|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ฟุตบอลโลก 1958 สวีเดน ''กำเนิดเปเล่''
21/5/2553
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 6 สวีเดนรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 8-29 มิถุนายนปี 1958 โดยฟีฟ่าได้เลือกสวีเดนเป็นชาติที่จองจะได้รับเกียรตินี้ตั้งแต่ปี 50 มาเลยทีเดียว
ในครั้งนี้มีการคัดเลือกอย่างยาวนานกว่าจะได้ 16 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาชิงชัยกันแม้จะไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องจำนวนทีมในรอบสุดท้าย แต่ว่ากฎการแข่งขันได้เปลี่ยนไปมาก โดยในรอบแรกแบ่งเป็น 4 สายเหมือนเดิม แต่ว่ากับการแข่งขันรอบ 2 หาทีมที่ผ่านเข้ารอบไปสายละ 2 ทีมด้วยกัน แต่ที่แตกต่างคือหากเสมอจะไม่มีการต่อเวลาเหมือนเก่า และมีการนำประตูได้-เสียมาคิดเป็นค่าเฉลี่ย เพื่อหาทีมที่เข้ารอบเป็นอันดับ 1 และ 2 ของสายในกรณีที่มีแต้มเท่ากัน (ในสมัยนั้นระบบการนับคะแนนใช้แบบชนะได้ 2 เสมอได้ 1 และแพ้ไม่ได้คะแนน)
กระนั้นหากทีมอันดับ 2 และ 3 ของสายมีคะแนนเท่ากัน กรณีนี้จะไม่มีการนำค่าเฉลี่ยมาคิด แต่จะให้หาผู้เข้ารอบตามอันดับ 1 ด้วยการเล่นแมตช์เพลย์ออฟเพิ่มอีก 1 นัด เยอรมันตะวันตก แชมป์เก่าของรายการยังคงมีนักเตะอย่าง เฮลมุต ราห์น นำทัพมาร่วมกับ ฮันส์ ชาเฟอร์ ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่น่าสนใจสำหรับการแข่งขันครั้งนี้จะว่าไปด้วยโลกฟุตบอลยุคนั้นเริ่มมีการแข่งขันแบบเป็นอาชีพโดยเฉพาะในยุโรปที่มีการแข่งขันยูโรเปี้ยน คัพ ในช่วงเริ่มต้น และได้รับความนิยมจากแฟนบอลค่อนข้างมาก ทำให้เริ่มมีนักเตะที่เป็นซูเปอร์สตาร์เกิดขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะกับทัวร์นาเมนต์นี้อย่าง เรย์มงด์ โคปา นักเตะทีมชาติฝรั่งเศสที่มาในฐานะแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 ฤดูกาลซ้อนกับเรอัล มาดริด และในฟุตบอลโลกครั้งนี้เขาได้รับการโหวตเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในปี 1954 โคปาเคยได้รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมมาแล้ว ทำให้จนถึงปัจจุบันเขาเป็นนักเตะคนเดียวที่ทำได้ทั้ง 2 รางวัล
แต่ที่เป็นปรากฏการณ์ของโลกคงไม่มีใครเถียงกับการถือกำเนิดบนเวทีลูกหนังของ เอ็ดสัน อรานเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือที่ใครทุกคนรู้จักกันดีว่าเขาคือ ''เปเล่'' นั่นเอง กองหน้าทีมชาติบราซิลเล่นให้ซานโตสขณะมีวัยแค่ 15 ปี ติดทีมชาติครั้งแรกตอนอายุ 16 และได้เล่นฟุตบอลโลกในวัย 17 ปีนั่นเองบราซิลมาทำศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ในฐานะทีมที่มีความตื่นตาตื่นใจในแนวรุกทุกทิศทาง โดยนำระบบ 4-2-4 มาให้ทุกคนได้รู้จักแนวรุกที่มีทั้ง ''เจ้านกน้อย'' การ์รินช่า, เปเล่, มาริโอ ซากัลโล่ และดิดี้ เป็นต้น ต่างเป็นตัวอย่างของฟุตบอลสมัยใหม่อย่างแท้จริง
ในช่วงแรกเปเล่จะไม่ได้โอกาสลงสนาม จนกระทั่งแมตช์สุดท้ายของรอบแรกที่เจอสหภาพโซเวียตเช่นเดียวกับการ์รินช่า แต่นัดดังกล่าวทั้ง 2 คนไม่สามารถทำประตูให้ทีมได้ด้วยกระนั้นสำหรับผู้จะเป็นตำนานอย่างเปเล่ เขาจัดการซัดประตูชัย 1-0 ในนัดชนะเวลส์ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำสถิติเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งทำประตูได้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
ต่อมาในรอบรองชนะเลิศเปเล่สร้างสถิติอีกอย่าง เมื่อจัดการซัดแฮตทริก 5-2 ในรอบต่อมา ทำให้เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดซึ่งยิงแฮตทริกได้เท่านั้นไม่พอในรอบชิงชนะเลิศเปเล่กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดขณะมีอายุ 17 ปีกับอีก 249 วันที่ได้ลงสนามในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก แถมเขายังยิงคนเดียว 2 ประตูช่วยให้บราซิลเถลิงบัลลังก์แชมป์โลกครั้งแรกด้วยการคว่ำเจ้าภาพสวีเดน 5-2
ถ้าทุกคนยังจำได้ประตูที่บราซิลหนีห่างเป็น 3-1 เปเล่จัดการยกบอลหลบกองหลังสวีเดนที่เข้าพรวดก่อนวอลเลย์แบบไม่ต้องจับ ถูกเลือกให้เป็นลูกยิงที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกลูกหนังใบนี้ ปฐมบทความยิ่งใหญ่ของบราซิลในโลกของฟุตบอลเริ่มต้นจากจุดนี้และมันคือก้าวเดียวกันกับที่เปเล่เริ่มต้นทำให้ทุกคนไม่ลืมว่าเขาคือสุดยอดนักเตะของโลกตลอดกาลด้วย...
