บราซิลถือเป็นมหาอำนาจในโลกฟุตบอลมาอย่างยาวนาน คว้าแชมป์โลกมากที่สุดในบรรดาทุกชาติถึง 5 ครั้ง มีนักเตะเป็นสินค้าส่งออกสำคัญพอๆ กับกาแฟและชื่อเสียงของงูอนาคอนด้า
นักเตะชื่อดังที่สุดที่เรียกว่าเป็นตำนานของทีมแซมบ้าคงหนีไม่ เปเล่ คนบราซิลทั้งประเทศและคนทั่วโลกรู้จักตำนานคนนี้เป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ใครเป็นคนเอาฟุตบอลเข้ามาเผยแพร่ในบราซิล
เขาคนนั้น คือ ชาร์ลส์ มิลเลอร์ หนุ่มบราซิลที่มีเชื้อสายบริติช เพราะพ่อเป็นวิศวกรชาวสก๊อตต์ซึ่งไปพบรักกับแม่ซึ่งเป็นสาวอังกฤษที่เกิดและโตในบราซิล มิลเลอร์เกิดที่เซาเปาโล ก่อนจะถูกส่งกลับไปเรียนหนังสือที่เมืองเซาแธมป์ตัน ในปี 1884 ช่วงเวลานั้นเขาอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น
พื้นที่ที่ใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ที่มีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดในเวลานั้น คาดว่ามีประมาณ 300,000 คน ซึ่งจำนวนมากอพยพมาจากอิตาลี บริเวณนั้นมีกีฬาที่เป็นที่นิยมอยู่แล้ว คือ คริกเก็ต ยิมนาสติก จักรยาน เรือพาย สควอช ยิ่งการมีชาวอังกฤษในหลายวิชาชีพทั้งนักเดินเรือ บาทหลวง คนงาน ที่เดินทางไปในริโอ เด จาเนโรของบราซิล ทำให้มีการเตะฟุตบอลเกิดขึ้นแล้ว ก่อนที่มิลเลอร์จะกลับมาบราซิลเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ที่แนะนำกีฬาฟุตบอลให้คนแถบนั้นรู้จักเป็นคนแรก แต่มิลเลอร์ก็ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น "บิดาของฟุตบอลบราซิล" เนื่องจากเป็นบุคคลแรกที่จัดการแข่งขันฟุตบอลสมัยใหม่ในดินแดนแซมบ้าด้วยการใช้รูปแบบและกติกาเดียวกับที่ริเริ่มเตะในลอนดอนเมื่อปี 1863 นั่นเอง
ปี 1984 มิลเลอร์กลับมายังเซาเปาโล ถิ่นเกิดของตัวเองอีกครั้ง วันนั้นเขามาพร้อมกับลูกฟุตบอลและกติกาฟุตบอลจากสมาคมฟุตบอลแฮมป์เชียร์มาด้วย ก่อนจะจัดการแข่งขันด้วยกติกานั้นเป็นครั้งแรกในบราซิล เมื่อวันที่ 14 เมษายน 1895 ระหว่างทีมพนักงานรถไฟและพนักงานโรงงานก๊าซธรรมชาติ ผลการแข่งขันทีมพนักงานรถไฟของมิลเลอร์เอาชนะไป 4-2
ฟุตบอลแมตช์นี้สร้างความงุนงงให้กับคนท้องถิ่นไม่น้อย จอช มิลส์ นักเขียนชาวอังกฤษผู้เขียนอัตชีวประชีวประวัติของมิลเลอร์บอกว่า เขาค้นพบจดหมายฉบับหนึ่งที่นักข่าวชาวเซาเปาโลรายหนึ่งเขียนจดหมายถึงเพื่อนที่ริโอ เด จาเนโร ว่า "มันแปลกพิลึกที่คนอังกฤษมักจะนัดกันเตะอะไรสักอย่างที่เหมือนกระเพาะปัสสาวะวัวทุกสัปดาห์"
