จะ สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ คนอื่น ทำ แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^

<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
10 สิงหาคม 2554
 

►►. . . เมื่อ อิเจ้ เซ็งเป็ด ! เหตุ กาทู้ดราม่าธรรมโม๊ะ โดนโล๊ะ (เหตุเกิด ณ ลานธรรมจักร ! ) . . ◄ ◄



อิเจ้ เซ็งเป็ด ! เมื่อ ดราม่าธรรมโม๊ะ โดนโล๊ะ เสร็จมอดเวบ อีกแระ ( เหตุเกิด ณ ลานธรรมจักร อะซิก ๆ )



นี่ ๆ เธอว์จ๋าาาาาาาา
เรื่องมันมีอยู่ว่า อิเจ้ ไปตั้ง ดราม่าธรรมโม๊ะ
เอ๊ย กาทู้ ธรรมมะ ไว้ที่ ลธมจ. อ่ะคร้าาาาา


แหม ? อุส่าห์ตั้งชื่อ กาทู้ซะกิ๊บเก๋ยูเรก้า ว่า

บ่นเรื่อยเปื่อย...เมื่อยก็พัก...ตามประสา นักปฏิบัติไม่เอาไหนฯ (โครงการ 2 )
//www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=38999


ตั้งใจจะหั้ยเป็น ภาคต่อ ของ บ่นเรื่อยเปื่อย...ฯ (โครงการ1 ) ที่พังจิต


//board.palungjit.com/f181/บ่นเรื่อยเปื่อย-เมื่อยก็พัก-ตามประสา-นักปฏิบัติไม่เอาไหน-ก๊ะ-เสือใบลานไม่เอาถ่าน-285890.html


เนี่ย กะจะทำเป็นหนังไตรภาค
แบ่บ เดอะ เมทริกซ์ แร้วเชียวน้าาาา
แต่พอ เรทติ้งกะลัง กระฉูด ได้ที่
มี อิเจ้านกเขาคู มัน พลัดหลงเข้ามา โก่งคอมาร้องจุ๊กกรู ๆ
จีบอินู๋หน่อไม้ฯ เซเลบคนดังในเวบ เท่านั้นแหล่ะ


อิมอดที่ ลธมจ. มันก็ดั๊นจมูกไว แอบเข้ามาเห็นซ่าาาา
เรยเกิดอาการ หึงจนหน้ามืด เอ๊ย เกิดอาการรับไม่ด้ายยย
เรย สะกัดดาวรุ่ง ด้วยการเอา แม่กุญแจ มาล็อกกาทู้ อิเจ้ ซะนี่
หมดกัล กาทู้การเผยแพร่ ธรรมโม๊ะของกรู


แต่ไม่เป็นไรว่ะ คิดว่า กุญแจอันขี้ประติ๋วแค่นี้
จะขัดขวาง อิป่วน นัมเบอร์ วัน อย่างอิเจ้ ได้หรอฟระ
กรูขอบอกว่า อิพวกมอด เมิงคิดผิด ! เหอ ...เหอ...


อนึ่ง องคุลีมาลหยุดแร้ว
แต่ ตรู ยังขี้เกียจจะ หยุด
และในเมื่อ มุดรู ขันคู
ในกาทู้ ที่ ลธมจ. มิได้( เพราะโดนล็อค)
ตรู หอบกาทู้ มาโพส ต่อ ที่บล็อกจัวเอง ก็ได้ฟระ



เนี่ยเด๋วโพสกาทู้นี้ เสร็จ อิเจ้จะไปจุดธูปอัญเชิญ
คู่กิ๊กพริกกะเกลือตัวพ่อตัวแม่ อย่าง พ่อนกเขาคู ก๊ะ อีนู๋หน่อไม้
เข้ามาตบตี เอ๊ย มาจู๋จี๋เสวนาธรรม กันต่อ ในนี้ ต่อด้วยอ่า
เตรียมเสพดราม่า เอ๊ย เตรียมสดับรับฟัง ธรรมเทศนา กันได้นะเธอว์
( ว่าแต่ กาทู้ ในบล็อกนี้ของอิเจ้ จะโดนแบนจนจบเห่ อีกไหม เนี่ย )




++++++++++++++++++++++++++++++++

15/8/2554
เนื่องจาก สัจจะ มันค้ำคอ
อิฉันเรยลบ ตัวหนังสือ ของ ป๋าขำในกาทู้นี้มิได้
จึง ขอนุยาด เข้ามา ติด เรตกาทู้
และ แจ้งเตือนให้ ทั่นผู้พลัดหลงเข้ามาอ่านทราบเพิ่มเติม

ว่า

ฟามเห็น ที่อยู่ต่อจาก ฟามเห็นของ คุณ โฮฮ้าบๆๆๆๆๆๆ
วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:9:45:24 น.

ค่อนข้างจะติดเรทx และขาดศิลปะ
ฟามคลาสิก อีโรติก ในการโพส เป็นอย่างยิ่ง
ถ้าใครเลื่อนไปอ่าน
ขอให้ โปรดทำใจไว้ล่วงหน้า
เพราะเกรงว่า ท่านอาจจะ ผิดหวัง
แนะนำหั้ยไปหาซื้อ หนังสือ เพล์บอย มานั่ง อ่าน
หรือ ใช้ อากู๋ เสิร์ช หนังAVมาเสพเอง
น่าจะเวิร์ค กว่าเจ้าค่ะ แหะ ๆ






.




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2554
74 comments
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 0:24:04 น.
Counter : 2264 Pageviews.

 
 
 
 
ถึง ไอ้เจ้านกเขาคู และ อินู๋หน่อไม้

นี่แหน่ะ พ่อหนุ่มสาวคู่รักหวานแหวว ทั้งสองเอ๋ย
กาทู้บ่นฯ ของป้าผ่องโดนล็อค ฯ แระว่ะ
ฮือ ...ฮือ...โฮนะ โฮนะ อ่ะซิก...อ่ะซิก....


เฮ้ออออ เซ็งเป็ดดดดด !
ตรู กะลังสะสมระเบิดเกือบจะเต็มสตรีม
ใกล้จะได้ฤกษ์ผานาที
เตรียมจะไปทิ้งบอมส์ ใน กาทู้อยู่แร้วแท้ ๆ
ทำไมนะ ทำไมทำกับฉานได้


อืม... น่าเสียดายเป็นบ้า
ป้า กะว่า จะปรุง ต้มเปรตปลาไหลให้ไอ้ตี๋มันซดเล่น
แทน ต้มจับฉ่ายใส่หน่อไม้ดอง ซะหน่อย
ดั๊น เกิด แอคซิเด้นซ์ ซะได้


แต่ไม่เป็นไร ว่ะ ในฐานะ เจ้าของกาทู้
ป้าขอแสดงฟามรับผิดชอบ ต่อการโดนล็อกกาทู้ ในครั้งนี้
ด้วยการ เปิด กาทู้ใหม่ ในบล็อกนี้
ให้ เป็น สมรภูมิน้ำลาย เอ๊ย ให้เป็น รังรัก
ของ พี่โฮ ก๊ะ น้องฮา แทน กาทู้ อันเก่าจร้าาาาา
ขอเชิญ มาอ่อยอี๋เอี๋ยงเถียงกัน ตาม ฉะบายน้าาาา
กาทู้ป้า ม่ะมี แบน ไม่มีบล๊อค ม่ะมี ล็อค แสดงออกได้เต็มตรีน !



ปอลิง
แร้ว เด๋ว ดีเดย์ วันที่ 12 ส.ค. นี้( ถ้า ม่ะมีอะไรผิดแผน)
เจ้จะกลับมา สำรอก แอนด์ แร่พโย่ว ด้วยนะจ๊ะ
แต่ตอนนี้ เจ้ขอ อนุยาด จัดหนัก เอ๊ย ลาป่วย
ไปช่วย โปรโมท กาทู้นี้ ที่ ลธมจ. ก่องอ่า เพราะมันเป็นเรื่องเร่งด่วน

และ ก้อ ขอเวลาทำใจ เรื่อง กาทู้โดนล็อก แป๊บนึง ว่ะ
เฮ้อออ โดนกระทำชำเรา ถูก อิมอดเวบ
มันข่มขืนทางจิตใจ งี้ ป้า เค้าเป๋ ชีช้ำอ่าาาาา


เฮ้อออ เนี่ย ตั้งท่าเตรียมมาวาดลวดลาย
แร่พฉ่อยเกี่ยวกับปรัชญา เรื่อง

จะมุดรูดูกล่อง ยังไงให้มันได้มรรคผล

และ เรื่อง สัจจะในไหหน่อไม้ ก๊ะ พุทโถ! ผู้รู้ ฯลฯ

ให้ ไอ้ตี๋ แอนด์ อีหมวย มันดู แร้ว มันแท้ ๆ
ดั๊น โดนล็อค กาทู้ซะได้ เซ็งเป็ด เจง ๆ เรยกรู




.
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 10 สิงหาคม 2554 เวลา:21:02:08 น.  

 
 
 
5555 ทักทายคับ......
 
 

โดย: aestorylove วันที่: 10 สิงหาคม 2554 เวลา:21:27:13 น.  

 
 
 
เดินมาตามกลิ่นธูป พร้อมกับแบกความเซ้งเป็ด พวกมด
ม้อด ลธมจ ว่ะ งวดนี้ดีหน่อยแค่ล็ดกกระทู้ ไม่เอากระทู้โยนถังขยะ สงสัยจะเป็นม้อดตัวเดิมที่เจ้ปลื้ม
พูดถึงอีม้อดตัวนี้ไม่รู้ว่าเจ็ไปเข้าตาได้งัย อั้วว่ามันเป็นได้แค่ มดม้อดปลวกลิ้นไรในเว็บ แบบนี้ถ้าเป็นตำรวจโดน
ปชชรุมยำแน่ๆ อั้วยังไม่รู้เลยว่ามันเอาหลักการข้อไหนมาล็อกกระทู้ชาวบ้าน ไอ้ที่ขำที่สุดก็ตอนมันเอากระทู้ลงถังขยะ
โดยที่จขกทไม่รู้อีโน่อีเน่ ถึงกะต้องไปโวยวาย
อั้วรู้สึกอเน็จอนาจกับมันจริงๆ
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 58.9.207.166 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:2:49:38 น.  

 
 
 
ฮ๊าฮา ท่านปลาไหลอับปัญญา อย่ามาเบี่ยงเบนประเด็นอีกเลย
(ยัยฮานะ).....
แค่ยอมรับความจริงว่า พระพุทธเจ้ารักษาสัจจวาจาที่ให้ไว้กับมารไม่ได้ แค่นั้น
ส่วนจะเปลี่ยนเป็นธรรมทานหรืออะไรมันก็ไม่ได้ทำให้สัจวาจานั้นสำเร็จได้อยู่ดี นะเจ้าข๊า

ส่วนเรื่องการรักษาสัจจวาจา "ปลงอายุสังขาร" กับ พระอานนท์ นั้น ฮานะ ก็ อะ-ธิ-บาย ไปแล้วนะ ไอ้ตี๋ซื่อบื้อ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(พี่โฮฮับจ้า)....
จะดูอะไรมันต้องดูที่บทสรุปสิจ๊ะน้องฮานะจ๋า แล้วผลสุดท้าย
พระพุทธองค์ทรงเปล่งวาจาปลงอายุสังขารหรือเปล่า มันต้อง
ดูตรงนี้ แบบนี้จะว่าไม่รักษาสัจจะได้งัย ถ้าไม่รักษาสัจจะ
มันต้องรอให้ครบอายุขัยสิแม่คุณ แม่ทูลหัว

ส่วนกรณีเรื่องความฉลาดอะไรนั้น ก็ต้องดูที่ว่าพระองค์
ทรงเล่งเห็นว่า สามเดือนต่อจากนี้ไปจะไม่เวไนยสัตว์
หมายความว่า จะไม่มีผู้ที่ให้พระองค์ทรงสั่งสอนแล้ว
เราต้องดูในประเด็นนี้ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนในศาสนาใหม่ การจะเอาคนมาเป็นสาวก จะต้องเอามาจากคนนอก
ศาสนา คนเหล่านี้จึงเรียกว่าเวไนยสัตว์ คนที่ไม่ได้เป็นเวไนยสัตว์ ความหมายก็คือคนนอกศาสนาไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า

แล้วที่บอกว่าทรงเปล่งวาจา ปลงอายุสังขารกับพระอานนท์
ก็ไม่ใช่สักกาหน่อย พระอานนท์มารู้ภายหลัง
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 58.9.207.166 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:3:38:54 น.  

 
 
 
(ยัยฮานะ)...

ความจริงก็คือ พระพุทธเจ้ารักษาสัจจวาจาที่ให้ไว้กับมารไม่ได้
แต่หลังจากนั้น พระองค์ทรงรักษาสัจจวาจาที่ให้ไว้กับพระอานนท์ได้
แล้วก็ปรินิพพานไปทั้งๆ ที่สาวก สาวิกา อุบาสก อุบาสิกา ของพระองค์ยังไม่ฉลาด....เพียงใด
ความจริงก็มีอยู่แค่เนี๊ยะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

(โฮฮับ).......
พระพุทธเจ้าทรงไปให้สัจจะวาจากับพระอานนท์ตั้งแต่เมื่อไรกัน น้องฮานะเครียดจนเพ้อแล้ว

ตัวพระอานนท์นั้นแหล่ะจะขอให้พระพุทธองค์ทรงละทิ้งสัจจะ
ในเรื่องการปลงอายุสังขาร แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอม

แล้วมันเป็นคนละเรื่องกับทีพระองค์แสดงนิมิตโอภาส ถ้าพระอานนท์เข้าใจในนิมิตโอภาสและทูลขอยับยั้ง อันนี้จะเป็นเงื้อนไขที่มีต่อมาร เพราะแสดงว่าสาวกของพระองค์ยังมีปัญหาอยู่ แต่ไม่ทูลผลก็คือไม่มีปัญหา

แล้วเรื่องสาวกของพระองค์ไม่ฉลาดอย่างไร น้องฮานะต้องยกตัวอย่างอ้างอิงมาไม่ใช่กล่าวแบบลอยไปลอยมา
มันไม่เซ้นซิทีป นิวเย็นเนอเรชั่นไม่นิยมจ๋าจ๊ะ

และกรุณาอย่าย้อนเพราะพี่อธิบายทุกเรื่องที่พี่พูด ถึงแม้น้องฮานะจะดูว่าเป็นการ ลื่นแหล่ แถเทือก มันก็แล้วแต่
มันเป็นสิทธิที่น้องจะคิดได้ แต่อย่าบอกว่าพี่ทำแบบเดียวกับน้อง เด็จพี่ทนไม่ได้ เด็จพี่รับไม่ได้
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 58.9.207.166 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:4:00:03 น.  

 
 
 
(ฮานะ).......
ไหนๆ ก็บอกว่าสำคัญที่ซู๊ด ก็ต้องดูให้ดีนะว่า ทำไมพระองค์ถึงต้องพยายามแสดงนิมิตโอภาสบอกใบ้พระอานนท์
ถ้าพระองค์เชื่อว่ามารพูดเป็นความจริง ว่าพุทธศาสนาเจริญ รุ่งเรืองแล้ว ทำไมจึงไม่ปลงอายุสังขาปรินิพพานไปตั้งแต่หนแรก
แต่เพราะพระองค์ก็ทรงรู้อยู่เต็มอกว่า สาวกของพระองค์ยังไม่ฉลาด...เพียงใด จึงได้ผัดผ่อนกับมารถึง 3 ครั้ง 3 ครา
และสุดท้ายก็พึ่งพาพระอานนท์ไม่ได้ จึงตัดสินพระทัยเปล่งวาจา "ปลงอายุสังขาร"
ปรินิพพานไปทั้งที่ สาวก สาวิกา อุบาสก อุบาสิกา ของพระองค์ก็ยังไม่ฉลาด...เพียงใด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮับ).....
อันนี้ขอตอบน้อง ในแนวของอรรถาจารย์โฮฮับ น้องฮานะ
จะว่าพี่แถก็ไม่เป็นไร อรรถาจารย์ไร้อันดับยอมรับได้

อย่าลืมน่ะว่าพระอานนท์ยังไม่สำเร็จอรหันท์ เป็นแค๋โสดาบัน ยังมีกิเลส พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นว่า
ถ้าพระองค์ทรงปรินิพพานจะเป็นเหตุให้พระอานนท์
โศรกเศร้าเสียใจ จึงทรงมีเมตตาแก่พระอานนท์
แต่เนื่องด้วย ติดคำสัจจะวาจาที่ให้ไว้ จะบอกตรงๆก็ไม่ได้
เลยต้องแสดงนิมิตโอภาส
สำคัญกว่าสำคัญที่ซู๊ดก็คือ สัจจะวาจาของพระองค์มันไม่ได้อยู่ที่เงื่อนเวลา มันอยู่ที่เงื่อนไขการกระทำคือ การปลงอายุสังขาร ซึ่งพระองค์ก็ทรงกระทำที่ได้ให้สัจจะวาจาไว้
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 58.9.207.166 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:4:19:35 น.  

 
 
 
(ยัยฮานะ)
การจะได้โสดาบันก็ต้องมีการปฏิบัติ จนละสังโยชน์ได้สามอย่างแล้ว นะเจ้าค๊า


สภาวะที่ท่านโฮฮับอธิบายมานั่นยังไม่ได้เป็น "โสดาบัน" เลยละเจ้าค่า
ยังเป็นแค่ "โสดาปัตติมรรค" มรรคอันให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ 3 อย่าง


โสดาบัน หมายถึงผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละสังโยชน์ เบื้องต่ำ ๓ ประการได้
คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส น๊าเจ้าข๊าาาาาา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(เฮียโฮฮับ)....
พี่อยากหัวเราะเป็นภาษานก จุ๊กกรูกุ๊ก จุ๊กกรูๆๆ
น้องฮานะเล่นทุกเม็ดเก็บทุกดอกเลยนะน้องจ๋า การสนทนาที่มันออกมาในลักษณะหลากหลายแบบนี้
น้องต้องจับที่ประเด็นที่สนทนาสิจ๊ะ ไปหยิบเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆมาให้มันเป็นประเด็นแบบนี้ ประเด็นเก่ายังไม่จบ
ไปเล่นประเด็นใหม่อีกแล้ว จะซื้อข้าวสารแต่ละทีน้องเล่นนับเม็ดกันเลยหรือ

ประเด็นนี้มันอยู่ที่คำว่า"ทฤษฎี" มันไม่ได้อยู่ที่โสดาบัน
ต้องทำอย่างโน้นต้องทำอย่างนี้
ปัญหามันอยู่ที่น้องแย้งว่าพี่คำคำว่าทฤษฎีมาใช้ผิด
มาใช้กับปัญญาไม่ได้ นี่ความสำคัญที่ต้องใส่ใจมันอยู่ตรงนี้

แล้วการที่น้องบอกว่า โสดาปัตติมรรคเป็นเหตุ ต้องปฏิบัติให้เกิดโสดาปัตติผล แบบนี้แล้ว โสดาปัตติมรรคไม่ใช่
เป็นทฤษฎี โสดาปัตติผล เป็นการปฏิบัติหรอกหรือ

ที่น้องบอกว่าโสดาปัตติผล เป็นการละสังโยชน์เบื้องต่ำ
แท้จริงแล้วมันเป็นการได้มา แห่งความเข้าใจในศีล สมาธิ
และปัญญา เมื่อได้ส่วนนี้มามันก็จะกลายเป็น ทฤษฎีเพื่อ
นำการปฏิบัติในขั้นสูงกว่าโสดาบันต่อไป

สรุปที่เราเถียงกันมันเป็นเรื่องที่น้องบอกว่าทฤษฎีมาใช้กับ
ขั้นตอนของอริยะไม่ได้ แต่พี่พยายามชี้ให้ดูว่า มันเป็น
เพียงสมมุติบัญญัติสามารถเอามาใช้อธิบายตัวปรมัตถ์ได้
พี่ก็หวังว่าน้องจะเข้าใจ จะได้ไม่ซ้ำซากอยู่กับพุทโธ
ใครเขาให้อธิบาย ก็ทำไม่ได้แก้ตัวไปว่าเป็นปรมัตถ์
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 58.9.207.166 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:5:08:46 น.  

 
 
 
(ฮานะ)..
พระสุภัททะ ยังคงเป็นปุถุชน มีความร่าเริ่งยินดี ที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว
เพราะคิดว่าจะได้ไม่มีใครมาคอยเคี่ยวเข็ญให้ปฏิบัติเคร่งครัดตามพระธรรมวินัยอีกต่อไป

สรุปอีกทีว่า ฮานะ อธิบายเรื่องนี้มากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว แต่ท่านโฮฮับก็ยังทิฏฐิหนา ปัญญาน้อย และไม่กล้ายอมรับความจริง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮับ).....
อันนี้จี๊ดเลย โสดาบันของขึ้นเลย ยัยเด็กคนนี้พูดไม่รู้ฟัง
ก็บอกแล้วไงว่าโสดาบันยังมีกิเลส โลภ โกรธ หลงอยู่
นางวิสาขา ยังมีผัวนอนกอด แถมมีลูกตั้งโขลงมีสมบัติ
ข้าทาสบริวาลมากมาย
แล้วท่านสุภัททะของน้องมันแตกต่างกันตรงไหน ในเรื่อง
ของกิเลส ในเรื่องปรมัตถ์

อินังนู๋ฮานะ พี่โฮจะบอกให้ ศาสนาของพระพุทธองค์
เป็นศาสนาใหม่ การที่จะเผยแพร่ศาสนา พระองค์ต้องเผยแผ่ คำสอนให้คนอื่นเข้าใจและยอมรับเสียก่อน
พวกคนเหล่านั้นจึงจะยอมเป็นสาวกทั้งกายและใจ
สมัยพุทธกาลมันต่างกับสมัยเรา พวกเรานับถือศาสนา
ตามพ่อตามแม่ บางคนพ่อไหว้จ้าว แม่ใส่บาตร ลูกเลย
ทำทั้งไหว้จ้าวทั้งใส่บาตร เฮ่อเหนื่อย!
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 58.9.207.166 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:5:35:36 น.  

 
 
 
กระทู้ของท่านป้าบัวป่อง ผู้เข้าใจกันดีกับท่านโฮฮับ
ท่านโสดันบ้าโฮฮับ เลยต้องออกมาปกป้องกัวว่ากาทู้ป้าบัวป่องจามัวหมองเพราะฮานะ

ฮานะ ธรรมอาสา ขอบอกว่า มันมัวหมองไปตั้งแต่เจ้าของกาทู้สำรอกออกมาแล้วละ เจ้าข๊า
แต่คนมีทิฏฐิหนา ปัญญาน้อย กลับเห็นว่าการกระทำของท่านป้าฯ นี้ช่างบอริสุดผุดผ่อง
เข้ามาคุยกันสองต่อสอง ด้วยภาษา "บ่น" ปน "แร่พโย่"
พอฮานะเข้ามาก็หาว่าเป็นก้างขวางคอเพราะมีมะโห ฮ๊าฮา ฮ๊าฮา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อยากขายจ๋าอยากขาย เร้วเร่เข้ามา มาชิมแกงจับฉ่าย
ฝีมือเอก รูปก็ทราม เอ๊ย!ไม่ใช่ รูปก็งาม นามก็เพราะ
เลยดีดสาย เปล่งเสียงออกสำเนียงว่า....ฮานะ

น้องฮานะพี่โฮว่า น้องจะมั่วนาๆชาติมากไปนะจ๊ะ
น้องไปดูสาเหตุที่เราโต้กันก่อน มันต้องแยกแยะกันเป็นกรณีๆไปสิจ๊ะ ที่พี่โก่งคอขันมาเสียยืดยาว มันเป็นกรณี
เรื่องแร่พโย่วกับเรื่องบ่นของป้าผ่อง นี้เป็นกรณีหนึ่ง
ส่วนเรื่องของน้องฮานะกับป้าผ่อง มันเป็นเรื่องที่น้องไปว่า
ป้าผ่องเขาว่าสำรอกกิเลส แล้วมาบอกว่าปฏิบัติธรรม
เรื่องที่ป้าผ่องทำผิดกฎบอร์ดหรือเปล่า มันก็เป็นเรื่อง
ของป้าผ่องกับทางเว็บบอร์ดเขา
น้องเล่นเอาไปแกงรวมกัน พอเวลาเขาจะกินดันตักผัก
พอเขาจะกินผักดันตักพริก

ถ้าพูดถึงกรณ๊ที่ป้าผ่องแกพูดไม่เพราะมันก็เป็นเรื่องของแก
เพราะแกเป็นคนตั้งกระทู้ การพูดการจาจึงเป็นลักษณะ
ของการพูดคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร พี่เห็นมีแต่น้องฮานะ
นั้นแหล่ะที่พูดจาหยาบคายไปว่าป้าผ่องว่าแรดบ้าง
สำรอกกิเลสบ้าง ก็รู้อยู่ว่าป้าผ่องแกบอกว่า"ตามภาษาผู้
ปฎิบัติธรรมไม่เอาไหน" พี่ว่าพุทโธผู้รู้ของน้อง มันรู้แล้ว
ทนไม่ไหว ดันส่งออกนอกไปลามเลียรูหูรูจมูกป้าผ่องแก
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 115.87.130.174 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:12:49:17 น.  

 
 
 
โหฮา โค-ตะ-ระ ฮา
เนี่ยหนะเหรอที่ท่านโฮฮับอ้างว่า "พี่มีกฎมีมรรยาทและใช้ภาษาที่คนในกระทู้เข้าใจ"
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
น้องนี่ใสซื่อบื่อ บรบือจริงๆ คำพูดข้างบนมันหมายถึง
คนที่เข้ามาสนทนากับพี่โฮ ไม่ใช้คนอื่นที่เข้ามาคุยกับใครก็ไม่รู้ในกระทู้นั้น แสดงว่า น้องไม่รู้จักกาละเทศะ ชอบที่
จะยุ่งเรื่องชาวบ้าน
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 115.87.130.174 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:13:00:34 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆ มานั่งร้องโวยวาย ฟ้องมารดามรึงอยู่นี่เอง

งานนี้ อ้ายตี๋โฮฮับ เสียท่า หมดฟอร์ม

อิอิ


 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.237.195 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:17:03:21 น.  

 
 
 
อิอิ

อ้ายตี๋โฮฮับอย่างมรึง เป็นได้แค่โสดาป่วย หัวคัน
ได้แต่ปั่น จุ๊กกรู๊ ๆๆ เท่านั้นแหละ

ไม่ได้โสดาบันกับเค้าหรอก

จะสอนให้ว่า สุภัททะ เป็นโสดาบันหรือเปล่า
แตกต่างกับนางวิสาขา ตรงไหน ก็ อีตรงนี้แหละ

วิจิกิจฉาไง ที่เป็นตัวชี้
นอกจากรับไม่ได้ที่พระพุธเจ้าสอน แล้วยังอาฆาพยาบาต

กระบือโฮฮับเอ๋ย

นึกว่ามรึงจะแน่ ซะแค่ไหน
ที่แท้ มรึงโดนเค้าล้อมหมากเอา ไว้ทุกจุด ยังไม่รู้ตัว
จะแถไปไหนก็ไปไม่รอดหรอก

ล๊อกกระทู้ของมารดามรึงน่ะแหละดีแล้ว
ว่างๆจะแจก ให้ใบแดง ทั่งแก ทั้งมารดามรึง

อิอิ





 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.237.195 วันที่: 11 สิงหาคม 2554 เวลา:23:57:38 น.  

 
 
 
อิอิ

อีดอก บัวผ่องก็งี่เง่าจริงนะมรึง
ไหนคุยว่าทำระบ่ง ระเบิดห่าเหวอะไรว๊า จะไปทิ้งบอมม์ที่เวป

ที่ไหนได้ เสือกงี่เง่า เอาระเบิดพลีชีพไป
ระเบิดตัวเอง

เลยตายหมู่ทั่งมรึงทั้งอ้ายตี๋โฮฮับ นอมินี่ของมรึง

ก๊ากๆๆ
ขำว่ะ

อิอิ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.237.195 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:0:45:31 น.  

 
 
 
คุณขำว่ะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จะใช่คุณฮานะหรือเปล่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเหตุนี่หรือไม่ ผมจะบอกคุณไว้ก่อนเลยว่า
ผมเลือกที่จะตอบความเห็นคุณแต่เฉพาะในส่วน เป็นธรรม
และเห็นว่าเป็นประโยชน์
นอกเหนือจากนี้ ผมถือเสียว่า คุณกำลังระบายอารมณ์ที่เกิด
จากความสิ้นหวังท้อแท้ ผมเห็นว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
มันเปล่าประโยชน์ต่อส่วนรวมและที่สำคัญอาจโดนคนอื่น
ตราหน้าว่า เป็นคนประเภทเดียวกับคุณ หวังว่าคงเข้าใจน่ะ
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 115.87.130.174 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:3:29:56 น.  

 
 
 
(ขำว่ะ).....

จะสอนให้ว่า สุภัททะ เป็นโสดาบันหรือเปล่า
แตกต่างกับนางวิสาขา ตรงไหน ก็ อีตรงนี้แหละ

วิจิกิจฉาไง ที่เป็นตัวชี้
นอกจากรับไม่ได้ที่พระพุธเจ้าสอน แล้วยังอาฆาพยาบาต

กระบือโฮฮับเอ๋ย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮับ)
พุดโถ! จะอ้างทั้งทีก็ไม่ได้เรื่องมั่วไร้อันดับ สงสัยเล่นเขย่า
ติ้วเสียงทาย พอเหมาะติ้วตัวที่เขียน วิฉิกิจฉา มันกระเด็น
ออกมา เลยเลือกเอาตัวนี้มาอ้าง

คุณขำว่ะ ถ้าคุณเอาเรื่องศีลพตปรามาสมาอ้างผมว่ามันจะเข้าท่าดูดีกว่านะ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า ท่านสุภัททะจะเป็นทั้งสองแบบนี้นะ

เรื่องโสดาบันมันเป็นเรื่องของความเข้าใจใน ศีล สมาธิและ
ปัญญา ส่วนเรื่องของสุภัททะที่ทำอะไรไม่เหมาะพระพุทธเจ้าตำหนิ จนทำให้สุภัททะเกิดอาฆาตแค้น ส่วนนี้มันเป็นเรื่อง
ขั้นตอนของการปฏิบัติที่เรียกว่าอริยมรรค

โสดาบันเป็นอริยบุคคลในขั้นของเสขะ ยังต้องได้รับการ
สั่งสอนอีก สุภัททะท่านเป็นโสดาบันแล้ว แต่ท่านยัง
บกพล่องไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของ อริยมรรค
ถ้าเป็นเหตุที่พระพุทธเจ้าตำหนิ ท่านสุภัททะ ผิดในแง่ของ
สัมมาอาชีวะ
ถ้าเป็นเรื่องอาฆาตมาดร้ายมันก็เกี่ยวกับ ไม่มีสัมมาวาจา
และไม่มีสัมมากัมมันตะ

จะบอกให้ครับ ที่เราถกเถียงกันก็เป็นเพราะคุณ เกิดการ
เข้าใจผิด คุณเอามรรคของอริยะบุคคล มาปนกับศีลของปุถุชน เรื่องง่ายๆไม่เห็นยากตรงไหน
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 115.87.130.174 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:4:09:28 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆ
ขำว่ะ โสดาป่วย หัวคันแบบอ้ายตี๋ ไม่รู้จักขอบข่ายของวิจิกิจฉา ไม่รู้จักเจตสิกที่ติดตามเกื้อหนุน

โสดาป่วยหัวคันโฮฮับ ได้แต่ปั่นจุ๊กกรู๊ๆๆ จริงๆ

ควายนะนั่น ถ้าเข้าใจ มันไถนาเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาสอนต่อหรอก ไม่ต้องสอนให้ไถนา มันไปไถมันเองได้เลย

ที่ต้องให้สอนต่อ เพราะมันไม่เข้าใจในธรรม

ศีลสมาธิปัญญาของปุถุชน ยังทำไม่ได้
ถ้าเข้าใจ มันถึงจะทำได้
ที่ทำไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจ
อย่ามาอ้างเลยว่า เป็นโสดาบัน อ้ายตี๋ป่วยหัวคันเอ๋ย

ส่วนศีลพตปรามาสนั่น มันของเห็นๆ เด็กอนุบาล พวกอิอ่อน ก็เห็นได้ง่ายๆ ไม่ต้องยกมาหรอก

ถ้ายกมาชี้สักกยาทิฎฐิ อีกตัว มรึงก็หน้าแหกจะไปซุกขาหนีบมารดามรึงก็รักษาไว้ไม่ได้อ่ะนะ

ครบสามตัว ลักษณะของโสดาบัน ไม่มี ฮ่าๆๆ

แล้วมรึงอะเอาหน้าที่ไหน มาบอกว่าสุภัททะ เป็นโสดาบัน

ป่วยหัวคันของมรึงต่อไปเหอะ อ้ายตี๋ จุ๊กกรู๊ ๆๆ
ปั่นหัวจุ๊กกรู๋ๆๆ ของมรึงต่อไป เคลื่อนน้ำกลละออกมาทางปากของมรึงต่อไป

หน้าไม่อาย กิ๊วๆๆ

อิอิ



 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.237.195 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:8:50:15 น.  

 
 
 
นี่นับว่าเป็นวาสนามารมีของมรึงแล้ว อ้ายตี๋ป่วยหัวคัน ปั่นหัวจุ๊กกรู๋ ๆ
และเป็นวาสนามารมี ของอีดอกบัว ฉิ้งฉ่องแล้ว

ที่ข้าพเจ้ามาเยือน

รีบมาก้มหัววันทา เอาน้ำมาล้างตรีนข้าพเจ้า เสียก่อน

จะได้เป็นศิริมงคลแก่ พวกมรึงรวมทั้งบิดรมารดาญาติพงศา ของพวกมรึง

อิอิ

 
 

โดย: ขำว่า IP: 124.120.237.195 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:8:59:57 น.  

 
 
 
อิอิ

อ้ายตี๋ป่วยหัวคันเอ๋ย

มรึงนี่โง่บรรลายวายวอดเลยอ่ะ
ยิ่งมาอธิบายแต่ละตัวๆ วิจิกิจฉา ศีลพตปรามาส สักกายทิฎิฐิ

ยิ่งตอกยำคำพูดไม่เอาไหนของตัวเอง ให้ปลิ้นปล้อนตอแหลไม่ออก
เหมือนเอาจุ๊กกรู๋ๆ มรีงเอง ทิ่มคอหอยมรึงเอง
ดี๊ปโทรส เลยว่ะ

ยิ่งอธิบาย สุภัททะที่มรึงว่าเป็นโสดาบัน ก็ยิ่งตกต่ำลงไปตามคำพูดมรึงน่ะแหละ

เห็นม่ะ อีหนู หายนะ มันวางหมากล้อมแกไว้หมด
โคตะระโง่เลยว่ะ อ้ายตี๋โสดาป่วย หัวคัน ปั่นแต่จุ๊กกรูๆๆ

ขำว่ะ
อิอิ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 110.168.115.182 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:9:36:56 น.  

 
 
 
(ฮานะแอนด์เดอะแก็งส์)


นี่นับว่าเป็นวาสนามารมีของมรึงแล้ว อ้ายตี๋ป่วยหัวคัน ปั่นหัวจุ๊กกรู๋ ๆ
และเป็นวาสนามารมี ของอีดอกบัว ฉิ้งฉ่องแล้ว

ที่ข้าพเจ้ามาเยือน
รีบมาก้มหัววันทา เอาน้ำมาล้างตรีนข้าพเจ้า เสียก่อน

จะได้เป็นศิริมงคลแก่ พวกมรึงรวมทั้งบิดรมารดาญาติพงศา ของพวกมรึง
อิอิ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮ้าบๆๆๆๆๆๆ)

ใช้เลยครับเป็นอำนาจบารมีของผม ยิ่งคุณแสดงอาการปวดแสบปวดร้อนทุลนทุลายแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า
มารย่อมทนต่อบารมีความดีไม่ได้
อยากช่วยครับ แต่เรื่องพรรณ์นี้ มารต้องช่วยตัวเองก่อน
ผมก็ได้แต่ แผ่บารมีให้ว่า"สัพเพสัตตา อเวลาโหตุ"ครับ

วันดีวันมงคล คนเขากำลังทำใจกุศล ประกอบบุญทานทำ
กตัญญุตาต่อมารดาบังเกิดเกล้า ก็มีแต่มารเท่านั้นแหล่ะ
ที่จ้องแต่จะทำลายความดี จ้องที่จะทำสิ่งตรงกันข้าม
แบบนี้ก็ได้แต่ อโหสิคร้าบๆๆๆๆ

 
 

โดย: โฮฮับ IP: 110.168.187.170 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:10:49:17 น.  

 
 
 
ฮานะแอนด์เดอะแก็งส์ จะพูดธรรมหรือจะพูดเรื่องต่ำทราม
ก็เลือกเอาสักอย่าง เอามาพูปนกันแบบนี้ มันไม่ได้เรื่อง
เป็นอัปมงคล รักที่จะกักขละก็ใจกล้าๆหน่อย ใส่มาที่เดียว
ทำผสมปนเปกัน ธรรมของพระพุทธศาสนามัวหมองหมด

นี่จะแนะนำให้ หาคำด่าที่มันดูดีมีชาติตระกูลหน่อยไม่ได้หรือ เอาแบบที่คนฟังๆแล้วเจ็บจี๊ดๆน่ะ ไอ้ที่ด่ามามันดู
เหมือนคนไร้การศึกษา ฟังแล้วก็ได้แต่สมเพทคนด่า
อะไรหว่า พูดธรรมเหมือนคนไม่มีปัญญา แถมคำด่าเหมือนไม่มีสมองอีก
เอาน่าลองดูใหม่ ตั้งใจให้มากกว่านี้หน่อย สู้..สู้
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 110.168.187.170 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:11:03:43 น.  

 
 
 
อืม...แวะมา ชาบูชาบู ทั่นเมพ ขำว่ะ
เป็นการเฉพาะกิจเจ้าค่ะ อิอิ


เฮ้อออ อิโลงผุเอ๊ยยยยยย
กาทู้อิเจ้ผีเน่า กลาย เป็น ...กาทู้ ดัก ผู้รู้ ไปซะแระ ว่ะ

หูยยย ผลุบ ๆ โผล่ ๆ แย่งกัน ตะเกียกตะกาย
ออกจาก รูจอมปลวก กันใหญ่เยยยย
ลื้อ อยาก เจี๊ยะ แกงhere เป็น ดินเนอร์ อ่ะป่ะ
เด๋วเจ้จัดหั้ยยยยยย เหอ..เหอ...


ปอลิง 1

วันนี้เจ้ขึ้นเวรเช้า ว่ะ
เรยเข้ามาเม้าส์ แบ่บเต็ม ๆ มิได้
ไว้ คืนนี้ ค่อยเจอกันนะจ๊ะ
อ่ะ อิเจ้ฝากเพลงไว้ให้ คนรู้ใจ ฟังแก้คิดถึงเจ้ ด้วยจร้าาา


//www.youtube.com/watch?v=s4XtL3QPUhA

อย่าลืม คลิ๊กไปฟังนะจ๊ะ หุหุ


ปอลิง 2

อ้อ หากครายไม่ใช่ คนรู้ใจ ของเจ้
ก็ไม่ต้องคลิ๊กไปฟังก็ได้นะจ๊ะ
เด๋ว จะฟุ้งซ่าน คิดเรยเถิดไป ว่า อิเจ้ หลอกด่า อิอิ


.
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:12:16:34 น.  

 
 
 
(โฮฮ้าบๆๆๆๆๆๆ)

ใช้เลยครับเป็นอำนาจบารมีของผม ยิ่งคุณแสดงอาการปวดแสบปวดร้อนทุลนทุลายแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า
มารย่อมทนต่อบารมีความดีไม่ได้
อยากช่วยครับ แต่เรื่องพรรณ์นี้ มารต้องช่วยตัวเองก่อน
ผมก็ได้แต่ แผ่บารมีให้ว่า"สัพเพสัตตา อเวลาโหตุ"ครับ

วันดีวันมงคล คนเขากำลังทำใจกุศล ประกอบบุญทานทำ
กตัญญุตาต่อมารดาบังเกิดเกล้า ก็มีแต่มารเท่านั้นแหล่ะ
ที่จ้องแต่จะทำลายความดี จ้องที่จะทำสิ่งตรงกันข้าม
แบบนี้ก็ได้แต่ อโหสิคร้าบๆๆๆๆ

๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗

อิอิ

ขำว่ะ

ข้าพเจ้าช่วยตัวเองไม่เป็น
อ้ายตี๋ มรึงอยากช่วยอมกรุ๊กกรู ข้าพเจ้าบ้างไหมล่ะ
ฮ่าๆๆ

มาช่วยอม กรุ๊กกรู๋ ข้าพเจ้าดีกว่าน่า มาซะดีๆๆ

มรึงอ่านภาษาอะไรของมรึงว่ะ อ้ายตี๋ป่วย หัวคัน
ข้าพเจ้า เขียนบอกว่า มารมีของมรึง
ไม่ใช่บารมี
อ่านหนังสือภาษาไทยไม่ออก โง่กว่าอนุบาลพวกอิอ่อนอีกนะมรึง

และข้าพเจ้า ไม่ได้เป็นนอมินี่ใคร ไม่ได้เป็นนอมีนี่อีดอกบัวผ่อง เหมือนกับมรึงหรอก
ข้าพเจ้า เป็นตัวของตัวเองโดยสมบูรณ์
ทั้งศีลวัตร กรืยา มายาท เพียบพร้อม

มรึงดูยังไง มุดรูดดูกล่องดวงใจอีดอกบัวผ่องอยู่
ก็มองไม่เห็นหรอก
ในความสดใส ซาบซ่าบริสุทธิ์ ทั้งศีลและจริยา

ฮ่าๆๆ
อิอิ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.179.82 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:12:40:32 น.  

 
 
 

อีดอกบัวผ่อง

อืม...แวะมา ชาบูชาบู ทั่นเมพ ขำว่ะ
เป็นการเฉพาะกิจเจ้าค่ะ อิอิ


เฮ้อออ อิโลงผุเอ๊ยยยยยย
กาทู้อิเจ้ผีเน่า กลาย เป็น ...กาทู้ ดัก ผู้รู้ ไปซะแระ ว่ะ

หูยยย ผลุบ ๆ โผล่ ๆ แย่งกัน ตะเกียกตะกาย
ออกจาก รูจอมปลวก กันใหญ่เยยยย
ลื้อ อยาก เจี๊ยะ แกงhere เป็น ดินเนอร์ อ่ะป่ะ
เด๋วเจ้จัดหั้ยยยยยย เหอ..เหอ...


ษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษ

อิอิ

ตาต่ำเสียจริงแหละ แม่อีดอกบัวผ่อง
มองแต่ลึงค์ข้าพเจ้า ก็เห็นเป็นเทพไปซะแล้ว
ตาต่ำจริงๆ
กล่องดวงใจข้าพเจ้า ไม่ใช่ลึงค์หรอกนะ

อยากดูนัก ว่าจะจัดแกงบิดรมารดาเฮี๊ยของมรึงมาไส่ถาดประเคนข้าพเจ้า เป็นภักษาหารได้เอร็ดอร่อยแค่ไหน

บิดรมารดาเหี้ยยของมรึงจะแซ่บเด็ดดวงสักเพียงไหน

ฮ่าๆๆ
อิอิ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.179.82 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:12:49:56 น.  

 
 
 
อิอิ

อีดอกบัวผ่อง จัดบิดรมารดา ตระกูลเหี ย ของมรึงไส่จานมาได้เลย ข้าเจ้า กระหายภักษาหารเต็มแก่แล้ว

ฮ่าๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.179.82 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:12:52:07 น.  

