|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
Requiem for a dream : สวัสดีฝันร้าย
ผลงานสร้างชื่อของผู้กำกับดาเรนที่แสนจะน่าทึ่ง แทบจะทำให้ลืมหนังที่ว่าด้วย "ผลกระทบจากยาเสพย์ติด"เรื่องที่เคยดูมาก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
หนังเล่าเรื่องของตัวละคร4ตัวที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับยาเสพย์ติดและอยู่กับความฝันลมแล้งๆที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่ช้าก่อน นี่ไม่ใช่หนังประเภทสั่งสอนศีลธรรมหรือแสดงให้เห็นถึงผลร้ายของยาอย่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเราชอบเอามาใช้เด็กๆดู เพราะหนังเหี้ยมโหด และมองโลกแบบไร้ความเมตตา
การที่หนังแบ่งตัวเองเป็น3ช่วง (summer, fall, winter) พอจะบอกเราได้เป็นนัยๆว่าตัวละครต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่เกิดคาดเดาเพราะตั้งแต่ต้นจนจบเราจะได้เห็นพัฒนาการของบรรดาตัวละครทั้งหลายที่ค่อยๆเคลื่อนจากฤดูร้อนอันสดใส ร่วงหล่นลงอย่างน่าเวทนาในฤดูใบไม้ร่วง และจบลงด้วยความมืดมิดในฤดูหนาว แน่นอนว่า ฤดูกาลไม่หวนกลับ มันมีแต่เคลื่อนไปข้างหน้า และทิ้งซากของสิ่งที่เคยมีชีวิตทั้ง4ไว้เบื้องหลัง
ช่วง15นาทีสุดท้ายของหนังถือว่าเป็นฝันร้ายบนจอภาพยนตร์อย่างแท้จริง มันตรึงผมให้อยู่กับที่ไม่กล้าหายใจแรง ไม่กล้ากระพริบตา ความฉิบหายที่หนังประเคนให้กับตัวละครทั้ง4นั้นชวนให้สยองจนขนหัวลุก ไม่มีปีศาจที่ไหนจะทำร้ายมนุษย์ได้รุนแรงเท่ากับสิ่งที่มนุษย์ทำกับตัวเอง เพราะยามที่เราอ่อนแอ ศัตรูที่เอาชนะยากที่สุดก็คือตัวเราเองนั่นแหละ
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่เคยใกล้ชิดคนที่มีปัญหาเรื่องยาเสพย์ติดมาบ้าง ร้อยทั้งร้อยบุคคลเหล่านี้ล้วนแต่มีปัญหาทั้งนั้น แต่ที่แน่ใจที่สุดคือบุคคลเหล่านี้ล้วนแต่มีจิตใจที่เปราะบางและอ่อนแอ ผมเองเคยหงุดหงิดและหันหลังให้บุคคลเหล่านี้เพราะเชื่ออยู่ลึกๆว่าบุคคลเหล่านี้ล้วนแต่ ทำตัวเอง ในเมื่อแกอยากติดยาเอง แกก็หาทางเลิกเองละกัน สิ่งที่เห็นได้บ่อยคือบุคคลเหล่านี้จะถูกทอดทิ้ง (ตราบใดที่แกยังเสพย์ยาอยู่ในห้องของแก ไม่เข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของฉัน ) เหมือนกับฉากหนึ่งในหนังที่นางเอกกรีดร้องในอ่างน้ำ ถึงจะกรีดร้องให้ดังสักแค่ใหนก็ไม่มีใครได้ยิน เป็นได้แค่เสียงกรีดร้องให้กับวิญญาณของตัวเองที่กำลังแหลกสลาย
ผมไม่เคยเห็นใครสามารถเลิกยาได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ที่เคยเห็นเลิกสำเร็จนั้นล้วนมาจากแรงสนับสนุนอย่างแรงกล้าที่มาจากภายนอกเป็นส่วนสำคัญ หากคนติดยาคือคนหลงทาง การปล่อยให้คนหลงทางหาทางออกด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ทำได้ยากจนน่าขำ (พราะถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาคงไม่หลงเข้ามาในจุดนี้ซะตั้งแต่แรกแล้ว) แต่มีเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือคนติดยาที่ผมรู้จัก ไม่เคยมีใครเลิกอย่างเด็ดขาดสักคน ไม่ช้าแทบทุกคนก็กลับเข้าสู่วังวนเดิมๆ และไม่ยอมรับว่าตัวเองติดยา (ฉากที่นางเอกในเรื่องพูดหลังจากยอมพลีกายเพื่อแลกกับยาว่า ฉันไม่ได้ติดยาซะหน่อยจึงทำให้ผมขำขื่นแบบสุดๆ เพราะเคยได้ยินประโยคเดียวกันนี้เป๊ะๆจากปากเพื่อนคนหนึ่ง)
สิ่งที่ยอดเยี่ยมในหนังเรื่องนี้คือการตัดต่อ การใช้เทคนิคด้านภาพที่หวือหวาแต่ทว่ากลมกลืนไปกับเนื้อหาและส่งเสริมอารมณ์ให้กับสถานการณ์ รวมทั้งเพลงธีมในเรื่องที่กระตุ้นความรู้สึกหวาดหวั่น ไม่น่าวางใจคล้ายกับเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดในอีกชั่วอึดใจข้างหน้า ที่สำคัญคือมันติดหูมากๆ ติดหูจนบรรดาละครไทยๆเอาไปใช้กันเอิกเริก
เจนนิเฟอร์ คอลเนลลี่ควรได้ออสการ์จากเรื่องนี้(เธอไม่ได้แม้กระทั่งเข้าชิง)มากกว่าที่จะได้จาก a beautiful mind ประมาณ10เท่า กับบทบาทที่แรงได้ใจและการแสดงที่สุดยอด(สังเกตดวงตาของเธอในหนังเรื่องนี้ให้ดี มันเป็นดวงตาแบบเดียวกันกับ ไรอัล กอสลิ่ง ใน Half nelson) ส่วนเอลเลน เบิร์นสตี นั้นก็ปล่อยของซะจนอยากจะจุดธูปไปบูชาสัก10ดอก
ความฝันบ้าๆบอๆอาจจะมีเอาไว้แค่ปลอบใจตัวเอง กว่าเราจะรู้ตัวว่าเรามาไกลเกินกว่าจะยื่นมือไปเอื้อมคว้ามันเราก็มายังจุดที่หันหลังกลับไม่ได้แล้ว (ในกรณีของยาเสพย์ติด จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมพบว่าแค่ลงมือ ได้ลอง ครั้งเดียว มันก็มีความเป็นไปได้สูงเกินครึ่งแล้วว่าคุณจะหันหลังกลับมาไม่ได้อีก) สิ่งที่ยังพอหลงเหลืออยู่อาจจะเป็นแค่การหวนรำลึกถึงมัน สวดส่งให้กับมัน ในวันที่เราติดอยู่ในห้องแคบๆของฤดูหนาวและไม่เหลืออะไรที่จับต้องได้อีกต่อไป นอกจากเศษซากของความฝันที่ยังคงวนเวียนหลอกหลอน และหัวเราะเยาะเราในความมืด.
Create Date : 12 พฤษภาคม 2551 |
|
3 comments |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2551 10:55:15 น. |
Counter : 765 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: g IP: 125.26.246.173 14 ตุลาคม 2552 10:29:54 น. |
|
|
|
| |
|
|
อยากทำบ้างจัง
แต่สงสัยแค่ยาคูลท์เขาก็ไม่ให้