เลือดสู้จะสืบสาย ความตายจะปลุกคน วิญญาณจะทานทน พิทักษ์เทอด... ประชาธิปไตย "ฝนแรก"
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว... 17 พฤษภาคม 2535 เป็นปีที่ผมจบ ม.6 และกำลังจะเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเป็นปีแรก ยังอีกหลายวันกว่าจะถึงวันเปิดเทอม ออกจากบ้านเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้า จุดหมายคือ สนามหลวง
วันนั้นเป็นวันนัดชุมนุมครั้งใหญ่
เป้าหมายในครั้งนั้น คือ กดดันให้ พล อ. สุจินดา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมอยู่ที่สนามหลวงตั้งแต่สายๆ เที่ยงๆ บ่ายๆ ที่นั่นมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งลงชื่อขับไล่ ทั้งซื้อผ้ามาโพกหัว ศิลปินต่างๆ มากมาย มาร้องเพลงปลุกใจ
ที่นั่น เวลานั้น แม้อายุจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น แต่กลิ่นอายแห่งการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย มิตรภาพร่วมอุดมการณ์, พลังสามัคคี ทำให้ผมเรียกคนที่มาชุมนุมว่า "เพื่อน" ได้อย่างเต็มปาก
หลังพระอาทิตย์ตกได้สักพัก ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า การชุมนุมในครั้งนี้ ยืดเยื้อแน่ๆ แต่ผมก็ตัดสินใจเดินออกมาจากการชุมนุม เดินข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า มุ่งหน้าสู่บริเวณหน้าห้างพาต้า เพื่อให้ทันรถตู้คันสุดท้ายกลับบ้านที่สามพราน
ผมคิดไว้ว่าถ้าเดินไปไม่ทันรถเที่ยวสุดท้าย จะกลับไปร่วมชุมนุมต่อจนถึงเช้าจึงจะกลับบ้าน
ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด...
กลับมาถึงบ้านประมาณสี่ทุ่ม อาบน้ำ เข้านอน ตื่นเช้ามาพร้อมกับข่าวอันน่าเศร้า ...ทหารฆ่าประชาชน...
ที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือ ผมทิ้งเพื่อนๆ กลับบ้านมาก่อน
เพลง ฝนแรก ศิลปิน เอี้ยว ณ ปานนั้น บทกวีจาก จิระนันท์ พิตรปรีชา ขับร้อง วารุ วรภณ
ฝนแรกเดือนพฤษภา รินสายมาเป็นสีแดง ฝนเหล็กอันรุนแรง ทะลวงร่างเลือดพร่างพราว หลั่งนองท้องถนน เป็นสายชลอันขื่นคาว แหลกร่วงกี่ดวงดาว และแหลกร้าวกี่ดวงใจ
บาดแผลของแผ่นดิน มิรู้สิ้นเมื่อวันใด อำนาจทมิฬใคร ทะมึนฆ่าประชาชน เลือดสู้จะสืบสาย ความตายจะปลุกคน วิญญาณจะทานทน พิทักษ์เทอดประชาธรรม
ฝนแรกแทรกดินหาย ฝากความหมายความทรงจำ ฝากดินให้ชุ่มดำ เลี้ยงพืชกล้า ประชาธิปไตย
หลังจากเปิดเทอม ผมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย รุ่นพี่ๆ ได้เตรียมกิจกรรมต่างๆ ไว้มากมาย ในการระลึกถึงวีรชนผู้จากไป ในการศึกษาประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ศิลปินต่างๆ มีส่วนร่วมกิจกรรมเหล่านี้อย่างมาก ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมเหล่านั้น
"ประวัติศาสตร์" จะคอยย้ำเตือนเราอยู่เสมอ
เคยดูหนังเรื่อง With Honors ตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นคนจรจัด ได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับผู้นำในระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ว่า ผู้นำในระบอบประชาธิปไตย สามารถทำอะไรได้ทุกๆ อย่างตามใจชอบ แม้แต่สั่งฆ่าคน สั่งให้เกิดสงคราม สั่งระเบิดนิวเคลียร์ไปโจมตีประเทศไหนก็ได้ แต่ ที่สำคัญ คือเค้าต้องรับผิดชอบในการกระทำนั้น
อหิงสา คือการต่อสู้อย่างสันติวิธี อารยะขัดขืน (civil disobedience) คือกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่จะไม่กระทำตามกฏหมาย หรือ ความต้องการและคำสั่งของรัฐบาลหรือผู้อยู่ในอำนาจ โดยไม่มีการใช้ความรุนแรงทางกายภาพ เป็นไปโดยเปิดเผย และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้สันติวิธีแนวนี้ (จากวิกิพีเดีย)
จากสองวิธีที่ประชาชนใช้ในการต่อสู้จะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ ใครที่ทำผิดกฏหมายบ้านเมือง เช่น กีดขวางถนน ทำลายข้าวของ หลีกเลี่ยงภาษี หมิ่นประมาท ฯลฯ ต้องได้รับโทษตามความผิดที่ได้กระทำ
นิรโทษกรรม หมายทำสิ่งที่เป็นผิดกฎหมายให้ถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดอีก (www.meechaithailand.com)
คนฆ่าคน, คนสั่งคนฆ่าคน จึงไม่มีความผิด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้หรือเปล่า ที่คนทำผิด ไม่เคยถูกลงโทษตามกฏหมาย เรื่องเหล่านี้สำหรับประเทศไทย จึงเกิดขึ้น ซ้ำๆ ซากๆ
ขอแสดงความอาลัยแด่ผู้ที่จากไปในโอกาสครบรอบ 15 ปี และแสดงความคารวะต่อนักสู้ทุกๆ ท่านครับ
Create Date : 17 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 18 ธันวาคม 2552 12:37:39 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1535 Pageviews. |
|
|
ตอนนั้นเราอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง กำลังปิดเทอมพอดี
ช่วงนั้นกำลังจะเดินทางกลับบ้านที่ปักษ์ใต้ค่ะ
เพื่อนๆห้ามไว้ว่าที่กรุงเทพฯกำลังเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ
ทหารฆ่าประชาชน ในใจคิดว่าเอาอีกแล้วเหรอ
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว
เราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าติดตามข่าวอยู่ที่เชียงใหม่
แต่ในมหาวิทยาลัยก็มีการชุมนุมของนักศึกษาเหมือนกัน
เสียใจค่ะที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
แค่เพราะคนบ้าอำนาจเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่คนที่รับเคราะห์คือประชาชน กี่ร้อยกี่พันชีวิตที่เขาสั่งฆ่า
เพียงเพื่อรักษาและคงไว้ซึ่งอำนาจของตังเอง
ดีใจด้วยค่ะที่คุณแคล้วคลาดมาจากเหตุการณ์นั้นได้
แต่ใครหลายๆคนที่แลกชีวิตกับประชาธิปไตยในวันนั้น
เขาจะรู้สึกอย่างไรที่ประชาธิปไตยที่เขาเอาเลือดเนื้อและชีวิตแลกมา
ทุกวันนี้อำนาจที่ควรเป็นของประชาชนยังคงตกอยู่ในมือคนบางกลุ่ม
ที่ใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อช่วงชิง หาประโยชน์
กอบโกยเอาจากความเป็นประเทศเสรี
จะมีวันไหนที่วิญญาณผู้เสียสละจะได้สงบสุขเสียที
นอนหลับฝันดีค่ะ
ปล. เพลงนีฟังแล้วขนลุกค่ะ