 
 
 
(คุณขำว่ะ)....
อิอิ ขำว่ะ
ข้าพเจ้าช่วยตัวเองไม่เป็น
อ้ายตี๋ มรึงอยากช่วยอมกรุ๊กกรู ข้าพเจ้าบ้างไหมล่ะ
ฮ่าๆๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮ)
อุ๊ย! คุณพี่ทำไมพูดจาบัดสีจังเลย อารัยกันจ๊ะ เรื่องแค่นี้
ก็ทำไม่เป็น เห็นพูดเป็นต่อยหอย ช่วยตัวเองก็ไม่เป็น
แบบนี้เข้าทำนองดีแต๋พูดนะจ๊ะ แล้วมันอะไรกันเดียวกู
เดียวข้าพเจ้า สงสัยไม่มั่นใจกับเพศตัวเองหรือจ๊ะ
สรุปเป็นkหรือเป็นqก็บอกมา จะได้เอาเครื่องมือไปถูก
มันมีทั้งเครื่องดูดฝุ่นกับไม้ตีพริก จะเอาอย่างไหน

----------------------------------------------------------------------------------
(ขำว่ะ).....
มรึงอ่านภาษาอะไรของมรึงว่ะ อ้ายตี๋ป่วย หัวคัน
ข้าพเจ้า เขียนบอกว่า มารมีของมรึง
ไม่ใช่บารมี
อ่านหนังสือภาษาไทยไม่ออก โง่กว่าอนุบาลพวกอิอ่อนอีกนะมรึง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮ).................
แล้วคุณพี่เขียนภาษาไทยอย่างไรล่ะจ๊ะ ไอ้คำว่า"มารมี"
มันไม่มีหรอกจ๊ะ นี่อุตสาห์แกล้งทำเฉย ปล่อยเลยตามเลย
คุณพี่ยังมาประจานตัวว่าด้อยพัฒนาในเรื่องภาษาอีก

-----------------------------------------------------------------------------------

(คุณพี่ขำว่ะ).......

และข้าพเจ้า ไม่ได้เป็นนอมินี่ใคร ไม่ได้เป็นนอมีนี่อีดอกบัวผ่อง เหมือนกับมรึงหรอก
ข้าพเจ้า เป็นตัวของตัวเองโดยสมบูรณ์
ทั้งศีลวัตร กรืยา มายาท เพียบพร้อม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮ).......
อันตัวข้าน้อยโฮฮับ ก็มิได้เป็นนอมินีใครเช่นกันเพคร้าบ
ก็เห็นอยู่ว่ากำลังแสดงความเห็นแย้งป้าผ่องแกอยู่
แม่คุณแม่ทูลหัว2เพศฮานะ ไม่ดูตาม้าตาเรือ เข้าเต้นแร้ง
เต้นโคโยตี้ใส่เฉยเลย เป็นแบบนี้จะให้เกล้ากระผมทำงัย

เกล้ากระผมไม่ได้ว่าคุณพี่ขำว่ะเป็นนอมินี เสือไบฮานะน่ะ
แค่ว่าเป็นแก็งเดียวกัน แต่ถ้ากินปูนร้อนท้องแบบนี้ สงสัย
เป็นโคนนิ่ง อวาทาร์กันแหง่ๆ

แล้วที่เขียนว่า "กรืยา" "มายาท" คุณพี่จะเอางัยกันแน่คร้าบ
เดี๋ยวจะมาว่าเกล้ากระผมอ่านหนังสือไทยไม่ออกอีก คุณพี่
ขำว่ะนี่ล่ะก็ ชอบแกล้งข้าน้อยอยู่เรื่อยเลย
---------------------------------------------------------------------------------
(ผู้มีมายาท ขำว่ะ).......

มรึงดูยังไง มุดรูดดูกล่องดวงใจอีดอกบัวผ่องอยู่
ก็มองไม่เห็นหรอก
ในความสดใส ซาบซ่าบริสุทธิ์ ทั้งศีลและจริยา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮ)....

ป้าผ่องแกไม่มีกล่องดวงใจหรอกครับ ผมเห็นแกมีแต่ถ้ำ
กับป่าสงวน แล้วที่บอกว่าสดใสซาบซ่า สงสัยคนที่บ้านอม
จุ๊กกรูให้แล้วใช่มั้ยครับ แสดงความยินดีด้วยคร้าบ ที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาณอีกต่อไป
 
 

โดย: โฮฮับ IP: 110.168.187.170 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:14:34:47 น.  

 
 
 

อะโหลลลลลลล ช่วงนี้ ม่ะมีคนไข้ แร้วคร้าาาาา
ว่าง ๆ เรยแวะมาปล่อยผ่าน ฟามเห็นของทั่นขำว่ะ
( ที่ติดโปรแกรมกรองคำอัตโนมัติ ) ที่โพสก่อนหน้าทั่นโฮ

เพราะกัวว่า เด๋วทั่นขำฯ จา น้อยใจ
หาว่า อิฉัน ตระบัดสัตย์ ที่บอกว่า กาทู้นี้ ไม่มีแบน ไม่มีล็อค อิอิ


ว่าแต่ ไอ้เจ้าตัวข้างล่างนี้ ตรงสเปคทั่น ฤาษีขำว่ะ ป่ะคะ




อิฉันจะได้จับมันไปเจี๋ยน ทำแกง ให้ทั่นซดเล่น
ทั่นจักได้โดยไม่ต้องเสียเวลามาทำท่ากระบิดกระบวน

นั่งถือค้อนห่มคลุมผ้าอยู่ที่ประตูศาลา


เฮ้อออ ม่ายลู้ทำไม ถึง ติดใจ ในเนื้อ here กันนักกันหนา
ไม่คิดจะเปลี่ยนบรรยากาศ
มากิน ต้มเปรตปลาไหล มั่งหรือจ๊ะ ทั่น ฤาษี ?


หากวันใด ทั่นฤาษี เปลี่ยนใจ
อยากหม่ำปลาไหล แทน ตัว here ก็มาเข้าฝันบอกนะจ๊ะ
อิฉันเตรียม ตะไคร้ ก๊ะ ใบข่อย ไว้คอยท่า แระ เอิ๊ก ๆ





.
 
 

โดย: คุณป้าบัว...ฉิ้งฉ่องงงง เอิ๊ก ๆๆ (นู๋บี ) วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:15:47:28 น.  

 
 
 

ถึง ไอ้ตี๋ โฮฮ้าบบบบบบ
ประเด็น ที่เรา ถกกัน เรื่อง การมุดรูดูกล่อง
เด๋ว คืนนี้ เจ้จะมาเชคบิล กะ ลื้อ
( อย่าคิดนะ ว่าตรูจะลืม เหอ...เหอ.. )


แต่ตอนนี้ เจ้ขอเวลา ไปฝึกทำอาหาร
เมนูต้มเปรตปลาไหล ก่อน ว่ะ
เผื่อจะมี เสน่ห์ปลายจวัก ก๊ะเขามั่ง อิอิ




.
 
 

โดย: คุณป้าบัว...ฉิ้งฉ่องงงง เอิ๊ก ๆๆ (นู๋บี ) วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:15:49:42 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆ

ข้าพเจ้า เป็นแก๊งเดียว มีคนเดียว ฉายเดี่ยว
ไม่มีเอี่ยวกะใคร

แต่มักมีคนแอบอ้าง ให้เปนหัวหน้าแก้งค์อยู่ร่ำไป
อ้ายตี๋ มาอมกรุ๊กกรูให้ข้าพเจ้าหน่อยเดะ

เห็นปากว่างมาก มาอมจุ๊กกรูๆๆ ให้หน่อยสิน่า
ก๊ากๆๆ


 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.77.224 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:13:48 น.  

 
 
 
อีดอก บัวฉิงฉ่อง

เอารูปตัวเหียบักสมาน บิดรมรึงมาโชว์
ไอ้ตัวนี้ ข้าพเจ้ากินมันมาแล้ว พร้อมเมียมันด้วย
ก๊ากๆๆ

ไม่อร่อย

หาที่มันสดๆๆ กว่านี้มาเป็นภักษาหารให้ข้าพเจ้าดีกว่า
ข้าพเจ้า ชอบสดๆ คาวๆๆ

อิอิ


 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.77.224 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:19:04 น.  

 
 
 
ป้าผ่องแกไม่มีกล่องดวงใจหรอกครับ ผมเห็นแกมีแต่ถ้ำ
กับป่าสงวน แล้วที่บอกว่าสดใสซาบซ่า สงสัยคนที่บ้านอม
จุ๊กกรูให้แล้วใช่มั้ยครับ แสดงความยินดีด้วยคร้าบ ที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาณอีกต่อไป

ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ

ก๊ากๆๆ

ไอ้ตี๋โสดาป่วยหัวคันเอ๋ย
ดันเอาความลับในมุ้งมาโพทนา

ก็ ไอ้คนที่อยู่บ้านข้าพเจ้า ก็คือ

มารดา มรึงไง ที่มาอมจุ๊กกรูให้ข้าพเจ้าบ่อยๆ
ไม่เอาอย่างมารดาของมรึงบ้างเหรอ
ก๊ากกๆๆๆ


 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.77.224 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:28:24 น.  

 
 
 
ฝากหนังสือหน่อย ค่อยมาเก็บว่ะ

มธุรัตถวิลาสินี

อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กถาปรารภคัมภีร์

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้มีพระญาณ

อันหาที่สุดมิได้ มีพระกรุณาเป็นที่อาศัย ทรงทำลาย

มลทิน มีพระหฤทัยมั่นคง อำนวยประโยชน์เกื้อกูล.

ขอนอบน้อมพระธรรมอันประเสริฐ เครื่องป้อง

กันภพ.

ขอนอบน้อมพระสงฆ์ ผู้ปราศจากมลทินและ

เป็นบ่อเกิดคุณความดี.

ท่านพระสารีบุตรผู้เป็นธรรมเสนาบดี แม่ทัพ

ธรรม ผู้เป็นเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าเหล่าพุทธสาวก

ทางปัญญา ได้ทูลถามพระศาสดาผู้เป็นพระธรรมราชา

จอมทัพธรรมผู้ทรงถึงฝั่ง ที่หาขอบเขตมิได้ ผู้ไร้มลทิน

ถึงพุทธวงศ์ใด ท่ามกลางหมู่พระประยูรญาติ. พุทธ-

วงศ์ใด อันพระตถาคต วงศ์ผู้ตรัสรู้ดี วงศ์พระผู้บริ-

สุทธิ์ดี ผู้มีสมาธิเป็นธรรมเครื่องอยู่ ผู้เป็นนายกพิเศษ

ทรงเปิดโอกาสประกาศไว้แล้ว ณ ท่ามกลางหมู่พระ

ประยูรญาตินี้.

เหล่าโอรสพระสุคต ไม่ทำลำดับบาลี และอรรถ

แห่งบาลีให้เสื่อมเสีย ช่วยกันรวบรวมตามที่ศึกษาสดับ

ฟังสืบต่อเรื่องกันมา จนตราบเท่าปัจจุบันนี้.

เพราะเหตุที่การพรรณนาพุทธวงศ์นั้นนั่นแล อัน

ไม่ขาดสายแห่งพระสัมพุทธะผู้ประเสริฐ ซึ่งเป็นเรื่อง

ไม่ตาย ฟังกันได้ให้เกิดความเลื่อมใสและปัญญา แก่

ชนทั้งหลายทุกเมื่อ เป็นไปตามลำดับ. ฉะนั้น ข้าพเจ้า

อันท่านพุทธสีหะ ผู้ยินดีในพระสัทธรรมโดยเคารพ

อันคุณมีศีลเป็นต้นบันดาลใจ อ้อนวอนแล้วจึงจักเริ่ม

พรรณนาพุทธวงศ์นั้น เพื่อกำจัดความชั่วร้าย ของชน

ทั้งหลายทุกเมื่อ เพื่อความตั้งมั่น แห่งพระพุทธศาสนา

เพื่อความเกิดและเจริญแห่งบุญ แม้ของข้าพเจ้าเอง

และเพื่อยังมหาชนให้เลื่อมใส.

ก็การพรรณนาพุทธวงศ์โดยสังเขปนี้ อาศัยทาง

บาลีที่มาจากสำนักมหาวิหาร ละโทษคือการปะปนกัน

เสีย จักเป็นสาระ. แต่เพราะเหตุที่ในที่นี้ ไม่มีเรื่องที่

ควรฟัง ที่จะเป็นเครื่องยังผู้ยินดีในพระพุทธคุณให้

เลื่อมใส เป็นเครื่องลอยบาป ซึ่งเป็นมลทินใหญ่ นอก

จากเรื่องพุทธวงศ์ ฉะนั้นแล ขอท่านทั้งหลายจงเป็น

ผู้ประกอบอยู่ในสมาธิโดยเคารพ ละความฟุ้งซ่าน ไม่

มีจิตเป็นอื่น จงตั้งโสตประสาทดังภาชนะทองรองรับ

สดับมธุรสของข้าพเจ้า ผู้กำลังกล่าวพรรณนา.

ก็กถาพรรณนาพุทธวงศ์ ควรที่จะมัจจะคนที่

ต้องตาย เป็นผู้รู้จะต้องละกิจอื่นเสียให้หมดแล้ว ฟัง

ก็ดี กล่าวก็ดี ในที่นี้ได้ตลอดกาลเป็นนิจ โดยเคารพ

ด้วยว่ากถานี้ แต่งได้แสนยากแล.

ควรกำหนดพุทธวงศ์ก่อน เพราะในคาถาปรารภนั้น ข้าพเจ้ากล่าว

ไว้ว่า กถาพรรณนาพุทธวงศ์ จักเป็นสาระดังนี้ ก็การกำหนดในพุทธวงศ์นั้น

มีดังนี้ การกล่าวประเพณีอย่างพิศดาร โดยปริเฉทมีกัปปปริเฉทเป็นต้น อันเกิด

ขึ้น แต่พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ซึ่งเสด็จอุบัติใน ๔ อสงไขยกำไรแสน

กัป นับถอยหลังแต่กัปนี้ไป พึงทราบว่า ชื่อว่า พุทธวงศ์.

พุทธวงศ์กำหนดด้วยปริเฉท

ก็พุทธวงศ์นั้น ท่านกำหนดไว้เป็นปริเฉท ๒๒ ปริเฉท ที่มาตามบาลี

เหล่านี้คือ

๑. กัปปปริเฉท ตอนว่าด้วย กัป

๒. นามปริเฉท ตอนว่าด้วย พระนาม

๓. โคตตปริเฉท ตอนว่าด้วย พระโคตร

๔. ชาติปริเฉท ตอนว่าด้วย พระชาติ

๕. นครปริเฉท ตอนว่าด้วย พระนคร

๖. ปิตุปริเฉท ตอนว่าด้วย พระพุทธบิดา

๗. มาตุปริเฉท ตอนว่าด้วย พระพุทธมารดา

๘. โพธิรุกขปริเฉท ตอนว่าด้วย ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้

๙. ธัมมจักกัปวัตตนปริเฉท ตอนว่าด้วย การประกาศพระธรรมจักร

๑๐. อภิสมยปริเฉท ตอนว่าด้วย การตรัสรู้

๑๑. สาวกสันนิบาตปริเฉท ตอนว่าด้วย การประชุมพระสาวก

๑๒. อัคคสาวกปริเฉท ตอนว่าด้วย พระอัครสาวก

๑๓. อุปัฏฐากปริเฉท ตอนว่าด้วย พุทธอุปัฏฐาก

๑๔. อัครสาวิกาปริเฉท ตอนว่าด้วย พุทธอัครสาวิกา

๑๕. ปริวารภิกขุปริเฉท ตอนว่าด้วย ภิกษุบริวาร

๑๖. รังสิปริเฉท ตอนว่าด้วย พุทธรังสี

๑๗. สรีรปริมาณปริเฉท ตอนว่าด้วย ขนาดพระพุทธสรีระ

๑๘. โพธิสัตตาธิการปริเฉท ตอนว่าด้วย บารมีของพระโพธิสัตว์

๑๙. พยากรณปริเฉท ตอนว่าด้วย การพยากรณ์

๒๐. โพธิสัตตปณิธานปริเฉท ตอนว่าด้วย การตั้งความปรารถนา

ของพระโพธิสัตว์

๒๑. อายุปริเฉท ตอนว่าด้วย พระชนมายุ

๒๒. ปรินิพพานปริเฉท ตอนว่าด้วย การเสด็จปรินิพพาน.

ก็แม้ว่าวาระมากวาระที่ท่านมิได้ยกไว้โดยบาลี ก็พึงนำมาไว้ในกถานี้

ด้วย. วาระนั้น เป็นอันท่านกำหนดไว้เป็นปริเฉท ๑๐ ปริเฉท คือ

๑. อคารวาสปริเฉท ตอนว่าด้วย การอยู่ครองเรือน

๒. ปาสาทัตตยปริเฉท ตอนว่าด้วย ปราสาท ๓ ฤดู

๓. นาฏกิตถีปริเฉท ตอนว่าด้วย สตรีนักฟ้อน

๔. อัคคมเหสีปริเฉท ตอนว่าด้วย พระอัครมเหสี

๕. ปุตตปริเฉท ตอนว่าด้วย พระโอรส

๖. ยานปริเฉท ตอนว่าด้วย พระราชยาน

๗. อภินิกขมนปริเฉท ตอนว่าด้วย อภิเนษกรมณ์

๘. ปธานปริเฉท ตอนว่าด้วย ทรงบำเพ็ญเพียร

๙. อุปัฏฐากปริเฉท ตอนว่าด้วย พุทธอุปัฏฐาก

๑๐. วิหารปริเฉท ตอนว่าด้วย พุทธวิหาร

แต่ครั้นแสดงวาระมากวาระ แม้นั้น ตามฐาน

แล้ว ก็จักกล่าวแต่โดยสังเขปในที่นั้น ๆ.

พุทธวงศ์นั้น ข้าพเจ้ากำหนดไว้ดังนี้ว่า

พุทธวงศ์นี้ใครแสดง แสดงที่ไหน แสดงเพื่อ

ประโยชน์แก่ใคร แสดงเพื่ออะไร แสดงเมื่อไร คำ

ของใคร ใครนำสืบมา.

ครั้นกล่าววิธีนี้โดยสังเขปหมดก่อนแล้วภายหลัง

จึงจักทำการพรรณนาความแห่งพุทธวงศ์.


 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:42:39 น.  

 
 
 
ในคาถานั้น บทว่า เกนาย เทสิโต ได้แก่

ถามว่า พุทธวงศ์นี้ใครแสดง.

ตอบว่า พระตถาคต ผู้สำรวจด้วยพระญาณ อันไม่ติดขัด ในธรรม

ทั้งปวง ทรงทศพลญาณ ทรงแกล้วกล้าในเวสารัชญาณ ๔ จอมทัพธรรม

เจ้าของแห่งธรรม ผู้เป็นสัพพัญญู สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.

ถามว่า ทรงแสดงที่ไหน.

ตอบว่า พระตถาคตเจ้า ซึ่งกำลังเสด็จจงกรม เหนือรัตนจงกรม

อันเป็นจุดที่ชุมนุมดวงตาของเทวดาและมนุษย์ งดงามน่าทอดทัศนายิ่งนัก ทรง

แสดง ณ นิโครธารามมหาวิหาร ใกล้กบิลพัศดุ์มหานคร.

ถามว่า และทรงแสดงเพื่อประโยชน์แก่ใคร.

ตอบว่า ทรงแสดงเพื่อประโยชน์แก่พระประยูรญาติ ๘๒,๐๐๐ และ

แก่เทวดาและมนุษย์หลายโกฏิ.

ถามว่า ทรงแสดงเพื่ออะไร.

ตอบว่า ทรงแสดงเพื่อช่วยสัตว์โลกให้ข้ามโอฆะทั้ง ๔.

ถามว่า ทรงแสดงเมื่อไร.

ตอบว่า ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับไม่ประจำอยู่ ๒๐

พรรษา ในปฐมโพธิกาล ที่ใด ๆ เป็นที่ผาสุก ก็เสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่นั้น ๆ

นั่นแหละ คือ

๑. พรรษาแรก ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนะ ให้

เหล่าพรหม ๑๘ โกฏิดื่มน้ำอมฤต ประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนะ มิคทายวัน กรุง

พาราณสี.

๒. พรรษาที่ ๒ ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน มหาวิหาร กรุง-

ราชคฤห์.

๓. พรรษาที่ ๓ ที่ ๔ ก็ประทับอยู่ พระเวฬุวันมหาวิหารนั้น

เหมือนกัน.

๔. พรรษาที่ ๕ ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวันกรุงเวสาลี.

๕. พรรษาที่ ๖ ประทับอยู่ ณ มกุลบรรพต.

๖. พรรษาที่ ๗ ประทับอยู่ ณ ดาวดึงส์พิภพ.

๗ พรรษาที่ ๘ ประทับอยู่ ณ เภสกฬาวัน สุงสุมารคิรี แคว้น

ภัคคะ.

๘. พรรษาที่ ๙ ประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี.

๙. พรรษาที่ ๑๐ ประทับอยู่ ณ ราวป่าปาลิเลยยกะ.

๑๐. พรรษาที่ ๑๑ ประทับอยู่ ณ บ้านพราหมณ์ ชื่อนาฬา.

๑๑. พรรษาที่ ๑๒ ประทับอยู่ ณ เมืองเวรัญชา.

๑๒. พรรษาที่ ๑๓ ประทับอยู่ ณ จาลิยบรรพต.

๑๓. พรรษาที่ ๑๔ ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร.

๑๔. พรรษาที่ ๑๕ ประทับอยู่ ณ กบิลพัศดุ์มหานคร.

๑๕. พรรษาที่ ๑๖ ทรงทรมาน อาฬวกยักษ์ ให้สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ดื่ม

น้ำอมฤต ประทับอยู่ ณ เมืองอาฬวี.

๑๖. พรรษาที่ ๑๗ ประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์.

๑๗. พรรษาที่ ๑๘ ประทับอยู่ ณ จาลิยบรรพต.

๑๘. พรรษาที่ ๑๙ ก็ประทับอยู่ ณ จาลิยบรรพตเหมือนกัน.

๑๙. พรรษาที่ ๒๐ ประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์นั่นเอง.

ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้า

ประทับอยู่ไม่ประจำ ๒๐ พรรษาในปฐมโพธิกาล ที่ใด ๆ เป็นที่ผาสุก ก็เสด็จ

ไปประทับอยู่ ณ ที่นั้น ๆ นั่นแล.

แต่นับตั้งแต่นั้นไป ก็ประทับอยู่เป็นประจำ ณ พระเชตวันมหาวิหาร

และบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี.

ก็เมื่อใด พระศาสดาเป็นพระพุทธเจ้า เสด็จจำพรรษาแรก ณ ป่า

อิสิปตนะ มิคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ออกพรรษา ปวารณาแล้ว เสด็จ

ไปยังตำบลอุรุเวลา จำพรรษาไตรมาส ณ ที่นั้น ทรงทรมาณชฎิลสามพี่น้อง

ทำภิกษุจำนวนหนึ่งพันรูปเป็นบริวาร แล้วเสด็จไปกรุงราชคฤห์กลางเดือน

ผุสสมาส ประทับอยู่ ณ ที่นั้นสองเดือน เมื่อนั้น เมื่อพระองค์เสด็จออกจาก

กรุงพาราณสี ก็กินเวลาเข้าไปห้าเดือน. ล่วงฤดูหนาวไปสิ้นทั้งฤดู นับแต่วัน

ที่ท่านพระอุทายีเถระมาถึง ก็ล่วงไป ๗-๘ วัน. ก็ท่านพระอุทายีเถระนั้น ใน

ราวกลางเดือนผัคคุน [เดือน ๘] ก็ดำริว่า ฤดูเหมันต์ล่วงไปทั้งฤดู ฤดูวสันต์

ก็มาถึงแล้ว เป็นสมัยควรที่พระตถาคตจะเสด็จไปกรุงกบิลพัศดุ์ได้ ท่านครั้นดำริ

อย่างนี้แล้ว จึงกล่าวพรรณาการเสด็จไปด้วยคาถา ๑๐ คาถา เพื่อประโยชน์

แก่องค์พระศาสดาจะเสด็จไปยังพระนครแห่งสกุล. ครั้งนั้น พระศาสดาทรง

สดับคำของท่าน มีพระพุทธประสงค์จะทรงทำการสงเคราะห์พระประยูรญาติ

จึงแวดล้อมด้วยพระขีณาสพหมดด้วยกันสองหมื่นรูป คือ ที่เป็นกุลบุตรชาว

อังคะและมคธะหมื่นรูป ที่เป็นกุลบุตรชาวกรุงกบิลพัศดุ์หมื่นรูป นับจากกรุง-

ราชคฤห์ ถึงกรุงกบิลพัศดุ์ ระยะทาง ๖๐ โยชน์ สองเดือนจึงถึง ได้ทรงทำ

ยมกปาฏิหาริย์ เพื่อให้พระญาติทั้งหลายถวายบังคม ณ กรุงกบิลพัสดุ์นั้น ครั้ง

นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพุทธวงศ์นี้.

ถามว่า คำของใคร.

ตอบว่า พระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ไม่ทั่วไป

แก่พระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้า.

ถามว่า ใครนำมาเล่า.

ตอบว่า อาจารย์นำสืบ ๆ กันมา จริงอยู่ พุทธวงศ์นี้อันพระเถระ

ทั้งหลายเป็นต้นอย่างนี้ คือ พระสารีบุตรเถระ พระภัททชิ พระติสสะ พระ

สิคควะ พระโมคคัลลีบุตร พระสุทัตตะ พระธัมมิกะ พระทาสกะ พระ-

โสณกะ พระเรวตะ นำสืบกันมาถึงสังคายนาครั้งที่ ๓ แม้ต่อแต่นั้นไป ศิษยานุ-

ศิษย์ของพระเถระเหล่านั้นนั่นแหละ ก็ช่วยกันนำมา เหตุนั้น จึงควรทราบว่า

อาจารย์นำสืบ ๆ กันมาตราบเท่าปัจจุบันนี้ อย่างนี้ก่อน.

คาถานี้

พุทธวงศ์นี้ใครแสดง แสดงที่ไหน แสดงเพื่อ

ประโยชน์แก่ใคร แสดงเพื่ออะไร แสดงเมื่อไร คำ

ของใคร และใครนำสืบกันมา.

เป็นอันมีความตามที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ด้วยกถามีประมาณเท่านี้.

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:43:15 น.  

 
 
 
พาหิรนิทาน

บัดนี้ จะพรรณาความแห่งพุทธวงศ์นั้น ที่นำกันสืบมาอย่างนี้ ก็

เพราะเหตุที่การพรรณาความนี้ จำต้องแสดงนิทาน ๓ เหล่านี้คือ ทูเรนิทาน

อวิทูเรนิทาน และสันติเกนิทาน แล้วพรรณนา จึงชื่อว่าเป็นอันพรรณนาด้วย

ดี เเละชื่อว่า ผู้ที่ฟังนิทานนั้นรู้เรื่องได้ เพราะรู้มาตั้งแต่ต้นเหตุที่เกิด ฉะนั้น

ข้าพเจ้าจักแสดงนิทานเหล่านั้นแล้ว จึงจักพรรณนา.

ในนิทานนั้น พึงทราบปริเฉทตอนของนิทานเหล่านั้น เริ่มตั้งแต่ต้น

ก่อน การแสดงความโดยสังเขป ในนิทานนั้นดังนี้ ตั้งแต่พระมหาสัตว์

บำเพ็ญบารมี แทบเบื้องบาทของพระทศพลพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร จน

จุติจากอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้ว บังเกิดในภพดุสิต กถาที่เป็นไปเพียง

เท่านั้นชื่อว่า ทูเรนิทาน.

ตั้งแต่จุติจากภพดุสิต จนเกิดพระสัพพัญญุตญาณ ที่โพธิมัณฑสถาน

กถาที่เป็นไปเพียงเท่านั้น ชื่อว่า อวิทูเรนิทาน.

ตั้งแต่ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ มหาโพธิมัณฑสถาน จนถึง

เตียงเป็นที่ปรินิพพาน ในระหว่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด ๆ ที่

นั้น ๆ เช่นว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร

อารามของท่านอนาถปิณฑิกคฤหบดี กรุงสาวัตถี ว่าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน

กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ และว่าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่า-

มหาวัน กรุงเวสาลีดังนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่า สันติเกนิทาน.

การพรรณนาพาหิรนิทาน นิทานนอก ๓ นิทาน คือทูเรนิทาน อวิทู-

เรนิทานและสันติเกนิทาน โดยสังเขปนี่แล เป็นอันจบด้วยนิทานกถาเพียงเท่านี้.

จบพาหิรนิทาน

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:43:55 น.  

 
 
 
พรรณนารัตนจังกมนกัณฑ์

ก็บัดนี้ จะพรรณนาความแห่งอัพภันตรนิทาน ที่เป็นไปโดยนัยเป็น

ต้นว่า

'ท้าวสหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูล

ขอพรอันยอดเยี่ยมว่า สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสดุจธุลีใน

ดวงตาน้อย มีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ทรงเอ็นดูหมู่-

สัตว์นี้แสดงธรรมโปรดเถิด.

ในข้อนี้ ผู้ทักท้วงกล่าวว่า เหตุไรท่านไม่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้น

สักกะ. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงพุทธวงศ์ดังนี้ แต่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า ท้าว-

สหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูลขอพรอันยอดเยี่ยม ดังนี้. ขอชี้แจง

ดังนี้ว่า ท่านกล่าวดังนั้น ก็เพื่อชี้ถึงการทูลขอให้ทรงแสดงธรรมของพรหม

อันเป็นเหตุแห่งการแสดงธรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอชี้แจงปัญหา

นี้ที่ว่า

พระชินพุทธเจ้านี้ถูกพรหมอาราธนา เพื่อทรง

แสดงธรรมเมื่อไร ก็คาถานี้ ใครยกขึ้นกล่าว กล่าว

เมื่อไร และที่ไหน.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดา

ก็ถูกพรหมทูลอาราธนาอ้อนวอน เพื่อทรงแสดงธรรม.

ในเรื่องนั้น กล่าวความตามลำดับ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในวันเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระมหาบุรุษทรงเห็น

นางรำ นักสนมนอนผ้าผ่อนเปิดน่าเกลียด ทรงสังเวชพระหฤทัยยิ่งนัก เรียก

นายฉันทะ ผู้ปิดกายด้วยผ้าส่วนหนึ่งตรัสว่า เจ้าจงนำม้าฝีเท้าดี ชื่อ กัณฐกะ

ที่ข่มข้าศึกตัวยงได้ ให้นำม้ากัณฐกะมาแล้ว ทรงมีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จ

ขึ้นทรงม้า เมื่อเทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ประตูพระนคร เปิดประตูพระนครแล้ว

ก็ออกจากพระนครไป ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร โดยส่วนที่เหลือจากสมบัติที่

พระราชาพระองค์นั้นทรงยินดีแล้ว ทรงเป็นสัตว์ที่ไม่ต่ำทราม ประทับยืน

ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ตรัสกะนายฉันนะเท่านั้นว่า ฉันนะ เจ้าจงพาเครื่อง

อาภรณ์ที่ไม่ทั่วไปกับคนอื่น ๆ เหล่านี้ และกัณฐกะม้าฝีเท้าดีของเรากลับไป

กรุงกบิลพัสดุ์นะ ทรงปล่อยนายฉันนะแล้ว ก็ทรงตัดมกุฏผ้าโพกพร้อมกับ

พระเกศา ด้วยดาบคือพระขรรค์อันคมกริบ เสมือนกลีบบัวขาบ แล้วเหวี่ยง

ไปในอากาศ ทรงถือบาตรจีวรที่เทวดาถวาย ทรงผนวชด้วยพระองค์เองเสด็จ

จาริกไปโดยลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคา ที่มีคลื่นหักโหมปั่นป่วนเพราะแรงลม

ได้ไม่ติดขัด เสด็จเข้าสู่พระนครชื่อว่าราชคฤห์ ที่มีราชนิเวศน์โชติช่วงด้วย

ข่ายรัศมีแห่งหมู่แก้วมณี ทรงไม่ติดขัดด้วยการเสด็จดำเนิน มีพระอินทรีย์

สงบ มีพระมนัสสงบ ทรงแลดูชั่วแอก ประหนึ่งทรงปลอบชนผู้มัวเมาเพราะ

ความเมาในความเป็นใหญ่ แห่งกรุงราชคฤห์นั้น ประหนึ่งทรงทำให้เกิดความ

ละอาย แก่ชนผู้มีเพศอันฟุ้งเฟ้อแล้ว ประหนึ่งทรงผูกหัวใจของชนชาวกรุงไว้

ในพระองค์ ด้วยความรักในวัย ประหนึ่งทรงแย่งดวงตาของชนทุกคนด้วย

พระสิริรูป ที่ส่องประกายด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประหนึ่ง

กองบุญ และประหนึ่งบรรพตที่เดินได้ด้วยพระบาทที่มีรูปงาม เสด็จเที่ยว

บิณฑบาตไปยังกรุงราชคฤห์ ทรงรับอาหารเพียงยังอัตภาพให้พอเป็นไปได้

เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ประทับนั่ง ณ โอกาสสงัดน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง เป็น

ภูมิภาคสะอาด พรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ข้างปัณฑวบรรพต เสวยอาหาร

ที่คลุกกัน อันพระเจ้าพิมพิสารมหาราช แห่งอาณาจักรมคธ เสด็จไปหาพระ-

มหาบุรุษ ตรัสถามพระนามและพระโคตรแล้ว มีพระราชหฤทัยบันเทิงกับ

พระองค์ ทรงเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติว่า ขอทรงโปรดรับราชสมบัติส่วนหนึ่ง

ของหม่อมฉันเถิด. ด้วยพระสุรเสียงไพเราะดังบัณเฑาะว์ตรัสตอบว่า อย่าเลย

พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยราชสมบัติดอก หม่อมฉันละราช-

สมบัติมาประกอบความเพียร เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก แล้วจักเป็นพระ-

พุทธเจ้า ผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก ดังนี้แล้วเสด็จออกไป อัน

พระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้นตรัสวอนว่า พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

โปรดเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อนแคว้นอื่นทั้งหมด ทรงถวายปฏิญญา

คำรับรองแด่พระเจ้าพิมพิสารนั้นว่า สาธุ แล้วเสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสและ

อุทกดาบส ไม่ทรงพบสาระแห่งธรรมเทศนาของดาบสทั้งสองท่านนั้น ก็ทรง

หลีกออกจากที่นั้น แม้ทรงทำทุกกรกิริยาถึง ๖ ปี ณ ตำบลอุรุเวลา ก็ไม่อาจ

บรรลุอมตธรรมได้ ทรงทำพระสรีระให้อิ่มหนำสำราญด้วยการเสวยพระกระยา-

หารอย่างหยาบ.

ครั้งนั้น หญิงรุ่นชื่อ สุชาดา ธิดาของกุฎุมพีเสนานิคม ในตำบล

อุรุเวลา เสนานิคม โตเป็นสาวแล้วทำความปรารถนา ณ ต้นไทรต้นหนึ่งว่า

ถ้าดิฉันไปเรือนสกุลที่มีชาติสมกัน [มีสามี] ได้ลูกชายในท้องแรกก็จักทำ

พลีกรรมสังเวย. ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว ในวันเพ็ญเดือน ๖ นาง

ดำริว่า วันนี้จักทำพลีกรรม พอเช้าตรู่จึงให้จัดข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง มี

รสอร่อยอย่างยิ่ง. ในวันนั้นนั่นเอง แม้พระโพธิสัตว์ทรงทำสรีรกิจแล้ว คอย

เวลาภิกษาจาร เช้าตรู่ก็เสด็จไปประทับนั่ง ณ โคนต้นไทรนั้น. ครั้งนั้น ทาสี

ชื่อ ปุณณา แม่นมของนางสุชาดาเดินไปหมายจะทำความสะอาดที่โคนต้นไทร

ก็พบพระโพธิสัตว์ประทับนั่งสำรวจโสกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ ผู้มีพระสรีระ

งาม เสมือนยอดภูเขาทองซึ่งเรื่องรองด้วยแสงสนธยา ผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่ง

มุนี ผู้เข้าไปสู่ต้นไม้อันประเสริฐ เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ผู้ทำการฝังตัวลง

ในกลุ่มมืด [กำจัดมืด] ผู้ทำความแย้มผลิแห่งดงบัว ผู้สอดเข้าสู่หลืบเมฆ.

เพราะเห็นต้นไม้นั้นมีสีเหมือนสีทองหมดทั้งต้น โดยรัศมีที่แล่นออกจากพระ-

สรีระของพระโพธิสัตว์นั้น นางปุณณาทาสีจึงคิดว่า วันนี้เทวดาของเราลงจาก

ต้นไม้ คงอยากจะรับเครื่องพลีกรรมด้วยมือตนเอง จึงมานั่งคอย. นางจึงรีบ

ไปบอกความเรื่องนั้นแก่นางสุชาดา.

จากนั้น นางสุชาดาเกิดศรัทธาขึ้นมาเอง ก็แต่งตัวด้วยเครื่องประดับ

ทุกอย่าง บรรจุถาดทองมีค่านับแสนเต็มด้วยข้าวมธุปายาสมีรสอร่อยอย่างยิ่ง

ปิดด้วยถาดทองอีกถาดหนึ่ง เทินศีรษะ เดินมุ่งหน้าตรงต้นไทร. นางกำลัง

เดินไป เห็นพระโพธิสัตว์นั้นแต่ไกล ประทับนั่งงดงามเหมือนกองบุญ ทำ

ต้นไม้นั้นทั้งต้น มีสีเหมือนสีทองด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ ประหนึ่งรุกขเทวดา

ก็เกิดปีติปราโมทย์ เดินน้อมตัวลงตั้งแต่ที่เห็นด้วยเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา

ปลงถาดทองนั้นลงจากศีรษะ ประคองวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์ แล้ว

ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์กล่าวว่า มโนรถ ความปรารถนาของดิฉันสำเร็จ

แล้ว ฉันใด มโนรถแม้ของพระองค์ก็จงสำเร็จฉันนั้นเถิด แล้วก็กลับไป.

ครั้งนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงถือถาดทอง เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำ

เนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ที่ริมฝั่งใกล้ท่าน้ำชื่อสุปปติฏฐิตะ สรงสนานแล้ว

เสด็จขึ้น ทรงทำเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน เสวยข้าวปายาสนั้นแล้วทรงลอยถาด

ทองนั้นลงไป พร้อมทรงอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขอ

ถาดทองนี้ จงลอยทวนน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ เข้าไปยังภพของพระยานาค

ชื่อว่า กาฬนาคราช ยกถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ขึ้นแล้วตั้งอยู่ข้าง

ใต้ถาดเหล่านั้น.

พระมหาสัตว์ประทับพักกลางวัน ณ ราวป่านั้นนั่นแล เวลาเย็น ทรง

รับหญ้า ๘ กำ ที่คนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ทราบอาการของพระมหาบุรุษ

ถวายแล้ว เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน ประทับยืน ณ ทิศทักษิณ. ประเทศนั้น

ก็ไหวเหมือนหยาดน้ำบนใบบัว. พระมหาบุรุษทรงทราบว่า ประเทศตรงนี้

ไม่อาจทรงคุณของเราได้ ก็เสด็จไปทิศปัศจิม. แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือน

กัน จึงเสด็จไปทิศอุดรอีก แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือนกัน จึงเสด็จไป

ทิศบูรพาอีก ในทิศนั้น สถานที่ขนาดบัลลังก์ มิได้ไหวเลย พระมหาบุรุษ

ทรงสันนิษฐานว่า ที่นี้เป็นสถานที่กำจัดกิเลสแน่จึงทรงจับปลายหญ้าเหล่านั้น

สะบัด. หญ้าเหล่านั้น ได้เรียงเรียบเหมือนถูกกำหนดด้วยปลายแปรงทาสี

พระโพธิสัตว์ก็ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า เราไม่บรรลุโพธิญาณแล้ว

จักไม่ทำลายบัลลังก์ แล้วทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ประทับนั่งให้ต้นโพธิ์อยู่

เบื้องพระปฤษฏางค์ หันพระพักตร์ออกสู่ทิศบูรพา.

ทันใดนั้นเอง มารผู้รังควานโลกทั้งปวง ก็เนรมิตแขนพันแขนขึ้น

ขี่พระยาช้าง ผู้กำจัดศัตรูตัวยง ชื่อ คิริเมขละ ขนาด ๑๕๐ โยชน์ เสมือน

ยอดเขาหิมวันตคิรี ถูกห้อมล้อมด้วยพลมารหนาแน่นยิ่งนัก มีพลธนู พลดาบ

พลขวาน พลศร พลหอกเป็นกำลัง ครอบทะมึนโดยรอบดุจภูเขา ยาตร-

เบื้องเข้าหาพระมหาสัตว์ผู้เป็นประดุจศัตรูใหญ่ พระมหาบุรุษ เมื่อดวงอาทิตย์

ตั้งอยู่นั่นแล ก็ทรงกำจัดพลมารจำนวนมากมายได้ ถูกบูชาด้วยอดอ่อนโพธิที่

งดงามน่าดูเสมือนหน่อแก้วประพาฬสีแดง ซึ่งร่วงตกลงบนจีวรที่มีสีเสมือนดอก

ชะบาแย้ม ประหนึ่งแทนปีติทีเดียว ปฐมยาม ก็ทรงได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

มัชฌิมยาม ก็ทรงชำระทิพยจักษุญาณ ปัจฉิมยาม ก็ทรงหยั่งพระญาณลง

ในปฏิจจสมุปบาท ทรงพิจารณาวัฏฏะและวิวัฏฏะ พออรุณอุทัยก็ทรงเป็นพระ-

พุทธเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า

เราแสวงหาช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่

พบ ก็ท่องเที่ยวไปสิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย

ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์. ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือนคือ

อัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนคืออัตภาพ

อีกไม่ได้ โครงเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอด

เรือนคืออวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึง

พระนิพพานแล้ว เพราะเราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้น

ตัณหาทั้งหลายแล้ว.

ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน วันที่ ๘ ทรงออกจากสมา-

บัติ ทรงทราบความสงสัยของเทวดาทั้งหลายทรงเหาะไปในอากาศ เพื่อกำจัด

ความสงสัยของเทวดาเหล่านั้น ครั้นทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์กำจัดความสงสัย

ของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ประทับยืน ณ เบื้องทิศอุดร เยื้องทิศบูรพาจากบัลลังก์

ไปนิดหน่อย ทรงจ้องดูบัลลังก์และต้นโพธิ สถานที่บรรลุผลแห่งพระบารมี

ทั้งหลายที่ทรงบำเพ็ญมาถึงสี่อสงไขยแสนกัป ด้วยดวงพระเนตรที่ไม่กระพริบว่า

เราแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ เหนือบัลลังก์นี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้น

จึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์.

ต่อจากนั้น เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรม ต่อจากทิศบูรพาและทิศปัศจิม

ระหว่างบัลลังก์และสถานที่ประทับยืน ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้นจึงชื่อ

ว่ารัตนจังกมเจดีย์.

เทวดาทั้งหลาย ช่วยกันเนรมิตเรือนแก้วถวายในส่วนทิศปัศจิม ต่อ

จากนั้น ก็ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ ที่นั้นทรงพิจารณาเฟ้นพระอภิธรรม โดย

เฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์สมันตปัฏฐาน ที่มีนัยไม่มีที่สุด ณ ที่นั้น ทรงยับยั้งอยู่

๗ วัน สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนฆรเจดีย์.

พระพุทธเจ้าทรงยับยั้งอยู่ ใกล้ ๆ ต้นโพธิ ๔ สัปดาห์อย่างนี้แล้ว ใน

สัปดาห์ที่ ๕ จึงออกจากโคนต้นโพธิ์ เสด็จเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธ. แม้ใน

ที้นั้นก็ทรงพิจารณาเฟ้นธรรม และเสวยวิมุตติสุข ทรงยับยั้งอยู่ ณ อชปาล-

นิโครธ ๗ วัน.

ประทับนั่ง ณ มุจลินท์ ต้นจิกด้วยอาการอย่างนี้อีก ๗ วัน พระผู้มี

พระภาคเจ้า พอประทับนั่งในที่นั้นเท่านั้น มหาเมฆซึ่งมิใช่ฤดูกาลก็เกิดขึ้นเต็ม

ทั่วห้องจักรวาล เมื่อมหาเมฆเกิดขึ้นแล้ว พระยานาคชื่อมุจลินท์ก็คิดว่า เมื่อพระ

ศาสดาพอเสด็จเข้าสู่ภพของเรา มหาเมฆนี่ก็เกิดขึ้น ควรได้อาคารที่ประทับอยู่

สำหรับพระศาสดานั้น พระยานาคนั้นแม้จะสามารถเนรมิตวิมานทิพย์ได้เหมือน

วิมานเทพ อันสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ก็คิดว่า เมื่อเราสร้างวิมานอย่างนี้

จักไม่มีผลมากแก่เรา จำเราจักขวนขวายด้วยกายตนเองเพื่อพระทศพล จึงทำ

อัตภาพให้ใหญ่ยิ่งล้อมพระศาสดาไว้ด้วยขนด ๗ ชั้น แผ่พังพานไว้ข้างบน.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บัลลังก์มีด่ายิ่ง ที่สำเร็จด้วยรัตนะ

๗ ประการ เพดานมีพวงดอกไม้หอมต่างชนิดห้อยอยู่เบื้องบน อบด้วยกลิ่น

หอมต่างชนิด ในโอกาสใหญ่ภายในขนดล้อม เหมือนประทับอยู่ในพระคันธ-

กุฎี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่ต้นมุจลินท์นั้นตลอด ๗ วันนั้นอย่างนี้

ต่อจากนั้น ก็ประทับนั่ง ณ ราชายตนะต้นเกดอีก ๗ วัน เสวยวิมุตติสุขอยู่

ในที่นั้นนั่นแล ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์ ในระหว่างนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌานและสุขในผล.

