|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ฉัน เพื่อนของฉัน และช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน
{แกคิดว่าพวกเราจะสนิทกันเหมือนเดิมมั๊ย?}
ฝนหลงฤดูยังคงโปรยปรายลงมาเรื่อยๆ ผู้คนที่เคยขวักไขว่อยู่เมื่อชั่วโมงที่แล้วเริ่มบางตาลง ฝนยังไม่หยุดตก ผมยังไม่เขยื้อนไปไหน การนั่งหลับตาฟังเพลงจากไอพอดฆ่าเวลาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก จะมีเรื่องให้หงุดหงิดบ้างก็เห็นจะเป็นอากาศที่ค่อยๆเย็นลง และผมเองก็ไม่ได้หยิบเสื้อแขนยาวติดมือมาเลยสักตัว
เวลา3ทุ่มตรง ไม่มีวี่แววของใครเลยสักคน พวกเรา 6 คนนัดรวมพลกันที่สถานีขนส่งแห่งนี้เพื่อจะออกเดินทางตอนสามทุ่มครึ่ง ผู้คนเริ่มบางตาลงทุกที...หนุ่มสาวที่นั่งกระซิบกระซาบกันเบาๆตรงเก้าอี้ด้านหลังลุกขึ้นยืน ทั้งคู่กำลังจะออกเดินทาง ทิ้งผมให้นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว ผมยักไหล่...นึกตำหนิตัวเองที่มาก่อนเวลาเดินทางตั้งชั่วโมงกว่าๆ...แต่ชั่วอึดใจ เสียงโทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น
{เราคิดถึงมันนะ แต่เราไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง}
หยดน้ำฝนไหลผ่านกระจกเป็นทางยาว อากาศในรถเย็นเฉียบ ผมคลี่ผ้าห่มออกมาคลุมตั้งแต่ช่วงสะเอวจนถึงปลายเท้า กลิ่นสาบของมันสร้างความคุ้นเคยให้กับผมอย่างประหลาด ภายในรถปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากรถที่แล่นสวนไปมาที่จะส่องเข้ามาในรถนานๆครั้ง...แต่ก็เพียงพอให้เราเห็นหน้าคู่สนทนาที่นั่งอยู่ในความมืด
บรรยากาศในรถโดยสารตอนกลางคืนทำให้ผมเศร้าทุกครั้ง มันมีกลิ่นบางอย่างลอยอยู่ในนั้น อะไรที่จะกระตุ้นให้เรานั่งปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย...มักจะเป็นเรื่องเศร้าๆในอดีต เรื่องราวที่ไม่อาจแก้ไข เรื่องราวที่ทำให้เราภาวนาอยากให้รถแล่นเร็วขึ้น เราจะเปิดกระจกรถออก... แล้วโยนมันทิ้งลงไปข้างถนนตรงไหนสักแห่ง
ผมคิดเล่นๆว่ารถเหล่านี้เหมือนโลงศพติดล้อที่ทำจากเหล็ก...
{นอนไม่หลับเหรอ ลืมตาอยู่ตลอดเลยนี่}
การนั่งอยู่บนท้ายรถกระบะตอนเวลาตีหนึ่งกว่าๆเป็นเรื่องที่เกินคาดหมาย แต่ผมชอบมัน...เม็ดฝนเม็ดเล็กๆกระทบใบหน้า ถนนว่างเปล่า ไม่มีรถวิ่งสวนมาเลยสักคัน พื้นถนนที่เปียกแฉะจากน้ำฝนถูกย้อมให้เป็นสีส้มด้วยแสงไฟสว่างจ้าจากเบื้องบน มองดูคล้ายฉากในฝันร้าย ผมหันหลังกลับไป ป่านนี้รถทัวร์ที่เราจากมาจะเดินทางไปถึงไหนแล้วหนอ...
ใบหน้าเหล่านั้นล้วนคุ้นเคย...น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยล้วนคุ้นชิน ภายในห้องแคบๆเกือบสิบชีวิตตกอยู่ในห้วงนิทรา การมาถึงของพวกเราทั้งหกคนฉุดให้ชีวิตเหล่านั้นหลุดพ้นจากนิทราแสนหวาน ผมวาดรอยยิ้ม จับมือ และพูดจาทักทาย แม้จะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังลืมตาเพียงครึ่งเดียว... เวลาเกือบตีสอง การโอภาปราศรัยผ่านไปแล้ว ทุกคนพยายามข่มตาให้หลับลงอีกครั้ง ผมสลัดความเมื่อยขบออกจากร่างกาย หาที่ว่างแคบๆเพื่อซุกตัว โดยมีคู่ต่อสู้คือความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
{ถ้าจมน้ำตายตรงนี้ แกว่ากี่วันถึงจะมีคนพบศพ}
ทะเลต้องคู่กับแสงแดด ไม่มีใครบัญญัติไว้แต่ผมคิดเอาเองว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น นักท่องเที่ยวหัวดำหัวแดงที่รีบวิ่งเข้ามาหลบฝนในเรือกันจ้าละหวั่นเป็นภาพที่ทำให้ผมอมยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ฝนตกหนัก...ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา ผืนน้ำกลายเป็นสีขาว แต่เรือที่เรานั่งยังคงทะยานต่อไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าเดิม
บรรยากาศในเรือช่างคึกคัก มีเสียงหยอกล้อ พูดคุย เอะอะโวยวาย มันคืออีกหนึ่งสัญญาณของความมีชีวิตชีวา ผมเงี่ยหูคอยจับบนสนทนาที่ตีกันตลบอยู่ในห้วงอากาศ เรื่องเล่าน่าสนุก ตลกขบขัน เรียกเสียงหัวเราะ...เหมือนกับความทุกข์ทั้งหลายถูกทิ้งไว้ที่ท่าเรือ และเราแกล้งลืมไปว่าจะต้องหยิบมันกลับมาแบกไว้อีกครั้งในตอนขากลับ