แชมป์แรกของแซมบ้า
นับจนถึงเวลาปัจจุบันก่อนที่ฟุตบอลโลก 2010 จะเริ่มขึ้น บราซิลคือชาติมหาอำนาจของโลกลูกหนัง เมื่อจัดการคว้าแชมป์ได้ถึง 5 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกที่พวกเขาทำได้เกิดขึ้นในปี 1958 นี่เองเส้นทางสู่แชมป์ครั้งนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้ว่าผลงานรอบแรกที่เจอออสเตรียจะเอาชนะได้ 3-0 แต่ในนัดต่อมาพวกเขาเสมออังกฤษ 0-0 ทำให้นัดสุดท้ายในรอบแรก วิเซนเต้ ฟีโอล่า เทรนเนอร์ของทีมในเวลาดังกล่าวตัดสินใจส่งนักเตะที่เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาทั้ง เปเล่ กับ การ์รินช่า ลงเล่นในนัดสุดท้ายที่เอาชนะสหภาพโซเวียตได้ 2-0
แม้เกมดังกล่าวเปเล่จะยิงไม่ได้ แต่ว่าเขาเป็นตัวหลักของทีมนับตั้งแต่นัดนั้นมาในรอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้าย บราซิลเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม 4 มาเจอกับเวลส์ รองแชมป์กลุ่ม 3 และเปเล่ก็ยิงประตูชัย 1-0 พร้อมสร้างสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอย่างที่กล่าวไปแล้ว
ขณะที่ในรอบรองชนะเลิศ 4 ทีมที่หลุดเข้ามาต่างเป็นสุดยอดทีมแห่งยุคทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสวีเดน เจ้าภาพที่พบเยอรมันตะวันตก ขณะที่บราซิลต้องเจอกับฝรั่งเศสซึ่งนับจนก่อนแมตช์เจอบราซิลยิงรวมทั้งรายการได้ 15 ประตูจากเกมแค่ 4 นัดเท่านั้น แถมพวกเขายังมีหัวหอกฟอร์มแรงที่ชื่อ ฌุสต์ ฟงแต็ง กองหน้าฟอร์มร้อนที่ในเวลาต่อมาเป็นดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์ด้วยจำนวน 13 ประตู ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลอยู่ยงคงกระพันมาจนทุกวันนี้แต่ทัพนักเตะบราซิลก็มาหยุดความห้าวของฝรั่งเศสด้วยชัยชนะแบบท่วมท้น 5-2 ซึ่งนัดนี้เปเล่ก็สร้างสถิติซัดแฮตทริกอายุน้อยที่สุดได้อีก ส่วนสวีเดนล้มแชมป์เก่าเยอรมันตะวันตกได้ 3-1 ผ่านเข้ารอบมาชิงชนะเลิศกับบราซิลในที่สุด
เกมนัดชิงเตะกันที่ราซุนด้า สเตเดี้ยม ท่ามกลางแฟนบอลกว่า 51,800 คน เริ่มเกมได้แค่ 4 นาที นีลส์ ลินด์โฮล์ม มิดฟิลด์จากเอซี มิลาน สร้างประตูแรกให้กับเกมพร้อมทำให้แฟนบอลสวีเดนเชื่อมั่นว่าพวกเขามีโอกาสได้แชมป์โลกในบ้านตัวเองแต่สุดท้ายบราซิลยิงแซง 4 เม็ดรวด กลับมานำ 4-1 ก่อนที่บทสรุปท้ายที่สุดทั้ง 2 ทีมจะยิงได้อีกฝั่งละประตูทำให้บราซิลชนะไป 5-2 ซึ่งเปเล่ก็ยังแผลงฤทธิ์วอลเลย์ประตูสวยงามอมตะตลอดกาลให้กับทีมได้ไม่มีใครสงสัยในฝีเท้านักเตะแซมบ้าอีกแล้ว พวกเขาคว้าดาวดวงแรกมาประดับที่หน้าอกเสื้อได้สำเร็จ...