ครั้นล่วงไป ๗ สัปดาห์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็เกิดจิตคิดจะบ้วน

พระโอษฐ์ ท้าวสักกะจอมทวยเทพก็นำผลสมอที่เป็นยาถวาย ครั้งนั้น ท้าว

สักกะได้ถวายไม้สีฟันชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์แด่พระองค์ ต่อแต่นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเคี้ยวไม้สีฟัน ทรงบ้วนพระโอษฐ์ด้วยน้ำในสระอโนดาต

ประทับนั่ง ณ โคนต้นราชายตนะ สมัยนั้น เมื่อท้าวจตุโลกบาล น้อมบาตร

ศิลามีค่ายิ่งเข้าไปถวาย ทรงรับข้าวสัตตูผงและสัตตูก้อนของพาณิชชื่อตปุสสะ

และ ภัลลิกะ [ด้วยบาตรนั้น] เสวยเสร็จแล้วเสด็จกลับมาประทับนั่ง ณ โคน

ต้นอชปาลนิโครธ. ลำดับนั้น พระองค์พอประทับนั่ง ณ ทีนั้นเท่านั้น ทรง

พิจารณาทบทวนถึงภาวะแห่งธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุเป็นธรรมลุ่มลึก ก็ทรง

เกิดปริวิตกที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมา ถึงอาการคือความที่มี

พระพุทธประสงค์จะไม่ทรงแสดงธรรมโปรดผู้อื่นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้

ลึกซึ้ง เห็นยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ตรึกคาดคิดเอาไม่ได้ ละเอียด

บัณฑิตพึงรู้.

ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมล่วงรู้ถึงจิตปริวิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ด้วยใจตนแล้ว ก็เปล่งวาจาว่า น่าที่โลกจะพินาศละสิหนอ น่าที่โลกจะพินาศ

ละสิหนอ อันหมู่พรหมในหมื่นจักรวาลแวดล้อมแล้ว อันท้าวสักกะ ท้าว

สุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมิต ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีติดตามเสด็จมา ปรากฏ

อยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ทรงเนรมิต

ผืนแผ่นดิน เพื่อเป็นที่ประทับยืนของพระองค์เอง จึงทรงคุกชาณุมณฑล [เข่า]

เบื้องขวาลงที่แผ่นดิน ทรงทำอัญชลี ประนมกรที่รุ่งเรืองด้วยทศนขสโมธาน

เสมือนบัวตูมเกิดในน้ำไร้มลทินไม่วิกลขึ้นเหนือเศียร ทูลวอนพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงธรรม ด้วยนัยมิใช่น้อยเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรม ขอพระสุคตเจ้าจงทรงแสดง

ธรรมโปรดเถิด หมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้

สดับธรรม ก็ย่อมเสื่อมเสียประโยชน์ไปเปล่า หมู่สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรม คงจักมี

แน่แท้ ดังนี้

แต่ก่อนในแคว้นมคธ ปรากฏมีแต่ธรรมที่ไม่

บริสุทธิ์ อันมีผู้มีมลทินคิดแล้ว ประตูแห่งอมตนคร

ก็ยังมิได้เปิด ขอหมู่สัตว์จงสดับธรรมที่พระผู้ไร้มลทิน

ตรัสรู้แล้วเถิด ชนผู้ยืนอยู่เหนือยอดภูผาหิน จะพึง

เห็นหมู่ชนได้โดยรอบแม้ฉันใด ข้าแต่พระผู้มีปัญญา

ดี มีพระสมันตจักษุ พระองค์ปราศจากโศกแล้วจง

เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ที่สำเร็จด้วยธรรม โปรดพิจารณาดู

หมู่ชน ผู้ระงมด้วยโศก ถูกชาติชราครอบงำแล้ว ก็

อุปมาฉันนั้น ข้าแต่พระผู้แกล้วกล้า ผู้ชนะสงคราม

แล้ว ผู้ประดุจนายกองเกวียน ไม่เป็นหนี้ โปรดลุก

ขึ้นเสด็จจาริกไปในโลก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง

ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์เถิด หมู่สัตว์ที่รู้ทั่วถึงธรรม

คงจักมีเป็นแน่ ดังนี้.

พระองค์ตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้ว ทรงข้ามโอฆะที่พระองค์ควร

ข้ามแล้ว ทรงหลุดพ้นทุกข์ที่พระองค์ควรหลุดพ้นแล้ว มิใช่หรือ ดังนี้.

ทรงทำความปรารถนาไว้ว่า

ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก

ด้วยการทำให้แจ้งธรรม ในโลกนี้ เราบรรลุสัพพัญพุต-

ญาณแล้ว จักยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร

ดังนี้.

ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว.

และว่า เมื่อพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม คนอื่นใครเล่า จักแสดงธรรม,

สิ่งอื่นอะไรเล่า จะเป็นสรณะของโลก จะเป็นเครื่องช่วย เครื่องเร้น

เครื่องนำไปเบื้องหน้า. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นพระพุทธเจ้าเข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดาก็ถูกพรหมทูลอ้อนวอน เพื่อทรง

แสดงธรรม.

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:44:33 น.  

 
 
 
พรรณนารัตนจังกมนกัณฑ์

ก็บัดนี้ จะพรรณนาความแห่งอัพภันตรนิทาน ที่เป็นไปโดยนัยเป็น

ต้นว่า

'ท้าวสหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูล

ขอพรอันยอดเยี่ยมว่า สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสดุจธุลีใน

ดวงตาน้อย มีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ทรงเอ็นดูหมู่-

สัตว์นี้แสดงธรรมโปรดเถิด.

ในข้อนี้ ผู้ทักท้วงกล่าวว่า เหตุไรท่านไม่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้น

สักกะ. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงพุทธวงศ์ดังนี้ แต่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า ท้าว-

สหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูลขอพรอันยอดเยี่ยม ดังนี้. ขอชี้แจง

ดังนี้ว่า ท่านกล่าวดังนั้น ก็เพื่อชี้ถึงการทูลขอให้ทรงแสดงธรรมของพรหม

อันเป็นเหตุแห่งการแสดงธรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอชี้แจงปัญหา

นี้ที่ว่า

พระชินพุทธเจ้านี้ถูกพรหมอาราธนา เพื่อทรง

แสดงธรรมเมื่อไร ก็คาถานี้ ใครยกขึ้นกล่าว กล่าว

เมื่อไร และที่ไหน.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดา

ก็ถูกพรหมทูลอาราธนาอ้อนวอน เพื่อทรงแสดงธรรม.

ในเรื่องนั้น กล่าวความตามลำดับ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในวันเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระมหาบุรุษทรงเห็น

นางรำ นักสนมนอนผ้าผ่อนเปิดน่าเกลียด ทรงสังเวชพระหฤทัยยิ่งนัก เรียก

นายฉันทะ ผู้ปิดกายด้วยผ้าส่วนหนึ่งตรัสว่า เจ้าจงนำม้าฝีเท้าดี ชื่อ กัณฐกะ

ที่ข่มข้าศึกตัวยงได้ ให้นำม้ากัณฐกะมาแล้ว ทรงมีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จ

ขึ้นทรงม้า เมื่อเทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ประตูพระนคร เปิดประตูพระนครแล้ว

ก็ออกจากพระนครไป ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร โดยส่วนที่เหลือจากสมบัติที่

พระราชาพระองค์นั้นทรงยินดีแล้ว ทรงเป็นสัตว์ที่ไม่ต่ำทราม ประทับยืน

ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ตรัสกะนายฉันนะเท่านั้นว่า ฉันนะ เจ้าจงพาเครื่อง

อาภรณ์ที่ไม่ทั่วไปกับคนอื่น ๆ เหล่านี้ และกัณฐกะม้าฝีเท้าดีของเรากลับไป

กรุงกบิลพัสดุ์นะ ทรงปล่อยนายฉันนะแล้ว ก็ทรงตัดมกุฏผ้าโพกพร้อมกับ

พระเกศา ด้วยดาบคือพระขรรค์อันคมกริบ เสมือนกลีบบัวขาบ แล้วเหวี่ยง

ไปในอากาศ ทรงถือบาตรจีวรที่เทวดาถวาย ทรงผนวชด้วยพระองค์เองเสด็จ

จาริกไปโดยลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคา ที่มีคลื่นหักโหมปั่นป่วนเพราะแรงลม

ได้ไม่ติดขัด เสด็จเข้าสู่พระนครชื่อว่าราชคฤห์ ที่มีราชนิเวศน์โชติช่วงด้วย

ข่ายรัศมีแห่งหมู่แก้วมณี ทรงไม่ติดขัดด้วยการเสด็จดำเนิน มีพระอินทรีย์

สงบ มีพระมนัสสงบ ทรงแลดูชั่วแอก ประหนึ่งทรงปลอบชนผู้มัวเมาเพราะ

ความเมาในความเป็นใหญ่ แห่งกรุงราชคฤห์นั้น ประหนึ่งทรงทำให้เกิดความ

ละอาย แก่ชนผู้มีเพศอันฟุ้งเฟ้อแล้ว ประหนึ่งทรงผูกหัวใจของชนชาวกรุงไว้

ในพระองค์ ด้วยความรักในวัย ประหนึ่งทรงแย่งดวงตาของชนทุกคนด้วย

พระสิริรูป ที่ส่องประกายด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประหนึ่ง

กองบุญ และประหนึ่งบรรพตที่เดินได้ด้วยพระบาทที่มีรูปงาม เสด็จเที่ยว

บิณฑบาตไปยังกรุงราชคฤห์ ทรงรับอาหารเพียงยังอัตภาพให้พอเป็นไปได้

เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ประทับนั่ง ณ โอกาสสงัดน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง เป็น

ภูมิภาคสะอาด พรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ข้างปัณฑวบรรพต เสวยอาหาร

ที่คลุกกัน อันพระเจ้าพิมพิสารมหาราช แห่งอาณาจักรมคธ เสด็จไปหาพระ-

มหาบุรุษ ตรัสถามพระนามและพระโคตรแล้ว มีพระราชหฤทัยบันเทิงกับ

พระองค์ ทรงเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติว่า ขอทรงโปรดรับราชสมบัติส่วนหนึ่ง

ของหม่อมฉันเถิด. ด้วยพระสุรเสียงไพเราะดังบัณเฑาะว์ตรัสตอบว่า อย่าเลย

พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยราชสมบัติดอก หม่อมฉันละราช-

สมบัติมาประกอบความเพียร เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก แล้วจักเป็นพระ-

พุทธเจ้า ผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก ดังนี้แล้วเสด็จออกไป อัน

พระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้นตรัสวอนว่า พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

โปรดเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อนแคว้นอื่นทั้งหมด ทรงถวายปฏิญญา

คำรับรองแด่พระเจ้าพิมพิสารนั้นว่า สาธุ แล้วเสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสและ

อุทกดาบส ไม่ทรงพบสาระแห่งธรรมเทศนาของดาบสทั้งสองท่านนั้น ก็ทรง

หลีกออกจากที่นั้น แม้ทรงทำทุกกรกิริยาถึง ๖ ปี ณ ตำบลอุรุเวลา ก็ไม่อาจ

บรรลุอมตธรรมได้ ทรงทำพระสรีระให้อิ่มหนำสำราญด้วยการเสวยพระกระยา-

หารอย่างหยาบ.

ครั้งนั้น หญิงรุ่นชื่อ สุชาดา ธิดาของกุฎุมพีเสนานิคม ในตำบล

อุรุเวลา เสนานิคม โตเป็นสาวแล้วทำความปรารถนา ณ ต้นไทรต้นหนึ่งว่า

ถ้าดิฉันไปเรือนสกุลที่มีชาติสมกัน [มีสามี] ได้ลูกชายในท้องแรกก็จักทำ

พลีกรรมสังเวย. ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว ในวันเพ็ญเดือน ๖ นาง

ดำริว่า วันนี้จักทำพลีกรรม พอเช้าตรู่จึงให้จัดข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง มี

รสอร่อยอย่างยิ่ง. ในวันนั้นนั่นเอง แม้พระโพธิสัตว์ทรงทำสรีรกิจแล้ว คอย

เวลาภิกษาจาร เช้าตรู่ก็เสด็จไปประทับนั่ง ณ โคนต้นไทรนั้น. ครั้งนั้น ทาสี

ชื่อ ปุณณา แม่นมของนางสุชาดาเดินไปหมายจะทำความสะอาดที่โคนต้นไทร

ก็พบพระโพธิสัตว์ประทับนั่งสำรวจโสกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ ผู้มีพระสรีระ

งาม เสมือนยอดภูเขาทองซึ่งเรื่องรองด้วยแสงสนธยา ผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่ง

มุนี ผู้เข้าไปสู่ต้นไม้อันประเสริฐ เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ผู้ทำการฝังตัวลง

ในกลุ่มมืด [กำจัดมืด] ผู้ทำความแย้มผลิแห่งดงบัว ผู้สอดเข้าสู่หลืบเมฆ.

เพราะเห็นต้นไม้นั้นมีสีเหมือนสีทองหมดทั้งต้น โดยรัศมีที่แล่นออกจากพระ-

สรีระของพระโพธิสัตว์นั้น นางปุณณาทาสีจึงคิดว่า วันนี้เทวดาของเราลงจาก

ต้นไม้ คงอยากจะรับเครื่องพลีกรรมด้วยมือตนเอง จึงมานั่งคอย. นางจึงรีบ

ไปบอกความเรื่องนั้นแก่นางสุชาดา.

จากนั้น นางสุชาดาเกิดศรัทธาขึ้นมาเอง ก็แต่งตัวด้วยเครื่องประดับ

ทุกอย่าง บรรจุถาดทองมีค่านับแสนเต็มด้วยข้าวมธุปายาสมีรสอร่อยอย่างยิ่ง

ปิดด้วยถาดทองอีกถาดหนึ่ง เทินศีรษะ เดินมุ่งหน้าตรงต้นไทร. นางกำลัง

เดินไป เห็นพระโพธิสัตว์นั้นแต่ไกล ประทับนั่งงดงามเหมือนกองบุญ ทำ

ต้นไม้นั้นทั้งต้น มีสีเหมือนสีทองด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ ประหนึ่งรุกขเทวดา

ก็เกิดปีติปราโมทย์ เดินน้อมตัวลงตั้งแต่ที่เห็นด้วยเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา

ปลงถาดทองนั้นลงจากศีรษะ ประคองวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์ แล้ว

ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์กล่าวว่า มโนรถ ความปรารถนาของดิฉันสำเร็จ

แล้ว ฉันใด มโนรถแม้ของพระองค์ก็จงสำเร็จฉันนั้นเถิด แล้วก็กลับไป.

ครั้งนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงถือถาดทอง เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำ

เนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ที่ริมฝั่งใกล้ท่าน้ำชื่อสุปปติฏฐิตะ สรงสนานแล้ว

เสด็จขึ้น ทรงทำเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน เสวยข้าวปายาสนั้นแล้วทรงลอยถาด

ทองนั้นลงไป พร้อมทรงอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขอ

ถาดทองนี้ จงลอยทวนน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ เข้าไปยังภพของพระยานาค

ชื่อว่า กาฬนาคราช ยกถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ขึ้นแล้วตั้งอยู่ข้าง

ใต้ถาดเหล่านั้น.

พระมหาสัตว์ประทับพักกลางวัน ณ ราวป่านั้นนั่นแล เวลาเย็น ทรง

รับหญ้า ๘ กำ ที่คนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ทราบอาการของพระมหาบุรุษ

ถวายแล้ว เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน ประทับยืน ณ ทิศทักษิณ. ประเทศนั้น

ก็ไหวเหมือนหยาดน้ำบนใบบัว. พระมหาบุรุษทรงทราบว่า ประเทศตรงนี้

ไม่อาจทรงคุณของเราได้ ก็เสด็จไปทิศปัศจิม. แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือน

กัน จึงเสด็จไปทิศอุดรอีก แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือนกัน จึงเสด็จไป

ทิศบูรพาอีก ในทิศนั้น สถานที่ขนาดบัลลังก์ มิได้ไหวเลย พระมหาบุรุษ

ทรงสันนิษฐานว่า ที่นี้เป็นสถานที่กำจัดกิเลสแน่จึงทรงจับปลายหญ้าเหล่านั้น

สะบัด. หญ้าเหล่านั้น ได้เรียงเรียบเหมือนถูกกำหนดด้วยปลายแปรงทาสี

พระโพธิสัตว์ก็ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า เราไม่บรรลุโพธิญาณแล้ว

จักไม่ทำลายบัลลังก์ แล้วทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ประทับนั่งให้ต้นโพธิ์อยู่

เบื้องพระปฤษฏางค์ หันพระพักตร์ออกสู่ทิศบูรพา.

ทันใดนั้นเอง มารผู้รังควานโลกทั้งปวง ก็เนรมิตแขนพันแขนขึ้น

ขี่พระยาช้าง ผู้กำจัดศัตรูตัวยง ชื่อ คิริเมขละ ขนาด ๑๕๐ โยชน์ เสมือน

ยอดเขาหิมวันตคิรี ถูกห้อมล้อมด้วยพลมารหนาแน่นยิ่งนัก มีพลธนู พลดาบ

พลขวาน พลศร พลหอกเป็นกำลัง ครอบทะมึนโดยรอบดุจภูเขา ยาตร-

เบื้องเข้าหาพระมหาสัตว์ผู้เป็นประดุจศัตรูใหญ่ พระมหาบุรุษ เมื่อดวงอาทิตย์

ตั้งอยู่นั่นแล ก็ทรงกำจัดพลมารจำนวนมากมายได้ ถูกบูชาด้วยอดอ่อนโพธิที่

งดงามน่าดูเสมือนหน่อแก้วประพาฬสีแดง ซึ่งร่วงตกลงบนจีวรที่มีสีเสมือนดอก

ชะบาแย้ม ประหนึ่งแทนปีติทีเดียว ปฐมยาม ก็ทรงได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

มัชฌิมยาม ก็ทรงชำระทิพยจักษุญาณ ปัจฉิมยาม ก็ทรงหยั่งพระญาณลง

ในปฏิจจสมุปบาท ทรงพิจารณาวัฏฏะและวิวัฏฏะ พออรุณอุทัยก็ทรงเป็นพระ-

พุทธเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า

เราแสวงหาช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่

พบ ก็ท่องเที่ยวไปสิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย

ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์. ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือนคือ

อัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนคืออัตภาพ

อีกไม่ได้ โครงเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอด

เรือนคืออวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึง

พระนิพพานแล้ว เพราะเราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้น

ตัณหาทั้งหลายแล้ว.

ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน วันที่ ๘ ทรงออกจากสมา-

บัติ ทรงทราบความสงสัยของเทวดาทั้งหลายทรงเหาะไปในอากาศ เพื่อกำจัด

ความสงสัยของเทวดาเหล่านั้น ครั้นทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์กำจัดความสงสัย

ของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ประทับยืน ณ เบื้องทิศอุดร เยื้องทิศบูรพาจากบัลลังก์

ไปนิดหน่อย ทรงจ้องดูบัลลังก์และต้นโพธิ สถานที่บรรลุผลแห่งพระบารมี

ทั้งหลายที่ทรงบำเพ็ญมาถึงสี่อสงไขยแสนกัป ด้วยดวงพระเนตรที่ไม่กระพริบว่า

เราแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ เหนือบัลลังก์นี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้น

จึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์.

ต่อจากนั้น เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรม ต่อจากทิศบูรพาและทิศปัศจิม

ระหว่างบัลลังก์และสถานที่ประทับยืน ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้นจึงชื่อ

ว่ารัตนจังกมเจดีย์.

เทวดาทั้งหลาย ช่วยกันเนรมิตเรือนแก้วถวายในส่วนทิศปัศจิม ต่อ

จากนั้น ก็ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ ที่นั้นทรงพิจารณาเฟ้นพระอภิธรรม โดย

เฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์สมันตปัฏฐาน ที่มีนัยไม่มีที่สุด ณ ที่นั้น ทรงยับยั้งอยู่

๗ วัน สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนฆรเจดีย์.

พระพุทธเจ้าทรงยับยั้งอยู่ ใกล้ ๆ ต้นโพธิ ๔ สัปดาห์อย่างนี้แล้ว ใน

สัปดาห์ที่ ๕ จึงออกจากโคนต้นโพธิ์ เสด็จเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธ. แม้ใน

ที้นั้นก็ทรงพิจารณาเฟ้นธรรม และเสวยวิมุตติสุข ทรงยับยั้งอยู่ ณ อชปาล-

นิโครธ ๗ วัน.

ประทับนั่ง ณ มุจลินท์ ต้นจิกด้วยอาการอย่างนี้อีก ๗ วัน พระผู้มี

พระภาคเจ้า พอประทับนั่งในที่นั้นเท่านั้น มหาเมฆซึ่งมิใช่ฤดูกาลก็เกิดขึ้นเต็ม

ทั่วห้องจักรวาล เมื่อมหาเมฆเกิดขึ้นแล้ว พระยานาคชื่อมุจลินท์ก็คิดว่า เมื่อพระ

ศาสดาพอเสด็จเข้าสู่ภพของเรา มหาเมฆนี่ก็เกิดขึ้น ควรได้อาคารที่ประทับอยู่

สำหรับพระศาสดานั้น พระยานาคนั้นแม้จะสามารถเนรมิตวิมานทิพย์ได้เหมือน

วิมานเทพ อันสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ก็คิดว่า เมื่อเราสร้างวิมานอย่างนี้

จักไม่มีผลมากแก่เรา จำเราจักขวนขวายด้วยกายตนเองเพื่อพระทศพล จึงทำ

อัตภาพให้ใหญ่ยิ่งล้อมพระศาสดาไว้ด้วยขนด ๗ ชั้น แผ่พังพานไว้ข้างบน.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บัลลังก์มีด่ายิ่ง ที่สำเร็จด้วยรัตนะ

๗ ประการ เพดานมีพวงดอกไม้หอมต่างชนิดห้อยอยู่เบื้องบน อบด้วยกลิ่น

หอมต่างชนิด ในโอกาสใหญ่ภายในขนดล้อม เหมือนประทับอยู่ในพระคันธ-

กุฎี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่ต้นมุจลินท์นั้นตลอด ๗ วันนั้นอย่างนี้

ต่อจากนั้น ก็ประทับนั่ง ณ ราชายตนะต้นเกดอีก ๗ วัน เสวยวิมุตติสุขอยู่

ในที่นั้นนั่นแล ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์ ในระหว่างนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌานและสุขในผล.

ครั้นล่วงไป ๗ สัปดาห์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็เกิดจิตคิดจะบ้วน

พระโอษฐ์ ท้าวสักกะจอมทวยเทพก็นำผลสมอที่เป็นยาถวาย ครั้งนั้น ท้าว

สักกะได้ถวายไม้สีฟันชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์แด่พระองค์ ต่อแต่นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเคี้ยวไม้สีฟัน ทรงบ้วนพระโอษฐ์ด้วยน้ำในสระอโนดาต

ประทับนั่ง ณ โคนต้นราชายตนะ สมัยนั้น เมื่อท้าวจตุโลกบาล น้อมบาตร

ศิลามีค่ายิ่งเข้าไปถวาย ทรงรับข้าวสัตตูผงและสัตตูก้อนของพาณิชชื่อตปุสสะ

และ ภัลลิกะ [ด้วยบาตรนั้น] เสวยเสร็จแล้วเสด็จกลับมาประทับนั่ง ณ โคน

ต้นอชปาลนิโครธ. ลำดับนั้น พระองค์พอประทับนั่ง ณ ทีนั้นเท่านั้น ทรง

พิจารณาทบทวนถึงภาวะแห่งธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุเป็นธรรมลุ่มลึก ก็ทรง

เกิดปริวิตกที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมา ถึงอาการคือความที่มี

พระพุทธประสงค์จะไม่ทรงแสดงธรรมโปรดผู้อื่นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้

ลึกซึ้ง เห็นยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ตรึกคาดคิดเอาไม่ได้ ละเอียด

บัณฑิตพึงรู้.

ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมล่วงรู้ถึงจิตปริวิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ด้วยใจตนแล้ว ก็เปล่งวาจาว่า น่าที่โลกจะพินาศละสิหนอ น่าที่โลกจะพินาศ

ละสิหนอ อันหมู่พรหมในหมื่นจักรวาลแวดล้อมแล้ว อันท้าวสักกะ ท้าว

สุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมิต ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีติดตามเสด็จมา ปรากฏ

อยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ทรงเนรมิต

ผืนแผ่นดิน เพื่อเป็นที่ประทับยืนของพระองค์เอง จึงทรงคุกชาณุมณฑล [เข่า]

เบื้องขวาลงที่แผ่นดิน ทรงทำอัญชลี ประนมกรที่รุ่งเรืองด้วยทศนขสโมธาน

เสมือนบัวตูมเกิดในน้ำไร้มลทินไม่วิกลขึ้นเหนือเศียร ทูลวอนพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงธรรม ด้วยนัยมิใช่น้อยเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรม ขอพระสุคตเจ้าจงทรงแสดง

ธรรมโปรดเถิด หมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้

สดับธรรม ก็ย่อมเสื่อมเสียประโยชน์ไปเปล่า หมู่สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรม คงจักมี

แน่แท้ ดังนี้

แต่ก่อนในแคว้นมคธ ปรากฏมีแต่ธรรมที่ไม่

บริสุทธิ์ อันมีผู้มีมลทินคิดแล้ว ประตูแห่งอมตนคร

ก็ยังมิได้เปิด ขอหมู่สัตว์จงสดับธรรมที่พระผู้ไร้มลทิน

ตรัสรู้แล้วเถิด ชนผู้ยืนอยู่เหนือยอดภูผาหิน จะพึง

เห็นหมู่ชนได้โดยรอบแม้ฉันใด ข้าแต่พระผู้มีปัญญา

ดี มีพระสมันตจักษุ พระองค์ปราศจากโศกแล้วจง

เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ที่สำเร็จด้วยธรรม โปรดพิจารณาดู

หมู่ชน ผู้ระงมด้วยโศก ถูกชาติชราครอบงำแล้ว ก็

อุปมาฉันนั้น ข้าแต่พระผู้แกล้วกล้า ผู้ชนะสงคราม

แล้ว ผู้ประดุจนายกองเกวียน ไม่เป็นหนี้ โปรดลุก

ขึ้นเสด็จจาริกไปในโลก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง

ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์เถิด หมู่สัตว์ที่รู้ทั่วถึงธรรม

คงจักมีเป็นแน่ ดังนี้.

พระองค์ตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้ว ทรงข้ามโอฆะที่พระองค์ควร

ข้ามแล้ว ทรงหลุดพ้นทุกข์ที่พระองค์ควรหลุดพ้นแล้ว มิใช่หรือ ดังนี้.

ทรงทำความปรารถนาไว้ว่า

ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก

ด้วยการทำให้แจ้งธรรม ในโลกนี้ เราบรรลุสัพพัญพุต-

ญาณแล้ว จักยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร

ดังนี้.

ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว.

และว่า เมื่อพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม คนอื่นใครเล่า จักแสดงธรรม,

สิ่งอื่นอะไรเล่า จะเป็นสรณะของโลก จะเป็นเครื่องช่วย เครื่องเร้น

เครื่องนำไปเบื้องหน้า. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นพระพุทธเจ้าเข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดาก็ถูกพรหมทูลอ้อนวอน เพื่อทรง

แสดงธรรม.

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:50:17 น.  

 
 
 
299 มโหสถชาดก พระมโหสถบัณฑิตทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี

ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า วิเทหะ เสวยราชสมบัติในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหะ มีบัณฑิต ๔ คน ชื่อเสนกะ, ปุกกุสะ, กามินทะ และ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:51:32 น.  

 
 
 
พรรณนารัตนจังกมนกัณฑ์

ก็บัดนี้ จะพรรณนาความแห่งอัพภันตรนิทาน ที่เป็นไปโดยนัยเป็น

ต้นว่า

'ท้าวสหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูล

ขอพรอันยอดเยี่ยมว่า สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสดุจธุลีใน

ดวงตาน้อย มีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ทรงเอ็นดูหมู่-

สัตว์นี้แสดงธรรมโปรดเถิด.

ในข้อนี้ ผู้ทักท้วงกล่าวว่า เหตุไรท่านไม่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้น

สักกะ. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงพุทธวงศ์ดังนี้ แต่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า ท้าว-

สหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูลขอพรอันยอดเยี่ยม ดังนี้. ขอชี้แจง

ดังนี้ว่า ท่านกล่าวดังนั้น ก็เพื่อชี้ถึงการทูลขอให้ทรงแสดงธรรมของพรหม

อันเป็นเหตุแห่งการแสดงธรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอชี้แจงปัญหา

นี้ที่ว่า

พระชินพุทธเจ้านี้ถูกพรหมอาราธนา เพื่อทรง

แสดงธรรมเมื่อไร ก็คาถานี้ ใครยกขึ้นกล่าว กล่าว

เมื่อไร และที่ไหน.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดา

ก็ถูกพรหมทูลอาราธนาอ้อนวอน เพื่อทรงแสดงธรรม.

ในเรื่องนั้น กล่าวความตามลำดับ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในวันเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระมหาบุรุษทรงเห็น

นางรำ นักสนมนอนผ้าผ่อนเปิดน่าเกลียด ทรงสังเวชพระหฤทัยยิ่งนัก เรียก

นายฉันทะ ผู้ปิดกายด้วยผ้าส่วนหนึ่งตรัสว่า เจ้าจงนำม้าฝีเท้าดี ชื่อ กัณฐกะ

ที่ข่มข้าศึกตัวยงได้ ให้นำม้ากัณฐกะมาแล้ว ทรงมีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จ

ขึ้นทรงม้า เมื่อเทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ประตูพระนคร เปิดประตูพระนครแล้ว

ก็ออกจากพระนครไป ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร โดยส่วนที่เหลือจากสมบัติที่

พระราชาพระองค์นั้นทรงยินดีแล้ว ทรงเป็นสัตว์ที่ไม่ต่ำทราม ประทับยืน

ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ตรัสกะนายฉันนะเท่านั้นว่า ฉันนะ เจ้าจงพาเครื่อง

อาภรณ์ที่ไม่ทั่วไปกับคนอื่น ๆ เหล่านี้ และกัณฐกะม้าฝีเท้าดีของเรากลับไป

กรุงกบิลพัสดุ์นะ ทรงปล่อยนายฉันนะแล้ว ก็ทรงตัดมกุฏผ้าโพกพร้อมกับ

พระเกศา ด้วยดาบคือพระขรรค์อันคมกริบ เสมือนกลีบบัวขาบ แล้วเหวี่ยง

ไปในอากาศ ทรงถือบาตรจีวรที่เทวดาถวาย ทรงผนวชด้วยพระองค์เองเสด็จ

จาริกไปโดยลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคา ที่มีคลื่นหักโหมปั่นป่วนเพราะแรงลม

ได้ไม่ติดขัด เสด็จเข้าสู่พระนครชื่อว่าราชคฤห์ ที่มีราชนิเวศน์โชติช่วงด้วย

ข่ายรัศมีแห่งหมู่แก้วมณี ทรงไม่ติดขัดด้วยการเสด็จดำเนิน มีพระอินทรีย์

สงบ มีพระมนัสสงบ ทรงแลดูชั่วแอก ประหนึ่งทรงปลอบชนผู้มัวเมาเพราะ

ความเมาในความเป็นใหญ่ แห่งกรุงราชคฤห์นั้น ประหนึ่งทรงทำให้เกิดความ

ละอาย แก่ชนผู้มีเพศอันฟุ้งเฟ้อแล้ว ประหนึ่งทรงผูกหัวใจของชนชาวกรุงไว้

ในพระองค์ ด้วยความรักในวัย ประหนึ่งทรงแย่งดวงตาของชนทุกคนด้วย

พระสิริรูป ที่ส่องประกายด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประหนึ่ง

กองบุญ และประหนึ่งบรรพตที่เดินได้ด้วยพระบาทที่มีรูปงาม เสด็จเที่ยว

บิณฑบาตไปยังกรุงราชคฤห์ ทรงรับอาหารเพียงยังอัตภาพให้พอเป็นไปได้

เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ประทับนั่ง ณ โอกาสสงัดน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง เป็น

ภูมิภาคสะอาด พรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ข้างปัณฑวบรรพต เสวยอาหาร

ที่คลุกกัน อันพระเจ้าพิมพิสารมหาราช แห่งอาณาจักรมคธ เสด็จไปหาพระ-

มหาบุรุษ ตรัสถามพระนามและพระโคตรแล้ว มีพระราชหฤทัยบันเทิงกับ

พระองค์ ทรงเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติว่า ขอทรงโปรดรับราชสมบัติส่วนหนึ่ง

ของหม่อมฉันเถิด. ด้วยพระสุรเสียงไพเราะดังบัณเฑาะว์ตรัสตอบว่า อย่าเลย

พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยราชสมบัติดอก หม่อมฉันละราช-

สมบัติมาประกอบความเพียร เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก แล้วจักเป็นพระ-

พุทธเจ้า ผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก ดังนี้แล้วเสด็จออกไป อัน

พระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้นตรัสวอนว่า พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

โปรดเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อนแคว้นอื่นทั้งหมด ทรงถวายปฏิญญา

คำรับรองแด่พระเจ้าพิมพิสารนั้นว่า สาธุ แล้วเสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสและ

อุทกดาบส ไม่ทรงพบสาระแห่งธรรมเทศนาของดาบสทั้งสองท่านนั้น ก็ทรง

หลีกออกจากที่นั้น แม้ทรงทำทุกกรกิริยาถึง ๖ ปี ณ ตำบลอุรุเวลา ก็ไม่อาจ

บรรลุอมตธรรมได้ ทรงทำพระสรีระให้อิ่มหนำสำราญด้วยการเสวยพระกระยา-

หารอย่างหยาบ.

ครั้งนั้น หญิงรุ่นชื่อ สุชาดา ธิดาของกุฎุมพีเสนานิคม ในตำบล

อุรุเวลา เสนานิคม โตเป็นสาวแล้วทำความปรารถนา ณ ต้นไทรต้นหนึ่งว่า

ถ้าดิฉันไปเรือนสกุลที่มีชาติสมกัน [มีสามี] ได้ลูกชายในท้องแรกก็จักทำ

พลีกรรมสังเวย. ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว ในวันเพ็ญเดือน ๖ นาง

ดำริว่า วันนี้จักทำพลีกรรม พอเช้าตรู่จึงให้จัดข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง มี

รสอร่อยอย่างยิ่ง. ในวันนั้นนั่นเอง แม้พระโพธิสัตว์ทรงทำสรีรกิจแล้ว คอย

เวลาภิกษาจาร เช้าตรู่ก็เสด็จไปประทับนั่ง ณ โคนต้นไทรนั้น. ครั้งนั้น ทาสี

ชื่อ ปุณณา แม่นมของนางสุชาดาเดินไปหมายจะทำความสะอาดที่โคนต้นไทร

ก็พบพระโพธิสัตว์ประทับนั่งสำรวจโสกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ ผู้มีพระสรีระ

งาม เสมือนยอดภูเขาทองซึ่งเรื่องรองด้วยแสงสนธยา ผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่ง

มุนี ผู้เข้าไปสู่ต้นไม้อันประเสริฐ เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ผู้ทำการฝังตัวลง

ในกลุ่มมืด [กำจัดมืด] ผู้ทำความแย้มผลิแห่งดงบัว ผู้สอดเข้าสู่หลืบเมฆ.

เพราะเห็นต้นไม้นั้นมีสีเหมือนสีทองหมดทั้งต้น โดยรัศมีที่แล่นออกจากพระ-

สรีระของพระโพธิสัตว์นั้น นางปุณณาทาสีจึงคิดว่า วันนี้เทวดาของเราลงจาก

ต้นไม้ คงอยากจะรับเครื่องพลีกรรมด้วยมือตนเอง จึงมานั่งคอย. นางจึงรีบ

ไปบอกความเรื่องนั้นแก่นางสุชาดา.

จากนั้น นางสุชาดาเกิดศรัทธาขึ้นมาเอง ก็แต่งตัวด้วยเครื่องประดับ

ทุกอย่าง บรรจุถาดทองมีค่านับแสนเต็มด้วยข้าวมธุปายาสมีรสอร่อยอย่างยิ่ง

ปิดด้วยถาดทองอีกถาดหนึ่ง เทินศีรษะ เดินมุ่งหน้าตรงต้นไทร. นางกำลัง

เดินไป เห็นพระโพธิสัตว์นั้นแต่ไกล ประทับนั่งงดงามเหมือนกองบุญ ทำ

ต้นไม้นั้นทั้งต้น มีสีเหมือนสีทองด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ ประหนึ่งรุกขเทวดา

ก็เกิดปีติปราโมทย์ เดินน้อมตัวลงตั้งแต่ที่เห็นด้วยเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา

ปลงถาดทองนั้นลงจากศีรษะ ประคองวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์ แล้ว

ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์กล่าวว่า มโนรถ ความปรารถนาของดิฉันสำเร็จ

แล้ว ฉันใด มโนรถแม้ของพระองค์ก็จงสำเร็จฉันนั้นเถิด แล้วก็กลับไป.

ครั้งนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงถือถาดทอง เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำ

เนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ที่ริมฝั่งใกล้ท่าน้ำชื่อสุปปติฏฐิตะ สรงสนานแล้ว

เสด็จขึ้น ทรงทำเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน เสวยข้าวปายาสนั้นแล้วทรงลอยถาด

ทองนั้นลงไป พร้อมทรงอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขอ

ถาดทองนี้ จงลอยทวนน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ เข้าไปยังภพของพระยานาค

ชื่อว่า กาฬนาคราช ยกถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ขึ้นแล้วตั้งอยู่ข้าง

ใต้ถาดเหล่านั้น.

พระมหาสัตว์ประทับพักกลางวัน ณ ราวป่านั้นนั่นแล เวลาเย็น ทรง

รับหญ้า ๘ กำ ที่คนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ทราบอาการของพระมหาบุรุษ

ถวายแล้ว เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน ประทับยืน ณ ทิศทักษิณ. ประเทศนั้น

ก็ไหวเหมือนหยาดน้ำบนใบบัว. พระมหาบุรุษทรงทราบว่า ประเทศตรงนี้

ไม่อาจทรงคุณของเราได้ ก็เสด็จไปทิศปัศจิม. แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือน

กัน จึงเสด็จไปทิศอุดรอีก แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือนกัน จึงเสด็จไป

ทิศบูรพาอีก ในทิศนั้น สถานที่ขนาดบัลลังก์ มิได้ไหวเลย พระมหาบุรุษ

ทรงสันนิษฐานว่า ที่นี้เป็นสถานที่กำจัดกิเลสแน่จึงทรงจับปลายหญ้าเหล่านั้น

สะบัด. หญ้าเหล่านั้น ได้เรียงเรียบเหมือนถูกกำหนดด้วยปลายแปรงทาสี

พระโพธิสัตว์ก็ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า เราไม่บรรลุโพธิญาณแล้ว

จักไม่ทำลายบัลลังก์ แล้วทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ประทับนั่งให้ต้นโพธิ์อยู่

เบื้องพระปฤษฏางค์ หันพระพักตร์ออกสู่ทิศบูรพา.

ทันใดนั้นเอง มารผู้รังควานโลกทั้งปวง ก็เนรมิตแขนพันแขนขึ้น

ขี่พระยาช้าง ผู้กำจัดศัตรูตัวยง ชื่อ คิริเมขละ ขนาด ๑๕๐ โยชน์ เสมือน

ยอดเขาหิมวันตคิรี ถูกห้อมล้อมด้วยพลมารหนาแน่นยิ่งนัก มีพลธนู พลดาบ

พลขวาน พลศร พลหอกเป็นกำลัง ครอบทะมึนโดยรอบดุจภูเขา ยาตร-

เบื้องเข้าหาพระมหาสัตว์ผู้เป็นประดุจศัตรูใหญ่ พระมหาบุรุษ เมื่อดวงอาทิตย์

ตั้งอยู่นั่นแล ก็ทรงกำจัดพลมารจำนวนมากมายได้ ถูกบูชาด้วยอดอ่อนโพธิที่

งดงามน่าดูเสมือนหน่อแก้วประพาฬสีแดง ซึ่งร่วงตกลงบนจีวรที่มีสีเสมือนดอก

ชะบาแย้ม ประหนึ่งแทนปีติทีเดียว ปฐมยาม ก็ทรงได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

มัชฌิมยาม ก็ทรงชำระทิพยจักษุญาณ ปัจฉิมยาม ก็ทรงหยั่งพระญาณลง

ในปฏิจจสมุปบาท ทรงพิจารณาวัฏฏะและวิวัฏฏะ พออรุณอุทัยก็ทรงเป็นพระ-

พุทธเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า

เราแสวงหาช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่

พบ ก็ท่องเที่ยวไปสิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย

ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์. ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือนคือ

อัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนคืออัตภาพ

อีกไม่ได้ โครงเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอด

เรือนคืออวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึง

พระนิพพานแล้ว เพราะเราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้น

ตัณหาทั้งหลายแล้ว.

ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน วันที่ ๘ ทรงออกจากสมา-

บัติ ทรงทราบความสงสัยของเทวดาทั้งหลายทรงเหาะไปในอากาศ เพื่อกำจัด

ความสงสัยของเทวดาเหล่านั้น ครั้นทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์กำจัดความสงสัย

ของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ประทับยืน ณ เบื้องทิศอุดร เยื้องทิศบูรพาจากบัลลังก์

ไปนิดหน่อย ทรงจ้องดูบัลลังก์และต้นโพธิ สถานที่บรรลุผลแห่งพระบารมี

ทั้งหลายที่ทรงบำเพ็ญมาถึงสี่อสงไขยแสนกัป ด้วยดวงพระเนตรที่ไม่กระพริบว่า

เราแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ เหนือบัลลังก์นี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้น

จึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์.

ต่อจากนั้น เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรม ต่อจากทิศบูรพาและทิศปัศจิม

ระหว่างบัลลังก์และสถานที่ประทับยืน ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้นจึงชื่อ

ว่ารัตนจังกมเจดีย์.

เทวดาทั้งหลาย ช่วยกันเนรมิตเรือนแก้วถวายในส่วนทิศปัศจิม ต่อ

จากนั้น ก็ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ ที่นั้นทรงพิจารณาเฟ้นพระอภิธรรม โดย

เฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์สมันตปัฏฐาน ที่มีนัยไม่มีที่สุด ณ ที่นั้น ทรงยับยั้งอยู่

๗ วัน สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนฆรเจดีย์.

พระพุทธเจ้าทรงยับยั้งอยู่ ใกล้ ๆ ต้นโพธิ ๔ สัปดาห์อย่างนี้แล้ว ใน

สัปดาห์ที่ ๕ จึงออกจากโคนต้นโพธิ์ เสด็จเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธ. แม้ใน

ที้นั้นก็ทรงพิจารณาเฟ้นธรรม และเสวยวิมุตติสุข ทรงยับยั้งอยู่ ณ อชปาล-

นิโครธ ๗ วัน.

