน +14 ไปอีกแระ
แถมยังเป็นหุ้นพลังงานกะแบงค์นำตลาดอีก หุหุ

หุ้นทยปิดพุ่ง 14.86 จุด ที่ 1,294.43 จุด รีบาวน์ตามตลาดต่างประเทศ แรงซื้อกลุ่มพลังงานหนุน

บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ (30 ต.ค.) ดัชนีปรับตัวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศ ท่ามกลางแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ 1,280.30 จุด และปิดตลาดในระดับสูงสุดที่ 1,294.43 บวก 14.86 จุด หรือ 1.16%

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย

PTTEPปิดที่ 166.00บาท +4.50 (+2.79%)

PTTปิดที่ 317.00บาท +1.00 (+0.32%)

BBLปิดที่ 177.50บาท +0.50 (+0.28%)

CPFปิดที่ 35.50บาท +0.25 (+0.71%)

PTTGCปิดที่ 59.75บาท +0.75 (+1.27%)

//www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20121030/475915/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%8714%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99.html

ปล.เรื่องหุ้นนี่ คิดอะไรมันออกตรงข้ามตลอด หุหุ
ซื้อปั๊บหุ้นตก ขายปั๊บหุ้นขึ้น ซะอย่างงั้น แค่ลองคิดเล่นๆ
มันก็ยังเป็นอย่างนั้นอีก หุหุ ชาบูๆ แม่หมอเจงๆ
ถ้าเดาว่าลงของจริงมันต้องขึ้น 55

5460
 
 

โดย: แม่หมอตลาดหุ้นมารายงานตัว อิอิ IP: 124.120.12.0 วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:16:57:37 น.  

 
 
 


ขออนุยาด เปิดโปรเจคใหม่ หั้ยวิ่งเล่นคร้าาาา

( โปรเจคนี้ เริ่มโหลดช้า แระ แหะ ๆ )

มีไร ก็ไปเม้าท์มอย กันได้

ที่ โปรเจคหมายเลข 12 เด้ออ :25:







https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bsonjb&month=30-10-2012&group=1&gblog=15






..วว... I 'm not weird !
ส.
I 'm Limited Edition ?





 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:23:42:00 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นู๋บี
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add นู๋บี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com