Slow Man ของ J.M. Coetzee เป็นอีกเล่มของนักเขียนคนนี้ที่ได้อ่าน ถามว่าดีไหม ตอบว่าโอเค เนื้อเรื่องงงๆ เล็กน้อย เริ่มที่ Paul ชายวัยใกล้เกษียณถูกรถชนต้องตัดขา กลายเป็นคนพิการต้องการนางพยาบาลมาช่วย ก็ได้เจอกับนางพยาบาลอพยพมาจากโครเอเชีย (เรื่องเซตที่ออสเตรเลีย) เกิดหลงรักทั้งๆ มีลูกมีสามีแล้ว แต่เขาก็รักด้วยความปรารถนาดี เสนอเงินช่วยลูกชายของเธอที่กำลังจะเข้าโรงเรียนประจำจนบาดหมางกับสามี เรื่องมันมางุนงงตรงที่จู่ๆ ก็มีตัวละครเป็นหญิงชราราว 70 ปีโผล่เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการคอยเตือน Paul ไม่ได้ทำสิ่งผิด หญิงคนนี้จริงๆ แล้วเป็นตัวละครเด่นในนวนิยายอีกเรื่องของ Coetzee ที่ทำให้งงคือมันไม่มีที่มาที่ไป เหมือนตั้งใจให้ตัวละครตัวนี้ mentor กลายๆ แต่รู้สึกว่าผู้เขียนพยายามยัดเยียดเข้ามามากไปหน่อยเท่านั้นเอง ให้ไป 3 ดาว
The Daydreamer เรื่องนี้น่ารัก เป็นนิยายเด็กของ Ian McEwan ซึ่งเราเป็นแฟนคลับอยู่แล้ว พยายามจะตามอ่านให้ครบทุกผลงาน นิยายเล่มนี้น่าจะตั้งใจให้เด็กราวสิบกว่าขวบอ่านตามอายุตัวเอกที่ชื่อ Peter เขาเป็นเด็กชอบฝันกลางวัน ฝันโน่นฝันนี่จนเป็นเรื่อง ฝันถึงผีตุ๊กตา ฝันว่าได้สลับร่างกับแมว อ่านแล้วชอบและคิดว่าลุงเอียนน่าจะเขียนเรื่องเด็กออกมาอีก
จะบอกว่า ไม่เคยอ่านงานของ Kazuo Ishiguro เลยลองหยิบเล่มนี้มาอ่านก่อน (ทำไมไม่หยิบเล่มดังๆ ของคุณคนนี้มาอ่านก็ไม่รู้ -_-) The Buried Giant เปิดฉากมาน่าสนใจไม่ใช่น้อย เป็นเรื่องของคู่สามีภรรยาในบริเตนช่วงที่โรมันจากเกาะแห่งนี้ไปแล้ว ทั้งคู่ต้องการออกเดินทางไปตามหาลูกชายของตน ระหว่างทางก็เจอกับทหารแซกซอนที่ไม่ถูกกับกับบริเตน มีการนำตำนานอาร์เธอร์มาปน ตอนแรกคิดว่าจะเป็นนิยายแนวเรียลิสต์สะท้อนประวัติศาสตร์ อ่านไปอ่านมาทำไมมีมังกรหวา กลายเป็นนิยายแฟนตาซีแบบเควสต์ไปเสียงั้น แถมตอนท้ายก็ยังไม่รู้ว่าเจอลูกชายอีกรึเปล่า มีแต่เดินทางไปช่วยอัศวินปราบมังกรได้เท่านั้น เสียใจ ทำไมไม่เป็นดังคิด ไม่เป็นไร ไว้จะลองเอางานที่ดีของคนเขียนมาอ่านใหม่น่าจะดี
Bring Up the Bodies เป็นภาคต่อของ
The Wolf Hall ซึ่งอ่านไปเมื่อสองปีก่อน งานของ