ประทับนั่ง ณ มุจลินท์ ต้นจิกด้วยอาการอย่างนี้อีก ๗ วัน พระผู้มี

พระภาคเจ้า พอประทับนั่งในที่นั้นเท่านั้น มหาเมฆซึ่งมิใช่ฤดูกาลก็เกิดขึ้นเต็ม

ทั่วห้องจักรวาล เมื่อมหาเมฆเกิดขึ้นแล้ว พระยานาคชื่อมุจลินท์ก็คิดว่า เมื่อพระ

ศาสดาพอเสด็จเข้าสู่ภพของเรา มหาเมฆนี่ก็เกิดขึ้น ควรได้อาคารที่ประทับอยู่

สำหรับพระศาสดานั้น พระยานาคนั้นแม้จะสามารถเนรมิตวิมานทิพย์ได้เหมือน

วิมานเทพ อันสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ก็คิดว่า เมื่อเราสร้างวิมานอย่างนี้

จักไม่มีผลมากแก่เรา จำเราจักขวนขวายด้วยกายตนเองเพื่อพระทศพล จึงทำ

อัตภาพให้ใหญ่ยิ่งล้อมพระศาสดาไว้ด้วยขนด ๗ ชั้น แผ่พังพานไว้ข้างบน.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บัลลังก์มีด่ายิ่ง ที่สำเร็จด้วยรัตนะ

๗ ประการ เพดานมีพวงดอกไม้หอมต่างชนิดห้อยอยู่เบื้องบน อบด้วยกลิ่น

หอมต่างชนิด ในโอกาสใหญ่ภายในขนดล้อม เหมือนประทับอยู่ในพระคันธ-

กุฎี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่ต้นมุจลินท์นั้นตลอด ๗ วันนั้นอย่างนี้

ต่อจากนั้น ก็ประทับนั่ง ณ ราชายตนะต้นเกดอีก ๗ วัน เสวยวิมุตติสุขอยู่

ในที่นั้นนั่นแล ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์ ในระหว่างนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌานและสุขในผล.

ครั้นล่วงไป ๗ สัปดาห์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็เกิดจิตคิดจะบ้วน

พระโอษฐ์ ท้าวสักกะจอมทวยเทพก็นำผลสมอที่เป็นยาถวาย ครั้งนั้น ท้าว

สักกะได้ถวายไม้สีฟันชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์แด่พระองค์ ต่อแต่นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเคี้ยวไม้สีฟัน ทรงบ้วนพระโอษฐ์ด้วยน้ำในสระอโนดาต

ประทับนั่ง ณ โคนต้นราชายตนะ สมัยนั้น เมื่อท้าวจตุโลกบาล น้อมบาตร

ศิลามีค่ายิ่งเข้าไปถวาย ทรงรับข้าวสัตตูผงและสัตตูก้อนของพาณิชชื่อตปุสสะ

และ ภัลลิกะ [ด้วยบาตรนั้น] เสวยเสร็จแล้วเสด็จกลับมาประทับนั่ง ณ โคน

ต้นอชปาลนิโครธ. ลำดับนั้น พระองค์พอประทับนั่ง ณ ทีนั้นเท่านั้น ทรง

พิจารณาทบทวนถึงภาวะแห่งธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุเป็นธรรมลุ่มลึก ก็ทรง

เกิดปริวิตกที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมา ถึงอาการคือความที่มี

พระพุทธประสงค์จะไม่ทรงแสดงธรรมโปรดผู้อื่นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้

ลึกซึ้ง เห็นยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ตรึกคาดคิดเอาไม่ได้ ละเอียด

บัณฑิตพึงรู้.

ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมล่วงรู้ถึงจิตปริวิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ด้วยใจตนแล้ว ก็เปล่งวาจาว่า น่าที่โลกจะพินาศละสิหนอ น่าที่โลกจะพินาศ

ละสิหนอ อันหมู่พรหมในหมื่นจักรวาลแวดล้อมแล้ว อันท้าวสักกะ ท้าว

สุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมิต ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีติดตามเสด็จมา ปรากฏ

อยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ทรงเนรมิต

ผืนแผ่นดิน เพื่อเป็นที่ประทับยืนของพระองค์เอง จึงทรงคุกชาณุมณฑล [เข่า]

เบื้องขวาลงที่แผ่นดิน ทรงทำอัญชลี ประนมกรที่รุ่งเรืองด้วยทศนขสโมธาน

เสมือนบัวตูมเกิดในน้ำไร้มลทินไม่วิกลขึ้นเหนือเศียร ทูลวอนพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงธรรม ด้วยนัยมิใช่น้อยเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรม ขอพระสุคตเจ้าจงทรงแสดง

ธรรมโปรดเถิด หมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้

สดับธรรม ก็ย่อมเสื่อมเสียประโยชน์ไปเปล่า หมู่สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรม คงจักมี

แน่แท้ ดังนี้

แต่ก่อนในแคว้นมคธ ปรากฏมีแต่ธรรมที่ไม่

บริสุทธิ์ อันมีผู้มีมลทินคิดแล้ว ประตูแห่งอมตนคร

ก็ยังมิได้เปิด ขอหมู่สัตว์จงสดับธรรมที่พระผู้ไร้มลทิน

ตรัสรู้แล้วเถิด ชนผู้ยืนอยู่เหนือยอดภูผาหิน จะพึง

เห็นหมู่ชนได้โดยรอบแม้ฉันใด ข้าแต่พระผู้มีปัญญา

ดี มีพระสมันตจักษุ พระองค์ปราศจากโศกแล้วจง

เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ที่สำเร็จด้วยธรรม โปรดพิจารณาดู

หมู่ชน ผู้ระงมด้วยโศก ถูกชาติชราครอบงำแล้ว ก็

อุปมาฉันนั้น ข้าแต่พระผู้แกล้วกล้า ผู้ชนะสงคราม

แล้ว ผู้ประดุจนายกองเกวียน ไม่เป็นหนี้ โปรดลุก

ขึ้นเสด็จจาริกไปในโลก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง

ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์เถิด หมู่สัตว์ที่รู้ทั่วถึงธรรม

คงจักมีเป็นแน่ ดังนี้.

พระองค์ตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้ว ทรงข้ามโอฆะที่พระองค์ควร

ข้ามแล้ว ทรงหลุดพ้นทุกข์ที่พระองค์ควรหลุดพ้นแล้ว มิใช่หรือ ดังนี้.

ทรงทำความปรารถนาไว้ว่า

ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก

ด้วยการทำให้แจ้งธรรม ในโลกนี้ เราบรรลุสัพพัญพุต-

ญาณแล้ว จักยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร

ดังนี้.

ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว.

และว่า เมื่อพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม คนอื่นใครเล่า จักแสดงธรรม,

สิ่งอื่นอะไรเล่า จะเป็นสรณะของโลก จะเป็นเครื่องช่วย เครื่องเร้น

เครื่องนำไปเบื้องหน้า. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นพระพุทธเจ้าเข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดาก็ถูกพรหมทูลอ้อนวอน เพื่อทรง
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:54:14 น.  

 
 
 
พรรณนารัตนจังกมนกัณฑ์

ก็บัดนี้ จะพรรณนาความแห่งอัพภันตรนิทาน ที่เป็นไปโดยนัยเป็น

ต้นว่า

'ท้าวสหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูล

ขอพรอันยอดเยี่ยมว่า สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสดุจธุลีใน

ดวงตาน้อย มีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ทรงเอ็นดูหมู่-

สัตว์นี้แสดงธรรมโปรดเถิด.

ในข้อนี้ ผู้ทักท้วงกล่าวว่า เหตุไรท่านไม่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้น

สักกะ. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงพุทธวงศ์ดังนี้ แต่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า ท้าว-

สหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูลขอพรอันยอดเยี่ยม ดังนี้. ขอชี้แจง

ดังนี้ว่า ท่านกล่าวดังนั้น ก็เพื่อชี้ถึงการทูลขอให้ทรงแสดงธรรมของพรหม

อันเป็นเหตุแห่งการแสดงธรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอชี้แจงปัญหา

นี้ที่ว่า

พระชินพุทธเจ้านี้ถูกพรหมอาราธนา เพื่อทรง

แสดงธรรมเมื่อไร ก็คาถานี้ ใครยกขึ้นกล่าว กล่าว

เมื่อไร และที่ไหน.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดา

ก็ถูกพรหมทูลอาราธนาอ้อนวอน เพื่อทรงแสดงธรรม.

ในเรื่องนั้น กล่าวความตามลำดับ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในวันเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระมหาบุรุษทรงเห็น

นางรำ นักสนมนอนผ้าผ่อนเปิดน่าเกลียด ทรงสังเวชพระหฤทัยยิ่งนัก เรียก

นายฉันทะ ผู้ปิดกายด้วยผ้าส่วนหนึ่งตรัสว่า เจ้าจงนำม้าฝีเท้าดี ชื่อ กัณฐกะ

ที่ข่มข้าศึกตัวยงได้ ให้นำม้ากัณฐกะมาแล้ว ทรงมีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จ

ขึ้นทรงม้า เมื่อเทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ประตูพระนคร เปิดประตูพระนครแล้ว

ก็ออกจากพระนครไป ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร โดยส่วนที่เหลือจากสมบัติที่

พระราชาพระองค์นั้นทรงยินดีแล้ว ทรงเป็นสัตว์ที่ไม่ต่ำทราม ประทับยืน

ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ตรัสกะนายฉันนะเท่านั้นว่า ฉันนะ เจ้าจงพาเครื่อง

อาภรณ์ที่ไม่ทั่วไปกับคนอื่น ๆ เหล่านี้ และกัณฐกะม้าฝีเท้าดีของเรากลับไป

กรุงกบิลพัสดุ์นะ ทรงปล่อยนายฉันนะแล้ว ก็ทรงตัดมกุฏผ้าโพกพร้อมกับ

พระเกศา ด้วยดาบคือพระขรรค์อันคมกริบ เสมือนกลีบบัวขาบ แล้วเหวี่ยง

ไปในอากาศ ทรงถือบาตรจีวรที่เทวดาถวาย ทรงผนวชด้วยพระองค์เองเสด็จ

จาริกไปโดยลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคา ที่มีคลื่นหักโหมปั่นป่วนเพราะแรงลม

ได้ไม่ติดขัด เสด็จเข้าสู่พระนครชื่อว่าราชคฤห์ ที่มีราชนิเวศน์โชติช่วงด้วย

ข่ายรัศมีแห่งหมู่แก้วมณี ทรงไม่ติดขัดด้วยการเสด็จดำเนิน มีพระอินทรีย์

สงบ มีพระมนัสสงบ ทรงแลดูชั่วแอก ประหนึ่งทรงปลอบชนผู้มัวเมาเพราะ

ความเมาในความเป็นใหญ่ แห่งกรุงราชคฤห์นั้น ประหนึ่งทรงทำให้เกิดความ

ละอาย แก่ชนผู้มีเพศอันฟุ้งเฟ้อแล้ว ประหนึ่งทรงผูกหัวใจของชนชาวกรุงไว้

ในพระองค์ ด้วยความรักในวัย ประหนึ่งทรงแย่งดวงตาของชนทุกคนด้วย

พระสิริรูป ที่ส่องประกายด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประหนึ่ง

กองบุญ และประหนึ่งบรรพตที่เดินได้ด้วยพระบาทที่มีรูปงาม เสด็จเที่ยว

บิณฑบาตไปยังกรุงราชคฤห์ ทรงรับอาหารเพียงยังอัตภาพให้พอเป็นไปได้

เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ประทับนั่ง ณ โอกาสสงัดน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง เป็น

ภูมิภาคสะอาด พรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ข้างปัณฑวบรรพต เสวยอาหาร

ที่คลุกกัน อันพระเจ้าพิมพิสารมหาราช แห่งอาณาจักรมคธ เสด็จไปหาพระ-

มหาบุรุษ ตรัสถามพระนามและพระโคตรแล้ว มีพระราชหฤทัยบันเทิงกับ

พระองค์ ทรงเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติว่า ขอทรงโปรดรับราชสมบัติส่วนหนึ่ง

ของหม่อมฉันเถิด. ด้วยพระสุรเสียงไพเราะดังบัณเฑาะว์ตรัสตอบว่า อย่าเลย

พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยราชสมบัติดอก หม่อมฉันละราช-

สมบัติมาประกอบความเพียร เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก แล้วจักเป็นพระ-

พุทธเจ้า ผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก ดังนี้แล้วเสด็จออกไป อัน

พระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้นตรัสวอนว่า พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

โปรดเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อนแคว้นอื่นทั้งหมด ทรงถวายปฏิญญา

คำรับรองแด่พระเจ้าพิมพิสารนั้นว่า สาธุ แล้วเสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสและ

อุทกดาบส ไม่ทรงพบสาระแห่งธรรมเทศนาของดาบสทั้งสองท่านนั้น ก็ทรง

หลีกออกจากที่นั้น แม้ทรงทำทุกกรกิริยาถึง ๖ ปี ณ ตำบลอุรุเวลา ก็ไม่อาจ

บรรลุอมตธรรมได้ ทรงทำพระสรีระให้อิ่มหนำสำราญด้วยการเสวยพระกระยา-

หารอย่างหยาบ.

ครั้งนั้น หญิงรุ่นชื่อ สุชาดา ธิดาของกุฎุมพีเสนานิคม ในตำบล

อุรุเวลา เสนานิคม โตเป็นสาวแล้วทำความปรารถนา ณ ต้นไทรต้นหนึ่งว่า

ถ้าดิฉันไปเรือนสกุลที่มีชาติสมกัน [มีสามี] ได้ลูกชายในท้องแรกก็จักทำ

พลีกรรมสังเวย. ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว ในวันเพ็ญเดือน ๖ นาง

ดำริว่า วันนี้จักทำพลีกรรม พอเช้าตรู่จึงให้จัดข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง มี

รสอร่อยอย่างยิ่ง. ในวันนั้นนั่นเอง แม้พระโพธิสัตว์ทรงทำสรีรกิจแล้ว คอย

เวลาภิกษาจาร เช้าตรู่ก็เสด็จไปประทับนั่ง ณ โคนต้นไทรนั้น. ครั้งนั้น ทาสี

ชื่อ ปุณณา แม่นมของนางสุชาดาเดินไปหมายจะทำความสะอาดที่โคนต้นไทร

ก็พบพระโพธิสัตว์ประทับนั่งสำรวจโสกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ ผู้มีพระสรีระ

งาม เสมือนยอดภูเขาทองซึ่งเรื่องรองด้วยแสงสนธยา ผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่ง

มุนี ผู้เข้าไปสู่ต้นไม้อันประเสริฐ เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ผู้ทำการฝังตัวลง

ในกลุ่มมืด [กำจัดมืด] ผู้ทำความแย้มผลิแห่งดงบัว ผู้สอดเข้าสู่หลืบเมฆ.

เพราะเห็นต้นไม้นั้นมีสีเหมือนสีทองหมดทั้งต้น โดยรัศมีที่แล่นออกจากพระ-

สรีระของพระโพธิสัตว์นั้น นางปุณณาทาสีจึงคิดว่า วันนี้เทวดาของเราลงจาก

ต้นไม้ คงอยากจะรับเครื่องพลีกรรมด้วยมือตนเอง จึงมานั่งคอย. นางจึงรีบ

ไปบอกความเรื่องนั้นแก่นางสุชาดา.

จากนั้น นางสุชาดาเกิดศรัทธาขึ้นมาเอง ก็แต่งตัวด้วยเครื่องประดับ

ทุกอย่าง บรรจุถาดทองมีค่านับแสนเต็มด้วยข้าวมธุปายาสมีรสอร่อยอย่างยิ่ง

ปิดด้วยถาดทองอีกถาดหนึ่ง เทินศีรษะ เดินมุ่งหน้าตรงต้นไทร. นางกำลัง

เดินไป เห็นพระโพธิสัตว์นั้นแต่ไกล ประทับนั่งงดงามเหมือนกองบุญ ทำ

ต้นไม้นั้นทั้งต้น มีสีเหมือนสีทองด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ ประหนึ่งรุกขเทวดา

ก็เกิดปีติปราโมทย์ เดินน้อมตัวลงตั้งแต่ที่เห็นด้วยเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา

ปลงถาดทองนั้นลงจากศีรษะ ประคองวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์ แล้ว

ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์กล่าวว่า มโนรถ ความปรารถนาของดิฉันสำเร็จ

แล้ว ฉันใด มโนรถแม้ของพระองค์ก็จงสำเร็จฉันนั้นเถิด แล้วก็กลับไป.

ครั้งนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงถือถาดทอง เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำ

เนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ที่ริมฝั่งใกล้ท่าน้ำชื่อสุปปติฏฐิตะ สรงสนานแล้ว

เสด็จขึ้น ทรงทำเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน เสวยข้าวปายาสนั้นแล้วทรงลอยถาด

ทองนั้นลงไป พร้อมทรงอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขอ

ถาดทองนี้ จงลอยทวนน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ เข้าไปยังภพของพระยานาค

ชื่อว่า กาฬนาคราช ยกถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ขึ้นแล้วตั้งอยู่ข้าง

ใต้ถาดเหล่านั้น.

พระมหาสัตว์ประทับพักกลางวัน ณ ราวป่านั้นนั่นแล เวลาเย็น ทรง

รับหญ้า ๘ กำ ที่คนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ทราบอาการของพระมหาบุรุษ

ถวายแล้ว เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน ประทับยืน ณ ทิศทักษิณ. ประเทศนั้น

ก็ไหวเหมือนหยาดน้ำบนใบบัว. พระมหาบุรุษทรงทราบว่า ประเทศตรงนี้

ไม่อาจทรงคุณของเราได้ ก็เสด็จไปทิศปัศจิม. แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือน

กัน จึงเสด็จไปทิศอุดรอีก แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือนกัน จึงเสด็จไป

ทิศบูรพาอีก ในทิศนั้น สถานที่ขนาดบัลลังก์ มิได้ไหวเลย พระมหาบุรุษ

ทรงสันนิษฐานว่า ที่นี้เป็นสถานที่กำจัดกิเลสแน่จึงทรงจับปลายหญ้าเหล่านั้น

สะบัด. หญ้าเหล่านั้น ได้เรียงเรียบเหมือนถูกกำหนดด้วยปลายแปรงทาสี

พระโพธิสัตว์ก็ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า เราไม่บรรลุโพธิญาณแล้ว

จักไม่ทำลายบัลลังก์ แล้วทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ประทับนั่งให้ต้นโพธิ์อยู่

เบื้องพระปฤษฏางค์ หันพระพักตร์ออกสู่ทิศบูรพา.

ทันใดนั้นเอง มารผู้รังควานโลกทั้งปวง ก็เนรมิตแขนพันแขนขึ้น

ขี่พระยาช้าง ผู้กำจัดศัตรูตัวยง ชื่อ คิริเมขละ ขนาด ๑๕๐ โยชน์ เสมือน

ยอดเขาหิมวันตคิรี ถูกห้อมล้อมด้วยพลมารหนาแน่นยิ่งนัก มีพลธนู พลดาบ

พลขวาน พลศร พลหอกเป็นกำลัง ครอบทะมึนโดยรอบดุจภูเขา ยาตร-

เบื้องเข้าหาพระมหาสัตว์ผู้เป็นประดุจศัตรูใหญ่ พระมหาบุรุษ เมื่อดวงอาทิตย์

ตั้งอยู่นั่นแล ก็ทรงกำจัดพลมารจำนวนมากมายได้ ถูกบูชาด้วยอดอ่อนโพธิที่

งดงามน่าดูเสมือนหน่อแก้วประพาฬสีแดง ซึ่งร่วงตกลงบนจีวรที่มีสีเสมือนดอก

ชะบาแย้ม ประหนึ่งแทนปีติทีเดียว ปฐมยาม ก็ทรงได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

มัชฌิมยาม ก็ทรงชำระทิพยจักษุญาณ ปัจฉิมยาม ก็ทรงหยั่งพระญาณลง

ในปฏิจจสมุปบาท ทรงพิจารณาวัฏฏะและวิวัฏฏะ พออรุณอุทัยก็ทรงเป็นพระ-

พุทธเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า

เราแสวงหาช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่

พบ ก็ท่องเที่ยวไปสิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย

ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์. ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือนคือ

อัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนคืออัตภาพ

อีกไม่ได้ โครงเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอด

เรือนคืออวิชชา เราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึง

พระนิพพานแล้ว เพราะเราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้น

ตัณหาทั้งหลายแล้ว.

ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน วันที่ ๘ ทรงออกจากสมา-

บัติ ทรงทราบความสงสัยของเทวดาทั้งหลายทรงเหาะไปในอากาศ เพื่อกำจัด

ความสงสัยของเทวดาเหล่านั้น ครั้นทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์กำจัดความสงสัย

ของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ประทับยืน ณ เบื้องทิศอุดร เยื้องทิศบูรพาจากบัลลังก์

ไปนิดหน่อย ทรงจ้องดูบัลลังก์และต้นโพธิ สถานที่บรรลุผลแห่งพระบารมี

ทั้งหลายที่ทรงบำเพ็ญมาถึงสี่อสงไขยแสนกัป ด้วยดวงพระเนตรที่ไม่กระพริบว่า

เราแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ เหนือบัลลังก์นี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้น

จึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์.

ต่อจากนั้น เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรม ต่อจากทิศบูรพาและทิศปัศจิม

ระหว่างบัลลังก์และสถานที่ประทับยืน ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้นจึงชื่อ

ว่ารัตนจังกมเจดีย์.

เทวดาทั้งหลาย ช่วยกันเนรมิตเรือนแก้วถวายในส่วนทิศปัศจิม ต่อ

จากนั้น ก็ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ ที่นั้นทรงพิจารณาเฟ้นพระอภิธรรม โดย

เฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์สมันตปัฏฐาน ที่มีนัยไม่มีที่สุด ณ ที่นั้น ทรงยับยั้งอยู่

๗ วัน สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนฆรเจดีย์.

พระพุทธเจ้าทรงยับยั้งอยู่ ใกล้ ๆ ต้นโพธิ ๔ สัปดาห์อย่างนี้แล้ว ใน

สัปดาห์ที่ ๕ จึงออกจากโคนต้นโพธิ์ เสด็จเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธ. แม้ใน

ที้นั้นก็ทรงพิจารณาเฟ้นธรรม และเสวยวิมุตติสุข ทรงยับยั้งอยู่ ณ อชปาล-

นิโครธ ๗ วัน.

ประทับนั่ง ณ มุจลินท์ ต้นจิกด้วยอาการอย่างนี้อีก ๗ วัน พระผู้มี

พระภาคเจ้า พอประทับนั่งในที่นั้นเท่านั้น มหาเมฆซึ่งมิใช่ฤดูกาลก็เกิดขึ้นเต็ม

ทั่วห้องจักรวาล เมื่อมหาเมฆเกิดขึ้นแล้ว พระยานาคชื่อมุจลินท์ก็คิดว่า เมื่อพระ

ศาสดาพอเสด็จเข้าสู่ภพของเรา มหาเมฆนี่ก็เกิดขึ้น ควรได้อาคารที่ประทับอยู่

สำหรับพระศาสดานั้น พระยานาคนั้นแม้จะสามารถเนรมิตวิมานทิพย์ได้เหมือน

วิมานเทพ อันสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ก็คิดว่า เมื่อเราสร้างวิมานอย่างนี้

จักไม่มีผลมากแก่เรา จำเราจักขวนขวายด้วยกายตนเองเพื่อพระทศพล จึงทำ

อัตภาพให้ใหญ่ยิ่งล้อมพระศาสดาไว้ด้วยขนด ๗ ชั้น แผ่พังพานไว้ข้างบน.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บัลลังก์มีด่ายิ่ง ที่สำเร็จด้วยรัตนะ

๗ ประการ เพดานมีพวงดอกไม้หอมต่างชนิดห้อยอยู่เบื้องบน อบด้วยกลิ่น

หอมต่างชนิด ในโอกาสใหญ่ภายในขนดล้อม เหมือนประทับอยู่ในพระคันธ-

กุฎี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่ต้นมุจลินท์นั้นตลอด ๗ วันนั้นอย่างนี้

ต่อจากนั้น ก็ประทับนั่ง ณ ราชายตนะต้นเกดอีก ๗ วัน เสวยวิมุตติสุขอยู่

ในที่นั้นนั่นแล ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์ ในระหว่างนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌานและสุขในผล.

ครั้นล่วงไป ๗ สัปดาห์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็เกิดจิตคิดจะบ้วน

พระโอษฐ์ ท้าวสักกะจอมทวยเทพก็นำผลสมอที่เป็นยาถวาย ครั้งนั้น ท้าว

สักกะได้ถวายไม้สีฟันชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์แด่พระองค์ ต่อแต่นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเคี้ยวไม้สีฟัน ทรงบ้วนพระโอษฐ์ด้วยน้ำในสระอโนดาต

ประทับนั่ง ณ โคนต้นราชายตนะ สมัยนั้น เมื่อท้าวจตุโลกบาล น้อมบาตร

ศิลามีค่ายิ่งเข้าไปถวาย ทรงรับข้าวสัตตูผงและสัตตูก้อนของพาณิชชื่อตปุสสะ

และ ภัลลิกะ [ด้วยบาตรนั้น] เสวยเสร็จแล้วเสด็จกลับมาประทับนั่ง ณ โคน

ต้นอชปาลนิโครธ. ลำดับนั้น พระองค์พอประทับนั่ง ณ ทีนั้นเท่านั้น ทรง

พิจารณาทบทวนถึงภาวะแห่งธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุเป็นธรรมลุ่มลึก ก็ทรง

เกิดปริวิตกที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมา ถึงอาการคือความที่มี

พระพุทธประสงค์จะไม่ทรงแสดงธรรมโปรดผู้อื่นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้

ลึกซึ้ง เห็นยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ตรึกคาดคิดเอาไม่ได้ ละเอียด

บัณฑิตพึงรู้.

ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมล่วงรู้ถึงจิตปริวิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ด้วยใจตนแล้ว ก็เปล่งวาจาว่า น่าที่โลกจะพินาศละสิหนอ น่าที่โลกจะพินาศ

ละสิหนอ อันหมู่พรหมในหมื่นจักรวาลแวดล้อมแล้ว อันท้าวสักกะ ท้าว

สุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมิต ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีติดตามเสด็จมา ปรากฏ

อยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ทรงเนรมิต

ผืนแผ่นดิน เพื่อเป็นที่ประทับยืนของพระองค์เอง จึงทรงคุกชาณุมณฑล [เข่า]

เบื้องขวาลงที่แผ่นดิน ทรงทำอัญชลี ประนมกรที่รุ่งเรืองด้วยทศนขสโมธาน

เสมือนบัวตูมเกิดในน้ำไร้มลทินไม่วิกลขึ้นเหนือเศียร ทูลวอนพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงธรรม ด้วยนัยมิใช่น้อยเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรม ขอพระสุคตเจ้าจงทรงแสดง

ธรรมโปรดเถิด หมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้

สดับธรรม ก็ย่อมเสื่อมเสียประโยชน์ไปเปล่า หมู่สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรม คงจักมี

แน่แท้ ดังนี้

แต่ก่อนในแคว้นมคธ ปรากฏมีแต่ธรรมที่ไม่

บริสุทธิ์ อันมีผู้มีมลทินคิดแล้ว ประตูแห่งอมตนคร

ก็ยังมิได้เปิด ขอหมู่สัตว์จงสดับธรรมที่พระผู้ไร้มลทิน

ตรัสรู้แล้วเถิด ชนผู้ยืนอยู่เหนือยอดภูผาหิน จะพึง

เห็นหมู่ชนได้โดยรอบแม้ฉันใด ข้าแต่พระผู้มีปัญญา

ดี มีพระสมันตจักษุ พระองค์ปราศจากโศกแล้วจง

เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ที่สำเร็จด้วยธรรม โปรดพิจารณาดู

หมู่ชน ผู้ระงมด้วยโศก ถูกชาติชราครอบงำแล้ว ก็

อุปมาฉันนั้น ข้าแต่พระผู้แกล้วกล้า ผู้ชนะสงคราม

แล้ว ผู้ประดุจนายกองเกวียน ไม่เป็นหนี้ โปรดลุก

ขึ้นเสด็จจาริกไปในโลก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง

ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์เถิด หมู่สัตว์ที่รู้ทั่วถึงธรรม

คงจักมีเป็นแน่ ดังนี้.

พระองค์ตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้ว ทรงข้ามโอฆะที่พระองค์ควร

ข้ามแล้ว ทรงหลุดพ้นทุกข์ที่พระองค์ควรหลุดพ้นแล้ว มิใช่หรือ ดังนี้.

ทรงทำความปรารถนาไว้ว่า

ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก

ด้วยการทำให้แจ้งธรรม ในโลกนี้ เราบรรลุสัพพัญพุต-

ญาณแล้ว จักยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร

ดังนี้.

ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว.

และว่า เมื่อพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม คนอื่นใครเล่า จักแสดงธรรม,

สิ่งอื่นอะไรเล่า จะเป็นสรณะของโลก จะเป็นเครื่องช่วย เครื่องเร้น

เครื่องนำไปเบื้องหน้า. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นพระพุทธเจ้าเข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดาก็ถูกพรหมทูลอ้อนวอน เพื่อทรง
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:54:53 น.  

 
 
 
บัดนี้ ถึงโอกาสตอบปัญหาเหล่านี้ที่ว่า คาถานี้ใครยกขึ้นกล่าวเมื่อไร
และที่ไหน ในปัญหานั้นถามว่า คาถานี้ท่านกล่าวเมื่อไร ตอบว่า กล่าวครั้ง

ทำสังคายนาใหญ่ครั้งแรก การสังคายนาใหญ่ครั้งแรกนี้ พึงทราบตามนัยที่

กล่าวไว้แล้วในสังคีติขันธกะ. ถามว่า ใครกล่าวที่ไหน. ตอบว่า ได้ยินว่า เมื่อ

พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว คาถานี้ว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปติ เป็นต้น

พึงทราบว่า ท่านพระอานนท์เถระ ผู้นั่งอยู่ ณ ธรรมาสน์ในมณฑปสารมัณฑะ

สถานที่ควรเห็นคล้ายดวงจันทร์เต็มดวง ซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ชนะ

ศัตรูทุกคน มหาราชแห่งแคว้นมคธ ทรงให้สร้างไว้ใกล้ประตูสัตตบรรณคูหา

ข้างภูเขาเวภาระ พระนครราชคฤห์ เพื่อสังคายนาธรรม กล่าวไว้แล้ว ความ

สัมพันธ์แห่งคาถา ในเรื่องนี้ มีดังนี้

แม้คาถานี้ว่า
พระชินพุทธเจ้านี้ อันพรหมอาราธนาเพื่อทรง
แสดงธรรมเมื่อไร ก็คาถานี้ใครยกขึ้นกล่าว กล่าวเมื่อ
ไร กล่าวที่ไหน
มีเนื้อความที่กล่าวไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าจักทำการพรรณนาบทที่ยาก
แห่งคาถานี้ที่กล่าวแล้ว โดยความสัมพันธ์นี้ ดังต่อไปนี้

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมา ความว่า ชื่อว่าพรหม เพราะ
เป็นผู้เจริญแล้วด้วยคุณวิเศษนั้น ๆ ก็พรหมศัพท์นี้ ปรากฏอยู่ในอรรถทั้งหลาย

มีมหาพรหม พราหมณ์ พระตถาคต มารดาบิดา และผู้ประเสริฐสุดเป็นต้น.

จริงอย่างนั้น พรหมศัพท์ ท่านหมายว่ามหาพรหม ในประโยคเป็นต้นว่า

ทฺวิสหสฺโส พฺรหฺมา มหาพรหมสองพัน. ท่านหมายว่าพราหมณ์ในคาถานี้ว่า

ตโมนุโท พุทฺโธ สมนฺตจกฺขุ
โลกนฺตคู สพฺพภวาติวตฺโต
อนาสโว สพฺพทุกฺขปฺปหีโน
สจฺจวฺหโย พฺรหฺเม อุปาสิโต เม.
ดูก่อนพราหมณ์ พระพุทธเจ้า ผู้บรรเทาความ
มืด ผู้มีพระจักษุโดยรอบ ทรงถึงที่สุดโลก ทรงล่วง
ภพทั้งปวง ไม่มีอาสวะ ทรงละทุกข์ได้หมด เรียก
กันว่า พระสัจจะ เราก็เข้าเฝ้าใกล้ชิด.
ท่านหมายว่า พระตถาคต ในบาลีนี้ว่า พฺรหฺมาติ โข ภิกฺขเว
ตถาคตสฺเสตํ อธิวจนํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายว่า พรหม นี้แลเป็นชื่อของ

ตถาคต.

ท่านหมายว่า มารดาบิดา ในบาลีนี้ว่า
พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร มารดาบิดาเรา
เราเรียกว่าพรหม เรียกว่าบุรพาจารย์.

ท่านหมายว่าประเสริฐสุด ในบาลีนี้ว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ ทรง
ยังจักรอันประเสริฐสุดให้เป็นไป.

ส่วนในที่นี้ ท่านผู้เจริญปฐมฌานอันประณีตแล้วบังเกิดในภูมิแห่ง
ปฐมฌาน ท่านหมายว่ามหาพรหมมีอายุกัปหนึ่ง. จศัพท์ มีอรรถว่ารวมความ

อธิบายว่า พรหมและพรหมเหล่าอื่นในหมื่นจักรวาล. หรือว่า จ ศัพท์เป็นเพียง

ทำบทให้เต็ม. โลก ๓ คือสังขารโลก สัตวโลก โอกาสโลก ชื่อว่าโลกในคำว่า

โลกาธิปตินี้. ในโลกทั้ง ๓ นั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอาสัตวโลก. ชื่อว่าโลกา-

ธิปติ เพราะเป็นใหญ่เป็นเจ้าแห่งสัตวโลกนั้น ผู้เป็นเจ้าส่วนหนึ่งแห่งโลก

ท่านก็เรียกว่า โลกาธิบดี เหมือนเทวาธิบดี นราธิบดี.

บทว่า สหมฺปติ ความว่า เล่ากันมาว่า พรหมองค์นั้น เป็น
พระเถระ ชื่อว่า สหกะ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ

ทำปฐมฌานให้เกิดแล้ว ฌานไม่เสื่อม จบชีวิต ก็บังเกิดเป็นมหาพรหมมีอายุ

หนึ่งกัป ในปฐมฌานภูมิ. แต่ในสมัยนั้น เขาก็จำพรหมองค์นั้นกันได้ว่า

ท้าวสหัมบดีพรหม ท่านกล่าวหมายถึงพรหมพระองค์นั้น คนทั้งหลาย

เมื่อควรจะกล่าวว่าสหกปติ แต่ก็กล่าวเสียว่า สหมฺปติ โดยลงนิคคหิตอาคม

ขยายคำออกไป. บทว่า กตญฺชลี แปลว่า มีอัญชลีอันทำแล้ว อธิบายว่า ทำ

กระพุ่มอัญชลีไว้เหนือเศียร. บทว่าอนธิวรํ ความว่า พรที่ล่วงส่วน พรที่ยิ่ง

ไม่มีแก่พรนั้น เหตุนั้น พรนั้น ชื่อว่าไม่มีพรที่ยิ่ง หรือว่าชื่อว่าอนธิวรํ เพราะ

ไม่มีพรที่ยิ่งไปกว่านั้น อธิบายว่ายอดเยี่ยม พรอันยอดเยี่ยมนั้น. บทว่า อยาจถ

ได้แก่ ได้วอนขอ ได้เชื้อเชิญ.

บัดนี้ ท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อประ
โยชน์ใด เพื่อแสดงประโยชน์นั้นจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า สนฺตีธ สตฺตา ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺติ แปลว่า มีอยู่ อันเขาได้อยู่ อธิบายว่าสัตว์

ทั้งหลายที่มาสู่คลองพุทธจักษุ [ปรากฏ] มีอยู่. ศัพท์ว่า อิธ นี่เป็นนิบาต ใช้

ในการอ้างถึงถิ่นที่ ศัพท์ว่า อิธนี้นั้น บางแห่งท่านกล่าวหมายถึงศาสนา เหมือน

อย่างที่ตรัสว่า อิเธว ภิกขเว สมโณ อิธ ทุติโย สมโณ อิธ ตติโย สมโณ

อิธ จตุตฺโถ สมโณ สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณกิ อญฺเญหิ ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ มีอยู่ในศาสนา

นี้เท่านั้น ลัทธิอื่นว่างเปล่าจากสมณะผู้รู้.

บางแห่งหมายถึง โอกาส เหมือนอย่างที่ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
อิเธว ติฏฺฐมานสฺส เทวภูตสฺส เม สิโต
ปุนรายุ จ เม ลทฺโธ เอวํ ชานาหิ มาริส.
เมื่อเราเป็นเทพตั้งอยู่ในโอกาสนี้นี่แล เราก็ได้
อายุต่อไปอีก โปรดทราบอย่างนี้เถิด ท่านผู้นิรทุกข์.
บางแห่ง ก็เป็นเพียงปทปูรณะ ทำบทให้เต็มเท่านั้น เหมือนอย่างที่ตรัส

ไว้ว่า อิธาหํ ภิกฺขเว ภุตฺตาวี อสฺสํ ปวาริโต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เราแลบริโภคอาหารเสร็จแล้ว ก็พึงห้าม ไม่ให้เขาถวายอีก [โดยชัก

พระหัตถ์ออกจากบาตร] บางแห่งหมายถึงโลก เหมือนอย่างที่ตรัสว่า อิธ

ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย ตถาคตอุบัติ

ในโลกนี้ ก็เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก แม้ในที่นี้ อิธ ศัพท์ ก็พึงทราบ

ว่า ท่านกล่าวหมายถึงโลกเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงมีความว่าในสัตว์โลกนี้. บทว่า

สตฺตา ความว่า ชนทั้งหลาย ติด ขัด ข้อง คล้อง เกี่ยว อยู่ในขันธ์ทั้งหลาย

มีรูปขันธ์เป็นต้น ด้วยฉันทราคะ เหตุนั้นจึงชื่อว่าสัตตะ สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย

ท่านเรียกว่าสัตตะ แต่เพราะศัพท์ขยายความ โวหารนี้ จึงใช้แม้ในท่านผู้

ปราศจากราคะแล้วเท่านั้น.

บทว่า อปฺปรชกฺขชาติกา ความว่า กิเลสดุจธุลีคือราคะ โทสะ และ
โมหะ ในดวงตาที่สำเร็จด้วยปัญญาของสัตว์เหล่านั้น มีเล็กน้อย และสัตว์

เหล่านั้น ก็มีสภาพอย่างนั้น เหตุนั้น สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่ามีกิเลสดุจธุลีใน

ดวงตาน้อย หรือว่า กิเลสดุจธุลีมีราคะเป็นต้นของสัตว์เหล่าใดน้อย สัตว์

เหล่านั้น ชื่อว่ามีกิเลสดุจธุลีน้อย. พึงเห็นความในข้อนี้อย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านั้น

ชื่อว่า อปฺปรชกฺขชาติกา เพราะมีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยเป็นสภาพ แก่

สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยเป็นสภาพเหล่านั้น พึงทำการเปลี่ยนวิภัตติว่า

สตฺตานํ แล้วทำการเชื่อมกับคำนี้ว่า เทเสหิ ธมฺมํ ก็เห็นความได้. คำว่า เทเสหิ

นี้เป็นคำวอนขอ. อธิบายว่าโปรดแสดง กล่าว สอน. ในคำว่า ธมฺมํ นี้ ธัมม-

ศัพท์นี้ ใช้กันในอรรถทั้งหลายมีปริยัตติ สมาธิ ปัญญา ปกติ สภาวะ

สุญญตา บุญ อาบัติ เญยยะ และจตุสัจธรรมเป็นต้น. จริงอย่างนั้น ธัมมศัพท์

ใช้ในอรรถว่า ปริยัตติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ

สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ ฯ เป ฯ เวทลฺลํ ภิกษุในพระศาสนานี้ย่อมเรียน

ธรรมคือสุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ ฯลฯ เวทัลละ ดังนี้.

ใช้ในอรรถว่า ปัญญา ได้ในบาลีเป็นต้นว่า
ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา วานรินฺท ยถา ตว
สจฺจํ ธมฺโม ธิติ จาโค ทิฏฺฐํ โส อติวตฺตติ.
ท่านพระยาวานร ผู้ใดมีธรรม ๔ ประการคือ
สัจจะ ธรรมะ [ปัญญา] ธิติ จาคะ เหมือนอย่างท่าน
ผู้นั้น ย่อมล่วงศัตรูเสียได้.
ใช้ในอรรถว่า ปกติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ชาติธมฺมา ชราธมฺมา
อโถ มรณธมฺมิโน สัตว์ทั้งหลาย มีชาติเป็นปกติ มีชราเป็นปกติและ

มีมรณะเป็นปกติ.

ใช้ในอรรถว่า สภาวะ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา
ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา สภาวธรรมฝ่ายกุศล สภาวธรรมฝ่าย

อกุศล สภาวธรรมฝ่ายอัพยากฤต.

ใช้ในอรรถว่า สุญญตา ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ตสฺมึ โข ปน สมเย
ธมฺมา โหนฺติ ขนฺธา โหนฺติ สมัยนั้นก็มีแต่ความว่างเปล่า มีแต่

ขันธ์.

ใช้ในอรรถว่า บุญ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมา-
วหาติ บุญอันบุคคลสั่งสมไว้ ย่อมนำมาซึ่งความสุข.

ใช้ในอรรถว่า อาบัติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า เทฺว อนิยตา ธมฺมา
อาบัติอนิยต มี ๒ สิกขาบท.

ใช้ในอรรถว่า เญยยะ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า สพฺเพ ธมฺมา สพฺพา-
กาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ เญยยธรรม

ทั้งหมด มาปรากฏในมุขคือพระญาณของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า โดยอาการ

ทั้งปวง.

ใช้ในอรรถว่า จตุสัจธรรม ได้ในบาลีว่า ทิฏฺฐธมฺโม ปตฺตธมฺโม
วิทิตธมฺโม ผู้มีสัจธรรม ๔ อันเห็นแล้ว ผู้มีสัจธรรม ๔ อันบรรลุแล้ว ผู้มี

สัจธรรม ๘ อันรู้แล้ว แม้ในที่นี้ ธัมมศัพท์ ก็พึงเห็นว่า ใช้ในอรรถว่า

จตุสัจธรรม. บทว่า อนุกมฺป ได้แก่ โปรดทรงทำความกรุณาเอ็นดู ท่านกล่าว

ชี้หมู่สัตว์ด้วยบทว่า อิมํ. บทว่า ปชํ ความว่า ชื่อว่า ปชา เพราะเป็นสัตว์

เกิดแล้ว ซึ่งหมู่สัตว์นั้น. อธิบายว่า ขอจงโปรดปลดปล่อยหมู่สัตว์จากสังสาร-

ทุกข์ด้วยเถิด. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า

พระผู้เป็นใหญ่ในโลกคือพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้
สูงสุดในนรชน อันหมู่พรหมทำอัญชลีทูลวอนขอแล้ว.
คาถานี้ มีความที่กล่าวมาโดยประการทั้งปวง ด้วยกถาเพียงเท่านี้.
ครั้งนั้น พระมหากรุณาเกิดขึ้นโดยเพียงทำโอกาสในสัตว์ทั้งปวง แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีกำลังแห่งพระกรุณาผุดขึ้นในสมัยที่กำหนดไม่ได้ เพราะ

ทรงสดับคำวอนขอของท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ทรงมีพระกำลังสิบ ทรงสำรวจ

ด้วยพระมติอันละเอียดในการทรงทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น. แต่ครั้งทำ

สังคายนา ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย เมื่อแสดงความเกิดพระกรุณาของ

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จึงตั้งคาถานี้ว่า

ความมีพระกรุณาในสรรพสัตว์ เกิดขึ้นแด่พระ
ตถาคต ผู้มีวิชชาและจรณะพรักพร้อมแล้ว ผู้คงที่
ผู้ทรงความรุ่งโรจน์ ทรงพระกายครั้งสุดท้าย ไม่มี
บุคคลจะเปรียบปานได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปนฺนวิชฺชาจรณสฺส ความว่า ชื่อว่า
สัมปันนะ มี ๓ คือ ปริปุณณสัมปันนะ สมังคิสัมปันนะ และ มธุรสัม-

ปันนะ ในสัมปันนะนั้น สัมปันนะ นี้ว่า

สมฺปนฺนํ สาลิเกทารํ สุวา ภุญฺชนฺติ โกสิย
ปฏิเวเทมิ เต พฺรหฺเม น นํ วาเรตุมุสฺสเห.
ดูก่อนโกสิยพราหมณ์ นกแขกเต้าทั้งหลายกิน
ข้าวสาลีในนาที่บริบูรณ์ ดูก่อนพราหมณ์ เราขอแจ้งให้
ท่านทราบ ท่านจะไม่อุตสาหะป้องกันข้าวสาลีในนา
นั้นหรือ.
ชื่อว่า ปริปุณณสัมปันนะ.

สัมปันนะ นี้ว่า อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต
อุปคโต มุปคโต สมฺปนฺโน สมนฺนาคโต ภิกษุ ย่อมเป็นผู้เข้าถึงแล้ว

เข้าถึงพร้อมแล้ว เข้าไปแล้ว เข้าไปพร้อมแล้ว พรั่งพร้อมแล้ว ประกอบ

ด้วยปาติโมกขสังวรนี้. ชื่อว่า สมังคิสัมปันนะ.

