''พระเจ้าเป็นคนบราซิล คือหัวเรื่องงานบอลโลกชิ้นแรก ตอนนั้นได้แต่มโนเอาเอง กอดหมอนข้างน้ำลายเยิ้มวาดภาพไปต่างๆ นานา รู้แต่ว่ามันน่าจะใช่ ทว่าวันนี้ผมเชื่อวลีนี้อย่างสนิทหัวใจ''
รสชาติของการเดินทางจะมีรสหนึ่งที่เหมือนกัน ไม่ว่าได้สวมรองเท้าไปแห่งหนตำบลใด ซึ่งยังว่ากันอีกว่ารสนี้จะอยู่ติดลิ้นของเราไปตลอดชีวิต
หนึ่งเดือนผ่านไป ฟุตบอลโลกจบลง จากนี้ไปทุกอย่างก็คือกลับมาสู่สภาวะปกติ คงไม่ได้เห็นอีกต่อไปแล้วที่ทั่วท้องนครฉาบด้วยสีเหลือง คงจะไม่ได้เจออีกแล้วบรรยากาศของความสนุก เป็นการตักตวงทุกอย่างเข้าไปตามครรลองของการบำเรอชีวิตที่แท้จริง และคงต้องรออีกไม่รู้เท่าไหร่กว่าประเทศอย่างนี้จะได้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกจากทุกมุมของโลกอีก
ผมนั่งเขียนงานชิ้นนี้ตอนตีห้าเศษ เหลืออีกหลายชั่วโมงกว่านัดชิงชนะเลิศเขี่ยลูก หากก็ยังคุยกับตัวเองอยู่ว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก ยังจำวันที่ถอดเสื้อ ยื่นแขนให้คุณหมอสัญชาติปากีสถานปักเข็มฉีดยาได้อยู่เลย แถมยังกำชับแกมขู่โน่นนี่ว่ามาบราซิลต้องระวังตัวให้มาก ทำนองว่ากำลังออกรบยังงั้น ก็ยังแอบหัวเราะพอคิดถึงวันแรกที่ลากกระเป๋าออกจากสนามบิน วันนั้นฝนตกหนัก ก็โชคดีที่ได้น้องแพร สาวไทยที่ออกมากางปีกอยู่ในริโอ เด จาเนโร ด้วยตัวเองได้สามปี คอยช่วยเหลือจนถึงที่พักอย่างปลอดภัย
ไม่เคยลืมกับประโยคที่พี่โจ้พูดในวงคืนนั้น มีผม, เจมส์ ลา ลีกา, ซันเดย์ และเจ้าเบิร์ด ตากล้องจากช่องสยามสปอร์ต นิวส์
''อย่าทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป เอาตัวรอดไว้ก่อน นี่กูเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนที่พวกมึงออกไปกันหมดแล้วต้องอยู่บ้านคนเดียวจะเป็นยังไง ขอให้พระคุ้มครองโว้ยยย''
เราต่างมองตากัน ไม่มีคำพูดใดหลุดล่วงออกมา ต่างเข้าใจเต็มอกว่านับแต่วินาทีนั้นคงต้องผจญกับอะไรหลายอย่างเพื่อให้งานลุล่วงสำเร็จ ต่อให้เตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทะลวงเข้าเว็บไซต์ต่างๆ หาหนังสือมาอ่าน เรียนรู้วิถีของเขา หากเป็นไปได้ก็อยากลองเข้าคอร์สหัดเต้นระบำแซมบ้าดูซะเลย ทำไมใครๆ ก็พูดถึงจังว่าเจ๋งสุดหาใครเทียบไม่มี ก็คงมีแต่ชนชาตินี้ที่เอ่ยถึงฟุตบอลก็ต้องมีเรื่องของดนตรีเข้ามาขนาบคู่ทันที
หันออกมองวิวนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่สว่างซะทีเดียว ตอนนี้มันคงกำลังงัวเงียอยู่ อาจจะขออู้ต่ออีกสัก 15 นาที แล้วค่อยมาทำหน้าที่จุดประกายแรงบันดาลให้ผู้คนมากมาย
ผมเคยเป็น คุณก็ต้องเคย