Hilary Mantel ที่ตั้งใจจะเขียนถึง Thomas Cromwell ผู้อยู่เบื้องหลังการขึ้นและลงของบรรดาภรรยาทั้งหลายของ Henry VIII โดยเฉพาะ Anne Boleyn ในเรื่องแรกนั้นเป็นฉากชีวิตและเรื่องราวกว่าที่เขาจะก้าวเข้ามาเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของกษัตริย์ได้ ส่วนเล่มนี้เล่าถึงการทำลาย Anne Boleyn ลงไป ระยะเวลาเรื่องนี้สั้นกว่าเมื่อเทียบกับเล่มก่อน เนื้อเรื่องดำเนินไปในลักษณะบรรยายเรื่องผ่านสายตาของ Cromwell การวางแผน ลูกล่อลูกชน และอุบายที่จะใส่ความ Anne Boleyn เพื่อนำเธอลงจากตำแหน่งราชินี เนื่องด้วยกษัตริย์ไม่พิสมัยนางอีกต่อไป เรื่องนี้เป็นซีควัลที่โอเค ไม่ชอบเท่าเล่มแรก แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร มาสนุกสุดตอนท้ายๆ เรื่องที่ลุ้นว่าแต่ละคนจะโดนลากเข้ามาร่วมชะตากรรมกับ Anne ยังไง ถือว่าทำได้ดี จะรออ่านเล่มจบต่อไปซึ่งเป็นช่วงที่ Cromwell ลงจากอำนาจ
เคยดูแอนิเมชั่นเรื่อง Howl's Moving Castle ของ Diana Wynne Jones ผ่านยูทูป แต่ดูไม่ทันจบก็โดนลบไปซะก่อน เลยตามหาฉบับนิยายมาอ่าน ปรากฏว่าไม่ค่อยเหมือนกับในการ์ตูนเท่าไหร่ ความโรแมนติกระหว่าง Sophie กับ Howl ในหนังสือไม่มีเลย หนังสือเสนอมิตรภาพระหว่างกันมากกว่า มีการตัดบางส่วนออกไปเหมือนกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว อารมณ์และธีมของเรื่องยังอยู่ครบ ฉบับนิยายส่งเสริมจินตนาการโดนแท้ แต่อ่านๆ ไปแล้วชัง Howl อยู่หลายจุด เป็นพ่อมดที่ไม่ค่อยมีตรรกะสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ดีตัวเอกอย่าง Sophie ก็ทำให้เรื่องดำเนินไปได้อย่างน่าสนใจ ที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้คือ Calcifer ปีศาจไฟในเตาผิงคอยขับเคลื่อนปราสาทด้วยอำนาจไฟของตนเอง
เล่มถัดมา ลองของอีกแล้ว อยากลองอ่าน Virginia Woolf ดูมั่ง เลยหยิบเล่มเล็กๆ มาอ่านก่อน คิดว่า stream of consciousness คงไม่ทำร้ายคนอ่านมากนัก ปรากฏว่าคิดผิด Jacob's Room ทำเอางงสุดๆ สงสัยเราไม่เหมาะกับงานประเภทใช้เวลามองหาความลุ่มลึกระหว่างบรรทัดอย่างนี้จริงๆ เรื่องเหมือนเล่าชีวิตของ Jacob ตั้งแต่สมัยเล็กๆ ผ่านสายตาคนรอบข้างและคนที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตเขา จนเป็นผู้ใหญ่และมีนิสัยชอบเก็บตัวอยู่ในห้อง หนังสือเขียนแบบตัดไปตัดมา จับต้นชนปลายไม่ได้ เช่น ฉากเริ่มที่รถไฟ เล่าไปเล่ามาดันไปโผล่ที่บ้านคนอื่น เล่นเอางงไม่ใช่น้อย เลยคิดว่าคงจะเข็ด เล่มอื่นที่ดังๆ ก็น่าจะแนวนี้ละหนา
The New York Trilogy ของ Paul Auster นี่สิเจ๋งมาก เพิ่งอ่านจบไปหมาดๆ เป็นเรื่องรวมนิยายขนาดสั้นสามเรื่องที่เหมือนจะเป็นคนละเรื่อง แต่ผู้เขียนผูกตัวละครบางตัวและกล่าวอ้างถึงเหตุการณ์บางเหตุการณ์ให้เหลื่อมซ้อนกันได้อย่างน่าทึ่ง โดยเสนอในลักษณะนิยายสืบสวนสอบสวน
(Spoiler!) City of Glass เป็นเรื่องแรก ในยุคปัจจุบัน (ยุค 1980) ซึ่งเล่าถึงนักเขียนนิยายที่จับพลัดจับผลูมาเป็นนักสืบตามหายชายชราที่เพิ่งออกจากคุก ผู้ว่าจ้างคือลูกสะใภ้ โดยให้จับตาดูเพราะกลัวมาทำร้ายลูกชายตัวเอง Ghosts เรื่องที่สองซึ่งเกิดขึ้นในยุค 1940 เมื่อ Blue ถูกว่าจ้างให้คอยจับ Black แต่นานเข้าเขาทนไม่ไหวจึงไปตามหาความจริง ก็เพราะว่าเป็นการจ้างซ้อนให้เฝ้าสังเกตกันไปมา (ให้นึกถึงกระจก) ส่วนเรื่อง The Locked Room เป็นเรื่องของนักเขียนคนหนึ่งได้รับการติดต่อจากภรรยาของเพื่อนวัยเด็กให้จัดการกับงานเขียนของเพื่อนซึ่งหายตัวไป ในนั้นมีจดหมายบอกว่า ถ้าเขาจากไปแล้วให้ส่งงานเขียนให้เพื่อนคนนี้ไปจัดการต่อ ปรากฏว่าพอเอาไปเสนอสำนักพิมพ์ก็มีแต่คนชอบและได้ตีพิมพ์ทำรายได้อย่างงามในที่สุด จากนั้นเพราะสามีไม่อยู่แล้ว เพื่อนผู้นี้ก็เลยแต่งงานกับภรรยาของเพื่อนเสียเลย และคอยทำงานเป็นเอดิเตอร์ ส่งผลงานทั้งหมดของเพื่อนผู้จากไปทยอยเข้าโรงพิมพ์ ซึ่งสองเรื่องในนั้นคือ Ghosts กับ City of Glass นั่นเอง อย่างไรก็ดีตอนจบของเรื่องออกจะงงๆ ไปเสียหน่อย เมื่อเพื่อนเจ้าของผลงานที่หายตัวไป จู่ๆ ก็ติดต่อกลับมา หลังจากเพื่อนที่ทำหน้าที่เอดิเตอร์เทียวตามหาก็ไม่เจอ แต่ก็ไม่รู้แรงจูงใจในการหัวตัวไปและกลับมา แถมจบดื้อๆ เอาเสียอย่างนั้นอีกต่างหาก กระนั้นก็ดี เรายังชอบบรรยากาศของเรื่อง การดำเนินเรื่องที่กระชับ และการร้อยพล็อตให้ซ้อนทับกันอย่างเก๋ไก๋แบบนี้ เป็นนักเขียนที่น่าสนใจมาก
ซีรีส์ Misborn ของ Brandon Sanderson ประกอบไปด้วย The Final Empire, The Well of Ascension และ The Hero of Ages เรื่องเกิดขึ้นที่แผ่นดินสมมติ ดินแดนนี้แร้นแค้น มีเถ้าควันจากภูเขาไฟปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปีและหมอกชื้นปกคลุมยามกลางคืน ทั้งยังมี Lord Ruler คอยปกครองแบบศักดินากดขี่ชนชั้น โดยแบ่งเป็น Skaa พวกที่เป็นทาสคอยรับใช้อยู่ในที่ดินของพวกชนชั้นปกครอง ซึ่งพวกหลังนี้มีพลังพิเศษ สืบเชื้อสายกันมา พลังพิเศษนี้จะผูกโยงกับธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Brass, Pewter, Iron, Steel, ฯลฯ มีมากกว่า 12 ชนิด คนพวกนี้เรียกว่า Allomancer โดยแต่ละคนสามารถใช้ธาตุได้คนละอย่าง