สัมปันนะ นี้ว่า อิมิสฺสา ภนฺเต มหาปฐวิยา เหฏฺฐิมตลํ สมฺปนฺนํ
เสยฺยถาปิ ขุทฺทมธุํ อนีลกํ เอวมสฺสาทํ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พื้นเบื้อง

ล่างของมหาปฐพีนี้ ถึงพร้อมแล้ว มีง้วนดินอร่อย เปรียบเหมือนผึ้งเล็ก [มิ้ม]

ที่ไม่มีตัวอ่อนฉะนั้น. ในที่นี้ ทั้งปริปุณณสัมปันนะ ทั้งสมังคิสัมปันนะ ย่อม

ถูก.

บทว่า วิชฺชา ความว่า ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าเจาะแทงธรรมที่
เป็นข้าศึก เพราะอรรถว่า ทำให้รู้ และเพราะอรรถว่า ควรได้ ก็วิชชาเหล่านั้น

วิชชา ๓ ก็มี วิชชา ๘ ก็มี. วิชชา ๓ พึงทราบตามนัยที่มาในภยเภรวสูตรนั่นแล

วิชชา ๘ พึงทราบตามนัยที่มาในอัมพัฏฐสูตร. ความจริงในอัมพัฏฐสูตรนั้น

ท่านกำหนดอภิญญา ๖ กับวิปัสสนาญาณและมโนมยิทธิ เรียกว่าวิชชา ๘.

บทว่า จรณํ ความว่าพึงทราบ ธรรม ๑๕ เหล่านี้คือ ศีลสังวร, ความคุ้มครอง

ทวารในอินทรีย์, ความรู้จักประมาณในโภชนะ , ชาคริยานุโยค, ศรัทธา, หิริ,

โอตตัปปะ, พาหุสัจจะ, ความเป็นผู้ปรารภความเพียร. ความเป็นผู้มีสติตั้งมั่น,

ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา รูปาวจรฌาน ๔, จริงอยู่ ธรรม ๑๕ เหล่านี้

นี้แหละ เพราะเหตุที่พระอริยสาวก ย่อมประพฤติ ย่อมไปสู่ทิศอมตะได้ด้วย

ธรรมเหล่านี้ ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า จรณะ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อน

มหานาม อริยสาวกในพระศาสนานี้เป็นผู้มีศีล. จรณะทั้งหมดพึงทราบตามนัย

ที่ท่านกล่าวไว้ในมัชฌิมปัณณาสก์. วิชชาด้วย จรณะด้วย ชื่อว่า วิชชาและ

จรณะ. วิชชาและจรณะของผู้ใดถึงพร้อมแล้ว บริบูรณ์แล้ว ผู้นี้นั้น ชื่อว่า

ผู้มีวิชชาและจรณะถึงพร้อมแล้ว ผู้ถึงพร้อมแล้ว ผู้พรั่งพร้อมแล้ว หรือผู้

ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยวิชชาและจรณะทั้งหลาย ชื่อว่าผู้มีวิชชาและจรณะ

อันถึงพร้อมแล้ว . ความก็ถูกแม้ทั้งสองนัย. แด่พระตถาคตพระองค์นั้น ผู้มี

วิชชาและจรณะถึงพร้อมแล้ว.

บทว่า ตาทิโน ความว่า ผู้คงที่ ตามลักษณะของผู้คงที่มาในมหานิเทศ
โดยนัยว่าเป็นผู้คงที่ทั้งในอิฏฐารมณ์ คงที่ทั้งในอนิฏฐารมณ์ ดังนี้เป็นต้น อธิบาย

ว่า ผู้มีอาการไม่ผิดปกติในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ชื่อว่าผู้คงที่. บทว่า

ชุตินฺธรสฺส ได้แก่ ผู้รุ่งโรจน์. อธิบายว่าผู้ทรงไว้ซึ่งความแล่นซ่านออกแห่ง

รัศมีของพระสรีระอันมีสิริเกินกว่าดวงอาทิตย์ในฤดูสารท เหนือขุนเขายุคนธร

หรือจะกล่าวว่าผู้ทรงความรุ่งโรจน์ด้วยปัญญา ดังนี้ก็ควร. สมจริง ดังที่ท่าน

กล่าวไว้ว่า

จตฺตาโร โลเก ปชฺโชตา ปญฺจเมตฺถ น วิชฺชติ
ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ รตฺติมาภาติ จนฺทิมา
อถ อคฺคิ ทิวารตฺตึ ตตฺถ ตตฺถ ปภาสติ
สมฺพุทฺโธ ตปตํ เสฏฺโฐ เอสา อาภา อนุตตรา.
แสงสว่างในโลกมี ๔ ไม่มีข้อที่ ๕ คือดวงอาทิตย์
ส่องสว่างกลางวัน ดวงจันทร์ส่องสว่างกลางคืน ส่วน
ไฟส่องสว่างในที่นั้น ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน พระ-
สัมพุทธเจ้าทรงประเสริฐสุดแห่งแสงสว่าง แสงสว่าง
นี้ยอดเยี่ยม.
เพราะฉะนั้น จึงอธิบายว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งความแล่นซ่านแห่งพระรัศมี
ทางพระสรีระและทางพระปัญญาแม้ทั้งสองประการ. บทว่า อนฺติมเทหธาริโน

ได้แก่ ผู้ทรงพระสรีระสุดท้ายที่สุด. อธิบายว่าไม่เกิดอีก.

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:55:56 น.  

 
 
 
พุทธวงศ์
รัตนะจงกรมกัณฑ์
ว่าด้วยพระพุทธองค์ทรงเนรมิตที่จงกรมแก้ว
[๑] ก็ท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นใหญ่ในโลกได้ประนมอัญชลีทูล
อาราธนาพระผู้มีพระภาคว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลี

ในนัยน์ตาน้อย มีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ได้ทรงโปรด

อนุเคราะห์แสดงธรรมแก่หมู่สัตว์นี้เถิด (พระผู้มี

พระภาคผู้เป็นใหญ่กว่าโลกอุดมกว่านรชน อันหมู่พรหม

ผู้ประนมอัญชลีทูลอาราธนาว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลี

ในนัยน์ตาน้อยมีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ได้ทรงโปรด

อนุเคราะห์แสดงธรรมแก่หมู่สัตว์นี้ ขอพระสุคตเจ้าทรง

โปรดแสดงธรรม ขอทรงแสดงอมตบท ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนายก

ขอจงทรงโปรดอนุเคราะห์แสดงธรรมแก่สัตว์โลก) พระตถาคผู้ไม่มี

บุคคลเปรียบเสมอ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้คงที่ ผู้ทรง

ความรุ่งเรือง ทรงไว้ซึ่งพระกายครั้งสุดท้าย ทรงเกิดความกรุณา

ในสัตว์ทั้งปวง

พระผู้มีพระภาคผู้ศาสดา ได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว ได้

ตรัสว่า สัตว์เหล่าใดเงี่ยโสตลงฟัง ปล่อยศรัทธาเราจะ

เปิดประตูอมตนิพพานแก่สัตว์เหล่านั้น ดูกรพรหม เรา

สำคัญไปว่าจะลำบากเปล่า จึงไม่กล่าวธรรมมีคุณอัน

ละเอียดประณีตในหมู่มนุษย์.

(สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐกว่ามุนีจะทรงอนุเคราะห์

เวไนยสัตว์ เสด็จจากไม้อัชปาลนิโครธ เสด็จถึงพระนครพาราณสี

โดยเสด็จดำเนินไปตามลำดับ ก็ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ

บนบัลลังก์อันประเสริฐนั้น และทรงประกาศธรรมจักร คือ ทุกข์

เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ มรรคอันสูงสุดแก่ปัญจวัคคีย์ พระ

ผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรนั้นแล้ว ฤาษีปัญจวัคคีย์เหล่านั้น

คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ พร้อม

ด้วยหมู่เทวดาและพรหม ๑๘ โกฏิ ได้ธรรมาภิสมัยในสันติบาต

ครั้งแรก ในกาลนั้น พระองค์ทรงแนะนำปัญจวัคคีย์แม้ทั้งหมด

พร้อมด้วยหมู่พรหมและเทวดา ๑๘ โกฏิ ให้วิเศษตามลำดับ ด้วย

พระธรรมเทศนาอย่างอื่น ทรงยังหมู่พรหมและเทวดาให้ได้โสดา

ปัตติผลในสันติบาตนั้น แล้วเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ โดยเสด็จ

ดำเนินไปตามลำดับ พระองค์ผู้ประเสริฐกว่ามุนี ประทับอยู่ ณ

พระเวฬุวันมหาวิหาร ก็พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับดังนั้น ได้เสด็จ

ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค มีบริวารเป็นอันมากประมาณ๑๑ นหุต

พระเจ้าพิมพิสารทรงบูชาพระผู้มีพระภาค ด้วยประทีป ของหอม

ธูปและดอกไม้เป็นต้น ในสมาคมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

กามาทีนวกถา ในเวลาจบเทศนา ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์

๘๔,๐๐๐ มีพระราชาเป็นประมุขพระพุทธบิดาได้ทรงสดับข่าวนั้น

ทรงส่งทูตไป ๙ นายทูตเหล่านั้นพร้อมด้วยบริวาร ๙,๐๐๐ ทูลขอ

บรรพชากะพระมุนี ทูตเหล่านั้นและบริวาร ๙,๐๐๐ ได้บรรลุอรหัต

ครั้งสุดท้ายกาฬุทายีอำมาตย์กับบริวาร ๑,๐๐๐ ถือเพศภิกษุแล้ว

กราบทูลเชิญพระผู้มีพระภาค พระศากยมุนีผู้ประเสริฐ ทรงรับ

นิมนต์แล้ว เสด็จดำเนินไปตามทางใหญ่ เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุ

สองหมื่น พระองค์เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์โดยการเสด็จดำเนินไป

ตามลำดับ ได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำโรหิณี ประทับนั่ง

ณ ท่ามกลางบัลลังก์นั้น ทรงแสดงมหาเวสสันตรชาดกธรรมเทศนา

แก่พระพุทธบิดา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐).

พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า

พรหมเหล่านี้ พร้อมด้วยเทวดาและมนุษย์ไม่รู้ว่า พระ

พุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านรชนนี้เป็นเช่นไร ทรงมีกำลังฤทธิ์

และกำลังปัญญาเช่นไร ทรงมีกำลังพุทธเจ้าอันเป็น

ประโยชน์แก่โลกเช่นไร พรหมเหล่านี้พร้อมด้วยเทวดา

และมนุษย์ไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านรชนนี้เป็น

เช่นนี้ทรงมีกำลังฤทธิ์และกำลังปัญญาเช่นนี้ทรงมีกำลัง

พระพุทธเจ้าอันเป็นประโยชน์แก่โลกเช่นนี้.

เอาละ เราจักแสดงกำลังพระพุทธเจ้าอันยอดเยี่ยม เราจักนิรมิต

ที่จงกรมอันประดับด้วยรัตนะในนภากาศ.

ภุมมเทวดา เทวดาชั้นมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา

ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตสวัตดี และ

เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม ต่างก็ยินดี ได้พากัน

ส่งเสียงอื้ออึง แผ่นดินพร้อมด้วยเทวโลกสว่างไสว

ที่อันมีในระหว่างโลกอันหนาแน่นไม่มีอะไรปิด และ

ความมืดทึบได้หายไป ในกาลนั้น พรหมพร้อมทั้งเทวดา

คนธรรพ์มนุษย์และรากษส ได้เห็นปาฏิหาริย์อันอัศจรรย์

แล้ว กล่าวว่ารัศมีอันสว่างจ้า ได้เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้

และในโลกอื่น ทั้งเบื้องล่างเบื้องบน และเบื้องขวาง

ส่วนกว้าง พระศาสดาผู้อุดมกว่าสัตว์ไม่มีใครประเสริฐ

ยิ่งไปกว่า เป็นนายกชั้นพิเศษ อันเทวดาและมนุษย์บูชา

ทรงมีอานุภาพมาก มีลักษณะบุญนับด้วยร้อย ทรงแสดง

ปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ ฯ

(ในสมาคมนั้น พระศาสดาผู้พิชิตมารเสด็จเหาะขึ้นในนภาดลแล้ว

ทรงนิรมิตขุนเขาสิเนรุให้เป็นที่จงกรมอันน่ารื่นรมย์ ทวยเทพใน

หมื่นโลกธาตุ มาประชุมกันในสำนักพระพิชิตมารถวายนมัสการ

พระตถาคตแล้ว กระทำพุทธบูชา)

ในกาลนั้น พระศาสดาผู้มีพระจักษุอุดมกว่านรชน เป็น

นายกของโลกอันท้าวสหัมบดี ผู้ประเสริฐกว่าเทวดา

ทูลอาราธนาแล้ว ทรงพิจารณาเห็นประโยชน์ดีแล้ว จึง

ทรงนิรมิตที่จงกรมเรียบร้อยสวยงามประดับด้วยรัตนะ

ทั่วไป พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก ทรงมีความ

ชำนาญในปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง คือ อิทธิปาฏิหาริย์

อาเทศนาปาฏิหาริย์ และอนุศาสนีปาฏิหาริย์ ทรงนิรมิต

ที่จงกรมเรียบร้อยสวยงามประดับด้วยรัตนะทั่วไป

ทรงแสดงขุนเขาสิเนรุอันสูงสุดในหมื่นโลกธาตุ เป็นเสาเรียงตาม

ลำดับ ในที่จงกรมอันสำเร็จด้วยรัตนะ พระพิชิตมารทรงนิรมิต

ที่จงกรมเกินกว่าพันที่ ล้วนแต่สำเร็จด้วยทองคำไว้รอบข้างรัตนะ

จงกรม ทรงนิรมิตแผ่นกระดานทองคำติดอยู่ตามขื่อและเต้า ทรง

นิรมิตไพรทีล้วนแต่ทองคำไว้ที่ข้างทั้งสอง รัตนะจงกรมที่ทรงนิรมิต

เกลื่อนไปด้วยแก้วมณีแก้วมุกดาและทรายสว่างไสวไปทั่วทิศเหมือน

พระอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น พระชินสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์ มี

ลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ทรงเปล่งพระรัศมีรุ่งเรือง เสด็จ

จงกรมอยู่บนรัตนะจงกรมนั้น ทวยเทพทั้งปวงที่มาประชุมกันต่างก็

โปรยปรายดอกมณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริชาตก์ทิพย์ลงในที่

จงกรม หมู่เทพในหมื่นจักรวาลได้เห็นเช่นนั้นจึงมาประชุมกัน

ต่างก็ยินดีร่าเริง เบิกบานใจหมอบลงถวายนมัสการ ทวยเทพชั้น

ดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดีและชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

ได้เห็นพระศาสดาผู้เป็นนายกของโลก ต่างก็มีจิตเบิกบานโสมนัส.

พวกนาค ครุฑ หรือแม้กินนร พร้อมด้วยเทวดาคนธรรพ์

มนุษย์และรากษส ต่างก็ได้เห็นพระศาสดาผู้ทรงเกื้อกูล

อนุเคราะห์โลก เหมือนดวงจันทร์ที่ขึ้นไปในนภากาศ

ฉะนั้น.

อาภัสสรพรหม สุภกิณหพรหม เวหัปผลพรหมและอกนิฏฐพรหม

ต่างก็นุ่งผ้าขาวล้วนๆ ยืนประนมอัญชลี.

ต่างก็โปรยดอกมณฑารพ ๕ สี อันเจือด้วยกระแจะจันทน์

และพากันโบกผ้าอยู่ในอัมพรในกาลนั้นต่างก็เปล่งเสียง

ว่า โอ พระพิชิตมารทรงเกื้อกูลอนุเคราะห์โลก.

พระองค์ผู้อุดมกว่าสัตว์ เป็นศาสดา เป็นยอด เป็นธง เป็นหลักไชย

เป็นที่พึ่งอาศัย และเป็นประทีปของสัตว์ทั้งหลาย ทวยเทพผู้มี

ฤทธิ์มากในหมื่นโลกธาตุ ต่างก็ยินดีร่าเริง เบิกบานใจ พากัน

แวดล้อมถวายนมัสการ เทพบุตรและเทพกัญญา ต่างก็เลื่อมใสมีใจ

ยินดีพากันบูชาพระนราสภด้วยดอกไม้ ๕ สี หมู่เทพเจ้าได้เห็น

พระศาสดา ต่างก็เลื่อมใสมีใจยินดีพากันบูชาพระนราสภด้วยดอก

ไม้ ๕ สี เปล่งเสียงว่า ความอัศจรรย์ โอ ขนพองสยองเกล้าไม่

เคยมีในโลก ความอัศจรรย์ขนพองสยองเกล้าเช่นนี้ ไม่เคยเป็น

เทพเจ้าเหล่านี้ อยู่ในภพของตนๆ ได้เห็นความอัศจรรย์ในนภากาศ

แล้ว พากันร่าเริงเป็นอันมาก เทพเจ้าที่อยู่ในนภากาศ พื้นดิน

ป่าหญ้าและที่ประจำดวงดาว ต่างก็ยินดีร่าเริงเบิกบานใจ พากัน

ประนมอัญชลีนมัสการ แม้พวกนาคที่มีอายุยืน มีบุญ มีฤทธิ์มาก

ได้เห็นอัศจรรย์ในนภากาศแล้วต่างก็ยินดีมีจิตเบิกบาน ถวายนมัส-

การบูชาพระศาสดาผู้อุดมกว่านรชน บรรเลงสังคีต ตีกลองกันอยู่

ในอากาศกลางหาวได้เห็นอัศจรรย์ในนภากาศแล้ว ต่างก็ประโคม

สังข์ บัณเฑาะว์และมโหรทึกอยู่ในอากาศเปล่งเสียงว่า วันนี้ ความ

อัศจรรย์ไม่เคยมี ขนพองสยองเกล้าเกิดขึ้นแก่เรา เราได้ความสำเร็จ

ประโยชน์ยั่งยืน ขณะปรากฏแก่เราแล้วเพราะได้ฟังว่าพุทโธ นาค

เหล่านั้นเกิดปีติในขณะนั้น ต่างก็ยืนประนมอัญชลีเปล่งเสียงว่า

พุทโธ พุทโธ หมู่สัตว์ต่างๆ ในท้องฟ้าต่างก็ประนมอัญชลีเปล่ง

เสียงหึ่งๆ เสียงสาธุการและเสียงโห่กึกก้อง

นาคทั้งหลายต่างก็เปล่งเสียงประสานขับร้องประโคมปรบ

มือ ฟ้อนรำและต่างก็โปรยปรายดอกมณฑารพ ๕ สี

อันเจือด้วยกระแจะจันทน์ ลงมาบูชาเปล่งเสียงประกาศว่า

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ลายจักรที่พระบาทยุคลของพระองค์ฉันใด

ธงไชย ธงปฏากวิเชียรก็ลอยเด่นอยู่ ฉันนั้นไม่มีใครเสมอด้วย

พระรูป ศีล สมาธิ และปัญญาของพระองค์ในการประกาศธรรมจักร

ไม่มีใครเสมอด้วยวิมุตติ กำลังกายของนาค ๑๐ นาค เป็นพระ

กำลังกายปกติของพระองค์ในการประกาศธรรมจักรไม่มีใครเสมอ

ด้วยกำลังพระฤทธิ์ของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงนมัสการพระมหามุนี

ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติทุกอย่าง ทรงประกอบด้วยองค์คุณทั้งปวง

มีพระกรุณา เป็นนาถะของโลก พระองค์ย่อมควรแก่การอภิวาท

การชมเชย การไหว้ การสรรเสริญ การนมัสการ และการบูชา

ทุกอย่าง ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระองค์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดกว่า

บุคคลผู้ไหว้ และผู้ควรไหว้ในโลกไม่มีใครเสมอกับพระองค์ พระ

สารีบุตรผู้มีปัญญามาก เป็นผู้ฉลาดในสมาธิและฌาน สถิต ณ เขา

คิชฌกูฏ ได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก มองดูพระนราสภงาม

เหมือนพระยารังมีดอกบานสะพรั่ง เหมือนพระจันทร์ในท้องฟ้า

และเหมือนพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยง เห็นพระองค์ผู้นายกของโลก

ผู้แวดล้อมด้วยรัศมีด้านละวา งามดังต้นไม้ประจำทวีปอันรุ่งเรือง

เหมือนพระอาทิตย์อุทัยส่องแสงอ่อนๆ พระสารีบุตรได้นิมนต์พระ

ภิกษุขีณาสพ ๕๐๐ รูป ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว ผู้คงที่ ผู้ปราศจากมลทิน

ให้มาประชุมกันในขณะนั้น กล่าวว่า พระพิชิตมารทรงแสดง

ปาฏิหาริย์อันจะยังโลกให้เลื่อมใส แม้เราทั้งหลาย ก็จักไปถวาย

บังคมพระองค์ในที่นั้น มาเถิด เราทั้งปวงจักไป จักทูลถามพระองค์

เราจักไปเฝ้าพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก ให้พระองค์บรรเทาความ

สงสัยให้ พระภิกษุผู้มีปัญญาสำรวมอินทรีย์เหล่านั้น รับว่าสาธุแล้ว

ต่างก็ถือบาตรและจีวร พากันรีบร้อนเข้าไปเฝ้าพระสารีบุตรผู้มี

ปัญญามาก พร้อมด้วยพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน ผู้ฝึกตนด้วย

การฝึกอันอุตมพากันไปเฝ้าด้วยฤทธิ์ พระสารีบุตรผู้เป็นเจ้าคณะใหญ่

แวดล้อมด้วยภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าด้วยฤทธิ์ เปรียบเหมือนเทวดา

ลอยมาในอากาศ ฉะนั้น พระภิกษุเหล่านั้นผู้มีวัตรอันงาม มีความ

เคารพยำเกรง ไม่ไอ ไม่จาม พากันเข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า

ครั้นเข้าเฝ้าแล้ว ได้เห็นพระสยัมภูวีรเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ลอย

เด่นอยู่ในนภากาศ เหมือนพระจันทร์ในท้องฟ้า ได้เห็นพระพุทธเจ้า

ผู้เป็นนายกของโลกดังต้นไม้ประจำทวีปอันรุ่งเรืองเหมือนสายฟ้าใน

อากาศ ดุจพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยง พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ องค์ ได้เห็น

พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ดังห้วงน้ำอันใสแจ๋ว ดังดอก

บัวบาน ต่างก็ยินดีร่าเริงบันเทิงใจ ประนมอัญชลีหมอบลงถวาย

นมัสการแทบพระบาทพระศาสดา พระสารีบุตรผู้มีปัญญามาก เสมอ

เหมือนโลกพิภพ ฉลาดในสมาธิและฌาน ถวายบังคมพระศาสดา

ผู้เป็นนายกของโลกพระโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์มาก ไม่มีใครเสมอ

ด้วยกำลังฤทธิ์เปรียบด้วยดอกนิลุบล เหมือนอกาลเมฆกระหึ่ม

ฉะนั้นแม้พระมหากัสสปเถระ ผู้เปรียบด้วยทองคำสีรุ่งเรืองพระ

ศาสดาทรงชมเชยสรรญเสริญตั้งไว้ว่าเป็นยอดในธุดงคคุณพระอนุรุทธ

เถระผู้เป็นเจ้าคณะใหญ่ เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้มีจักษุทิพย์เป็นพระ

ญาติผู้ประเสริฐของพระผู้มีพระภาคสถิตอยู่ไม่ไกล พระอุบาลีเถระ

ผู้ฉลาดในอาบัติ อานาบัติ สเตกิจฉา พระศาสดาทรงสรรเสริญตั้งไว้

ว่าเป็นผู้เลิศในฝ่ายวินัย พระเถระผู้เป็นบุตรของนางมันตานี ปรากฏ

ว่าชื่อปุณณะ ผู้แทงตลอดอรรถธรรมอันสุขุมละเอียดประเสริฐกว่า

ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก พระมุนีมหาวีรเจ้าผู้ทรงฉลาดในอุปมา ผู้ตัด

ความสงสัย ทรงทราบวาระจิตของท่านเหล่านั้นแล้วจึงตรัสพระคุณ

ของพระองค์ว่า ชนเหล่าใดไม่รู้สัตตนิกาย โอกาสและจักรวาล

อันไม่มีที่สิ้นสุด ในสี่อสงไขยโกฏิได้ ชนเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะ

รู้ พระพุทธญาณ อันไม่มีเปรียบได้การแผลงฤทธิ์ของเรานี้ จะ

อัศจรรย์อะไรในโลกเล่า ความอัศจรรย์อันไม่เคยมี น่าขนพองสยอง

เกล้าอย่างอื่นมีอีกมากในกาลใด เราอยู่ในชั้นดุสิต ในกาลนั้น เรา

ชื่อว่าสันดุสิตเทวดาในหมื่นจักรวาฬมาประนมอัชลีเชิญเราว่า ข้าแต่

ท่านผู้มีเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นกาลสมควรที่ท่านจะเกิดในครรภ์พระ

มารดา ของเชิญตรัสรู้อมตบทช่วยรื้อขนสัตว์พร้อมด้วยเทวดาให้

ข้ามเถิด ขณะเมื่อเราจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์นั้นแผ่นดินใน

หมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว ขณะเมื่อเรามีความรู้สึกตัวประสูติ

จากครรภ์พระมารดานั้น ทวยเทพในหมื่นโลกธาตุเปล่งเสียงสาธุการ

หวั่นไหว ในการลงสู่ครรภ์ประสูติและออกบวชไม่มีใครเสมอด้วย

เรา เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในกาลตรัสรู้และในการประกาศธรรมจักร

โอ ความอัศจรรย์มีในโลกเพราะพระพุทธเจ้ามีคุณมาก หมื่นโลก

ธาตุหวั่นไหว ๖ ครั้งมีรัศมีสว่างจ้า น่าอัศจรรย์ขนพองสยองเกล้า

ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคผู้พิชิตมาร เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐ

กว่านรชน ทรงจงกรมด้วยฤทธิ์ แสดงให้โลกพร้อมทั้งเทวโลกเห็น

พระศาสดาผู้เป็นนายกของโลก เสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่จงกรมนั่นเอง

ตรัสตอบ ไม่เสด็จกลับในระหว่างเหมือนดังเสด็จจงกรมอยู่ในที่จง

กรม ๕ ศอก พระสารีบุตรผู้มีปัญญามากในสมาธิและฌาน ถึงความ

บริบูรณ์ด้วยปัญญาได้ทูลถามพระศาสดาผู้เป็นนายกของโลกว่า ข้า

แต่พระมหาวีรเจ้าผู้อุดมกว่านรชน อภินิหารของพระองค์เช่นไร

พระองค์ทรงปรารถนาพระโพธิญาณอันอุดมในกาลไร ทาน ศีล เนก

ขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ เมตตาและอุเบกขา

เป็นเช่นไร ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก บารมี ๑๐

เป็นอย่างไร อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ บริบูรณ์อย่างไร

(เพราะทรงอธิษฐานกรรมอะไร จึงเป็นอธิบดีเช่นไร เป็นบารมีได้

เช่นไร นักปราชญ์เช่นไรมีในโลก เมตตา กรุณา มุทิตา และ

อุเบกขาเป็นเช่นไร พระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์

เช่นไร) พระศาสดาผู้มีพระสุรเสียงไพเราะดังนกการะเวกอันพระ

สารีบุตรทูลถามแล้ว ทรงพยากรณ์ให้เย็นใจ และทรงยังโลกพร้อม

ทั้งเทวโลกให้ยินดี.

พระศาสดาทรงประกาศประโยชน์แก่โลก ที่พระพุทธเจ้า

ในอดีตทรงแสดงไว้ ทรงชมเชย อันพระพุทธเจ้าทรงนำ

สืบๆ กันมา ด้วยพระพุทธญาณที่ไปตามปุพเพนิวาส

ญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก

ว่าท่านทั้งหลายจงทำจิตให้เกิดปีติและปราโมทย์ให้บรรเทาลูกศร คือ

ความโศก ให้ได้สมบัติทั้งปวงแล้ว จงฟังเราท่านทั้งหลายจงดำเนิน

ไปตามมรรคอันเป็นเครื่องย่ำยีมีความเมาบรรเทาความโศก เปลื้อง

ตนจากสงสาร เป็นที่สิ้นทุกข์ทั้งปวงโดยความเคารพเถิด.

จบรัตนะจงกรมกัณฑ์
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:57:27 น.  

 
 
 
จะวินิจฉัยในบทว่า ตถาคตสฺส นี้ ดังนี้ :-
พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเรียกว่า ตถาคต ด้วยเหตุ ๘ ประการ อะไร
บ้าง คือ

๑. ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้วอย่างนั้น
๒. ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้วอย่างนั้น
๓. ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงถึงลักษณะที่แท้
๔. ชื่อว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรมที่แท้ตามเป็นจริง
๕. ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงเห็นแต่ความจริง
๖. ชื่อว่า ตถาคต เพราะตรัสแต่คำจริง
๗. ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงทำจริง
๘. ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถว่า ทรงครอบงำ.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าตถาคต เพราะเสด็จมาแล้วอย่างนั้น
เป็นอย่างไร.

ตอบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธ-
เจ้าเป็นต้น ทรงบำเพ็ญทานบารมี ทรงบำเพ็ญศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญา

บารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมีและอุเบก-

ขาบารมี ทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือบารมี ๑๐ เหล่านี้ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถ-

บารมี ๑๐ ทรงสละมหาบริจาค ๕ เหล่านี้ คือบริจาคอวัยวะ บริจาคชีวิต

บริจาคทรัพย์ บริจาคราชสมบัติ บริจาคบุตรภรรยา เสด็จมาแล้วด้วยอภินิหาร

ใดอย่างใด พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลายก็เสด็จมาแล้ว ด้วยอภินิหาร

นั้น อย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าตถาคต เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า

ยเถว โลกมฺหิ วิปสฺสิอาทโย
สพฺพญฺญภาวํ มุนโย อิธาคตา
ตถา อยํ สกฺยมุนีปิ อาคโต
ตถาคโต วุจฺจติ เตน จกฺขุมา.
พระมุนีทั้งหลาย มีพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นต้น
เสด็จมาสู่พระสัพพัญญุตญาณในโลกนี้ อย่างใด แม้
พระสักยมุนีพระองค์นี้ก็เสด็จมาอย่างนั้น ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระจักษุ ท่านจึงเรียกว่าตถาคต.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าตถาคต เพราะเสด็จไปแล้วอย่าง
นั้นเป็นอย่างไร.

ตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นต้น ประสูติ
ได้ชั่วเดี๋ยวเดียว ก็ประทับยืนที่แผ่นดิน ด้วยพระบาทอันเสมอกัน บ่ายพระ-

พักตร์ทางทิศอุดร เสด็จไปด้วยย่างพระบาท ๗ ย่างก้าว อย่างใด พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลาย ก็เสด็จไปอย่างนั้น เหตุนั้นจึงชื่อว่าตถาคต เหมือน

อย่างที่ท่านกล่าวว่า

มุหุตฺตชาโตว ควมฺปตี ยถา
สเมหิ ปาเทหิ ผุสี วสุนฺธรํ
โส วิกฺกมี สตฺตปทานิ โคตโม
เสตญฺจ ฉตฺตํ อนุธารยุํ มรู.
คนฺตฺวาน โส สตฺถปทานิ โคตโม
ทิสา วิโลเกสิ สมา สมนฺตโต
อฏฺฐงฺคุเปตํ คิรมพฺภุทีรยี
สีโห ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏฺฐฺโต.
โคจ่าฝูง เกิดได้ครู่เดียว ก็สัมผัสพื้นแผ่นดิน
ด้วยเท้าที่เสมอกัน ฉันใด พระโคดมพระองค์นั้นก็ย่าง
พระบาท ๗ ย่างก้าว และทวยเทพก็กั้นเศวตฉัตร
ฉันนั้น. พระโคดมพระองค์นั้น ครั้นเสด็จ ๗ ย่างก้าว
แล้ว ทรงเหลียวดูทิศเสมอกันโดยรอบ ทรงเปล่ง
อาสภิวาจา ประกอบด้วยองค์ ๘ เหมือนพระยาสีหะ
ยืนหยัดเหนือยอดขุนเขาฉะนั้น.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าตถาคต เพราะทรงถึงลักษณะที่แท้
เป็นอย่างไร.

ตอบว่า ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงมาถึง บรรลุไม่ผิดพลาดรู้ตาม
ลักษณะของตนเอง และลักษณะที่เสมอทั่วไป อันถ่องแท้ แท้จริง ของรูปธรรม

และอรูปธรรมทั้งปวง ด้วยญาณคติ.

สพฺเพสํ ปน ธมฺมานํ สกสามญฺญลกฺขณํ
ตถเมวาคโต ยสฺมา ตสฺมา สตฺถา ตถาคโต.
เพราะเหตุที่ทรงบรรลุถึงลักษณะตนและลักษณะ
ทั่วไปอันแท้จริงของธรรมทั้งปวง ฉะนั้น พระศาสดา
จึงชื่อว่าตถาคต.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรมอันแท้
ตามความเป็นจริง เป็นอย่างไร.

ตอบว่า อริยสัจ ๔ ชื่อว่าธรรมแท้. เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้เป็นของแท้เป็นของจริง ไม่เป็นอย่างอื่น

อริยสัจ มีอะไรบ้าง คืออริยสัจที่ว่า นี้ทุกข์ เป็นของแท้เป็นของจริง ไม่เป็น

อย่างอื่น ฯ ล ฯ พึงทราบความพิศดาร. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔

เหล่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรมอันแท้.

ความจริง คตศัพท์ในคำว่า ตถาคโต นี้มีอรรถว่า ตรัสรู้.

ตถนามานิ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌิ นายโก
ตสฺมา ตถานํ สจฺจานํ สมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโต.
พระผู้นายกตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย ที่เป็นของแท้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าตถาคต เพราะตรัสรู้สัจจะ
ทั้งหลายที่เป็นของแท้.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าตถาคต เพราะทรงเห็นแต่ความจริง
เป็นอย่างไร

ตอบว่า แท้จริง พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ตถาคตย่อมทรงรู้ ทรงเห็น
อารมณ์คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมะ ที่มาปรากฏในทวารคือ ตา

หู จมูก ลิ้น กาย และใจของสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ในโลกธาตุที่ไม่มี

ประมาณโดยอาการทั้งปวง เหตุนั้น จึงชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงเห็นแต่

ความจริงอย่างนั้น. อีกนัยหนึ่ง ทรงแสดงแต่สิ่งที่แท้ในโลก แก่โลก. อย่าง

นั้นเท่านั้น แม้เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงชื่อว่า ตถาคต ในที่นี้

พึงทราบความหมายแห่งบทว่า ตถาคต ในอรรถว่าทรงเห็นแต่ความจริงแท้.

ตถากาเรน โย ธมฺเม ชานาติ อนุปสฺสติ
ตถทสฺสีติ สมฺพุทโธ ตสฺมา วุตฺโต ตถาคโต.
ท่านผู้ใด ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมทั้งหลายโดย
อาการที่แท้จริง ท่านผู้นั้น ชื่อว่าผู้เห็นแต่ความจริง
เพราะฉะนั้น ท่านผู้รู้จริงดังว่า จึงเรียกว่าตถาคต.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า ตถาคต เพราะตรัสแต่คำจริง
เป็นอย่างไร

ตอบว่า ก็คำใดที่สงเคราะห์เป็นนวังคสัตถุศาสตร์มีสุตตะเป็นต้น อัน
พระตถาคตภาษิตดำรัสไว้ตลอดกาลประมาณ ๔๕ พรรษา ระหว่างตรัสรู้และ

ปรินิพพาน คำนั้นทั้งหมดเป็นคำแท้ ไม่เท็จเลย ดุจชั่งได้ด้วยตาชั่งอันเดียว.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ดูก่อนจุนทะ ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ-
ญาณ ณ ราตรีใด ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน-
ธาตุ ณ ราตรีใด ในระหว่างนี้ตถาคตภาษิตกล่าว ชี้แจง
คำใดไว้ คำนั้นทั้งหมด เป็นคำแท้จริงอย่างเดียว ไม่
เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจึงเรียกกันว่า ตถาคต.
ก็ในคำว่า ตถาคต นี้ คตศัพท์มีอรรถว่ากล่าวชัดเจน. ชื่อว่าตถาคต
เพราะตรัสแต่คำจริงอย่างนี้ การกล่าวชัดเจน ชื่อว่า อาคทะ อธิบายว่า

พระดำรัส. พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นของแท้ไม่วิปริต

เหตุนั้นจึงชื่อว่า ตถาคต ท่านกล่าวเอา ท เป็น ต.

ตถาวาที ชิโน ยสฺมา ตถธมฺมปฺปกาสโก
ตถามาคทนญฺจสฺส ตสฺมา พุทฺโธ ตถาคโต.
เพราะเหตุที่ พระชินพุทธเจ้า ตรัสแต่คำจริง
ทรงประกาศธรรมที่แท้จริง และพระดำรัสของพระ-
องค์ก็เป็นคำจริง ฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงชื่อว่าตถาคต.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงทำจริง เป็น
อย่างไร.

ตอบว่า ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระวาจาใด ๆ ก็ทรง
ทำพระวาจานั้น ๆ ด้วยพระกาย คือพระกายก็อนุโลมตามพระวาจา ทั้งพระ-

วาจาก็อนุโลมตามพระกาย ด้วยเหตุนั้นนั่นแล จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตกล่าวอย่างใด ก็ทำ
อย่างนั้น ตถาคตทำอย่างใด ก็กล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ตถาคต.
อนึ่ง พระวาจาไปอย่างใด แม้พระกายก็ไปอย่างนั้น พระกายไป
อย่างใด แม้พระวาจาก็ไปอย่างนั้น. ชื่อว่า ตถาคตเพราะทรงทำจริง ด้วย

ประการฉะนี้.

ยถา วาจา คตา ตสฺส ตถา กาโย คโต ยโต
ตถาวาทิตา สมฺพุทฺโธ สตฺถา ตสฺมา ตถาคโต.
เพราะเหตุที่พระวาจาของพระองค์ไปอย่างใด
พระกายก็ไปอย่างนั้น เพราะตรัสแต่คำจริง ฉะนั้น
พระศาสดาผู้ตรัสรู้จริง จึงชื่อว่าตถาคต.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถว่า ครอบงำ
เป็นอย่างไร.

ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครอบงำสัตว์ทั้งปวง เบื้องบน
ถึงภวัคคพรหม. เบื้องขวาง ในโลกธาตุที่หาประมาณมิได้ เบื้องล่าง ก็มีอเวจี

มหานรกเป็นที่สุดด้วยศีลบ้าง สมาธิบ้าง ปัญญาบ้าง วิมุตติบ้าง วิมุตติญาณ-

ทัสสนะบ้าง ไม่มีเครื่องชั่งหรือเครื่องนับสำหรับพระองค์ ที่แท้พระองค์ก็ชั่ง

ไม่ได้ นับไม่ได้ ยอดเยี่ยม. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้ครอบงำ ไม่มี
ใครครอบงำ เป็นผู้เห็นถ่องแท้ เป็นผู้มีอำนาจ ฯ ล ฯ
ในโลกทั้งเทวโลก เพราะฉะนั้น จึงเรียกกันว่า ตถาคต.
พึงทราบความสำเร็จความแห่งบท ในบทว่าตถาคโตนี้ ดังกล่าวมา
ฉะนี้ อานุภาพ เปรียบเหมือนยา. ก็นั่นคืออะไรเล่า คือความงดงามแห่ง

เทศนา และกองบุญ จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นแพทย์

ผู้มีอานุภาพมาก ทรงครอบงำผู้มีลัทธิตรงข้ามทั้งหมด และครอบงำโลกพร้อม

ทั้งเทวโลก ด้วยอานุภาพนั้น เหมือนหมองูครอบงำงูทั้งหลาย ด้วยยาทิพย์

ฉะนั้น ดังนั้น อานุภาพ คือความงดงามแห่งเทศนาและกองบุญ ที่ไม่วิปริต

เพราะครอบงำโลกได้หมดของพระองค์มีอยู่ เหตุนั้น พระองค์จึงควรทราบว่า

ตถาคต เพราะทำ ท อักษร เป็น ต อักษร. ชื่อว่าตถาคตเพราะอรรถว่าครอบงำ

ด้วยประการฉะนี้.

ตโถ อวิปรีโต จ อคโท ยสฺส สตฺถุโน
วสวฺตีติ โส เตน โหติ สตฺถา ตถาคโต.
ศาสดาพระองค์ใด ทรงมีอานุภาพแท้ไม่วิปริต
ศาสดาพระองค์นั้น เป็นผู้มีอำนาจ เพราะฉะนั้น
พระศาสดาพระองค์นั้น จึงชื่อว่า ตถาคต.
บทว่า อปฺปฏิปุคฺคลสฺส ได้แก่ปราศจากบุคคลที่จะเปรียบได้.
บุคคลอื่นไรเล่า ชื่อว่า สามารถให้คำปฏิญาณรับรองว่าเราเป็นพุทธะ ไม่มี

สำหรับพระตถาคตนั้นเหตุนั้น พระตถาคตนั้น จึงชื่อว่าไม่มีบุคคลเปรียบได้.

แก่พระตถาคต ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบได้พระองค์นั้น.

บทว่า อุปฺปชฺชิ แปลว่า อุบัติแล้ว เกิดขึ้นแล้ว. บทว่า การุญฺญตา
ได้แก่ ความมีแห่งกรุณา ชื่อว่า การุญฺญตา. คำว่า สพฺพสตฺเต เป็นคำกล่าว

ครอบคลุมถึงสัตว์ไม่เหลือเลย. อธิบายว่าหมู่สัตว์ทั้งสิ้น. คาถาแม้นี้ มีความที่

กล่าวมาด้วยกถามีประมาณเท่านี้.

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:58:09 น.  

 
 
 
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า อันพรหมทูลอาราธนาเพื่อทรงแสดง
ธรรมแล้ว ทรงยังพระมหากรุณาให้เกิดในสัตว์ทั้งหลาย มีพุทธประสงค์จะทรง

แสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาแก่พรหมทั้งหลายว่า

ดูก่อนพรหม ประตูทั้งหลายแห่งอมตนคร เรา
เปิดสำหรับท่านแล้วละ ขอเหล่าสัตว์ที่มีโสตประสาท
จงปล่อยศรัทธาออกมาเถิด แต่ก่อนเราสำคัญว่าจะ
ลำบากเปล่าจึงไม่กล่าวธรรมอันประณีตที่ชำนาญใน
หมู่มนุษย์.
ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมรู้ว่าเราอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปิด
โอกาสเพื่อทรงแสดงธรรมแล้ว จึงประคองอัญชลี อันรุ่งเรืองด้วยทศนัขสโมธาน

ขึ้นเหนือเศียร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทำประทักษิณ อันหมู่พรหม

แวดล้อมเสด็จกลับไป. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นประทานปฏิญาณแก่

พรหมนั้นแล้วทรงพระดำริว่า เราควรจะแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงเกิด

ความคิดว่า อาฬารดาบสเป็นบัณฑิต ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ทรงสำ-

รวจทบทวนก็ทรงทราบว่าอาฬารดาบสนั้น ทำกาละได้ ๗ วันแล้วและทรงทราบ

ว่าอุทกดาบสทำกาละแล้วตอนพลบค่ำ ก็ทรงนึกถึงปัญจวัคคีย์อีกว่า บัดนี้ ภิกษุ

ปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ ก็ทรงทราบว่า อยู่ที่ป่าอิสิปตนะ มิคทายวัน กรุง

พาราณสี พอราตรีสว่างวันเพ็ญอาสาฬหะเช้าตรู่ ก็ทรงถือบาตรจีวร ทรงเดิน

ทาง ๑๘ โยชน์ ระหว่างทางทรงพบอาชีวกนักบวชชื่อว่า อุปกะ ทรงบอกแก่เขา

ว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ตอนเย็นวันนั้นนั่นเอง ก็ได้เสด็จถึงป่าอิสิปตนะ

ณ ที่นั้น ทรงประกาศแก่ปัญจวัคคีย์ว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เสด็จประทับ

บนพุทธอาสน์อันดีที่เขาจัดไว้แล้ว ตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์ ทรงแสดงพระ

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร.