ดาวซัลโว : ฌุสต์ ฟงแต็ง (ฝรั่งเศส) 13 ประตู
กองหน้าวัย 24 มีถิ่นกำเนิดในประเทศโมร็อกโกอีกหนึ่งเมืองขึ้นของฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม ก่อนหน้าฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเริ่มขึ้นเขาเพิ่งติดทีมชาติมาทั้งหมด 5 นัดแต่แค่เกมแรกที่ทัพนักเตะน้ำหอมไล่ถลุงปารากวัย 7-3 ฟงแต็งก็เปิดตัวด้วยการยิงแฮตทริกได้ทันทีขณะที่เกมนัดที่ 2 ซึ่งฝรั่งเศสแพ้ยูโกสลาเวีย 2-3 ฟงแต็งก็ยังเป็นฝ่ายยิงได้ 2 ประตูอีก
ในนัดสุดท้ายของรอบแรกฟงแต็งยิงเพิ่มอีก 1 ประตูทำให้ฝรั่งเศสเอาชนะสกอตแลนด์ 2-1 รวมถึงตอนนี้เขายิงไปแล้ว 6 ประตูด้วยกันแต่ฟงแต็งยังไม่หยุดความร้อนแรงในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เอาชนะไอร์แลนด์เหนือ 4-0 ฟงแต็งยิงได้อีก 2 ลูกส่งฝรั่งเศสเข้าชนบราซิลในรอบตัดเชือกแต่เกมนั้นแม้ฟงแต็งจะยิงประตูได้ แต่ว่าสุดท้ายทีมแพ้ไป 2-5 ไม่สามารถเข้าชิงชนะเลิศได้
อย่างไรก็ตามในแมตช์ชิงที่ 3 ฟงแต็งระเบิดฟอร์มยิงได้คนเดียว 4 ประตู ช่วยให้ฝรั่งเศสถล่มเยอรมัน 6-3 คว้าเหรียญทองแดงกลับบ้านปลอบใจและเบ็ดเสร็จเรียบร้อยจากทั้งทัวร์นามนต์ สรุป ฌุสต์ ฟงแต็ง ยิงให้ทีมได้ทั้งสิ้น 13 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโวโดยทิ้งอันดับ 2 เปเล่กับ เฮลมุต ราห์น ที่ยิงได้ 6 ลูกเท่ากันแบบไม่เห็นฝุ่นนั่นทำให้เขาได้รับการจารึกชื่อว่าเป็นนักเตะมหัศจรรย์ที่ยิงได้ใน 1 ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกมากที่สุดจนถึงจวบจนทุกวันนี้
แชมป์ : บราซิล รองแชมป์ : สวีเดน อันดับ 3 : ฝรั่งเศส อันดับ 4 : เยอรมันตะวันตก เจ้าภาพ : สวีเดน แข่งระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน 1958 - 29 มิถุนายน 1958 รอบชิงชนะเลิศแข่งขันวันที่ : 29 มิถุนายน 1958 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้าย : 16 ทีม ผู้ชมทั้งหมด : 919,580 คน (เฉลี่ย 26,274 คนต่อนัด) รางวัลดาวซัลโว : ฌุสต์ ฟงแต็ง (ฝรั่งเศส) 13 ประตู เปเล่ (บราซิล) 6 ประตู เฮลมุต ราห์น (เยอรมันตะวันตก) 6 ประตู
ข้อมูลจาก //www.siamsport.co.th/world_cup_2010
Create Date : 21 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2553 10:50:30 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1980 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]
|
อังกฤษเป็นชาติที่เริ่มเล่นฟุตบอล แต่บราซิลเป็นชาติที่สอนการเล่นฟุตบอล
มีคำพูดธรรมดาๆประจำฟุตบอลโลกอยู่ประโยดหนึ่งว่า"ฟุตบอลโลกที่ไม่มีบราซิล ก็ไม่ใช่ฟุตบอลโลก"
จะจริงเท็จประการใด แฟนบอลทั่วโลกยังไม่เคยทราบ เพราะที่ผ่านมา 20 ครั้ง และครั้งที่ 21 ในปี 2018 บราซิลยังคงได้เข้ามาเล่นรอบสุดท้ายอิกครั้ง ในฐานะเจ้าภาพ
ผมยังนึกไม่ออกว่าหากบราซิลไม่สามารถผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก ฟุตบอลโลกในปีนั้นจะขาดอะไรไปบ้าง....มนต์ขลังลีลาแซมบ้า. สีเขียว-เหลืองที่แต่งแต้มฟุตบอลโลกทุกครั้งเสมอมา หรือกองเชียร์ที่แต่งองค์ทรงเครื่องกันมา น้องๆขบวนพาเหรดงานคานิวัล ผมว่าคงไม่เกิดขึ้นในรุ่นของผมนะครับ
|
|
|
|
|
|
|