หลังจากฟุตบอลนัดนั้นเกิดขึ้น10 ปีให้หลัง มิลเลอร์ได้บอกเพื่อนที่อังกฤษว่า ในเซาเปาโลเพียงเมืองเดียวมีสโมสรฟุตบอลกว่า 60 แห่ง มีการตั้งลีกแรกของเมืองเซาเปาโลแล้วตั้งแต่ปี 1901 และมีแฟนบอลมาดูหลายพันคนในแมตช์แรกของฤดูกาล
ที่เซาเปาโลมีพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลประจำเมือง ซึ่งตั้งอยู่ที่จัตุรัสชาร์ลส์ มิลเลอร์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้บิดาลูกหนังแดนแซมบ้า ในพิพิธภัณฑ์นี้มีรูปของมิลเลอร์ในชุดนักฟุตบอลกับเพื่อนร่วมทีม รวมทั้งมีลูกบอลหนังอยู่ระหว่างขาของเขาด้วย
ดานิเอล่า อัลฟอนซี่ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้บอกว่า มักจะมีคนถามว่า ทำไมฟุตบอลถึงมาฝังรากลึกในบราซิลได้ ทั้งๆ ที่อังกฤษเป็นชาติที่ล่าอาณานิคมไปทั่วโลกทั้งในอินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แต่ไม่เห็นประเทศอื่นจะมีนักเตะอย่างเปเล่และไม่เคยคว้าแชมป์โลกถึง 5 สมัยเหมือนบราซิลทำได้
ซึ่งผู้อำนวยการรายนี้ก็ตอบได้เพียงว่า "ไม่รู้" ก่อนจะบอกว่า "เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่ต้องการอะไรมากมาย ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้า ไม่ต้องมีลูกบอลที่ถูกกติกา แค่ขยำกระดาษเป็นก้อนกลมๆ ก็เตะได้แล้ว และที่สำคัญไม่ต้องการสนามหญ้า คุณจะเล่นตรงไหนก็ได้ที่มีพื้นที่ว่างพอในความรู้สึก"
ขณะที่จอช มิลส์ตอบว่า มันเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ มิลเลอร์เจอสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการหว่านเมล็ดฟุตบอลแล้วนั่นเอง
หลังจากนั้นฟุตบอลกลายเป็นความบันเทิงราคาถูกของชาวบราซิเลียนซึ่งถูกกว่าค่าตั๋วดูภาพยนตร์เสียอีก และเจริญงอกงามมาจนถึงปัจจุบัน
ดาวิด โกลด์แบล็ตต์ นักเขียนรายหนึ่งบันทึกไว้ว่า ปี 1919 "ศึกดาร์บี้แมตช์ริโอ" ระหว่าง ฟลูมิเนนเซ่ กับ ฟลาเมงโก้ มีผู้ชม 18,000 คนในสนาม และลุ้นผลนอกสนามอีก 5,000 คน ฟุตบอลกลายเป็นลิฟต์ที่พามนุษย์ยกระดับหนีจากความยากจนได้อย่างรวดเร็ว เป็นเหมือนสิ่งช่วยหลอมรวมความแตกต่างให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวบราซิล วาสโกดากาม่า คว้าแชมป์ลีกในปี 1923 ด้วยนักเตะผิวสีถึง 4 คนในทีม ความสำเร็จในโลกฟุตบอลทำให้ชาวแซมบ้ามั่นใจในตัวเองและภูมิใจในชาติตัวเอง
"ฟุตบอลเป็นสงครามแรกที่บราซิลลงไปต่อสู้ด้วยแล้วได้รับชัยชนะกลับมาพวกเราเอาฟุตบอลไปเกี่ยวกับหลายๆ เรื่องในชีวิต นี่คือบราซิเลียนสไตล์" อัลฟอนซี่กล่าว
มิลเลอร์ลาโลกไปเมื่อปี 1953 และหลังจากนั้นอีก 61 ปี เมล็ดพันธุ์ที่เขาหว่านไว้ได้โอกาสโชว์ความเยี่ยมยอดในแผ่นดินเกิดของมิลเลอร์เอง
แผ่นดินที่มีฟุตบอลเป็นลมหายใจ