บรรดาภิกษุปัญจวัคคีย์ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ส่งญาณไป
ตามกระแสเทศนา จบพระสูตรก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยพรหม ๑๘

โกฏิ พระศาสดาทรงเข้าจำพรรษาในที่นั้นนั่นเอง วันรุ่งขึ้นทรงทำให้พระ-

วัปปเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยอุบายนี้นี่แล ก็ทรงทำภิกษุเหล่านั้นให้ตั้ง

อยู่ในโสดาปัตติผลหมดทุกรูป รุ่งขึ้นวัน ๕ ค่ำแห่งปักษ์ ทรงประชุมพระเถระ

เหล่านั้นแล้ว ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร. จบเทศนา พระเถระทั้ง ๕ รูป ก็

ตั้งอยู่ในพระอรหัต.

ครั้งนั้น ในที่นั้นนั่นเอง พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของ ยสกุลบุตร
และเห็นเขาละเรือนออกไปแล้ว จึงตรัสเรียกว่า มานี่แน่ะ ยสะ ทรงทำเขาให้

ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลในตอนกลางคืนนั้นนั่นแล รุ่งขึ้นก็ให้เขาตั้งอยู่ในพระอรหัต

แม้ในวันอื่นอีก ก็ทรงให้ชน ๕๔ คนสหายของยสกุลบุตร บวชด้วยเอหิภิกขุ-

อุปสัมปทาแล้วให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต เมื่อเกิดพระอรหันต์ขึ้นในโลก จำนวน

๖๑ รูปอย่างนี้ พระศาสดาทรงออกพรรษาปวารณาแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย

มาแล้วตรัสดังนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเมื่อบำเพ็ญประโยชน์
ตนและประโยชน์ผู้อื่น จงแยกกันไปเที่ยวธรรมจาริก
แก่มนุษย์ทั้งหลายตลอดแผ่นดินผืนนี้.
เมื่อประกาศสัทธรรมของเราแก่โลกเนืองนิตย์
ก็จงอยู่เสียที่ป่าเขาอันสงัด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเมื่อทำหน้าที่พระ-
ธรรมทูต ก็จงปฏิบัติด้วยดีซึ่งคำของเรา สั่งสอนเขา
เพื่อประโยชน์แก่สันติของสัตว์ทั้งหลาย.
พวกเธอไม่มีอาสวะ จงช่วยปิดประตูอบายทั้งสิ้น
เสียทุกประตู จงช่วยเปิดประตูสวรรค์ มรรค และ
ผล.
พวกเธอ จงมีคุณมีกรุณาเป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัย
เพิ่มพูนความรู้และความเชื่อแก่ชาวโลกทุกประการด้วย
การเทศนาและการปฏิบัติ.
เมื่อพวกคฤหัสถ์ ทำการอุปการะด้วยอามิสทาน
เป็นนิตย์ พวกเธอ ก็จงตอบแทนพวกเขาด้วยธรรม-
ทานเถิด.
พวกเธอเมื่อจะแสดงธงชัยของพระฤษีผู้แสวงคุณ
ก็จงยกย่องพระสัทธรรม เมื่อการงานที่พึงทำ ทำเสร็จ
แล้ว ก็จงบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ทรงส่งภิกษุเหล่านั้นไปใน
ทิศทั้งหลาย ส่วนพระองค์เองก็เสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศ ระหว่างทาง ทรง

แนะนำ ภัททวัคคิยกุมาร ๓๐ คน ที่ราวป่าฝ้าย บรรดากุมารทั้ง ๓๐ คนนั้น

ผู้ใดอ่อนกว่าเขาหมด ผู้นั้นก็เป็นพระโสดาบัน ผู้ใดแก่กว่าเขาหมด ผู้นั้น ก็เป็น

พระอนาคามี แต่แม้สักคนหนึ่งเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นปุถุชนไม่มีเลย ทรงยัง

กุมารแม้เหล่านั้นให้บวชด้วยเอหิภิกขุหมดทุกคน แล้วทรงส่งไปในทิศทั้งหลาย

พระองค์เองครั้นเสด็จถึงอุรุเวลาประเทศแล้ว ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ๑,๒๕๐ อย่าง

ทรมานชฏิล ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลากัสสปเป็นต้นพร้อมด้วยบริวารชฏิลพันคน

ทรงให้บวชด้วยเอหิภิกขุแล้ว ให้นั่งประชุมกันที่คยาสีสะประเทศ ให้ตั้งอยู่ใน

พระอรหัต ด้วยเทศนาชื่อว่าอาทิตตปริยายสูตรอันภิกษุอรหันต์พันรูปแวด

ล้อมแล้ว เสด็จไปยังลัฏฐิวนอุทยาน อันเป็นอุปจารแห่งกรุงราชคฤห์ด้วยพุทธ-

ประสงค์จะทรงเปลื้องปฏิญญาแก่พระเจ้าพิมพิสาร ต่อนั้น พนักงานเฝ้าพระ-

ราชอุทยานกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงสดับว่าพระศาสดาเสด็จมาแล้ว

อันพราหมณ์และคฤหบดี ๑๒ นหุตห้อมล้อม เข้าไปเฝ้าพระทศพล ผู้เป็นดวง

อาทิตย์แห่งพระมุนีผู้ประเสริฐ ซึ่งเสด็จอยู่ในช่องแห่งวนะดุจดวงทิพากรเข้าไป

ในช่องหลืบเมฆ ทรงซบพระเศียรซึ่งโชติช่วงด้วยประกายรุ้งแห่งมงกุฏมณีลง

แทบเบื้องพระยุคลบาทของพระทศพล อันดารดาษด้วยโกมลดอกไม้น่าไร้มลทิน

ไม่วิกล ที่มีพื้นฝ่าพระบาทประดับด้วยจักร แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วน

หนึ่งพร้อมด้วยราชบริพาร.

ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นก็คิดปริวิตกไปว่า พระมหา-
สมณะ ทรงประพฤติพรหมจรรย์ในท่านอุรุเวลกัสสป หรือท่านอุรุเวลกัสสป

ประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

ทราบความปริวิตกของพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น จึงได้ตรัสกะพระเถระ

ด้วยพระคาถาว่า

กิเมว ทิสฺวา อุรุเวลวาสิ
ปหาสิ อคฺคึ กิสโกวทาโน
ปุจฉามิ ตํ กสฺสป เอตมตฺถํ
กถํ ปหีนํ ตว อคฺคิหุตฺตํ.
ดูก่อนกัสสป ท่านอยู่อุรุเวลประเทศสั่งสอน
ศิษย์ชฎิลมานาน เห็นเหตุอะไรหรือจึงละการบูชาไฟ
เราถามความนี้กะท่าน ไฉนท่านจึงละการบูชาไฟ.
พระเถระทราบพระพุทธประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวคาถา
นี้ว่า

รูเป จ สทฺเท จ อโถ รเส จ
กามิตฺถิโย จาภิวทนฺติ ยญฺญา
เอตํ มลนฺติ อุปธีสุ ญตฺวา
ตสฺมา น ยิฏฺเฐ น หุเต อรญฺชึ.
ยัญทั้งหลาย สรรเสริญรูป เสียง รส กามและ
สตรีทั้งหลาย. ข้าพระองค์รู้ว่า นั่นเป็นมลทินในอุปธิ
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยินดีในยัญ
ในการบูชาไฟ ดังนี้.
แล้วซบศีรษะลงแทบเบื้องยุคลบาทของพระตถาคตเพื่อประกาศความที่ตนเป็น

สาวก กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นศาสดา

ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก แล้วก็โลดขึ้นสู่อากาศ ๗ ครั้ง ประมาณ

ชั่วหนึ่งลำตาล ชั่วสองลำตาล ฯลฯ ชั่วเจ็ดลำตาล ทำปาฏิหาริย์แล้วก็ลงจาก

อากาศ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.

ครั้งนั้น มหาชนเห็นปาฏิหาริย์ของพระเถระนั้นแล้วคิดกันว่า โอ
ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพมาก แม้ท่านอุรุเวสกัสสปมีทิฏฐิกล้า

สำคัญตนว่า เป็นอรหันต์ ก็ถูกพระตถาคตทรงทำลายข่ายทิฏฐิทรมานแล้ว ก็

พากันกล่าวสรรเสริญคุณของพระทศพล. พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว

ตรัสว่า มิใช่เราทรมานอุรุเวลกัสสปผู้นี้ในชาตินี้เท่านั้นดอกนะ แม้ในอดีต

ชาติ อุรุเวลกัสสปนี้เราก็ทรมานมาแล้วเหมือนกัน. ครั้งนั้นมหาชนลุกขึ้นจากที่

นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ประคองอัญชลีเหนือศีรษะ กราบทูลอย่าง

นี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชาตินี้ ท่านอุรุเวลกัสสปถูกทรมารพวกข้าพระ-

องค์เห็นแล้ว ในอดีตชาติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานอย่างไร พระเจ้าข้า.

แต่นั้น พระศาสดาอันมหาชนนั้นทูลวอนแล้ว จึงตรัสมหานารทกัสสปชาดก

ซึ่งระหว่างภพปกปิดไว้แล้วทรงประกาศอริยสัจ ๔. พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับ
ธรรมกถาของพระศาสดา ทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมกับราชบริพาร

๑๑ นหุต. ๑ นหุตประกาศตนเป็นอุบาสก. พระราชาทรงถึงสรณะแล้วนิมนต์

พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงทำประ-

ทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้าสามครั้ง แล้วถวายบังคมเสด็จกลับ.

วันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้า อันภิกษุพันรูปแวดล้อมแล้วเสด็จเข้า
ไปยังกรุงราชคฤห์เสมือนท้าวสหัสนัยน์เทวราชอันหมู่เทพห้อมล้อมแล้ว เสมือน

ท้าวมหาพรหม อันหมู่พรหมห้อมล้อมแล้ว. พระราชาถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มี

พระพุทธเจ้าเป็นประธาน เสร็จเสวยแล้ว ก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่เว้นพระไตรรัตน์ได้. ข้าพระองค์

จะมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาบ้าง ไม่ใช่ในเวลาบ้าง ชื่อว่าอุทยานลัฏฐิวัน

ก็อยู่ไกลเกินไป. ส่วนอุทยานชื่อว่าเวฬุวันของข้าพระองค์นี้ สำหรับผู้ต้องการ

วิเวก ไม่ไกลนักไม่ใกล้นัก พรั่งพร้อมด้วยทางคมนาคม ไร้ผู้คนเบียดเสียด

สงัดสุข พร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ประดับพื้นศิลาเย็น เป็นภูมิภาคน่ารื่นรมย์

อย่างยิ่งมีต้นไม้อย่างดีมีดอกหอมกรุ่นชั่วนิรันดร์ ประดับประดาด้วยปราสาท

ยอดปราสาทโล้น วิหาร ดุจวิมานเรือนมุงแถบเดียว มณฑปเป็นต้น. ขอพระผู้มี

พระภาคเจ้า โปรดทรงรับอุทยานเวฬุวันนี้ของข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า

แล้วทรงถือน้ำมีสีดังแก้วมณีอันอบด้วยดอกไม้กลิ่นหอมด้วยพระเต้าทอง เสมือน

ถ่านร้อนใหม่ เมื่อทรงบริจาคพระเวฬุวนาราม ก็ทรงหลั่งน้ำลงเหนือพระหัตถ์

ของพระทศพล. ในการรับพระอารามนั้น มหาปฐพีนี้ก็ตกสู่อำนาจปีติว่า ราก

ของพระพุทธศาสนา หยั่งลงแล้ว ก็ไหวราวกะฟ้อนรำ. ธรรมดาเสนาสนะอื่น

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้วทำให้แผ่นดินไหว เว้นพระเวฬุวันมหาวิหาร

เสียไม่มีเลยในชมพูทวีป. ครั้งนั้น พระศาสดาทรงรับพระเวฬุวนารามแล้วได้

ทรงทำอนุโมทนาวิหารทาน

อาวาสทานสฺส ปนานิสํสํ
โก นาม วตฺถํ ปุริโส สมตฺโถ
อญฺญตฺร พุทฺธา ปน โลกนาถา
ยุตฺโต มุขานํ นหุเตน จาปิ.
นอกจากพระพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลก ปาก
คน ๑ นหุต บุรุษไรเล่าผู้สามารถจะกล่าวอานิสงส์ของ
การถวายที่อยู่อาศัยได้.
อายุญฺจ วณฺณญฺจ สุขํ พลญฺจ
วรํ ปสตฺถํ ปฏิภาณเมว
ททาติ นามาติ ปวุจฺจเต โส
โย เทติ สงฺฆสฺส นโร วิหารํ.
นรชนใด ถวายที่อยู่แก่สงฆ์ นรชนนั้น ท่าน
กล่าวว่า ชื่อว่าให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิ-
ภาณอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญแล้ว.
ทาตา นิวาสสฺส นิวารณสฺส
สีตาทิโน ชีวิตุปทฺทวสฺส
ปาเลติ อายุํ ปน ตสฺส ยสฺมา
อายุปฺปโท โหติ ตมาหุ สนฺโต.
เพราะเหตุที่ผู้ถวายที่อยู่อาศัย อันป้องกันอุปัทวะ
แห่งชีวิตมีความเย็นเป็นต้น ย่อมรักษาอายุของเขาไว้
ได้ ฉะนั้น สัตบุรุษทั้งหลายจึงเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้
ให้อายุ.
อจฺจุณฺหสีเต วสโต นิวาเส
พลญฺจ วณฺโณ ปฏิภา น โหติ
ตสฺมา หิ โส เทติ วิหารทาตา
พลญฺจ วณฺณญฺจ ปฏิภาณเมว.
พละ วรรณะ และปฏิภาณย่อมจะไม่มีแก่ผู้อยู่ใน
ที่อยู่อาศัยอันร้อนจัดเย็นจัด เพราะฉะนั้นแล ผู้ถวาย
วิหารที่อยู่นั้นจึงชื่อว่าให้พละ วรรณะ และปฏิภาณ
ทีเดียว.
ทุกฺขสฺส สีตุณฺหสิรึสปา จ
วาตาตปาทิปฺปภวสฺส โลเก
นิวารณาเนกวิธสฺส นิจฺจํ
สุขปฺปโท โหติ วิหารทาตา.
ผู้ถวายวิหาร ย่อมชื่อว่าให้สุขเป็นนิตย์ เพราะ
ป้องกันทุกข์มากอย่างที่เกิดแต่เย็นร้อนสัตว์เลื้อยคลาน
ลม แดดเป็นต้นในโลก.
สีตุณฺหวาตาตปฑํสวุฏฺฐิ
สิรึสปาวาฬมิคาทิทุกฺขํ
ยสฺมา นิวาเรติ วิหารทาตา
ตสฺมา สุขํ วินฺทติ โส ปรตฺถ.
เพราะเหตุที่ผู้ถวายวิหาร ย่อมป้องกันทุกข์มีเย็น
ร้อน ลม แดด เหลือบฝน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ร้าย
เป็นต้นได้ ฉะนั้น ผู้นั้นจึงชื่อว่า ได้สุขในโลกหน้า.
ปสนฺนจิตฺโต ภวโภคเหตุํ
มโนภิรามํ มุทิโต วิหารํ
โย เทติ สีลาทิคุโณทิตานํ
สพฺพํ ทโท นาม ปวุจฺจเต โส.
ผู้ใดมีจิตเลื่อมใส บันเทิงแล้วถวายวิหารอันเหตุ
แห่งภพและโภคะที่น่ารื่นรมย์ยิ่งแห่งใจ แก่ท่านผู้มี
คุณมีศีลเป็นต้นอันเกิดแล้ว ผู้นั้นท่านเรียกชื่อว่าผู้ให้
ทุกอย่าง.
ปหาย มจฺเฉรมลํ สโลภํ
คุณาลยานํ นิลยํ ททาติ
ขิตฺโตว โส ตตฺถ ปเรหิ สคฺเค
ยถาภตํ ชายติ วีตโสโก.
ผู้ใดละมลทินคือตระหนี่ พร้อมทั้งโลภะ ถวาย
วิหาร แก่เหล่าท่านผู้มีคุณเป็นที่อยู่อาศัย ผู้นั้น ก็เป็น
เหมือนถูกผู้อื่นโยนไปในสวรรค์นั้น ย่อมเกิดเป็นผู้
ปราศจากความเศร้าโศกถึงสมบัติที่รวบรวมไว้.
วเร จารุรูเป วิหาเร อุฬาเร
นโร การเย วาสเย ตตฺถ ภิกฺขู
ทเทยฺยนฺนปานญฺจ วตฺถญฺจ เนสํ
ปสนฺเนน จิตฺเตน สกฺกจฺจ นิจฺจํ.
นรชนสร้างวิหารทองประเสริฐเลิศโอฬารนิมนต์
ภิกษุทั้งหลายอยู่ในวิหารนั้น พึงถวายข้าวน้ำและผ้า
แก่ภิกษุเหล่านั้นด้วยจิตที่เลื่อมใส โดยเคารพเป็นนิตย์.
คสฺมา มหาราช ภเวสุ โภเค
มโนรเม ปจฺจนุภุยฺย ภิยฺโย
วิหารทานสฺส ผเลน สนฺตํ
สุขํ อโสกํ อธิคจฺฉ ปจฺฉา.
ถวายพระพร เพราะฉะนั้น มหาบพิตรจะเสวย
โภคะที่น่ารื่นรมย์ใจในภพทั้งหลายยิ่งขึ้นไป ด้วยผล
แห่งวิหารทาน ภายหลังจงทรงประสบธรรมอันสงบ
สุข ไม่เศร้าโศกแล.
พระจอมมุนี ครั้นทรงทำอนุโมทนาวิหารทานแก่พระเจ้าพิมพิสาร
จอมนรชนประการดังนี้อย่างนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว

เมื่อทรงทำนครให้เป็นวนวิมานเป็นต้น ด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระ-

องค์ที่น่าทอดทัศนาอย่างยิ่ง ประหนึ่งเลื่อมพรายที่เกิดแต่รดด้วยน้ำทอง เสด็จ

เข้าสู่พระเวฬุวันมหาวิหาร ด้วยพระพุทธลีลา หาที่เปรียบมิได้ด้วยพระพุทธสิริ

ที่ไม่มีสิ้นสุดแล.

อกีฬเน เวฬุวเน วิหาเร
ตถาคโต ตตฺถ มโนภิราเม
นานาวิหาเรน วิหาสิ ธีโร
เวเนยฺยกานํ สมุทิกฺขมาโน.
พระตถาคตจอมปราชญ์ ประทับอยู่ ณ พระเวฬุ-
วันวิหาร ซึ่งมิใช่เป็นที่เล่น แต่น่ารื่นรมย์ยิ่งแห่งใจนั้น
ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่ต่าง ๆ ทรงคอยตรวจดูเวไนย-
สัตว์ทั้งหลาย.
พระพุทธบิดาเชิญเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่พระเวฬุวันวิหารนั้น พระเจ้า
สุทโธทนะมหาราชทรงสดับว่า โอรสเรา ทำทุกกรกิริยา ๖ ปี บรรลุอภิสัมโพธิ-

ญาณอย่างเยี่ยม ประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จถึงกรุงราชคฤห์

ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงเรียกมหาอมาตย์ผู้หนึ่งมาตรัสสั่งว่า

พนายมานี่แน่ะ เจ้าพร้อมบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร จงไปกรุงราชคฤห์ พูดตาม

คำของเราว่า พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชบิดาท่านมีประสงค์จะพบท่าน แล้วจง

พาโอรสของเรามา.

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:59:03 น.  

 
 
 
มหาอมาตย์ผู้นั้น รับพระราชโองการแล้ว มีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร
ก็เดินทาง ๖๐ โยชน์ เข้าไปยังวิหาร ในเวลาทรงแสดงธรรม มหาอมาตย์ผู้นั้น

คิดว่าข่าวที่พระราชาทรงส่งมาพักไว้ก่อน ก็ยืนท้ายบริษัท ฟังพระธรรมเทศนา

ของพระศาสดา ทั้งที่ยืนอยู่ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมกับบุรุษพันหนึ่ง ทูลขอ

บรรพชา. พระศาสดา ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า เอถ ภิกฺขโว พวกเธอ

จงเป็นภิกษุมาเถิด ชนเหล่านั้นทั้งหมดก็ทรงบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ในทันใด

ถึงพร้อมด้วยกิริยาที่เหมาะแก่สมณะ ประหนึ่งพระเถระ ๑๐๐ พรรษา แวดล้อม

พระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระราชาทรงพระดำริว่า คนที่ไปก็ยังไม่มา ข่าวก็ไม่ได้ยิน ทรงส่ง
อมาตย์ไป ๙ ครั้ง โดยทำนองนี้นี่แล บรรดาบุรุษ ๙,๐๐๐ คนนั้น ไม่ได้

กราบทูลพระราชาแม้แต่คนเดียว ทั้งไม่ส่งข่าวคราวด้วย บรรลุพระอรหัตแล้ว

พากันบวชหมด.

ครั้งนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า ใครหนอจักทำตามคำของเรา ทรง
สำรวจดูกำลังส่วนของราชสำนักทั้งหมดก็ได้ทรงพบอุทายีอมาตย์ เล่ากันว่า

อุทายีนั้นเป็นอมาตย์สำเร็จราชการทั้งหมดของพระราชา เป็นคนภายในมีความ

สนิทสนมยิ่งนัก เกิดในวันเดียวกับพระโพธิสัตว์เป็นพระสหายเล่นฝุ่นด้วยกัน

มา. ครั้งนั้นพระราชาทรงเรียกอุทายีอมาตย์มาแล้วตรัสว่า อุทายีลูกเอย พ่อ

ประสงค์จะพบโอรส จึงส่งบุรุษไปถึง ๙,๐๐๐ คน มากันแล้วจะบอกเพียงข่าว

แม้แต่คนเดียวก็ไม่มี อันตรายแห่งชีวิตของพ่อ รู้ได้ยาก พ่ออยากจะพบโอรส

แต่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกจักพาโอรสมาแสดงแก่พ่อได้ไหมลูก.

อุทายีอมาตย์กราบทูลว่า ได้พระพุทธเจ้าข้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าได้
บวช.

พระราชารับสั่งว่า ลูกจะบวชหรือไม่บวชก็ตามที แต่ลูกต้องนำโอรส
มาแสดงแก่พ่อ.

อุทายีอมาตย์ รับพระราชดำรัสใส่เกล้าแล้ว ก็นำข่าวของพระราชา
ไปถึงกรุงราชคฤห์. ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ก็บรรลุพระอรหัต

พร้อมด้วยบุรุษพันหนึ่ง ตั้งอยู่ในเอหิภิกขุภาวะแล้วเพ็ญเดือนผัคคุนี [เดือน ๔]

ก็ดำริฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ถึงฤดูวสันต์เข้านี่แล้ว ราวป่าก็มีดอกไม้บาน

สะพรั่ง หนทางก็เหมาะที่จะเดิน เป็นกาลสมควรที่พระทศพลจะทรงทำการ

สงเคราะห์พระประยูรญติ ครั้นดำริแล้วก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนา

คุณการเสด็จพุทธดำเนิน เพื่อเข้าไปยังพระนครแห่งพระสกุลด้วยคาถาประมาณ

๖๐ คาถา

๑. องฺคาริโน ทานิ ทุมา ภทนฺเต
ผเลสิโน ฉทนํ วิปฺปหาย
เต อจฺจิมนฺโตว ปภาสยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ต้นไม้ทั้งหลาย สลัดใบ
มีแต่ลำต้น เตรียมจะติดช่อติดผล ต้นไม้เหล่านั้น
ส่องพระกายสว่าง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒. ทุมา วิจิตฺตา สุวิราชมานา
รตฺตงฺกุเรเหว จ ปลฺลเวหิ
รตนุชฺชลมณฺฑปสนฺนิภาสา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย งดงาม รุ่งเรืองด้วยหน่อสีแดง
และใบอ่อน ประหนึ่งมณฑปที่รุ่งเรืองด้วยรัตนะ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๓. สุปุปฺผิตคฺคา กุสุเมหิ ภูสิตา
มนุญฺญภูตา สุจิสาธุคนฺธา
รุกฺขา วิโรจนฺ ติ อุโภสุ ปสฺเสสุ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย บนยอดมีดอกบานงาม ประดับ
ด้วยดอกไม้ทั้งหลาย น่าชื่นใจ ดอกสะอาด สวย และ
มีกลิ่นหอม อร่ามไปทั้งสองข้างทาง ข้าแต่พระมหา-
วีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระ-
เจ้าข้า
๔. ผเลหิเนเกหิ สมิทฺธิภูตา
วิจิตฺตรุกฺขา อุภโตวกาเส
ขุทฺทํ ปิปาสมฺปิ วิโนทยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ที่งดงามทั้งหลาย ในโอกาสสองข้างทาง
ดกดื่นด้วยผลเป็นอันมาก บรรเทาความยากไร้ ทั้ง
ความหิวระหายได้ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๕. วิจิตฺตมาลา สุจิปลฺลเวหิ
สุสชฺชิตา โมรกลาปสนฺนิภา
รุกฺขา วิโรจนฺติ อุโภสุ ปสฺเสสุ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย มีดอกงดงาม อันใบอ่อนที่สะอาด
ตกแต่งแล้ว เสมือนต้นหางนกยูง อร่ามไปทั้งสอง
ข้างทาง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๖. วิโรจมานา ผลปลฺลเวหิ
สุสชฺชิตา วาสนิวาสภูตา
โตเสฺนฺติ อทฺธานกิลนฺตสตฺเต
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย รุ่งโรจน์ อันผลและใบอ่อน
ตกแต่งแล้ว ประดับประดาด้วยน้ำหอม ย่อมปลอบ
ประโลมใจเหล่าสัตว์ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๗. สุผุลฺลิตคฺคา วนคุมฺพนิสฺสิตา
ลตา อเนกา สุวิราชมานา
โตเสนฺติ สตฺเต มณิมณฺฑปาว
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
เถาวัลย์เป็นอันมาก อาศัยพุ่มไม้ในป่า บนยอด
ออกดอกบานสวย สง่างาม ย่อมปลอบประโลมใจ
เหล่าสัตว์ เหมือนมณฑปมณี ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๘. ลตา อเนกา ทุมนิสฺสิตาว
ปิเยหิ สทฺธึ สหิตา วธูว
ปโลภยนฺติ หิ สุคนฺธคนฺธา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
เถาวัลย์เป็นอันมาก อาศัยตัดต้นไม้ ประหนึ่งหญิง
สาวไปกับชายที่รัก มีกลิ่นหอมอบอวลประโลมใจ
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๙. วิจิตฺตนีลาทิมนุญฺญวณฺณา
ทิชา สมนฺตา อภิกูชมานา
โตเสนฺติ มญฺชุสฺสรตา รตีหิ
สโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนก มีสีสรรสวยงามน่าชื่นใจ มีสีเขียวเป็นต้น
ส่งเสียงร้องไพเราะโดยรอบ ด้วยความยินดี ปลอบ
ประโลม ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๐. มิคา จ นานา สุวิราชมานา
อุตฺตุงฺคกณฺณา จ มนุญฺญเนตฺตา
ทิสา สมนฺตา มภิธาวยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงเนื้อนานาชนิด เกลื่อนกราด ยกหูชูชัน เบิ่งตา
น่าชื่นใจ พากันวิ่งไปรอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็น
สมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๑. มนุญฺญภูตา จ มหี สมนฺตา
วิราชมานา หริตา ว สทฺทลา
สุปุปฺผิรุกฺขา โมฬินิวลงฺกตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
แผ่นปฐพีมีหญ้าแพรกขึ้นเขียวขจีส่องประกาย
โดยรอบน่าชื่นใจ ต้นไม้ดอกบานงาม ก็ประดับดุจ
โมลี ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระ-
อังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า
๑๒. สุสชฺชิตา มุตฺตมยาว วาลุกา
สุสณฺฐิตา จารุสุผสฺสทาตา
วิโรจนยนฺเตว ทิสา สมนฺตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ทรายทั้งหลาย ดูดังมุกดาอันธรรมดาจัดแต่งไว้
ทรวดทรงงามให้สัมผัสดีดังทอง ส่องแสงสกาว
รอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๓. สมํ สุผสฺสํ สุจิภูมิภาคํ
มนุญฺญปุปฺโผทยคนฺธวาสิตํ
วิราชมานํ สุจิมญฺจ โสภํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
พื้นแผ่นดินสะอาด ราบเรียบ สัมผัสดี กลิ่นเกิด
จากดอกไม้หอม ตลบอบอวลน่าชื่นใจ ส่องประกาย
สะอาดงาม ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๔. สุสชฺชิตํ นนฺทนกานนํว
วิจิตฺตนานา ทุมสณฺฑมณฺฑิตํ
สุคนฺธภูตํ ปวนํ สุรมฺมํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ป่าใหญ่อันธรรมดาตกแต่งดีแล้ว ประดับด้วย
ต้นไม้นานาชนิดเรียงรายงามตระการ มีกลิ่นหอม น่า
รื่นรมย์อย่างดี ดั่งสวนนันทวัน ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๕. สรา วิจิตฺตา วิวิธา มโนรมา
สุสชฺชิตา ปงฺกชปุณฺฑรีกา
ปสนฺนสีโตทกจารุปุณฺณา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
สระทั้งหลาย หลากชนิดวิจิตรน่ารื่นรมย์ใจ อัน
ธรรมดาตกแต่งไว้ มีบัวบุณฑริก เต็มเปี่ยมด้วยน้ำเย็น
ใสดั่งทอง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๖. สุผุลฺลนานาวิธปงฺกเชหิ
วิราชมานา สุจิคนฺธคนฺธา
ปโมทยนฺเตว นรามรานํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ
สระทั้งหลาย อร่ามเหลืองด้วยบัวนานาชนิดดอก
บานงาม กลิ่นกรุ่นสะอาด ทำให้เหล่ามนุษย์ชาติแล
เทพดาบันเทิงใจ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๗. สุผุลฺลปงฺเกรุหสนฺนิสินฺนา
ทิชา สมนฺตา มภินาทยนฺตา
โมทนฺติ ภริยาหิ สมงฺคิโน เต
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนักจับกอบัวที่ดอกบานร้องเจี๊ยบจ๊าบไปรอบ ๆ
นกเหล่านั้นบันเทิงพร้อมกับตัวเมีย ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๘. สุผุลฺลปุปฺเผหิ รชํ คเหตฺวา
อลี วิธาวนฺติ วิกูชมานา
มธุมฺหิ คนฺโธ วิทิสํ ปวายติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงผึ้งเก็บละอองจากดอกไม้บานส่งเสียงร้องบิน
เวียนว่อน กลิ่นน้ำหวาน ก็กำจายไปทั่วทิศ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๑๙. อภินฺนนาทา มทวารณา จ
คิรีหิ ธาวนฺติ จ วาริธารา
สวนฺติ นชฺโช สุวิราชิตาว
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
โขลงช้างเมามัน ส่งเสียงแปร๋แปร๋นแล่นออก
จากซอกเขา และกระแสน้ำก็พราวพรายไหลจากลา
แม่น้ำ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๐. คิรี สมนฺตาว ปทิสฺสมานา
มยูรคีวา อิว นีลวณฺณา
ทิสา รชินฺทาว วิโรจยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ขุนเขาทั้งหลาย ปรากฏเห็นอยู่รอบๆ มีสีเขียว
ขาบ เหมือนคอนกยูง รุ่งทะมึน เหมือนเมฆ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๒๑. มยูรสงฺฆา คิริมุทฺธนสฺมึ
นจฺจนฺติ นารีหิ สมงฺคิภูตา
กูชนฺติ นานามธุรสฺสเรหิ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงยูงผู้พร้อมด้วยตัวเมีย พากันฟ้อนรำเหนือยอด
คิรี กู่ก้องด้วยเสียงอันไพเราะต่างๆ ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๒. สุวาทิกา เนกทิชา มนุญฺญา
วิจิตฺตปตฺเตหิ วิราชมานา
คิริมฺหิ ฐตฺวา อภินาทยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนกเป็นอันมาก มีเสียงเพราะ น่าชื่นใจ
เลื่อมพรายด้วยขนปีกอันงดงาม ยืนร้องก้องกังวาน
เหนือคิรี ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๓. สุผลฺลปุปฺผา กรมาภิกิณฺณา
สุคนฺธนานาทลลงฺกตา จ
คีรี วิโรจนฺติ ทิสา สมนฺตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ภูเขาทั้งหลาย มีดอกไม้บานงาม เกลื่อนกลาด
ด้วยต้นเล็บเหยี่ยว ประดับด้วยกลีบดอกไม้นานาชนิด
มีกลิ่นหอม งามระยับไปรอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๔. ชลาสยา เนกสุคนฺธคนฺธา
สุรินฺทอุยฺยานชลาสยาว
สวนฺติ นชฺโช สุวิราชมานา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ชลาศัยลำน้ำมีกลิ่นหอมกรุ่นเป็นอันมาก พร่าง
พรายไหลมาแต่แม่น้ำ เหมือนชลาลัยในอุทยานของ
ท้าวสักกะจอมเทพ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๕. วิจิตฺตติตฺเถหิ อลงฺกตา จ
มนุญฺญนานามิคปกฺขิปาสา
นชฺโช วิโรจนฺติ สุสนฺทมานา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
แม่น้ำทั้งหลาย ประดับด้วยท่าน้ำอันงาม เป็น
ที่ฝูงเนื้อและนกนานาชนิดลงดื่มกินน่าชื่นใจ ไหลอยู่
พร่างพราย ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๖. อุโภสุ ปสฺเสสุ ชลาสเยสุ
สุปุปฺผิตา จารุสุคนฺธรุกฺขา
วิภูสิตคฺคา สุรสุนฺทรี จ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
กลุ่มต้นไม้งาม กลิ่นหอม ออกดอกบาน ณ
ชลาลัยทั้งสองฝั่ง ยอดมีดอกประดับ สวยงามสง่า
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๒๗. สุคนฺธนานาทุมชาลกิณฺณํ
วนํ วิจิตฺตํ สุรนนฺทนํว
มโนภิรามํ สตตํ คตีนํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ป่าเกลื่อนกลาดด้วยแนวไม้นานาชนิด มีกลิ่น
หอม งดงามดังสวนนันทนวันของเทวดา เป็นที่รื่น-
รมย์ใจยิ่งของผู้ที่ไปเนื่อง ๆ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็น
สมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๘. สมฺปนฺนนานาสุจิอนฺนปานา
สพฺยญฺชนา สาธุรเสน ยุตฺตา
ปเถสุ คาเม สุลภา มนุญฺญา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:20:59:55 น.  

 
 
 
มหาอมาตย์ผู้นั้น รับพระราชโองการแล้ว มีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร
ก็เดินทาง ๖๐ โยชน์ เข้าไปยังวิหาร ในเวลาทรงแสดงธรรม มหาอมาตย์ผู้นั้น

คิดว่าข่าวที่พระราชาทรงส่งมาพักไว้ก่อน ก็ยืนท้ายบริษัท ฟังพระธรรมเทศนา

ของพระศาสดา ทั้งที่ยืนอยู่ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมกับบุรุษพันหนึ่ง ทูลขอ

บรรพชา. พระศาสดา ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า เอถ ภิกฺขโว พวกเธอ

จงเป็นภิกษุมาเถิด ชนเหล่านั้นทั้งหมดก็ทรงบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ในทันใด

ถึงพร้อมด้วยกิริยาที่เหมาะแก่สมณะ ประหนึ่งพระเถระ ๑๐๐ พรรษา แวดล้อม

พระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระราชาทรงพระดำริว่า คนที่ไปก็ยังไม่มา ข่าวก็ไม่ได้ยิน ทรงส่ง
อมาตย์ไป ๙ ครั้ง โดยทำนองนี้นี่แล บรรดาบุรุษ ๙,๐๐๐ คนนั้น ไม่ได้

กราบทูลพระราชาแม้แต่คนเดียว ทั้งไม่ส่งข่าวคราวด้วย บรรลุพระอรหัตแล้ว

พากันบวชหมด.

ครั้งนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า ใครหนอจักทำตามคำของเรา ทรง
สำรวจดูกำลังส่วนของราชสำนักทั้งหมดก็ได้ทรงพบอุทายีอมาตย์ เล่ากันว่า

อุทายีนั้นเป็นอมาตย์สำเร็จราชการทั้งหมดของพระราชา เป็นคนภายในมีความ

สนิทสนมยิ่งนัก เกิดในวันเดียวกับพระโพธิสัตว์เป็นพระสหายเล่นฝุ่นด้วยกัน

มา. ครั้งนั้นพระราชาทรงเรียกอุทายีอมาตย์มาแล้วตรัสว่า อุทายีลูกเอย พ่อ

ประสงค์จะพบโอรส จึงส่งบุรุษไปถึง ๙,๐๐๐ คน มากันแล้วจะบอกเพียงข่าว

แม้แต่คนเดียวก็ไม่มี อันตรายแห่งชีวิตของพ่อ รู้ได้ยาก พ่ออยากจะพบโอรส

แต่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกจักพาโอรสมาแสดงแก่พ่อได้ไหมลูก.

อุทายีอมาตย์กราบทูลว่า ได้พระพุทธเจ้าข้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าได้
บวช.

พระราชารับสั่งว่า ลูกจะบวชหรือไม่บวชก็ตามที แต่ลูกต้องนำโอรส
มาแสดงแก่พ่อ.

อุทายีอมาตย์ รับพระราชดำรัสใส่เกล้าแล้ว ก็นำข่าวของพระราชา
ไปถึงกรุงราชคฤห์. ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ก็บรรลุพระอรหัต

พร้อมด้วยบุรุษพันหนึ่ง ตั้งอยู่ในเอหิภิกขุภาวะแล้วเพ็ญเดือนผัคคุนี [เดือน ๔]

ก็ดำริฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ถึงฤดูวสันต์เข้านี่แล้ว ราวป่าก็มีดอกไม้บาน

สะพรั่ง หนทางก็เหมาะที่จะเดิน เป็นกาลสมควรที่พระทศพลจะทรงทำการ

สงเคราะห์พระประยูรญติ ครั้นดำริแล้วก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนา

คุณการเสด็จพุทธดำเนิน เพื่อเข้าไปยังพระนครแห่งพระสกุลด้วยคาถาประมาณ

๖๐ คาถา

๑. องฺคาริโน ทานิ ทุมา ภทนฺเต
ผเลสิโน ฉทนํ วิปฺปหาย
เต อจฺจิมนฺโตว ปภาสยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ต้นไม้ทั้งหลาย สลัดใบ
มีแต่ลำต้น เตรียมจะติดช่อติดผล ต้นไม้เหล่านั้น
ส่องพระกายสว่าง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒. ทุมา วิจิตฺตา สุวิราชมานา
รตฺตงฺกุเรเหว จ ปลฺลเวหิ
รตนุชฺชลมณฺฑปสนฺนิภาสา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย งดงาม รุ่งเรืองด้วยหน่อสีแดง
และใบอ่อน ประหนึ่งมณฑปที่รุ่งเรืองด้วยรัตนะ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๓. สุปุปฺผิตคฺคา กุสุเมหิ ภูสิตา
มนุญฺญภูตา สุจิสาธุคนฺธา
รุกฺขา วิโรจนฺ ติ อุโภสุ ปสฺเสสุ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย บนยอดมีดอกบานงาม ประดับ
ด้วยดอกไม้ทั้งหลาย น่าชื่นใจ ดอกสะอาด สวย และ
มีกลิ่นหอม อร่ามไปทั้งสองข้างทาง ข้าแต่พระมหา-
วีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระ-
เจ้าข้า
๔. ผเลหิเนเกหิ สมิทฺธิภูตา
วิจิตฺตรุกฺขา อุภโตวกาเส
ขุทฺทํ ปิปาสมฺปิ วิโนทยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ที่งดงามทั้งหลาย ในโอกาสสองข้างทาง
ดกดื่นด้วยผลเป็นอันมาก บรรเทาความยากไร้ ทั้ง
ความหิวระหายได้ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๕. วิจิตฺตมาลา สุจิปลฺลเวหิ
สุสชฺชิตา โมรกลาปสนฺนิภา
รุกฺขา วิโรจนฺติ อุโภสุ ปสฺเสสุ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย มีดอกงดงาม อันใบอ่อนที่สะอาด
ตกแต่งแล้ว เสมือนต้นหางนกยูง อร่ามไปทั้งสอง
ข้างทาง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๖. วิโรจมานา ผลปลฺลเวหิ
สุสชฺชิตา วาสนิวาสภูตา
โตเสฺนฺติ อทฺธานกิลนฺตสตฺเต
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย รุ่งโรจน์ อันผลและใบอ่อน
ตกแต่งแล้ว ประดับประดาด้วยน้ำหอม ย่อมปลอบ
ประโลมใจเหล่าสัตว์ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๗. สุผุลฺลิตคฺคา วนคุมฺพนิสฺสิตา
ลตา อเนกา สุวิราชมานา
โตเสนฺติ สตฺเต มณิมณฺฑปาว
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
เถาวัลย์เป็นอันมาก อาศัยพุ่มไม้ในป่า บนยอด
ออกดอกบานสวย สง่างาม ย่อมปลอบประโลมใจ
เหล่าสัตว์ เหมือนมณฑปมณี ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๘. ลตา อเนกา ทุมนิสฺสิตาว
ปิเยหิ สทฺธึ สหิตา วธูว
ปโลภยนฺติ หิ สุคนฺธคนฺธา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
เถาวัลย์เป็นอันมาก อาศัยตัดต้นไม้ ประหนึ่งหญิง
สาวไปกับชายที่รัก มีกลิ่นหอมอบอวลประโลมใจ
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๙. วิจิตฺตนีลาทิมนุญฺญวณฺณา
ทิชา สมนฺตา อภิกูชมานา
โตเสนฺติ มญฺชุสฺสรตา รตีหิ
สโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนก มีสีสรรสวยงามน่าชื่นใจ มีสีเขียวเป็นต้น
ส่งเสียงร้องไพเราะโดยรอบ ด้วยความยินดี ปลอบ
ประโลม ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๐. มิคา จ นานา สุวิราชมานา
อุตฺตุงฺคกณฺณา จ มนุญฺญเนตฺตา
ทิสา สมนฺตา มภิธาวยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงเนื้อนานาชนิด เกลื่อนกราด ยกหูชูชัน เบิ่งตา
น่าชื่นใจ พากันวิ่งไปรอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็น
สมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๑. มนุญฺญภูตา จ มหี สมนฺตา
วิราชมานา หริตา ว สทฺทลา
สุปุปฺผิรุกฺขา โมฬินิวลงฺกตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
แผ่นปฐพีมีหญ้าแพรกขึ้นเขียวขจีส่องประกาย
โดยรอบน่าชื่นใจ ต้นไม้ดอกบานงาม ก็ประดับดุจ
โมลี ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระ-
อังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า
๑๒. สุสชฺชิตา มุตฺตมยาว วาลุกา
สุสณฺฐิตา จารุสุผสฺสทาตา
วิโรจนยนฺเตว ทิสา สมนฺตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ทรายทั้งหลาย ดูดังมุกดาอันธรรมดาจัดแต่งไว้
ทรวดทรงงามให้สัมผัสดีดังทอง ส่องแสงสกาว
รอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๓. สมํ สุผสฺสํ สุจิภูมิภาคํ
มนุญฺญปุปฺโผทยคนฺธวาสิตํ
วิราชมานํ สุจิมญฺจ โสภํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
พื้นแผ่นดินสะอาด ราบเรียบ สัมผัสดี กลิ่นเกิด
จากดอกไม้หอม ตลบอบอวลน่าชื่นใจ ส่องประกาย
สะอาดงาม ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๔. สุสชฺชิตํ นนฺทนกานนํว
วิจิตฺตนานา ทุมสณฺฑมณฺฑิตํ
สุคนฺธภูตํ ปวนํ สุรมฺมํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ป่าใหญ่อันธรรมดาตกแต่งดีแล้ว ประดับด้วย
ต้นไม้นานาชนิดเรียงรายงามตระการ มีกลิ่นหอม น่า
รื่นรมย์อย่างดี ดั่งสวนนันทวัน ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๕. สรา วิจิตฺตา วิวิธา มโนรมา
สุสชฺชิตา ปงฺกชปุณฺฑรีกา
ปสนฺนสีโตทกจารุปุณฺณา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
สระทั้งหลาย หลากชนิดวิจิตรน่ารื่นรมย์ใจ อัน
ธรรมดาตกแต่งไว้ มีบัวบุณฑริก เต็มเปี่ยมด้วยน้ำเย็น
ใสดั่งทอง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๖. สุผุลฺลนานาวิธปงฺกเชหิ
วิราชมานา สุจิคนฺธคนฺธา
ปโมทยนฺเตว นรามรานํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ
สระทั้งหลาย อร่ามเหลืองด้วยบัวนานาชนิดดอก
บานงาม กลิ่นกรุ่นสะอาด ทำให้เหล่ามนุษย์ชาติแล
เทพดาบันเทิงใจ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๗. สุผุลฺลปงฺเกรุหสนฺนิสินฺนา
ทิชา สมนฺตา มภินาทยนฺตา
โมทนฺติ ภริยาหิ สมงฺคิโน เต
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนักจับกอบัวที่ดอกบานร้องเจี๊ยบจ๊าบไปรอบ ๆ
นกเหล่านั้นบันเทิงพร้อมกับตัวเมีย ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๘. สุผุลฺลปุปฺเผหิ รชํ คเหตฺวา
อลี วิธาวนฺติ วิกูชมานา
มธุมฺหิ คนฺโธ วิทิสํ ปวายติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงผึ้งเก็บละอองจากดอกไม้บานส่งเสียงร้องบิน
เวียนว่อน กลิ่นน้ำหวาน ก็กำจายไปทั่วทิศ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๑๙. อภินฺนนาทา มทวารณา จ
คิรีหิ ธาวนฺติ จ วาริธารา
สวนฺติ นชฺโช สุวิราชิตาว
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
โขลงช้างเมามัน ส่งเสียงแปร๋แปร๋นแล่นออก
จากซอกเขา และกระแสน้ำก็พราวพรายไหลจากลา
แม่น้ำ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๐. คิรี สมนฺตาว ปทิสฺสมานา
มยูรคีวา อิว นีลวณฺณา
ทิสา รชินฺทาว วิโรจยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ขุนเขาทั้งหลาย ปรากฏเห็นอยู่รอบๆ มีสีเขียว
ขาบ เหมือนคอนกยูง รุ่งทะมึน เหมือนเมฆ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๒๑. มยูรสงฺฆา คิริมุทฺธนสฺมึ
นจฺจนฺติ นารีหิ สมงฺคิภูตา
กูชนฺติ นานามธุรสฺสเรหิ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงยูงผู้พร้อมด้วยตัวเมีย พากันฟ้อนรำเหนือยอด
คิรี กู่ก้องด้วยเสียงอันไพเราะต่างๆ ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๒. สุวาทิกา เนกทิชา มนุญฺญา
วิจิตฺตปตฺเตหิ วิราชมานา
คิริมฺหิ ฐตฺวา อภินาทยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนกเป็นอันมาก มีเสียงเพราะ น่าชื่นใจ
เลื่อมพรายด้วยขนปีกอันงดงาม ยืนร้องก้องกังวาน
เหนือคิรี ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๓. สุผลฺลปุปฺผา กรมาภิกิณฺณา
สุคนฺธนานาทลลงฺกตา จ
คีรี วิโรจนฺติ ทิสา สมนฺตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ภูเขาทั้งหลาย มีดอกไม้บานงาม เกลื่อนกลาด
ด้วยต้นเล็บเหยี่ยว ประดับด้วยกลีบดอกไม้นานาชนิด
มีกลิ่นหอม งามระยับไปรอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๔. ชลาสยา เนกสุคนฺธคนฺธา
สุรินฺทอุยฺยานชลาสยาว
สวนฺติ นชฺโช สุวิราชมานา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ชลาศัยลำน้ำมีกลิ่นหอมกรุ่นเป็นอันมาก พร่าง
พรายไหลมาแต่แม่น้ำ เหมือนชลาลัยในอุทยานของ
ท้าวสักกะจอมเทพ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๕. วิจิตฺตติตฺเถหิ อลงฺกตา จ
มนุญฺญนานามิคปกฺขิปาสา
นชฺโช วิโรจนฺติ สุสนฺทมานา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
แม่น้ำทั้งหลาย ประดับด้วยท่าน้ำอันงาม เป็น
ที่ฝูงเนื้อและนกนานาชนิดลงดื่มกินน่าชื่นใจ ไหลอยู่
พร่างพราย ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๖. อุโภสุ ปสฺเสสุ ชลาสเยสุ
สุปุปฺผิตา จารุสุคนฺธรุกฺขา
วิภูสิตคฺคา สุรสุนฺทรี จ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
กลุ่มต้นไม้งาม กลิ่นหอม ออกดอกบาน ณ
ชลาลัยทั้งสองฝั่ง ยอดมีดอกประดับ สวยงามสง่า
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๒๗. สุคนฺธนานาทุมชาลกิณฺณํ
วนํ วิจิตฺตํ สุรนนฺทนํว
มโนภิรามํ สตตํ คตีนํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ป่าเกลื่อนกลาดด้วยแนวไม้นานาชนิด มีกลิ่น
หอม งดงามดังสวนนันทนวันของเทวดา เป็นที่รื่น-
รมย์ใจยิ่งของผู้ที่ไปเนื่อง ๆ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็น
สมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๘. สมฺปนฺนนานาสุจิอนฺนปานา
สพฺยญฺชนา สาธุรเสน ยุตฺตา
ปเถสุ คาเม สุลภา มนุญฺญา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:21:00:36 น.  