แต่มีพวกหนึ่งที่สามารถรวมพลังทั้งหมดไว้ได้เรียกว่า Misborn เรื่องของเรื่องเริ่มที่ Misborn ที่พลัดเข้าไปเกิดแก่พวก Skaa ต้องการลุกฮือปลดแอกตัวเองออกจากความเป็นทาส ต้องการล้มล้าง Lord Ruler และชนชั้นปกครอง ตัวละครนำคือ Kelsier ผู้พยายามปลุกระดม สร้างความหวังให้แก่ผู้ที่เคยตกเป็นทาส และ Vin เด็กสาวกำพร้าที่ได้รับการรีครูตเข้ามาในกลุ่มผู้ก่อการ จากที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่เธอได้กลายมาเป็นทายาทในการวบรวมแผ่นดินต่างในเล่มอื่นๆ ถัดมาหลังค้นพบพลังพิเศษของตนที่มีมากกว่า Misborn คนอื่น
Source: https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/9b/24/3c/9b243cff0f90da046b254ede4adf660a.jpg
เนื้อเรื่องเรื่องนี้เยอะมาก ไม่รู้จะเล่ายังไงดี แต่คิดว่าถ้ามีโอกาสแนะนำให้หามาอ่านเลยสำหรับไฮคอแฟนตาซีแบบนี้ รับรองไม่ผิดหวังจริงๆ เซตนี้เป็นเซตแฟนตาซีแรกที่เราติดหนึบ อ่านติดกับแบบเล่มต่อเล่ม ปกติเป็นคนแพ้หนังสือซีรีส์ยาวๆ เพราะขี้เกียจตามอ่านให้จบ แถมแต่ละเล่มหนาๆ ทั้งนั้น ประมาณ 700 หน้าอัพ แต่เรื่องนี้ถือว่าสุดยอดมากๆ ใส่ไม้ยมกไปสักสิบตัว ไม่ว่าจะเป็นระบบเวทมนต์ที่ใช้ธาตุต่างๆ มาเป็นแหล่งพลังพิเศษ ตัวละครที่แจกบทได้ถ้วนหน้า มีตรรกะในการดำเนินเรื่อง เผ่าพันธุ์ต่างๆ ในเรื่องก็แปลก ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ ตอนที่อ่านก็ตามไปดูพวกแฟนอาร์ต เขาก็สะท้อนจินตนาการออกมาได้ดี ถ้ามีโอกาสอยากให้แปลเป็นไทยมาก เพราะมันต่างจากแฟนตาซีแบบฉบับที่คนไทยเคยพบเจอกันแน่นอน
นี่เป็นตัวอย่างแฟนอาร์ตที่ไปเจอมา
Source: //inkthinker.deviantart.com/art/Mistborn-RPG-Alloy-Heroic-Archetypes-477273243
ปกเวอร์ชั่นอื่นๆ ก็สวย
ซีรีส์นี้ยังไม่จบ เห็นว่าจะเขียนยาวต่อไปอีก ซึ่งตอนนี้ก็ออกมาอีกสามเล่มแล้ว เป็นภาคต่อจากซีรีส์เดิมสามเล่มแรก ซีรีส์ที่สองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น 300 ปีให้หลัง ซื้อมาแล้วเล่มแรก (เล่มที่ 4 ในซีรีส์) ขอเคลียร์งานแล้วจะลุยอ่านให้สมใจรอ...
...
เรากลับคิดว่าฮาวล์ฉบับนิยายน่ารักกว่าละค่ะ ดูเป็นคนธรรมดามากกว่าเทพเจ้า เนื้อเรื่องในนิยายก็ดูลงตัวกว่า จิบลิเอามาทำแล้วตบเข้าแนวทางตัวเองหมดทุกที แต่ก็ชอบอนิเมนะคะ ภาพสวยมากๆ
The New York Trilogy กะ Misborn ดูน่าสนุก *หลบตาหนีสปอย* มาบล็อกคุณบอยน์ได้หนังสือน่าสนใจลงลิสท์เพิ่มทุกที