วันที่ขยี้ขี้ตาแล้วรู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากลุกจากเตียงเลย ยิ่งมาทัวร์นาเมนต์แบบนี้ด้วยต้องส่งงานทุกวัน ก่ายหน้าผากก็แล้ว จ้องเพดานก็แล้ว หัวสมองแทบระเบิด หาเรื่องกระแทกแป้นไม่ได้ ถ้าอัจฉริยะถึงขนาดเห็นภูเขาลูกเดียวนำมาจินตนาการให้ได้หนึ่งหน้ากระดาษก็คงดี ทว่าความจริงคือไม่ใช่ มันยากพอๆ กับคำถามที่ว่า ''พวกคนบราซิลพูดอย่างไร พวกเขาเดินกันอย่างไร พวกเขากินอยู่กันอย่างไร พวกเขาแต่งตัวกันอย่างไร พวกเขาร้องเพลงอะไรกัน พวกเขาเต้นระบำด้วยท่วงท่าแบบไหน และพวกเขาทำไมถึงคือชาติมหาอำนาจทางกีฬาฟุตบอล''
ใช่ครับ หากยังแสวงหาคำตอบให้ไม่ได้ ก็ย่อมเป็นทุกข์ของคนเขียน เพราะเหมือนว่าเรายังมาไม่ถึง
ไม่ใช่ความลับ ผมเองก็อาศัยฟืนไฟจากตัวอักษรของผู้รักการสวมรองเท้ามาเป็นต้นแบบ สิ่งที่ถ่ายทอดออกจากคอลัมน์นี้ก็เป็นพลังงานที่สั่งสมมาจากการอ่าน จากนั้นก็ต้องไปสืบเสาะหาแก่นแท้ให้ตัวเองว่ามันใช่หรือไม่
หลักหนึ่งของโลกใบนี้ง่ายแสนง่ายเพียงคำสองคำ
ใช่หรือไม่
ผมยินดีเสมอที่ได้เดินทาง จะใกล้หรือไกลก็ตาม มีความสุขที่ได้เจอเรื่องราวที่แขวนเอาไว้ระหว่างทาง ได้โอกาสรู้จักสหายใหม่ ต่อให้มันอาจเป็นเพียงโมงยามเล็กๆ สำหรับชั่วอายุขัยหนึ่งก็ตาม เป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะมาบอกกับตัวเองว่าเราเข้าถึงเส้นชัยเรียบร้อย โดยพอเหลียวหันหลังกลับพบแค่รอยเท้าเพียงคู่เดียว
''พระเจ้าเป็นคนบราซิล'' คือหัวเรื่องงานบอลโลกชิ้นแรก ตอนนั้นได้แต่มโนเอาเอง กอดหมอนข้างน้ำลายเยิ้มวาดภาพไปต่างๆ นานา รู้แต่ว่ามันน่าจะใช่ทว่าวันนี้ผมเชื่อวลีนี้อย่างสนิทหัวใจ
ดิลม่า รุสเซฟฟ์ อาจจะกำลังกลายเป็นเพียงอดีตประธานาธิบดี เพราะการเลือกตั้งหนต่อไปในเร็วๆ นี้คงยากที่จะได้รับคะแนนโหวตสูงสุด หลังจากผลงานของทีมลูกหนังเข้าขั้นล้มเหลว ชนชาติอื่นอาจมองการเมืองกับฟุตบอลแยกจากกัน แต่สำหรับที่นี่พวกเขาเชื่อว่ามันคือของอย่างเดียวกัน จะเป็นหรือตาย จะสุขหรือทุกข์ ทุกข้อผิดพลาด ทางรัฐบาลต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะกับเกมกีฬาอันแสนงดงาม
ครั้งหนึ่งสตรีเหล็กของชาวเมืองกาแฟเคยกล่าวเอาไว้ ''ดิฉันรู้สึกว่าพวกเขา (อาร์เจนตินา) โชคดีที่มีพระสันตะปาปาที่สุดยอด จึงขอแสดงความดีใจด้วยแต่ถ้าโป๊ปเป็นอาร์เจนไตน์แล้ว พระเจ้าก็คือบราซิลเลียน''
ข้อความนี้ทำเอาบางคนถึงกับรีบแพ็กกระเป๋ามาค้นหาความจริงกันเลยว่ามันมีนัยยะซ่อนเร้นอย่างไรกันแน่ ก็คงอย่างนั้น เชื้อเพลิงของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกัน
มีบางประโยคขับเคลื่อนผมเองมาตลอดจนถึงวันนี้ วันสุดท้ายของเวิลด์ คัพ ครั้งที่ 20
''ไม่มีประเทศไหนอีกแล้วที่จะใกล้ชิดกับฟุตบอลเท่านี้ เป็นเวลานับร้อยปีที่ผู้คน, นักการเมือง และนักกวี ต่างได้เข้ามามีส่วนหล่อหลอมให้เกมที่สุดยอดขึ้นมา มันยังได้ทำให้ประเทศผนึกใจเป็นหนึ่งขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึงความแปลกแยกในบางเรื่อง นับแต่ปี 1938 เมื่อบราซิลเข้าร่วมฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส ซึ่งจึงถือเป็นหนแรกที่ทำให้คนอื่นๆ ได้รู้จักว่าฟุตบอลบราซิลเลียนเป็นอย่างไร จากนั้นก็เลยเกิดเป็นวลีของคำว่าเกมอันสวยงามขึ้น อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่งมันก็สะท้อนความจริงของฟุตบอลในประเทศที่ฝังลึกลงสู่รากของสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง ด้วยความยากจนทำให้นักเตะหลายคนกระหายที่อยากจะเล่นให้เก่ง ทว่า การโกงกินและการเอารัดเอาเปรียบจากคนบางจำพวกก็ทำให้เกมฟุตบอลของบราซิลตกต่ำลงมา ซ้ำยังเกิดความรุนแรง อย่างไรก็ตามเพราะพระเจ้าเป็นคนบราซิล จึงทำให้พวกเขายังคงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้''
ยุคสมัยอาจเปลี่ยนไปตามแรงเหวี่ยง
ทว่าจะกี่ครั้งชาติที่รุ่มรวยเมล็ดพันธุ์กาแฟก็มักเป็นตัวเต็งเขมือบโทรฟี่เสมอ แม้แต่หนนี้กับทีมชุดที่ขี้เหร่สุดในประวัติศาสตร์ก็ยังถูกมองว่าเป็นเต็งจ๋า
ทุกสนาม ทุกเมืองที่ผายมือรับฝูงมนุษย์หลากเชื้อชาติได้บอกเล่าให้ทุกคนสามารถกลับไปเล่าต่อให้ลูกหลานฟังได้ว่า ครั้งหนึ่งเคยมาเหยียบดินแดนอันมหัศจรรย์ เนื่องจากพงศาวดารบันทึกเอาไว้คนละแบบ เป็นเรื่องการล่าอาณานิคมเมื่อครั้งกระโน้นหากก็น่าทึ่งที่ชาวบ้านพูดภาษาสเปนกัน คงมีแต่พวกเขาที่ยึดภาษาโปรตุกีส
จึงควรประหลาดใจไหมที่ทำไมเวิลด์ คัพ หนนี้ถึงเต็มด้วยเสียงฮือฮาตั้งแต่วันรูดม่านเป็นต้นมา มีเกมแห่งความทรงจำ มีการทำลายสถิติ มีคดีอื้อฉาว มีปรากฏการณ์ชวนให้วูบวาบ มีความน่าสะพรึงกลัว มีน้ำตาท่วมที่คล้ายว่าร่วงหล่นมาจากผืนฟ้า
ลูล่า อดีตประธานาธิบดีคนเก่าเคยบอกเอาไว้ตอนได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพว่า ''พระเจ้าทราบดีว่าทำไมเราถึงต้องได้จัดบอลโลก''
ก็คงมีแต่ประเทศนี้ที่ไม่ว่าไปไหนก็ต้องเจอคนจับกลุ่มไล่กวดลูกบอลกัน จะบนพื้นปูน, ดินลูกรัง หรือว่าตามเม็ดทรายเลียบชายหาด
ก็คงมีแต่ประเทศนี้ที่ผู้คนผสมปนเปกันจนยุ่งเหยิง จากเหนือจรดใต้ก็ล้วนผิดเพี้ยนจากกันเลย บ้างผิวดำ บ้างผิวขาว บ้างผิวสีน้ำตาล หรือบางทีห่างกันเพียงไม่กี่หลาก็ทำให้สะดุ้งได้แล้ว
ก็คงมีแต่ประเทศนี้...
34 วัน 7 เมือง 11 แมตช์ เป็นการเดินทางที่คงจะหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้ ผมเข้าใจผิดเองว่ามันน่ากลัว ไปแล้วก็คงต้องเอาแต่ซุกอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ขืนย่างเท้าออกไปมีอันตรายรายล้อมแน่ นี่คือการฟุ้งซ่านของมนุษย์ที่มักทำให้เขาผู้นั้นไม่สามารถหยิบชมโอกาสที่ดีมาเชยชม
เคยสมองตีบตันว่าวันนี้จะเขียนเรื่องอะไรดี และเคยที่รู้สึกกระชุ่มกระชวยพอเปิดโน้ตบุ๊กมาวางตรงหน้า ท่องเอาไว้ในใจเลยว่าวันนี้ต้องเค้นออกมาจากอกข้างซ้าย ละเลียดออกมาให้บรรเจิดที่สุด
ความจริงคือคนบราซิลน่ารักมาก พวกเขาอาจมองว่าเราแปลก เราก็เช่นกันจำต้องตีราคาพวกเขาว่าเป็นประสบการณ์อันแสนยิ่งใหญ่
หากทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา...
''ไก่ป่า''