 
 
 
มหาอมาตย์ผู้นั้น รับพระราชโองการแล้ว มีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร
ก็เดินทาง ๖๐ โยชน์ เข้าไปยังวิหาร ในเวลาทรงแสดงธรรม มหาอมาตย์ผู้นั้น

คิดว่าข่าวที่พระราชาทรงส่งมาพักไว้ก่อน ก็ยืนท้ายบริษัท ฟังพระธรรมเทศนา

ของพระศาสดา ทั้งที่ยืนอยู่ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมกับบุรุษพันหนึ่ง ทูลขอ

บรรพชา. พระศาสดา ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า เอถ ภิกฺขโว พวกเธอ

จงเป็นภิกษุมาเถิด ชนเหล่านั้นทั้งหมดก็ทรงบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ในทันใด

ถึงพร้อมด้วยกิริยาที่เหมาะแก่สมณะ ประหนึ่งพระเถระ ๑๐๐ พรรษา แวดล้อม

พระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระราชาทรงพระดำริว่า คนที่ไปก็ยังไม่มา ข่าวก็ไม่ได้ยิน ทรงส่ง
อมาตย์ไป ๙ ครั้ง โดยทำนองนี้นี่แล บรรดาบุรุษ ๙,๐๐๐ คนนั้น ไม่ได้

กราบทูลพระราชาแม้แต่คนเดียว ทั้งไม่ส่งข่าวคราวด้วย บรรลุพระอรหัตแล้ว

พากันบวชหมด.

ครั้งนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า ใครหนอจักทำตามคำของเรา ทรง
สำรวจดูกำลังส่วนของราชสำนักทั้งหมดก็ได้ทรงพบอุทายีอมาตย์ เล่ากันว่า

อุทายีนั้นเป็นอมาตย์สำเร็จราชการทั้งหมดของพระราชา เป็นคนภายในมีความ

สนิทสนมยิ่งนัก เกิดในวันเดียวกับพระโพธิสัตว์เป็นพระสหายเล่นฝุ่นด้วยกัน

มา. ครั้งนั้นพระราชาทรงเรียกอุทายีอมาตย์มาแล้วตรัสว่า อุทายีลูกเอย พ่อ

ประสงค์จะพบโอรส จึงส่งบุรุษไปถึง ๙,๐๐๐ คน มากันแล้วจะบอกเพียงข่าว

แม้แต่คนเดียวก็ไม่มี อันตรายแห่งชีวิตของพ่อ รู้ได้ยาก พ่ออยากจะพบโอรส

แต่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกจักพาโอรสมาแสดงแก่พ่อได้ไหมลูก.

อุทายีอมาตย์กราบทูลว่า ได้พระพุทธเจ้าข้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าได้
บวช.

พระราชารับสั่งว่า ลูกจะบวชหรือไม่บวชก็ตามที แต่ลูกต้องนำโอรส
มาแสดงแก่พ่อ.

อุทายีอมาตย์ รับพระราชดำรัสใส่เกล้าแล้ว ก็นำข่าวของพระราชา
ไปถึงกรุงราชคฤห์. ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ก็บรรลุพระอรหัต

พร้อมด้วยบุรุษพันหนึ่ง ตั้งอยู่ในเอหิภิกขุภาวะแล้วเพ็ญเดือนผัคคุนี [เดือน ๔]

ก็ดำริฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ถึงฤดูวสันต์เข้านี่แล้ว ราวป่าก็มีดอกไม้บาน

สะพรั่ง หนทางก็เหมาะที่จะเดิน เป็นกาลสมควรที่พระทศพลจะทรงทำการ

สงเคราะห์พระประยูรญติ ครั้นดำริแล้วก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนา

คุณการเสด็จพุทธดำเนิน เพื่อเข้าไปยังพระนครแห่งพระสกุลด้วยคาถาประมาณ

๖๐ คาถา

๑. องฺคาริโน ทานิ ทุมา ภทนฺเต
ผเลสิโน ฉทนํ วิปฺปหาย
เต อจฺจิมนฺโตว ปภาสยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ต้นไม้ทั้งหลาย สลัดใบ
มีแต่ลำต้น เตรียมจะติดช่อติดผล ต้นไม้เหล่านั้น
ส่องพระกายสว่าง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒. ทุมา วิจิตฺตา สุวิราชมานา
รตฺตงฺกุเรเหว จ ปลฺลเวหิ
รตนุชฺชลมณฺฑปสนฺนิภาสา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย งดงาม รุ่งเรืองด้วยหน่อสีแดง
และใบอ่อน ประหนึ่งมณฑปที่รุ่งเรืองด้วยรัตนะ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๓. สุปุปฺผิตคฺคา กุสุเมหิ ภูสิตา
มนุญฺญภูตา สุจิสาธุคนฺธา
รุกฺขา วิโรจนฺ ติ อุโภสุ ปสฺเสสุ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย บนยอดมีดอกบานงาม ประดับ
ด้วยดอกไม้ทั้งหลาย น่าชื่นใจ ดอกสะอาด สวย และ
มีกลิ่นหอม อร่ามไปทั้งสองข้างทาง ข้าแต่พระมหา-
วีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระ-
เจ้าข้า
๔. ผเลหิเนเกหิ สมิทฺธิภูตา
วิจิตฺตรุกฺขา อุภโตวกาเส
ขุทฺทํ ปิปาสมฺปิ วิโนทยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ที่งดงามทั้งหลาย ในโอกาสสองข้างทาง
ดกดื่นด้วยผลเป็นอันมาก บรรเทาความยากไร้ ทั้ง
ความหิวระหายได้ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๕. วิจิตฺตมาลา สุจิปลฺลเวหิ
สุสชฺชิตา โมรกลาปสนฺนิภา
รุกฺขา วิโรจนฺติ อุโภสุ ปสฺเสสุ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย มีดอกงดงาม อันใบอ่อนที่สะอาด
ตกแต่งแล้ว เสมือนต้นหางนกยูง อร่ามไปทั้งสอง
ข้างทาง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๖. วิโรจมานา ผลปลฺลเวหิ
สุสชฺชิตา วาสนิวาสภูตา
โตเสฺนฺติ อทฺธานกิลนฺตสตฺเต
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ต้นไม้ทั้งหลาย รุ่งโรจน์ อันผลและใบอ่อน
ตกแต่งแล้ว ประดับประดาด้วยน้ำหอม ย่อมปลอบ
ประโลมใจเหล่าสัตว์ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๗. สุผุลฺลิตคฺคา วนคุมฺพนิสฺสิตา
ลตา อเนกา สุวิราชมานา
โตเสนฺติ สตฺเต มณิมณฺฑปาว
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
เถาวัลย์เป็นอันมาก อาศัยพุ่มไม้ในป่า บนยอด
ออกดอกบานสวย สง่างาม ย่อมปลอบประโลมใจ
เหล่าสัตว์ เหมือนมณฑปมณี ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๘. ลตา อเนกา ทุมนิสฺสิตาว
ปิเยหิ สทฺธึ สหิตา วธูว
ปโลภยนฺติ หิ สุคนฺธคนฺธา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
เถาวัลย์เป็นอันมาก อาศัยตัดต้นไม้ ประหนึ่งหญิง
สาวไปกับชายที่รัก มีกลิ่นหอมอบอวลประโลมใจ
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๙. วิจิตฺตนีลาทิมนุญฺญวณฺณา
ทิชา สมนฺตา อภิกูชมานา
โตเสนฺติ มญฺชุสฺสรตา รตีหิ
สโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนก มีสีสรรสวยงามน่าชื่นใจ มีสีเขียวเป็นต้น
ส่งเสียงร้องไพเราะโดยรอบ ด้วยความยินดี ปลอบ
ประโลม ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๐. มิคา จ นานา สุวิราชมานา
อุตฺตุงฺคกณฺณา จ มนุญฺญเนตฺตา
ทิสา สมนฺตา มภิธาวยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงเนื้อนานาชนิด เกลื่อนกราด ยกหูชูชัน เบิ่งตา
น่าชื่นใจ พากันวิ่งไปรอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็น
สมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๑. มนุญฺญภูตา จ มหี สมนฺตา
วิราชมานา หริตา ว สทฺทลา
สุปุปฺผิรุกฺขา โมฬินิวลงฺกตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
แผ่นปฐพีมีหญ้าแพรกขึ้นเขียวขจีส่องประกาย
โดยรอบน่าชื่นใจ ต้นไม้ดอกบานงาม ก็ประดับดุจ
โมลี ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระ-
อังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า
๑๒. สุสชฺชิตา มุตฺตมยาว วาลุกา
สุสณฺฐิตา จารุสุผสฺสทาตา
วิโรจนยนฺเตว ทิสา สมนฺตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ทรายทั้งหลาย ดูดังมุกดาอันธรรมดาจัดแต่งไว้
ทรวดทรงงามให้สัมผัสดีดังทอง ส่องแสงสกาว
รอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๓. สมํ สุผสฺสํ สุจิภูมิภาคํ
มนุญฺญปุปฺโผทยคนฺธวาสิตํ
วิราชมานํ สุจิมญฺจ โสภํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
พื้นแผ่นดินสะอาด ราบเรียบ สัมผัสดี กลิ่นเกิด
จากดอกไม้หอม ตลบอบอวลน่าชื่นใจ ส่องประกาย
สะอาดงาม ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๔. สุสชฺชิตํ นนฺทนกานนํว
วิจิตฺตนานา ทุมสณฺฑมณฺฑิตํ
สุคนฺธภูตํ ปวนํ สุรมฺมํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ป่าใหญ่อันธรรมดาตกแต่งดีแล้ว ประดับด้วย
ต้นไม้นานาชนิดเรียงรายงามตระการ มีกลิ่นหอม น่า
รื่นรมย์อย่างดี ดั่งสวนนันทวัน ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๕. สรา วิจิตฺตา วิวิธา มโนรมา
สุสชฺชิตา ปงฺกชปุณฺฑรีกา
ปสนฺนสีโตทกจารุปุณฺณา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
สระทั้งหลาย หลากชนิดวิจิตรน่ารื่นรมย์ใจ อัน
ธรรมดาตกแต่งไว้ มีบัวบุณฑริก เต็มเปี่ยมด้วยน้ำเย็น
ใสดั่งทอง ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๖. สุผุลฺลนานาวิธปงฺกเชหิ
วิราชมานา สุจิคนฺธคนฺธา
ปโมทยนฺเตว นรามรานํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ
สระทั้งหลาย อร่ามเหลืองด้วยบัวนานาชนิดดอก
บานงาม กลิ่นกรุ่นสะอาด ทำให้เหล่ามนุษย์ชาติแล
เทพดาบันเทิงใจ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๗. สุผุลฺลปงฺเกรุหสนฺนิสินฺนา
ทิชา สมนฺตา มภินาทยนฺตา
โมทนฺติ ภริยาหิ สมงฺคิโน เต
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนักจับกอบัวที่ดอกบานร้องเจี๊ยบจ๊าบไปรอบ ๆ
นกเหล่านั้นบันเทิงพร้อมกับตัวเมีย ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๑๘. สุผุลฺลปุปฺเผหิ รชํ คเหตฺวา
อลี วิธาวนฺติ วิกูชมานา
มธุมฺหิ คนฺโธ วิทิสํ ปวายติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงผึ้งเก็บละอองจากดอกไม้บานส่งเสียงร้องบิน
เวียนว่อน กลิ่นน้ำหวาน ก็กำจายไปทั่วทิศ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๑๙. อภินฺนนาทา มทวารณา จ
คิรีหิ ธาวนฺติ จ วาริธารา
สวนฺติ นชฺโช สุวิราชิตาว
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
โขลงช้างเมามัน ส่งเสียงแปร๋แปร๋นแล่นออก
จากซอกเขา และกระแสน้ำก็พราวพรายไหลจากลา
แม่น้ำ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๐. คิรี สมนฺตาว ปทิสฺสมานา
มยูรคีวา อิว นีลวณฺณา
ทิสา รชินฺทาว วิโรจยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ขุนเขาทั้งหลาย ปรากฏเห็นอยู่รอบๆ มีสีเขียว
ขาบ เหมือนคอนกยูง รุ่งทะมึน เหมือนเมฆ ข้าแต่
พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว
พระเจ้าข้า.
๒๑. มยูรสงฺฆา คิริมุทฺธนสฺมึ
นจฺจนฺติ นารีหิ สมงฺคิภูตา
กูชนฺติ นานามธุรสฺสเรหิ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงยูงผู้พร้อมด้วยตัวเมีย พากันฟ้อนรำเหนือยอด
คิรี กู่ก้องด้วยเสียงอันไพเราะต่างๆ ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๒. สุวาทิกา เนกทิชา มนุญฺญา
วิจิตฺตปตฺเตหิ วิราชมานา
คิริมฺหิ ฐตฺวา อภินาทยนฺติ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ฝูงนกเป็นอันมาก มีเสียงเพราะ น่าชื่นใจ
เลื่อมพรายด้วยขนปีกอันงดงาม ยืนร้องก้องกังวาน
เหนือคิรี ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับ
พระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๓. สุผลฺลปุปฺผา กรมาภิกิณฺณา
สุคนฺธนานาทลลงฺกตา จ
คีรี วิโรจนฺติ ทิสา สมนฺตา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ภูเขาทั้งหลาย มีดอกไม้บานงาม เกลื่อนกลาด
ด้วยต้นเล็บเหยี่ยว ประดับด้วยกลีบดอกไม้นานาชนิด
มีกลิ่นหอม งามระยับไปรอบทิศ ข้าแต่พระมหาวีระ
เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๔. ชลาสยา เนกสุคนฺธคนฺธา
สุรินฺทอุยฺยานชลาสยาว
สวนฺติ นชฺโช สุวิราชมานา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ชลาศัยลำน้ำมีกลิ่นหอมกรุ่นเป็นอันมาก พร่าง
พรายไหลมาแต่แม่น้ำ เหมือนชลาลัยในอุทยานของ
ท้าวสักกะจอมเทพ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๕. วิจิตฺตติตฺเถหิ อลงฺกตา จ
มนุญฺญนานามิคปกฺขิปาสา
นชฺโช วิโรจนฺติ สุสนฺทมานา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
แม่น้ำทั้งหลาย ประดับด้วยท่าน้ำอันงาม เป็น
ที่ฝูงเนื้อและนกนานาชนิดลงดื่มกินน่าชื่นใจ ไหลอยู่
พร่างพราย ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควร
สำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๖. อุโภสุ ปสฺเสสุ ชลาสเยสุ
สุปุปฺผิตา จารุสุคนฺธรุกฺขา
วิภูสิตคฺคา สุรสุนฺทรี จ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
กลุ่มต้นไม้งาม กลิ่นหอม ออกดอกบาน ณ
ชลาลัยทั้งสองฝั่ง ยอดมีดอกประดับ สวยงามสง่า
ข้าแต่พระมหาวีระ เป็นสมัยสมควรสำหรับพระอังคีรส
แล้ว พระเจ้าข้า.
๒๗. สุคนฺธนานาทุมชาลกิณฺณํ
วนํ วิจิตฺตํ สุรนนฺทนํว
มโนภิรามํ สตตํ คตีนํ
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
ป่าเกลื่อนกลาดด้วยแนวไม้นานาชนิด มีกลิ่น
หอม งดงามดังสวนนันทนวันของเทวดา เป็นที่รื่น-
รมย์ใจยิ่งของผู้ที่ไปเนื่อง ๆ ข้าแต่พระมหาวีระ เป็น
สมัยสมควรสำหรับพระอังคีรสแล้ว พระเจ้าข้า.
๒๘. สมฺปนฺนนานาสุจิอนฺนปานา
สพฺยญฺชนา สาธุรเสน ยุตฺตา
ปเถสุ คาเม สุลภา มนุญฺญา
สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ.
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.235.207 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:21:01:24 น.  

 
 
 
ถึง ทั่นขำว่ะที่เคารพ


ขอ อนุยาด ตบมือดัง ๆ ให้กับ ฟาม วิริยะอุสาหะ
ที่ทั่น ถ่อสังขาร มาฟลัด กาทู้ เอ๊ย... เอา ฟามลู้ มาให้เป็น ธรรมทาน
อะโหยยยย ซาบซึ้งมากมาย
จน พูดอะไรไม่ออก เรยอ่า
นอกจาก บอกว่า

เชิญเถิด คุณใบลานเปล่า
มาเถิด คุณใบลานเปล่า
นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า

ไปเถิด คุณใบลานเปล่า



 
 

โดย: คุณป้าบัว...ฉิ้งฉ่องงงง เอิ๊ก ๆๆ (นู๋บี ) วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:23:19:37 น.  

 
 
 

ถึง ไอ้โซ๊ยตี๋
อิเจ้ต้องขออภัยด้วย
ที่ เป็นเหตุปัจจัยทำให้ลื้อ
โดน เสือใบลาน มันฟาดงวงฟาดงา
อาละวาดใส่ อย่างกับหมาบ้า งี้
( เลื่อนเม้าส์ จนมือหงิกแดร่ก เรยมั้งนี่ อิอิ )


นี่ก็ยังไม่ชัวร์ เรยว่ะว่า ตกลง ไอ้หมอนี่
มันเป็น เจ้ากรรมนายเวร มาทวงหนี้ร้ากก กับลื้อ
หรือ เป็น โจทก์เก่า สมัยพระเจ้าเหา ของ อิเจ้ กันแน่


ว่าแต่ มา พนัน กันเล่น ๆ เอาป่ะ ไอ้โซ๊ยตี๋
ว่า ระหว่างลื้อ ก๊ะ อิเจ้ ครายจะ โดน ไอ้เวงนี่
ทำให้ ปรี๊ดแตก ก่อนกัน อิอิ
ใคร ปรี๊ด ก่อน คนนั้นแพ้ นะ โอเคป่ะ เอิ๊ก ๆ


ปอลิง

อืม...คืนนี้ อิตั้วเจ้คง ปั่นน้ำลาย
เรื่อง มุดรูดูผ้าถุง เอ๊ย มุดรูดูกล่อง
มาถก ก๊ะลื้อ ไม่เสร็จแหง๋ ๆ เรยว่ะ


แบ่บว่า ตะกี้ อิเจ้มัวแต่ ไปละเลงน้ำลาย
นินทาหม่ามี๊ ที่ ลธมจ.ซะเพลินเรย ว่ะ เรยติดลม
( ขอโทษที อิเจ้ กะเวลาผิด ไปหน่อยนึง แหะ ๆ )


แต่จะพยามปั่นให้มันเสร็จ ในเร็ววันนี้จร้าาาา
ลื้ออย่าเพิ่ง งอล อิเจ้ นะว้อยยยย
เฮ้อออ จิง ๆ จะหลับหูหลับตา
โพสให้มันเสร็จ ๆ คืนนี้ เรยก็ได้นะ
จะได้ไม่เสียสัจจะ ไม่ผิดคำสัญญา ด้วย

แต่เจ้ม่ะอยาก สัก แต่ว่าโพส
เหมือน ทั่น โปฐิละ มันอ่ะ เฮ้ออออ
เฮ้ออออ ทำใจลำบากจิงๆ เรยว่ะ
กัวว่าถ้า โพสอะไรไก่กาแบ่บบ้าน ๆใบลานเปล่า บ่อย ๆ เข้า
เด๋ว ไอ้โซ๊ยตี๋จะเบื่อ อิตั้วเจ้ น่ะ อ่ะซิก ....อ่ะซิก....




.
 
 

โดย: คุณป้าบัว...ฉิ้งฉ่องงงง เอิ๊ก ๆๆ (นู๋บี ) วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:23:28:17 น.  

 
 
 
(คุณพี่ขำว่ะ).....
ก๊ากๆๆ

ไอ้ตี๋โสดาป่วยหัวคันเอ๋ย
ดันเอาความลับในมุ้งมาโพทนา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮ้าบบุรุษเพศคร้าบ)
เรียนคุณพี่ขำกลิ้ง ลิงกับหมาคร้าบ สงสัยในชีวิตคุณพี่คง
ไม่เคยเจอและไม่รู้จัก สรีระของสตรี ถ้าจะพูดในระดับผม
เขาเรียกว่า อนาโตมีครับ เพียงแต่ผมเอาไปประยุกต์รวม
กับวนศาสตร์ ผมว่าคุณพี่ขำกลิ้ง ต้องมีปัญหาในเรื่องของ
จริยธรรมกับระดับการศึกษา หรือไม่ก็มีจิตที่เบี่ยงเบนอย่างไม่ต้องสงสัย ดูได้จากผมอุปมาอุปไมย สิ่งที่สตรีเพศ
มีกันทุกคนมันเป็นธรรมชาติ แต่ความคิดของพี่ขำดันไปจดจ่อแต่เรื่องในมุ้ง นี่เป็นระดับจริยธรรม
ส่วนเรื่องระดับการศึกษา ที่มันฟ้องก็คือ ไม่รู้จักการเปรียบเทียบในเชิงอัตลักษณ์ สุดท้ายที่ว่าเบียงเบนทางเพศก็คือ
การที่ไม่รู้จักไม่เคยเห็นอวัยวะเพศของผู้หญิง เนื่องจากตัว
เองมีอาการทางจิต คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เลยสำคัญผิดไปว่า สิ่งที่ตัวเองมีหรือไอ้หนอนแมลงวันประจำกายนั้นคือ
อวัยวะเพศหญิง ทั้งหมดทั้งมวลเลยแปลความหมายของคำ
ว่าถ้ำกับป่าสงวนเป็นเรื่องในมุ้งไปเสียฉิบ
---------------------------------------------------------------------------------
(คุณพี่สาวขำว่ะ)........
ก็ ไอ้คนที่อยู่บ้านข้าพเจ้า ก็คือ

มารดา มรึงไง ที่มาอมจุ๊กกรูให้ข้าพเจ้าบ่อยๆ
ไม่เอาอย่างมารดาของมรึงบ้างเหรอ
ก๊ากกๆๆๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮับ).......
ผมว่าคุณพี่ขำกำลังเมายาหม่องที่คุณพี่เอามาดมแก้เครียด
คุณพี่ขำครับสลัดหัวหลายๆทีแล้วก้มดูซิว่า คนที่กำลังอม
หนอนแมลงวันของคุณพี่อยู่เป็นใคร มันเป็นลูกสาวหลาน
สาวของคุณพี่หรือเปล่า

จะบอกให้ครับมารดาผมเสียไปนานแล้วครับ พูดจาแบบนี้
ขาดความน่าเชื่อถือนะครับ จะพูดอะไรแม้เราจะไม่มีการศึกษาแต่ก็ควรใช้สติปัญญาของมนุษย์ที่ธรรมชาติให้มา
กลั่นกรองคำพูดบ้าง
ผมว่าสติปัญญาของคุณพี่ขำ ถึงแม้มันจะต่ำกว่ามาตราฐานความเป็นมนุษย์ กรองสิ่งที่ละเอียดอ่อนไม่ได้ แต่มันน่าจะกรองเอาสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นอย่างเช่น คำที่กักขละหยาบคายชนิดที่พวกถ่อยสถุนในคุกยังไม่กล้าพูด แต่คุณพี่ขำพูดหน้าตาเฉย ผมว่าสติปัญญาคุณพี่ขำว่ะมีปัญหาแน่ๆ

แล้วไอ้วิธีการโพสข้อความแยะๆยาวนั้นน่ะ ไม่ต้องพูดใครๆ
ก็รู้ว่า อายในสิ่งที่ตัวเองทำ เลยต้องทำอะไรสักอย่างให้มันผ่านเลยไป กลัวคนเขาเข้าไปอ่าน ในสิ่งที่ประจานตัวเอง
 
 

โดย: โฮฮ้าบๆๆๆๆๆๆ IP: 110.168.187.170 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:4:57:06 น.  

 
 
 
อิอิ

อ้ายตี๋โฮป่วยหัวคันเอ๊ย

มารดามรึงปากแหกตาย เพราะไปอมสิ่งที่ไม่ควรอม
ป่านนนี้ยังอยู่ในอบาย
ฮ่าๆๆ

แต่ก้โชกดีแล้วว่ะ ที่ไม่ต้องพานพบ ไม่ต้องอยู่ต่อเลี้ยงดูแก
ช่างเป็นแม่ที่ขยัน ทำลูกแล้วตายหนี

อ่ะๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.168.128 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:8:52:34 น.  

 
 
 
อ่ะๆๆ

อีดอกบัวฉิ้งฉ่องเอ๋ย

ใบลานก็ไม่ได้เกี่ยวอารายกับข้าพเจ้านิ
ที่โพสต์ก็ทดสอบระบบบล๊อกของมรึงน่ะแหละ
โพสต์ไปมากกว่านี้ตั่งแยะ

อีตอแหล บอกไม่ตัด ไม่ลบ ใครใคร่โพสต์โพสต์
ใครใคร่บ่นๆ ๆๆ

เดี๋ยวจะ รวบรวม คำที่ชาวบ้านว่าหยาบคาย
มาโพสตให้เพียบเลย ว่ะ อ่ะ

อ่ะๆๆ ภาษาธรรมทั้งนั้นแหละ
เยดเข้ นะอีดอกบัว

ดูสิว่า บล๊อกของมรึง จะทานทน คำหยาบคาย ได้สักกี่น้ำ

แบบ หี ควย หีควย

เวลาเสรืชหา จะได้เจอไงล่ะ
อิอิ

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.168.128 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:9:00:36 น.  

 
 
 
อิอิ

อ้ายตี๋ป่วยหัวคันเอ๋ยย

ดักดานจริงๆเลยว่ะ
ติดอยู่กับสติ ติดอยู่กับปัญญา ติดอยู่กับศาสนา มารยาท

ติดอยู่ไต้กฎเกณของบอร์ด

ที่มรึงพูดมาทั้งหมด ล้วนแสดงความติดของมรึง อ่ะนะ

อีดอกบัวผ่อง ก็เหมือนกัน
อยู่ไต้เท้าของบล๊อกไปไม่รู้ตัว
ทำแบบกรูดี

ไปหาซื้อจดโดเมนซะ
และจะพูดอะไร ก็พูด
ฮ่าๆๆ เวปข้าพเจ้า โดนไอซีทีปิดมาเยอะ
ก็ไปจดเมืองนอก ใช้เวปผรั่ง แต่พูดภาษาเยดเข้
ฮ่าๆๆ

ฮ่าๆๆ กาทู้ดรามา ดรามาๆๆๆๆ
ก๊ากๆๆๆ

ข้าเจ้าตั้งใจ ทำให้มรึงเป็นดาราหน้าจอ
แต่มรึงมันห่วยแตกทั้งคู่

จะเอามาทำข่าวใหญ่ทางการเมือง มรึงก็ยังไม่เอาไหน

คงต้องสอนพวกมรึง งอีกนานน

ก๊ากๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.168.128 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:9:21:46 น.  

 
 
 
กะว่าจะปั้นให้มรึงเป็น อีดอกบัวตอปิโดซะหน่อย



ก๋ากกๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.168.128 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:9:24:51 น.  

 
 
 
อ่ะๆๆ

อ้ายตี๋ป่วยหัวคัน กับอีดอกบัวผ่อง ที่แท้มันก็เป็นพวกอำมาตย์
ฮ่าๆๆ
มีการแบ่งชนชั้น

ภาษาแม่ค้า รับไม่ได้



ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.122.168.128 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:9:32:13 น.  

 
 
 
(อิเจ๊บัวผ่อง).......
ถึง ไอ้โซ๊ยตี๋
อิเจ้ต้องขออภัยด้วย
ที่ เป็นเหตุปัจจัยทำให้ลื้อ
โดน เสือใบลาน มันฟาดงวงฟาดงา
อาละวาดใส่ อย่างกับหมาบ้า งี้
( เลื่อนเม้าส์ จนมือหงิกแดร่ก เรยมั้งนี่ อิอิ )
นี่ก็ยังไม่ชัวร์ เรยว่ะว่า ตกลง ไอ้หมอนี่
มันเป็น เจ้ากรรมนายเวร มาทวงหนี้ร้ากก กับลื้อ
หรือ เป็น โจทก์เก่า สมัยพระเจ้าเหา ของ อิเจ้ กันแน่

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮ้าบจ้า)........
มันจะเป็นโจทก์ลื้อหรือโจทก์อั๊ว ก็ช่างหัวมันเถอะ
แต่อั๊วเดาว่า มันต้องเป็นผัวหรือกิ๊กยัยฮานะแน่ๆ
ที่มันมาแลบลิ้นแผลบๆเหมือนตะกวด ฟาดหางเป็น
ตัวแลนแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยมันคงหึงอั๊วที่ไปพูดจา
ลามเลียเมียมัน
เจ๊ว่ามันเป็นเสือใบลานเรอะ อั๊วว่าผิดแล้ว อย่างมัน
เป็นได้แค่แมงกาจั๊ว ปากเน่าว่ะ ลองแบบนี้ต้องโตมา
ในโรงแรมจิ้งหรีดหรือซ่องในสลัมสักแห่งแหง่ๆ
เอาเป็นว่าอย่าไปถือสามัน อย่าไปสมน้ำหน้า
แค่สมเพทก็พอ
-------------------------------------------------------------------------------------
(เจ๊ผ่อง).....
-ว่าแต่ มา พนัน กันเล่น ๆ เอาป่ะ ไอ้โซ๊ยตี๋
ว่า ระหว่างลื้อ ก๊ะ อิเจ้ ครายจะ โดน ไอ้เวงนี่
ทำให้ ปรี๊ดแตก ก่อนกัน อิอิ
ใคร ปรี๊ด ก่อน คนนั้นแพ้ นะ โอเคป่ะ เอิ๊ก ๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮฮับ).......
ไอ้ปรี๊ดอั๊วไม่ปรี๊ดอยู่แล้ว แต่มันรำคาญว่ะ มันพูด
ไม่รู้เรื่อง แถมด่าก็ไม่ได้ความ มันไม่ยอมลงทุนเลย
ไม่ยอมใช้สมอง มันคงคิดว่าไอ้ก้อนเล็กๆของมัน
เขาเอาไว้ขั้นหูมั้ง
หรือกลัวว่าเนื้อเยื่อสมองมันจะลดลง คงคิดว่า
มันมีน้อยอยู่แล้วเลยไม่อยากใช้
อีกอย่างอั๊วขี้เกียจลากเม้าไปมา เจ๊ดูมันโพสข้อความเด๊ะ
แหม่! ทำไปได้ไม่อายเลย
----------------------------------------------------------------------------------
(เจ๊ผ่อง)......
แต่เจ้ม่ะอยาก สัก แต่ว่าโพส
เหมือน ทั่น โปฐิละ มันอ่ะ เฮ้ออออ
เฮ้ออออ ทำใจลำบากจิงๆ เรยว่ะ
กัวว่าถ้า โพสอะไรไก่กาแบ่บบ้าน ๆใบลานเปล่า บ่อย ๆ เข้า
เด๋ว ไอ้โซ๊ยตี๋จะเบื่อ อิตั้วเจ้ น่ะ อ่ะซิก ....อ่ะซิก.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(โฮ).....
เจ๊ลองคิดดู อั๊วแต่งตัวใส่สูทมาเที่ยวซ่อง บังเอิญ
มีแมงกาจั๊วมาหาเรื่อง หาว่าอั๊วไปยุ่งกับเมียมัน
ทั้งๆที่เมียมัน ก็ทำงานอย่างว่าในนั้น แบบนี้
มันจะพูดกันรู้เรื่องหรือเปล่า ผู้ดีใส่สูทผูกไทร์อย่างอั๊ว
ก็ต้องเดินหนีอย่างเดียวล่ะว่ะ
ปล. พี่ขำว่ะคิดเหมือนผมมั้ยครับ
.................................................................................
 
 

โดย: โฮฮ้าบๆๆๆๆๆๆ IP: 58.11.29.42 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:9:45:24 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆ

วันนี้ วันหยุดสุดสัปดาห์ อ่ะ

ฟังเรื่องเสียวกันดีกว่า

ใครจะว่าผมเลวก็ยอม แต่ความอยากความเงี่ยนมันไม่ปราณีใคร
ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คน เรียก เจ้ายันต์ (นามสมมุติ) แล้วกัน
เราสนิทกันมากตอนเรียน มหาลัย หลายคนคิดว่าเราเป็นเกย์
เห็นผมที่ไหนก็เห็นเจ้ายันต์ที่นั้น เราไม่เคยจีบ
สาวในมหาลัยที่เราเรียนสักคน เรียน เล่นกิฬา กินเหล้า
อยู่หอนอนห้องเดียวกัน เที่ยวผู้หญิงก็ไปกันสองคน เสียเงิน ล่อให้หายอยาก
แล้วก็กลับหอ โรงนวดเข้าเกือบทุกโรง โรงแรม นานๆที
เพราะเราคิดว่าสู้หมอนวดไม่ได้ ยังเคยเอาเสร็จ เคาะห้องสลับกันเอาต่อ หรือ
มาเอาห้องเดียวกัน มันที่สุดยุคนั้น จนเรียนจบ ต่างมีงานทำ ก็ยังคบกัน
จนวันหนึ่ง เจ้ายันต์ พาแฟนมาแนะนำ เธอขาวน่ารัก มาก นมเป็นกระเปาะ เอวกิ่ว
สะโพกกลมน่าจับยัด ผมเห็นแฟนมันแล้วเกิดอารมย์ วันนั้นหลังจาก รู้จักกัน
กินเหล้าคุยกันเสร็จ แยกย้ายกัน
ผมต้องไปตะเวณโรงนวดหาหมอนวดหุ่นคล้ายๆแฟนไอ้ยันต์ อัดให้หายอยาก ไอ้ยันต์
เก็บหอมรอบริด จนซื้อบ้านทาวเฮาส์เรือนหอเสร็จ
ชวนผมไปเลี้ยงทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เจอแฟนมันอีก นุ่งกางเกงขาสั้น ช่วยงาน
กางเกงรัดรูป สามเหลี่ยมหว่างขา โหนกนูน เสื้อยืดรัดเต้าคอกลม
มองแล้วของขึ้น ต้องไประบายอีกตอนจบงาน วันนั้นไอ้ยันต์ก็ แจกการ์ดแต่งงาน
พวกเพื่อนๆที่ไปร่วมก็แสดงความยินดี ผมก็ดีใจกับมันด้วย
แต่อยากล่อแฟนมันเหลือเกิน ก็เด็กมันน่านี้ครับ
งานแต่งของมันจัดธรรมดาไม่ใหญ่โตนัก แหมผมเพื่อนสนิทก็ไปช่วยแต่เช้า
เข้านอกออกใน พอเผลอก็แอบดูเจ้าสาว เธอเองก็ให้ความสนิทสนมกับผมมาก
ไอ้ยันต์คงเล่าว่าเราเป็นเพื่อนซี้กัน จนถึงเวลาส่งตัว
พวกเราต่างเฮโลไปส่งบ่าวสาวเข้าห้อง แต่ใจผมคิด นึก ตอนเธอโดนแก้ผ้า
โดนขยำขยี้ แล้วก็โดนทิ้ม ฟ้าเหลืองแน่เพื่อนเอ๋ย
คิดแล้วก็ไปหาที่ระบายตามเคย ผมคงวนเวียนไปเยี่ยมไอ้ยันต์
บางครั้งกินเหล้ากันเมามากก็นอนค้างบ้านมัน
เคยตื่นตอนเช้าได้ยินเสียงมันล่อแฟนมัน เสียงเธอครวญคราง
ผมนึกภาพแทบอยากเข้าร่วมเสียเหลือเกิน แล้วโอกาศผมก็มา ไอ้ยันต์ ได้ไปนอก
บริษัทส่งมันไป 2 อาทิตย์ แฟนมันหน้าตาเศร้าหมอง แหม พึ่งอัดกันมา 6 เดือน
ข้าวใหม่ปลามันนี้ ผมปลอบใจต่างๆนานา ไอ้ยันต์
ก็บอกให้ช่วยมาเป็นเพื่อนดูแลหน่อย แฟนมันได้ไม่เหงา ตรงล๊อกเลยครับ
ผมอาสาพาไปส่งที่สนามบิน ตอนไอ้ยันต์ ไปขึ้นเครื่อง เธอก็ร้องไห้ ผมปลอบ
เธอซบที่ไหล่ ด้วยความสนิทเธอไม่คิดอะไร แต่ผมโอบเธอ เนื้อแน่นเหลือเกิน
อกเธอชิดแนบอกผม ก็มันตึงนะครับ ของผมแข็งขึ้นทันที สักครู่ เธอพลักตัวออก
ทำหน้าอายๆ ผมชวนเธอไปหาอะไรทาน เธอว่า กลับไปทานที่บ้านดีกว่า
ไอ้ยันต์บอกเธอว่าจะโทรหาเมือถึงฮ่องกง ผมเออออ คิดแผนการณ์
จะฟัดเธอให้ได้วันนี้ พอถึงบ้าน ก็ชวนเธอดื่ม แรกๆเธอทำท่าไม่อยาก
ผมรีบบอกดื่มนิดๆหน่อยๆ จะได้ไม่คิดมาก ดื่มกันไป คุยกันมา ผมหาของแกล้ม
เค็มๆ เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ พอเธอกินก็กระหาย ดื่มเข้าไปอีก นั่งรอโทรศัพท์กัน
ผมเองหลบเข้าห้องน้ำเอายาทนทาของผม
เวลาเอาจะได้ล่อให้นานๆให้เธอติดใจให้ได้ ราวสัก 2 ชั่วโมง หน้าเธอแดงกลำ
พูดเริ่มลิ้นไก่พันกัน คงเริ่มเมาแล้ว ผมบอให้เธอนอนพัก
เดี๋ยวโทรศัพท์มาจะเรียก เธอเอนตัวกับโชฟา คงมืนนะ พอเธอเงียบ คงเคลิ้มๆ
ผมรีบไปล๊อกประตูหน้า พร้อมๆกับ ปลดม่าน กันคนนอกเห็น ดับไฟห้องรับแขก
คงมีแต่แสงจากโทรทัศน์ เท่านั้น ผมเร่งเสียงโทรทัศน์ ดังหน่อย เพื่อเธอร้อง
เห็นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าไปประชิดตัวเธอ
ค่อยๆแกะกระดุมเสื้อเธออย่างแผ่วเบา อกเธอภายใต้ยกทรงสีขาวมันช่างตูมเต่ง
ผมรู้สึกตัวเอง เลือดฉีดขึ้นหน้าด้วยความกระสันต์
ค่อยๆเลื่อนมือไปปลดตะขอกระโปรงรูดซิบเธอลงเบาๆ มือผมรู้สึกสั่นไปหมด
ถกกระโปรงเธอไว้ที่หน้าท้อง ลิงตัวน้อยที่ปิดของดีช่างอวบอูมเหมือนที่ฝัน
หน้าผมมืดเสียแล้ว ผมรีบจัดการกับตัวเอง ถอดกางเกงพร้อมรบ
ของผมแข็งเด่ตั้งเตรียมบุก ผมเข้าประชิตตัวเธออีกครั้ง มองด้านบนสลับล่าง
ในทีสุดก็ดึง คัตเตอร์ออกมา ค่อยๆตัดที่ส่วนล่างของลิงตัวน้อง กลึก
เต่าที่อวบอูมมีขนทีปกคลุม ไม่มาก ผมใช้สองนิ้วบิแคมเธอออกเบาๆ
มันแดงแจเลยครับ ก้มลงใช้ลิ้นแยเลีย ห่อตรงเม็ด เสียงเธอหายใจฟืดฟาด
แรงขึ้น ขาเธอเริ่มแบะออก น้ำเมือกเยิ้มออกมา ครับ ไม่ไหวแล้ว
ผมแบะกลิบเธออีกครั้งพร้อมๆจ่อหัวจรวด ตรงเป้า สองแขนสอดรับขาเธอไว้
ค่อยๆดันเจ้าจรวดที่แข็งปังเขาไป แน่นครับ ขนาดมีเมือกหล่อลื่น ผมค่อยๆ
ดึงออกยัดเข้า จรวดของผม ค่อยๆมุดถ้ำเธอทีละนิด
นี้ถ้าไม่ทายาทนไว้คงน้ำแตกแล้วเรา ลืมบอก ผมเคยแก้ผ้าวัดขนาดกับไอ้ยันต์
สมัยเรียน ของผม ใหญ่กว่านิดหน่อย ยาวกว่าสักครึ่งนิ้ว ของผม 6 นิ้วครับ
ผมเริ่มกระเด้าเธอเบาๆ เธอบิดตัวแอ่นรับ พร้อมครางอีก
อยากอัดให้หายอยากเหลือเกิน เธอเริ่มรู้สึกตัวงัวเงียลืมตาขึ้น เรียกชื่อ
พี่ยันต์เสียงสั่นๆ พอเห็นเป็นผม ก็ ตาโต จะดึงตัวกลับ
ร้องว่าพี่ทำไมทำอย่างนี้ ผมไม่รอช้าสองขาเธอที่คาบนแขนผม
รั้งให้แน่นแล้วกดตัวกระเด้าปาบมิดเลยครับ เธอร้องลั้นเลยครับ โอ้ย ไม่เอา
ผมรีบ เธอส่ายตัวหนี ผมรีบประกบปาก พร้อมกันส่ายหนอกขยี้ที่หนอกเธอ
แล้วก็เริ่มกระเด้าซอยเธอ ปักๆๆๆๆ
จากเสียวร้องและมือที่ยันอกผมก็ค่อยๆอ่อนลง อู้ๆอี้ๆ แล้วก็กอดผมแน่น
เธอคงเงี่ยนและมีอารมย์ร่วมแล้ว ผมปล่อยขาเธอลงข้างหนึ่ง
อีกข้างดันขึ้นพาดคอ แล้วอัดเธอต่อในท่ากากะบาด มือที่ว่างก็บี้หัวนมเะอ
ขยำเต้านมเธอ เธอหลับตาสูดปาก เลื่อนตัวดูดนมอีกข้าง
ขณะที่ช่วงล่างลูกสูบก็ยังเดินหน้า ชักออกกระเด้าเข้าไม่ให้หยุด เสียงบึกๆๆ
หนอกกระทบหนอก มันสุดๆครับ หม้อเธอเป็นโหนก รูเธอกระชับรูดรับจรวด
สักพักก็พลิกเธอกลับ
จับโก้งโค้งเป็นท่าหมา สองมือจับสะโพกเธอ เวี่ยงจรวด เข้าเป้าปาบๆๆๆ
ก้มมองเห็นเธอกัดฟันส่งเสียงครางอื้ๆๆ แล้วเธอก็เกร็งตัว
กำมือขมิบช่องคลอดรัดจรวดผมแน่น ผมก็อักอีกที พ่นน้ำพิษ
ออกอย่างมากมายในรูเธอ นอนทับตัวเธอ กดแช่สักพัก เสียงหอบของเราสองคนฮึกฮัก
พอดันตัวออก ดึงจรวดออก เสียงดังพล๊อก เธอหันมามองผม น้ำตาไหล ร้องไห
ต่อว่าผมต่างๆนานา ทำไมทำอย่างนี้ เสียแรงไว้ใจ จะฟ้องแฟนเธอ
ผมกอดเธอและปลอบต่างๆนาเช่นกัน หอมเธอบ้าง จับเธอล้วงเธอ
สักพักจรวดผมก็พร้อมรบอีกแล้ว ผมประกบปากปิดที่เธอบ่นอุบอิบ
พลิกตัวขึ้นคล่อม สอดแขนยกขาเธอข้างหนึ่ง เะอรีบสะบัด ร้องพอแล้ว แต่
หัวจรวดมันตรงเป้าแล้วนี้ครับ พลัก ซืด ปักๆๆๆ ผมกระเด้าเธอต่อ
นมทั้งสองข้างกระเพื่อมไปตามแรงกระแทกของผม สุดยอดจริงๆ ครับ
เะอลืมตามองแล้วหลับตา ซีดปาก ปล่อยให้ผมกระแทก กระทำ แถมแอนตัวเด่งรับ
หนอกระทบกันดังพับๆๆอีกแล้ว กำลังอัดกันอย่างเมามัน
เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมชะงัก แต่แช่จรวดกดไว้ เธอเอื้อมมือไปรับสาย
พี่ยันตื เธอเรียก เสียงสั่นเครือ ได้ยินเสียงในสายอู้ๆอี้ๆ และเสียงเธอตอบ
คะคะ ผมค่อยๆสาวจรวด ช้าๆ แล้วยัดเข้าไป มันตื่นเต้นนะครับ เธอถือโทรศัพท์
รับสายผัว ขณะที่โดนเพื่อนผัวชำเราอยู่ ผมกระเด้าเธอเบาๆไม่แรงนัก
กลัวเสียงลอดตามสาย เธอโบกมือให้หยุด ผมไม่หยุด เอาเธอต่อ จนเธอกัดฟัน
และแอ่นหม้อรับ ในที่สุดเธอก็บอกคิดถึง เสียงสั่นๆและวางสาย ปาบๆๆๆๆๆ
สิ้นเสียงกลิกที่วางสาย ผมกระหน่ำไม่ยั้ง เธอครางซีดๆๆๆ แอ่นอกแอ่นหอย
คงอร่อยละครับ ล่อกันอีกหลายท่าจนนำแตกคารูน้องหนูอีก
จากนั้นผมก็ประคองงตัวเะอไปอาบน้ำแล้วก็ กกเธอทั้งคืน ค้างบ้านเพื่อนครับ
แต่คราวนี้ นอนเตียงเพื่อน เย่อเมียเพื่อน มันจริงๆครับ
เะอโดนผมเอาอีกหลายครั้ง จนเพื่อนผมกลับ ผมสัญญาจะไม่ให้เพื่อนรู้หรือ
ทำอะไรให้สงสัย แต่ขอเย้ดเะอเมือมีโอกาส เธอก็ยอมครับ บางครั้งผมก็หาโอกาส
เอายานอนหลับใส่เหล้าให้เพื่อนดื่ม พอเพื่อนหลับ ก็จับเมียเพื่อนยัด
ตอนนี้เธอมีลูกคนหนึ่งแล้ว ไม่รู้ลูกไอ้ยันต์ หรือ ลูกผมครับ
แต่ผมก็รักเด็กคนนี้มากพอๆกับไอ้ยันต์ นานๆทีมีโอกาสก็ฟันแม่เด็กเสียที
สบาย ค.. ครับ มันจริงๆจนทุกวันนี้