น่าดีใจที่สุดท้ายดวงอาทิตย์ก็โผล่มา เมฆหมอกผ่านไป...อย่างน้อยก็สำหรับช่วงเวลานี้ นักท่องเที่ยวทั้งหลายเคลื่อนกายกลับออกไปรับแสงแดด ผมหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม เดินออกไปบิดขี้เกียจข้างนอก แลเห็นเรือหางยาวลำเล็กๆแล่นตัดผ่านเส้นขอบฟ้า ไกลสุดสายตา ยังเห็นเมฆฝนทะมึนก่อตัวอยู่เงียบๆ...มันยังไม่จากเราไปไหน ฝนพร้อมที่จะตกได้ทุกเมื่อ...ยามที่เราเผลอ น้ำทะเลเย็นเฉียบและรสชาติเค็มปี๋เหมือนกันทุกที่ กว่ายี่สิบชีวิตแหวกว่ายอยู่ในผืนน้ำสีเขียว ตาผมพร่ามัวเพราะหน้ากาก snorkel เก่าๆปล่อยให้น้ำทะเลทะลักเข้ามาเต็มเบ้าตา โลกใต้ท้องทะเลไม่ทำให้ผมตื่นเต้นอะไร...ซากปะการังผุๆกับฝูงปลาเพียงหยิบมือ
ผมคงอ้อยอิ่งอยู่นานเกิน เพื่อนๆส่วนใหญ่ขึ้นฝั่งกันหมด ผมรีบว่ายน้ำเพื่อให้ตัวเองถึงฝั่งเร็วขึ้น และภาวนาว่าผมคงไม่ถึงที่นั่นเป็นคนสุดท้าย...
{มีมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่ง เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตแบบมนุษย์ มันคิดว่าการที่มันรูปร่างเหมือนมนุษย์ คิดเลียนแบบมนุษย์ พร่ำบอกคนอื่นว่ามันคือมนุษย์...จะทำให้มันกลายเป็นมนุษย์เข้าจริงๆสักวัน}
คืนนั้นไม่มีลมพัด ทั้งที่บ้านพักเราอยู่ริมทะเลแต่ทิวสนหน้าบ้านกลับยืนนิ่งสงบไม่ไหวเอน ฝนเริ่มโปรยลงมาอีกครั้ง โต๊ะ เก้าอี้ ขวดเหล้า ถูกยกกลับเข้าไปข้างใน วงเหล้าเคล้าแสงดาวของเราถูกทำลายลงด้วยเมฆฝนบางๆกลางค่ำคืนของฤดูร้อน
บรรยากาศวงเหล้าส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน เฮฮา บ้าบอ ไร้สติ ดีที่เสียงฝนตกช่วยอำพรางเสียงดังจากกลุ่มพวกเราไปได้บ้าง อากาศที่เย็นลงไม่เป็นปัญหา เมื่อแอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งต่อกันไปมือต่อมือ...ขวดเหล้าพร่องลง เสียงหัวเราะดังขึ้น และผมก็หน้าแดงขึ้นด้วย... ผมชอบช่วงเวลานั้น แอลกอฮอล์อาจมีส่วนให้เกิดอุปทานหมู่ กลุ่มคนเหล่านี้ทำให้ผมได้เห็นบางอย่างในตัวผมเองที่ผมไม่ได้เห็นมาสักพัก และผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดถึงมันมากแค่ไหน...ผมนั่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มเผลอทำให้ผมคิดว่าถ้าช่วงเวลานั้นเป็นนิรันดร์ได้ก็คงจะดี...
เราแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนก่อนเข็มนาฬิกาจะชี้ไปที่เลขสอง วงเหล้าค่อยๆแยกจากกันไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงเอะอะโวยวายใดๆ อาจเป็นได้ว่าพวกเราแก่ขึ้น การทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดอาจลดลงตามกาลเวลา
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างมึนงง อีกสามชีวิตที่นอนอยู่ข้างๆส่งเสียงหายใจฟืดฟาด เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วล่วงหน้า
ม่านประตูยังไม่ถูกปิด ไฟหน้าบ้านยังเปิดอยู่ เพียงแต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นอีกต่อไป เหลือแค่โต๊ะว่างๆกับขวดเครื่องดื่มวางระเกะระกะ มองฝ่าทิวสนที่ตะคุ่มอยู่ในเงามืดทะลุไปยังถนน แสงไฟริมทางก็เงียบเหงา มีแค่แมลงโง่ๆไม่กี่ตัวบินชนหลอดไฟอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อยากให้พรุ่งนี้ฝนหยุดตก อยากให้พรุ่งนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า และอยากให้พรุ่งนี้เมฆหมอกสีเทาจางหายไป.
Create Date : 01 เมษายน 2552 |
Last Update : 1 เมษายน 2552 17:45:38 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1427 Pageviews. |
|
|
|
โดย: badinblood วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:21:59:11 น. |
|
|
|
โดย: เด็กเกาะ IP: 118.173.19.196 วันที่: 23 เมษายน 2552 เวลา:17:27:34 น. |
|
|
|
| |
|
|
อ่านเพลินดีครับ
จนไม่อยากใ้ห้จบเลยล่ะ