อ่านเรื่องแนวสงครามและการพลัดพรากทีไร ก็คงหนีไม่พ้นโศกนาฏกรรมที่อ่านพบแล้วก็ต้องสะเทือนใจระหว่างทาง ก่อนหน้านี้อ่าน YA ของชาวยิวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คราวนี้มาอ่าน YA ของคนเขมรที่ถูกคนเขมรด้วยกันเองทำทารุณกรรม โดยอ้างลัทธิทางการเมืองแบบยูโทเปียซึ่งไม่มีวันเป็นจริง -- Khmer Rouge
ชีวิตของ Nakri เป็นหนึ่งในหลายล้านชีวิตที่ถูกกวาดต้อนไปสู่ชนบทในยุคเขมรแดงครองเมือง เธอกับพี่สาวเป็นนักเรียนนาฏศิลป์แต่ต้องงดเว้นจากสิ่งที่ตนชอบเมื่อต้องเข้าไปทำงานเยี่ยงทาสให้กับความบ้าอำนาจของกลุ่มทหารเขมรแดง
พล็อตเรื่องเดาได้ แต่ที่อ่านแล้วกินใจคงเป็นเพราะเล่าถึงความเป็นอยู่ในค่าย ปูม-ทเมย (ภูมิใหม่) ที่หนุ่มสาวชาวเขมรถูกเกณฑ์ไปทำงานหนัก ผู้เขียนเล่าถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต โรคภัยที่คุกคาม จนผู้คนทนไม่ได้ต้องตายไปทีละคน รวมถึงพี่สาวอันเป็นที่รักของตนเองด้วย
เมื่อกองทัพเวียดนามเข้าตีพนมเปญ มีชัยเหนือกองทัพเขมรแดง ก็เหมือนการปลดปล่อยเธอออกมาจากค่ายนั้นด้วย เธอเดินทางกลับไปบ้านยายที่เสียมเรียบ (เสียมราฐ) ก่อนจะเดินทางพร้อมกับแม่ พี่ชาย และน้องชาย ไร้พ่อและพี่สาวที่เสียชีวิตไปก่อนหน้า) ไปยังชายแดนไทย เพื่อขอความช่วยเหลือในค่ายผู้อพยพ ที่นั่นเอง เธอได้พบกับพยา่บาลใจดีที่ช่วยติดต่อเพื่อนของพ่อสมัยที่ทำงานเป็นครูอยู่ในพนมเปญ ให้ช่วยลี้ภัยไปยังอเมริกาได้สำเร็จ
ชีวิตใหม่เริ่มต้นอย่างทุลักทุเล การปรับตัว การเรียน และความคิดถึงบ้าน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Nakri ระลึกถึงบ้านอยู่เสมอ คือดนตรีเขมรและการรำอัปสราที่เธอตั้งปณิธานว่าจะสืบสานการรำต่อจากแม่และพี่สาว
ให้ 4 ดาว เนื้อเรื่องเดาได้ แต่เป็นการเดาได้ที่สะเทือนใจไปกับชะตากรรมของ Nakri และชาวเขมรอีกหลายแสนคนที่ไม่ได้โชคดีแบบ Nakri โดยส่วนตัวแล้วสงสารเป็นกำลัง และอินจัดกับเรื่องนี้ เนื่องจากได้เคยค้นคว้า อ่านประวัติศาสตร์ช่วงนี้ อ่านนิยายไทยอย่าง "จำหลักไว้ในแผ่นดิน" ดูสารคดีเกี่ยวกับเขมรแดง การทารุณกรรม และอื่นๆ อีกมาก เพื่อเป็นข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์ พอได้กลับมา่อ่านเรื่องแบบนี้อีกครั้ง ก็เหมือนได้ย้อนไปสะเทือนใจต่อชะตากรรมเพื่อนร่วมโลกเหล่านี้อีกครั้ง
ปัจจุบัน เขมรพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก เรา มีเพื่อนคนเขมรหลายคน เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเป็นอยู่ดีขึ้นมา ได้รับรู้ผ่านปากของพวกเขา ถึงการพัฒนาทั้งบ้านเมืองและการฟื้นฟูวัฒนธรรมเก่าแก่ เชื่อว่าจิตวิญญาณของความเป็นชาวเขมรไม่ได้ถูกทำลายไประหว่าง 4-5 ปีที่ถูกเขมรแดงปกครอง หรือ the lost years จริงๆ
...
"Teeda is dancing, too, through you. That's what dance ia about, child. Not just the steps and gestures, no mater how beautiful they may be. It's about the spirit in the steps. The apsara goddesses had the courage to dance through the churning waves, from the bottom of the ocean until they reached the open sky ... Each of them, these lovely apsaras, had the courage to live with joy [...] that's what she was trying to teach you [...] And you, Nakri, you must keep dancing, and keep alive the joy, too." (188-189)
Ho, M. (2005). The Stone Goddess. New York: Scholastic.