//www.fanpanx.com/?PHPSESSID=4s7p34hu5sstugf1ua5o89idg2&topic=29348.0

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:40:27 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆ


ทำอาราย ก็ไม่มียางอายอยู่แล้ว คนอย่างข้าพเจ้า
ไม่เหมือนพวกมรึง ทำเป็นมีระดับ ชนนชั้น
ฮ่าๆๆ

เมียข้าพเจ้าตามซ่องมีมากมาย มารดาโฮฮับในอดีต ก็อยู่ซ่อง ฮ่าๆๆ

ข้าพเจ้าเคยซ่ำมาแล้วด้วย
ไม่เชื่อไปถามมารดามรึงได้เลย
ท่วงท่าไม่เอาไหน
รีบตายไปก่อนหละดีแล้ว
อยู่ไป รกโลก

ฮ่าๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:44:46 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆ

เรื่องเสียว ที่เอามาโพสต์ หายไปไหนว่ะ
หนายบอกไม่ลบ ใครใคร่โพสต์ โพสต์ ๆๆๆๆ

อ่า อีดอกบัวเอ๊ย
ทนฟังเรื่องเสียวม่ะได้หรือ
กิกิ

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:48:04 น.  

 
 
 
ฮ่าๆๆๆ

สุขใจจริงโว้ย มีคนด่า
ข้าพเจ้าเป็นสุขมากกว่ามีคนชมเป็นไหนๆๆ

แต่แกด่ายังไม่สะใจ มีเท่าไร ก้อไส่มาเลย

ก๊ากๆๆ

กระทู้ดรามา มันก้ต้องมีด่าแล้วเยท เป็นธรรมดา
มารดาโฮฮับโดนจัดหนัก
มีกรรมเป็นลูกหลาน ฮ่าๆๆๆ

ฮ่าๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:53:15 น.  

 
 
 
ฟังเรื่องเสียวต่อดีกว่า อ่ะๆๆ

น้องรู้จักกับเอกมาตั้งแต่เรียน ม.ปลายมาด้วยกัน แต่ตอนนั้นน้องได้แต่แอบชอบเค้าข้างเดียวอย่างเงียบๆ
เพราะว่าเอกมีแฟนอยู่แล้ว แต่เหมือนโชคเข้าข้าง
เอกทะเลาะกับแฟนเค้าจนเลิกรากันไปก่อนถึงเวลาที่จะสอบเอนทรานซ์เพียงสามเดือน
นั่นจึงเป็นโอกาสที่ดีของน้องในการเข้าไปรักษาแผลใจ
ให้เค้าพร้อมกับช่วยกันติวหนังสือเข้ามหาลัย เราสนิทกันมากขึ้นจนกลายเป็นความรัก
ถึงแม้ว่าผลการสอบเอนทรานซ์จะทำให้เราทั้งคู่ต้องอยู่ห่างไกลกัน
เอกสอบได้ที่มหาลัยในตัวจังหวัดใกล้บ้านของตัวเอง
ส่วนน้องก็ต้องกลับเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพอีกครั้งหลังจากออกไปเรียนโรงเรียน ม.ปลายแถบชานเมืองถึงสามปี
แต่ระยะทางก็ไม่เคยเป็นอุปสรรคความรักของเรา เอกยังไปมาหาสู่กับน้อง เสมอในวัน
หยุดเสาร์อาทิตย์ช่วงเวลาสามเดือนหลังจากที่ประกาศผลสอบเอนทรานซ์ ทำให้น้อง สนิทกับเอกมากจนกระทั่ง
เอกเอ่ยปากบอกรักและขอน้องเป็นแฟนในวันหนึ่งที่เรานั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วยกันที่ชั้
นบนของบ้าน
น้อง ดีใจมากเพราะน้องเองก็แอบชอบเอกมาตั้งแต่เอกยังไม่คิดมองน้องด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจ เราทั้งคู่ค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าหากันจนปากของเราทั้งคู่ประกบกัน
เป็นการจูบที่นุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น น้องรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศ
มือของเอกก็เริ่มลูบไล้ไปมาบนร่างกายของน้อง เสื้อผาค่อยๆหลุดออกจากร่างกายน้อง
ไปทีละชิ้น เมื่อชิ้นสุดท้ายถูกถอดออกจากร่างกายจนรู้สึกหนาวสะท้านจาก
ไอเย็นของเครื่องปรับอากาศความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็กลับมา
น้องเอามือปกปิดร่างกายเอาไว้พร้อมร้องห้ามไม่ให้เอกล่วงเกินน้องมากไปกว่านี้ แต่
เหมือนว่ามันจะช้าไปแล้ว ร่างของน้องถูกกดลงบนที่นอนพร้อมกับโดนพรมจูบไปทุกส่วนของร่างกาย
เอกไล่ลิ้นไปตามใบหู ริมฝีปาก น้องเริ่มรู้สึกคล้อยตามอีกครั้งเรี่ยวแรงเริ่มหมดไป
ไล่ต่ำลงมาตามซอกคอ เม้มดูดที่ปลายยอดอกจนต้องแอ่นอกขึ้นมาสู้กับลิ้นของเขา
ปลายยอดของมันแข็งขึ้นมาเป็นไตคล้ายตอบสนองความรู้สึกที่ได้
รับ เอกไล่ปลายลิ้นลงมาที่ท้องน้อยไล่วนไปรอบสะดือ น้องแขม่วท้องด้วยความเสียวปนจั๊กกะจี้ น้ำใสๆจากส่วน
ล่างซึมออกมาจนหว่างขาเปียกแฉะ จนกระทั่งเอกซุกหน้าเข้ามาที่หว่างขาของน้อง
ตวัดลิ้นเลียไปมาที่กลีบสาวทั้งสองข้างโดยไม่ใส่ใจ กับร่องหลืบตรงกลางแม้แต่นิด
เอกแทะเล็มกลีบเนื้อทั้งสองข้างของน้องจนน้องทนความรู้สึกนี้ไม่ไหวต้องร้องขอให้เขา
ช่วยใช้ลิ้นกับส่วนที่น้องต้องการ
เอกเริ่มโลมเลียที่ร่องเนื้อของน้องใช้ปลายลิ้นแทงเข้าๆออกๆกับช่องทางของน้อง
จมูกก็กดลงมาบนติ่งเสียวเรียกน้ำใสๆจากร่องของน้องออกมามากมาย
จนฉ่ำแฉะรู้สึกได้ว่าที่นอนตรงสะโพกมีความเปียกชื้น นานเท่านานจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
น้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ที่ทั้งแข็งแกร่ง
และอบอุ่นกำลังพยายามจะแหวกเข้ามาในร่างกาย ความอึดอัด
เริ่มทำให้น้องรู้สึกคับแน่นและหายใจไม่ออกอยู่ชั่วขณะ จนกระทั่งส่วนปลายของมันผ่านไปน้องถอนหายใจเฮือก
ใหญ่ ความคับแน่นลดน้อยลงกว่าเดิมตามขนาดของลำตัวที่เล็กกว่าส่วนปลายของมัน
แต่ความอึดอัดยังไม่หมดไป น้องรู้สึกจุกแน่นในหน้าท้อง
ความเจ็บปวดมีบ้างแต่ไม่มากมายเท่าความอึดอัดนี้ เนื่องจากน้องเองเคยโดน
ญาติผู้พี่ล่วงเกินมาก่อน อาจจะไม่ใช่ความผิดของพี่เค้า ในตอนนั้นเพราะน้องเองก็กำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยาก
เห็นเลยไม่ได้ขัดขืนหรือร้องให้ใครช่วยแม้แต่น้อย
แต่ความรู้สึกละอายใจหลังจากที่ความสาวโดนพรากไปทำ
ให้น้องรู้สึกตัวและไม่ยอมปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ใครอีกเป็นครั้งที่สองจนกระทั่งได้ม
ามอบให้กับเอก
//www.kachon.com/board/index.php?s=9c12dfd7a46030fc986ec949fbe13813&showtopic=9118
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:54:50 น.  

 
 
 
คนที่น้องหลงรักความอึดอัดที่แผ่ซ่านเข้ามาพร้อมๆกับความเสียวที่มีมากขึ้นเรื่อยๆทุ
กขณะที่แก่นกายของเอกเคลื่อนที่
ล่วงล้ำเขามาในตัวของน้อง น้องถอนหายใจเป็นระยะๆเพื่อหวังระบายความอึดอัดอันนี้ออกไป
กว่าที่หน้าขาของเราทั้งสองคนจะแนบชิดกันน้องก็แทบจะทนไม่ได้
เอกแช่คาส่วนนั้นเอาไว้รอจนน้องปรับตัวเข้ากับความแปลก
ใหม่ในร่างกายได้จึงค่อยสาวลำยาวเข้าออกอย่างช้าๆ
ท่ามกลางเสียงครางกระเส่าของน้อง เรามองหน้าสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด
ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเอกทำให้เสียงครางของน้องดังขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ไม่ดัง
ไปกว่าเสียงคำรามของเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงาน เราคุยกันด้วยสะโพกจนกระทั่งน้องยอมยกธงขาวปล่อย
ให้ทำนบความเสียวที่กลั้นเอาไว้แตกออกมาอาบท่อนลำของเอก เขากดสะโพกเข้ามาจนชิดแนบแน่นส่ายควง
สะโพกไปมาให้ท่อนเนื้อที่คาอยู่ข้างในนั้นควานไปมาในร่องของน้องจนน้องแทบจะสำลักควา
มเสียวที่เอก
เป็นผู้มอบให้ยกแรกผ่านไปแต่น้องยังไม่อาจหยุดไว้แค่นั้นตราบใดที่เอกยังไม่ถึงปลายท
างพร้อมกับน้องเอกสอนให้
น้องขึ้นคร่อมสะโพกของเขาแล้วจับสะโพกของน้องยกขึ้นลงขย่มตอเนื้อของเค้าจนน้องเริ่ม
ที่จะจับ


จังหวะเองได้เค้าก็ปล่อยให้น้องรับบทบาทจ๊อกกี้สาวควบม้าหนุ่ม
ความเสียวที่คั่งค้างจากครั้งแรกของเอกทำให้น้องควบม้าไปได้ไม่นานนัก
น้ำรักจากเอกก็พุ่งเข้ามาในร่องของน้องโดยไม่ทันตั้งตัว
ความอุ่นเสียวที่พุ่งเป็นสายเข้ามาในร่องนั้นทำให้น้องรู้สึกสะดุ้งเสียวเป็นอย่างมา

น้องสะอึกตัวเฮือกหนึ่งร่องเสียวขมิบรัดลำเนื้อของเอกตุ๊บๆถี่ๆทิ้งตัวลงนอนทาบทับเอ
กไว้ด้วยความเหนื่อยอ่อน
ขณะที่ท่อนล่างของเรายังไม่แยกออกจากกันน้ำรักของเอกมีมากเหลือเกิน
มันไหลย้อนกลับออกมาทางเดิมจนหน้าขาของเราทั้งคู่เลอะไปด้วยน้ำของเราทั้งสอง เราเดิน
กอดก่ายกันไปเข้าห้องน้ำ เพื่อทำความสะอาดร่างกายหลังจากกรำศึกสวาทมาอย่างหนัก
เอกสอนวิธีลดอัตราความเสี่ยงง่ายๆเบื้องต้นให้กับน้องโดยใช้นิ้วชี้ล้วงเข้าไปในร่อง
ของน้อง
จนสุดโคนนิ้ว แล้วงอปลายนิ้วกวาดเอาน้ำรักที่เอกปล่อยเอาไว้เมื่อซักครู่นี้ออกมา
คราบขาวๆไหลออกมาจากจิ๋มน้องเป็นทาง เอกทำแบบนี้หลายๆครั้ง
จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีคราบคาวเหลือตกค้างอยู่ในจิ๋มของน้องแล้วจึง ได้ลุกขึ้นมาอาบน้ำให้กันและกัน หลังจาก
นั้นน้องหาเหตุผลต่างๆนานามาอ้างกับแม่เพื่อให้เอก สามารถมาค้างที่บ้านน้องได้ในคืนวันเสาร์ แม่น้องไม่ได้
กีดกันอะไรมากแค่ถามความจำเป็นนิดหน่อยก่อนยอมให้อย่างที่น้องขอ แม่ถือว่าน้องโตแล้วสมควรรู้ผิดชอบชั่ว
ดีและรักษาตัวเองได้ แต่แม่คงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ความรักมันเข้าตาน้องจนน้องไม่ได้คิดถึงความสาวของตัวเอ

เสียแล้ว "ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็แค่เยื่อบางๆ" น้อง คิด ไหนๆตอนนี้ตัวจริงในชีวิตของน้องคือเอก แล้วเราจะ
เก็บพรหมจรรย์(ที่ไม่มีแล้ว)ไว้ให้ใครอีก คืนนั้นน้องกับเอกก็หาความสุขร่วมกันวนเวียนขึ้นลงบนร่างกายของ
กันและกันจนกระทั่งน้อง เพลียและหลับไปเรื่องของน้องตอนนี้เป็นตอนต่อจากที่น้องได้ร่วมรักกับเอกจนเพลียหลับ
ไป
เป็นคำบอกเล่าจากปากของเองและน้องสาวของน้องเองค่ะ น้องสาวของน้องชื่อนา
ตอนนั้นน้องนาอายุ 16 อ่อนกว่าน้องสองปี ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็แล้วแต่
ได้ทำให้นาได้ยินเสียงครางของน้องตอนที่น้องกับเอกกำลังมีความสุขกัน นาเอง ก็
ไม่ได้ต่างจากน้องมากนักในเรื่องอารมณ์และความใคร่ ต่างแค่ว่าน้องสาวของน้องไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนมา
ก่อน ยามที่นามีอารมณ์ต้องการจะระบายออก ก็จะมาหาน้องเพื่อบรรเลงดนตรีไทยกันสองคนเท่านั้น
หลังจากที่น้องรับน้ำรักจากเอกเข้าไปจนหมดแรงหลับไปนั้น
เอกก็ได้เดินออกไปเข้าห้องน้ำเพื่อ ทำความสะอาดอาวุธของเขา ซึ่งจะต้องเดินผ่านห้องของนา
เสียงครางที่คุ้นหูดังรอดออกมาจากห้องทำให้เอกอดไม่ได้ที่จะต้องแอบมองว่า
น้องนาทำอะไรอยู่ ผ้าม่านที่พลิ้วไหวตามแรงลมเผยให้เห็นภาพภายในห้องได้อย่างชัดเจน
นากำลังช่วยตัวเองอยู่โดยปากก็พร่ำพูดถึงแต่ชื่อของเอก เอกคงเดาเรื่องออกได้ไม่ยากนัก
นาเองก็อาจจะอยากได้ความสุขแบบเดียวกับที่น้องได้จากเอกเช่นกันประตูที่ไม่ได้ล็อคกล
อนไว้เหมือนรอให้เอกเข้ามาหา
เอกเดินเข้าไปหานาที่กำลังหลับตาพริ้มครางอือๆอย่างแผ่วเบาหน้าอกของนานั้นใหญ่กว่าน
้องแน่นอนด้วยความที่นา
นั้นอวบอั๋นได้สัดส่วนเนินเนื้อที่แผ่กว้างอยู่เต็มหน้าขากับเส้นขนที่ดกดำกว่าน้อง
นิดหน่อยทำให้ดูเหมือนว่านานั้นดูจะน่าพิสมัยกว่าน้อง หามิได้
ถ้าเปรียบเทียบความกว้างใหญ่แล้วน้องอาจจะเป็นรองก็จริงแต่หากพูดถึงรูปร่างและความโ
หนกนูนแล้วน้องน่าจะ
กินขาดด้วยความที่เนินของน้องนั้นโหนกนูนสวยได้รูปและอูมขึ้นมาราวกับ
ภูเขาเอฟเวอร์เรสต์ ต่างกับนาที่เน้นที่อาณาเขตกว้างขวางแบบเขาใหญ่
ชั่วขณะที่นาลืมตาขึ้นมองชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ทำให้นาตกใจเล็กน้อยแต่ก็ช้า
เกินกว่าการที่เอกจะโถมตัวลงมาทาบทับและไล่จูบไปตามซอกคอและใบหู
นาอาจจะตกใจปนประหลาดใจเล็กน้อยที่ชายในฝันมาทาบทับตัวเองอยู่ในขณะนี้
นาเองก็ชอบอะไรที่คล้ายๆกับน้องแม้กระทั่งสเป๊กผู้ชาย
ด้วยความที่นาเองก็ได้ปลุกอารมณ์ของตนมานานพอสมควรแล้วในขณะที่แอบฟังพี่สาวกับเอกทำ
อะไรกันในห้องข้างๆ
//www.kachon.com/board/index.php?s=9c12dfd7a46030fc986ec949fbe13813&showtopic=9118
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:55:47 น.  

 
 
 
ส่วนเอกก็จู่โจมจุดกระสันต์ของนาพร้อมๆกันทั้งปาก หน้าอก และส่วน
สำคัญส่วนนั้นที่ยังไม่เคยมีสิ่งใดลุกล้ำเข้าไปมาก่อนยกเว้นแค่ลิ้นกับนิ้ว ของพี่สาวบทเล้าโลมของทั้งคู่ใช้เวลาไม่
นานนักเนื่องจากอารมณ์ที่กำลังสุกงอม ร่องน้ำของนาเองก็พร้อมที่จะรับ
การเปิดบริสุทธิ์จากแฟนของพี่สาวแล้วเช่นกัน นาอ้าขาออกเพื่อรอรับแก่นกายของเอก
เอกก็เข้าประกบและส่งท่อนเนื้อเข้าหาร่องรักของนาทันที ความ
อึดอัดและเจ็บปวดแผ่ซ่านทันทีที่ลำเนื้อลุกล้ำเข้าไป ใบหน้าของนาบิดเบี้ยว ปากก็ร้องว่าเจ็บแต่สะโพกของเธอไม่
ได้บอกเช่นนั้นเลย ไม่นานนักหน้าขาของทั้งสองก็ประกบกันสนิท เสียงถอนหายใจออกมาจากปากของนาดังเฮือก
ร่องรักของนาก็ใหญ่พอ ที่จะรับอาวุธของเอกได้เช่นกัน เอกเริ่มขยับสะโพกเข้าออก แต่นาร้องบอกว่าอย่าเพิ่ง
เพราะเธอต้องการที่จะเป็นฝ่าย ควบคุมจังหวะเอง เธอผลักเอกให้นอนหงายและตามประกบติดขึ้นไปบนตัวของ
เขาโดยไม่ให้ท่อนเนื้อของ เอกหลุดออกมา สะโพกของนาเริ่มบดบี้กับหน้าขาของเอก เส้นขนของเอกก็ขยี้เข้ากับ
ติ่งเสียวที่ยื่นออกมาเล็กน้อยสร้างความเสียวให้กับนาอย่างมาก
นาเริ่มโชว์ลีลาจ๊อกกี้สาวได้อย่างคล่องแคล่วแม้ว่าจะไม่เคยทำ มาก่อน
เอกนั้นเพิ่งจะเสร็จศึกกับน้องมาทำให้ครั้งนี้นั้นนานมาก ลีลาของมือใหม่อย่างนาไม่อาจพา
เขาไปถึงจุดสุดยอดได้ในเวลาสั้นๆ แต่นาเองนั้นไปถึงปลายทางแห่งความสุขแล้วถึงสามครั้งสามครา
เธอฟุบหน้าลงมาบนแผ่นอกของเอกโดยที่ปล่อยให้ท่อนเนื้อที่ยังแข็งแกร่งคาอยู่ในนั้น
เอกพลิกตัวเธอลงมาและจับขาของนาพาดบ่าทันที เขาเองออกมาจากห้องของน้องนานมากแล้ว
เกรงว่าหากน้องตื่นขึ้นมาไม่เห็นเขาอาจจะมีปัญหาได้เขาเร่งสาวท่อนลำเข้าออกในร่องขอ
งนาทันที
นานั้นได้ถึงสวรรค์ไปแล้ว และยังเพลียอยู่แต่เมื่อมาโดนกระหน่ำ
แบบไม่ยั้งแบบนี้ทำให้เธอตั้งตัวไม่ทันจนความเสียวพุ่งทะลักจนเกือบถึงขีดสุด ซักพักเธอก็ตั้งหลักได้และเริ่มเด้ง
เอวตอบสนองเอกอย่างสนุก ในที่สุดปลายทางแห่งความสุขก็มาถึงอีกครั้ง
นากระตุกร่างยึกๆพร้อมกับร่องเสียวที่มีอาการตอดรัดเล็กน้อย
เอกรู้สึกถึงความแตกต่างของร่องรักของสองพี่น้องอีกที่หนึ่ง กล้ามเนื้อในร่องรักของนา
นั้นยังไม่แข็งแรงพอจะบีบรัดท่อนเนื้อของเขาให้บรรลุถึงความเสียวได้
ซึ่งผิดกับน้องที่มีอาการตอดรัดที่รุนแรงกว่า เขาจึงต้องเร่งสะโพกเข้าออกสุดๆอีกสองสามครั้งพร้อมฉีดน้ำขาวๆข้น
เข้ามาในร่องของนาทันที ทำให้นาที่กำลังสำลักความเสียวอยู่ต้องสะดุ้งเฮือกกับน้ำอุ่นๆที่ฉีดเข้ามาในท้องน้อ

ส่งผลให้เธอเกร็งร่าง กระตุกจนไปถึงสวรรค์ติดๆกันเป็นครั้งที่สอง ทั้งคู่กอดกันจนกลมอยู่พักหนึ่ง
นาจึงได้ผละออกมาพร้อมกับจูบแก้มขอบคุณเอกที่ได้มอบความสุขให้เธออย่างถึงใจที่สุด "พี่เอกไปนอนกับพี่น้องเถอะค่ะ
นาเหนื่อยแล้วและก็สมใจแล้วด้วย" เขาจึงได้ผละออกจากห้องของเธอกลับมานอนกับน้องอีกครั้ง
ความลับไม่มีในโลกอยู่แล้ว น้องมารู้ความจริงในวันรุ่งขึ้น
นั่นเองหลังจากที่เห็นหลักฐานตำตาเป็นคราบน้ำและคราบเลือดจางๆ
บนผ้าปูที่นอนของนา แต่อย่างที่ได้บอกไปแล้ว
ความรักที่น้องมีให้เอกมันมากเกินพอที่น้องจะให้อภัยเอกได้ในทุกๆเรื่อง(ความรักคือก
ารให้อภัยค่ะในความ
คิดของน้อง) นอกจากน้องจะไม่เอาเรื่องนา แล้วเพราะเห็นว่านาก็มีความรักให้เอกพอๆกับที่น้องมีให้
น้องจึงอนุญาตให้นานอนกับเอกได้บ้างเป็นครั้งคราวในกรณีที่น้องมอบความสุขให้เอกไม่ไ
ด้
(เมนส์มา) แต่บางครั้งที่ความ
ต้องการของเราทั้งสามคนตรงกันก็จะอนุญาตให้นาเข้ามาร่วมรักกับเอกและน้องได้พร้อมกัน
ทั้งสามคนเลยค่ะ
//www.kachon.com/board/index.php?s=9c12dfd7a46030fc986ec949fbe13813&showtopic=9118
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:56:43 น.  

 
 
 
วันนี้สุดสัปดาห์ กินเหล้าเคล้าความเสียวกันต่อ
ในบอร์ดอีดอกบัวผ่อง คร๊าบพี่น้อง

เรื่องที่จะเล่านี้เกิดมาประมาณ 3ปี สมัยที่ต้องไปเป็นเซลล์ประจำที่จังหวัดร้อยเอ็ดแล้วเช่าบ้านพักอยู่ที่แถวบึงพลาญชัย
อยู่ชั้นบนชั้นล่างมีเด็กนักเรียนเทคนิดเช่าอยู่ห้องละ4-5คนเป็นนักเรียนหญิงแต่หน้าตาขี้เหล่มาก ด้านข้าง ๆ นั้นเป็นนวดแผนโบราณหมดนวดก็มีอายุมากแล้ว ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะไม่ค่อยชอบหมอนวดแต่มีแคชเชียร์คนหนึ่ง อายุประมาณ 35 ปี รูปร่างเล็กแต่นมเห็นแล้วต้องตกใจชอบแอบมองผมอยู่เสมอจนวันหนึ่งหมอนวดในร้านคนหนึ่ง
เข้ามาชวนคุยที่หน้าห้องแล้วบอกว่
ามีคนแอบชอบอยู่ ก้อเลยบอกให้มาคุยกันก็ได้ แคชเชียร์ก็มาคุยเธอชื่อ ดวงเดือน เป็นแม่หม้ายลูก สาว 1 คน อายุ 16 ปี ลูกชาย 1 คน อายุ10 ปี สามีตามไปแล้วประมาณ 1 ปี ระหว่างที่คุยกันผมก้อแอบมองรูปร่างเธอนมใหญ่มาก พอคุยกันได้พอสมควรเธอก้อไปทำงานต่อผมก้อนอนแก้ผ้าที่ห้องคิดว่าเธอคงไม่มาแล้ว ซักพักหนึ่งเธอมาเคาะประตูห้องผมก็นุ่งผ้าเช็ดตัวเปิดให้เธอเข้ามา เธอรีบบอกว่าหลบแขกในร้านเมาแล้วชอบจับนมเธอ ผมบอกว่าก้อนมใหญ่ใคร ๆ ก้ออยากจับเธอถามผมว่าแล้วผมอยากจับไหมล่ะผมรีบคว้านมเธอแล้วรีบแกะกระดุมเสื้อผ้าออ
ก โอ้โหหอย!!!ของเธอมีหะมอย!!!นิดหน่อยหน้าท้องขาวยังไม่ใหญ่เท่าไหร่หัวนมเธอยังแดงอยู่ ผมดูดนมเธอสลับกับเอานิ้วแย่งเข้าไปบี้เม็ดเธอครางกระเซ่าบอกให้บี้แรง ๆ มือของเธอก็คว้ากล้วย!!!ของผมแล้วบอกว่าใหญ่กว่าผัวเธอเสียอีก ความจริงกล้วย!!!ผมยาวประมาณเกือบ ๆ 6นิ้ว พอเราเริ่มที่ได้อารมณ์ทั้งคู่ ผมก็หยิบปลอกมาใส่ จับเธอนั่งบนเตียงเป็นเตียงแบบพับได้จึงไม่กว้างเท่าไหร่ ให้หลังพิงกำแพงขาจึงห้อยลงมาผมรีบเอากล้วย!!!ไปแกว่งที่ปากหอย!!!ตัวเธอนั่งพิงกำแพงก็เลยเห็นกล้วย!!!ที่กำลังถูไถที่ปากหอย!!!เธอครางซี๊ด....ตลอดเวลา พอเธอหันลงมามองเห็นกล้วย!!!ที่กำลังถูอยู่เธอก็บอกว่า เห็นกล้วย!!!ที่กำลังจะล่อ!!!เธอท่านี้แล้วน่ามองมากจนทนไม่ไหวแล้วรีบ ๆ ล่อ!!!เธอเถอะหื่น!!!จะตายอยู่แล้วผมก็เลยยัดเข้าไปในรูหอย!!!เธออย่างแรงเพราะน้ำหื่น!!!เธอออกมาเยิ้มที่ปากแคมทันทีที่กล้วย!!!เข้าไปมิดรูหอย!!& #33;แล้วผมก็จับเธอเข้าเอวเดินไปรอบห้องพร้อมทั้งเขย่าไปเรื่อยจนไปถึงประตูหลังห้อง
ผมเปิดประตูออกไปแล้วจับเธอนั่งบนขอบกำแพงเราล่อ!!!กันตรงนั้นมันได้อารมณ์หื่น!!!มาก ๆพอซักพักผมก็จับเธอหันหน้าออกไปด้านหลังแล้วล่อ!!!เธอท่ากวางเหลียวหลังดูหน้าตาเธออาย ๆ เธอบอกว่ากลัวคนอื่นเห็น ผมบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอกถ้าตึกที่อยู่ข้างเห็นก็ดีเสียอีก พอเธอชักชินตอนนี้แหละเธอส่ายก้นไปมาเหมือนถ้าทายให้คนอื่นเห็น ตอนนั้นอารมณ์ผมคุมไม่ได้แล้ว ผมซอยไม่คิดชีวิตแต่เธอบอกว่าอย่าเพิ่งออกนัก เราก็เลยคิดแผลง ๆ ว่าให้เธอโทรศัพท์ไปหาเพื่อนเธอที่อยู่ร้านเสริมสวย แล้วแกล้งเปิดเครื่องไว้ช่วงที่เธอกำลังคุยโทรศัพท์นั้น ผมก็ล่อ!!!เธอแรง ๆ กระแทกจนดังพั่บ ๆเธอครางเสียงหลงเข้าไปในโทรศัพท์ ผมพอได้ยินบ้างเพื่อนเธอถามว่าเป็นอะไรทำไมครางเสียงเหมือนกำลังถูกล่อ!!!เลย ผมเลยให้เธอตอบไปตามความจริงเธอตอบไปตามความจริงว่าก็กำลังล่อ!!!กันอยู่เสียวจริง ๆแล้วเธอถามผมว่าจะให้ชวนเพื่อมาไหมผมก็บอกว่าถ้าชอบก็ชวนมาเถอะผมน่ะชอบอยู่แล้วแต่
เธอบอกว่าไม่เอาดีกว่าไม่อยากเห็นผมไปล่อ!!& #33;กับใครผมก็ตามใจเธอแต่โทรศัพท์ก็ไม่ได้ปิดเครื่องคงเปิดไว้เธอครางดังมากจนผมไม่
แน่ใจว่าเด็กข้างล่างได้ยินหรือเปล่าแต่เห็นมีเงาเข้ามาในห้องเหมือนมีคนเดิน ต่อจากนั้นเราก็ล่อ!!!กันหลายท่าแต่ท่าที่เธอบอกว่าชอบมากที่สุด คือท่าที่เธอนอนแหกขาแล้วผมรวบขาเธอให้กางออกแล้วชักกล้วย!!!ออกมายาว ๆแล้วกระแทกให้สุดแต่ตอนนี้เธอบอกว่าเธอชอบเวลาที่ล่อ!!!กันแล้วเปิดประตูไปนั่งที่ระเบียงล่อ!!!กันมันได้อารมณ์เต็มที่ แปลกมากเพราะผัวเธอไม่ค่อยชอบแบบนี้หลังจากที่เราล่อ!!!กันเสร็จแล้ว เธอก็มาหาผมบ่อย ๆ จนเธอชวนเพื่อนเข้าซึ่งจะได้เล่าให้ฟังต่อไป
พอเอาได้
//www.kachon.com/board/index.php?s=9c12dfd7a46030fc986ec949fbe13813&showtopic=9095
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.240.100 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:19:58:33 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆ

วันหยุดสุดสับด่าห์ กินเหล้าเคล้านารี ช่างสุขใจ
แถมมีคนด่า ช๊อบๆๆชอบ

ฮ่าๆๆๆ
หนึ่งจอก ก้าวซ้าย สองจอกก้าวสลับ สามจอกก้าวไม่ออก
สี่จอก หกเก้า

ฮ่าๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.121.253.40 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:20:04:45 น.  

 
 
 
อ่ะๆๆๆ

หายไปไหนกันหมด
ข้าพเจ้า กำลังจะปั้นดารา
ให้เป้นดาราแห่งเวป ดรามา
จะปั้นให้เป็น อีดอกบัวผ่องตอปิโด
จะปั้นให้เป็นอ้ายโฮฮับป่วยหัวคัน ประจันบานกะรถถัง

ฮ่าๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 110.168.102.148 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:20:08:45 น.  

 
 
 
ฮ่าๆๆ

มีบล๊อกฟรีให้บรรเลง ของชอบมากๆๆ
ฝีมืออย่างพวกมรึง ไม่มีโอกาสได้มาแสดงเวปข้าฟเจ้าหรอก ไม่เข้าตากรรมการ

ฮ่าๆๆ

ขอยืมเนื้อที่บล๊อกนี้ เผยแฟ่ธรรมะ อันเป็นอกุศลดีกว่า
ฮ่าๆๆ
อิอิ
คริคริ
ก๊ากๆๆ

ใครใคร่เสพ เสพ
เพราะข้าเพเจ้า เป็นปฐมบรมมาจารย์ แห่งอกุศล
ก๊ากๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 110.168.102.148 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:20:15:31 น.  

 
 
 
ธรรมะอันดับแรก

เมื่อตายจากโลกนี้แล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สาย คือ
๑. อบายภูมิ ได้แก่ เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๒. เกิดเป็นมนุษย์
๓. เกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์
๔. เกิดเป็นพรหม
๕. ไปพระนิพพาน

นั้น ผมว่าไม่ถูกต้องครับ มีที่ไปหลังความตายอีกหลายที่ เช่น

6.พุทธเกษตรของพระพระเจ้าต่างๆ เช่น พุทธเกษตรของพระอมิตาภพุทธเจ้า พุทธเกษตรของพระไภษัทคุรุฯพุทธเจ้า พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ใจมีสติตอนตาย ระลึกถึงพระองค์ หรือท่องพุทโธ จนสิ้นใจ
7.พุทธเกษตรของพระโพธิสัตว์ต่างๆ เช่น พระเยซู เรียกว่า สวรรค์ของพระคริสต์
8.ไปเกิดในมิติอื่นในโลกที่เป็นจักรวาลคู่ขนาน
//fws.cc/whatisnippana/index.php
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 110.168.102.148 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:20:18:19 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆๆ

เดี๋ยวจะไปหาเรื่องเสียวมาให้อ่านกันอีก นะพี่น้อง

ก๊ากกๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.83.135 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:20:29:54 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆๆ

ดรามาเอย จงซับซ้อนยื่งขี้น

อยามาทำตัวซีเดเร๊ะ ก๊ากๆๆๆ



ก๊ากๆๆๆ

 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 110.168.123.124 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:21:49:14 น.  

 
 
 
ก๊ากๆๆๆ

พวกมรึงโดนแบน จากลธมจจจจแล้ว หวะ
ก๊ากๆๆ

เสียท่า เสียฟอร์มจริงๆหละว๊า
ระเบิดพลีชีพ สังหารตัวเองตายคาบอร์ด ก๊ากๆๆๆ


ก๊ากๆๆๆ โง่บานลายวายวอด เลย ผับผ่า

ใบแดง ๆๆๆๆๆๆ

ก๊ากๆๆๆๆๆๆ



 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 110.168.123.124 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:22:33:15 น.  

 
 
 
ขอเอากระทู้และบล๊อกพวกนี้ ไปโพสที่ต์กระทรวงวัฒนะธรรมด้วยเด้อ

ก๊ากๆๆๆ
ไปแระ

จุ๊กกรู๊ๆๆๆๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.94.42 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:22:36:12 น.  

 
 
 
อ่อ

ก่อนจาก ขอมอบภาษิตให้บทนึง


เอาสโลแกนนี้ มาให้พวกมรึงอ่าน

ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง

ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง

ก๊ากๆๆๆ
 
 

โดย: ขำว่ะ IP: 124.120.94.42 วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:22:38:06 น.  

 
 
 
แต้งกิ๋วเจ้าค่ะ
สำหรับ คำแนะนำ และ น้ำลาย
(ที่พ่นออกมา ตาม วุฒิภาวะ ) อิอิ
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 14 สิงหาคม 2554 เวลา:0:03:33 น.  

 
 
 
หวัดเดคร๊า.......

หนูเช่อเหมียนง่วยเป็นอาหมวยชอบกินผักเสี้ยน ซี๊ดดดดดดดดด...

แค่พูดถึงก็น้ำหอย เอ๊ย น้ำยายไหยย้อย ต้องใช้ลิ้นปาดตวัดเลีย เสียดัง จร๊วบบ...จร๊วบบบบ.....จร๊วบบบบบบบบบบ

เอ่อ...........เด๋วท่านพูเฒ่าทังหลายจาฉงฉัยว่าอาหมายโผล่มาได้ไง

อิอิ

เอาจู๋ เอ๊ย หี เอ๊ย เอาหูมา
หนูจากาซิกบอกห้ายยยยยยยย.... ฮิฮฺ

วันนี้เหมียนง่วยไม่ได้ไปโลงเลียน และกะลังซดน้ำผักเสี้ยนดอง ขณะลองเซิชหาเรื่องเสียวซี้ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ก๊ะพอดีเจอเช่อหนุ่มตี๋ป่วยหัวคัน เลยดึงดันเข้ามาบล็อกนี้ หนะคร้า

ทีแรกเก๊าะงงๆ บล็อกอารายจับฉ่ายชิเป๋ง
ตกลงอิเจ้าเจ้าของบล็อก อิจาคุยธรรมะ หรือ จาคุ้ยทำโม๊ะของมันกันแน่ฟระ เหอ.....เหอ......

แบ่บว๊า........อาหมวยยังร้ายเดียงสา เอ๊ย ไร้เดียวสา
มะค่อยเข้าใจมารยาสาไถย อุ๊ย ขออภัยนะคร่ะ
คือว่า........หนูมะค่อยเข้าใจภาษาทำโม๊ะของพวกพูหญ่ายอย่างอิเจ้ น่ะคร้า

หุหุ

เห็นเช่อห้อง สุมหัวควยกัน เอ๊ย สุมหัวคุยกัน
หนูก๊ะรี่เข้ามากะว่าจะได้อ่านเรื่องเสียวของอาตี๋ป่วยฯ จุ๊กกรู

แต่สวานนนนนน ด๊าน.....ไม่เป็นอย่างที่คิส

หนูต้องมาอ่านชีวิตดราม่าแต่หนหลังของอาแปะบุญพิชิตแทน ซ้าเนี่ยยยยยยย

ขอบอกว่า..........วัยรุ่นเซร้งงงงงงงงงงง

ง๊า........ง๊า........

อาเหมียนง่วยไปซดน้ำผักเสี้ยนต่อดีก่า

ซู๊ดดดดด..........ซี๊ดดดดดด..........อาาาาาส์

แผล่บ แผล่บ
 
 

โดย: อาเหมียนง่วย IP: 27.55.127.104 วันที่: 15 สิงหาคม 2554 เวลา:15:50:00 น.  

 
 
 

อ้าว มาเปิด โครงการ สอง ที่นี่เอง

 
 

โดย: มดเอ๊กซ IP: 14.207.235.182 วันที่: 23 สิงหาคม 2554 เวลา:15:46:26 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นู๋บี
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add นู๋บี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com