จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
27 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

Devil in The Destiny Machines ภาค 1 ส่วนที่ 1

ร้านเสริมสวย...ใต้หอพักนักศึกษาแห่งหนึ่ง
“นี่แก!~ ร้อน ๆ แบบนี้ ฉันว่าเราไปเดินเล่นบนห้างกันดีกว่านะ”
เหมียวอยู่ในเครื่องอบผม มันย่อมต้องร้อนเป็นธรรมดา
“เออ..ก็ดีนะ” “ว่าแต่จะไปห้างไหนดีละ” กิ๊บสนใจ
“ไปห้างแถวนี้แหละ ขี้เกียจไปไหนไกล ๆ” “มันร้อนจะตาย..ย” เหมียวบ่น
“อย่างนั้นเอาเป็นห้าง เดอะ เวิลด์ เซ็นเตอร์ ดีมะ เค้าเพิ่งเปิดไม่นานนี้เอง” กิ๊บนึกขึ้นได้
“เออ ก็ดีเหมือนกันฉันยังไม่เคยไปเดินเลย เห็นเค้าพูดกันมาว่าที่นั่นน่าเดินมากเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเดี่ยวฉันโทรไปหานิดให้ชวนเจี๊ยบออกมาด้วยเลยดีกว่านะ”
กิ๊บพูดขึ้นพร้อมกับเอามือล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนตักของเธอออกมา แล้วกดโทรศัพท์หาเพื่อนทันที
“ฮัลโหล เออ..อ. เฮ้ย!~ นี่แกฉันจะไปเดินเล่นที่ห้าง เดอะ เวิลด์ เซ็นเตอร์ กับกิ๊บมัน” “พวกแกจะไปด้วยหรือเปล่า ?”
“ไปสิ..กำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี แล้วจะไปเจอแกที่ไหนดีละ”
”ฉันรอแกอยู่ที่ร้านเสริมสวยใต้หอพักเหมือนเดิมนั่นแหละนะ อ้อ! อย่าลืมชวนนิดมาด้วยนะ”
“เอออีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”
“โอเค แล้วเจอกัน มาเร็ว ๆ ละ”
“พวกมันว่ายังไงบ้าง”
“ก็อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้วแหละ”
ทั้งคู่จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนามาเป็นเรื่องของเพื่อนที่ยังมาไม่ถึง
“เออนี่กิ๊บ แกรู้หรือเปล่าว่า เจี๊ยบกับนิดมันเคยพาแฟนไปดูหมอด้วยกันมา”
“จริงเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็มันเพิ่งจะไปมาเมื่อวันสองวันนี้เองนะ เชื่อไหมว่า พอหมอดูทักว่าคู่ของนิดไม่ใช่เนื้อคู่ต้องสะเดาะเคราะห์แก้เคล็ด ทำเอามันคิดมากกลับมาทะเลาะกันแถบจะเลิกกันจริง ๆ แหนะ”
“อ้าว! แล้วอย่างนี้ไม่ไปดูจะดีกว่าไหมนี่..”
“มันก็อย่างนี้แหละ นิดมันเชื่อเรื่องดวงมากเกินไป”
“แล้วเจี๊ยบละ หมอดูเค้าว่ายังไงบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไร บอกว่าไอ้เต้มันนะเจ้าชู้ แอบมีแฟนอยู่สองคนพร้อมกันเลยทีเดียว”
“อ้าว! อย่างนี้โลกก็ระเบิดละสิ.. ไอ้หมอดูคนนี้มันก็ปากมอมจริง ๆ กล้าพูดให้คนแตกแยกกันได้ต่อหน้าต่อตาเลยนะ”
กิ๊บคิดในใจว่ามันไม่สร้างสรรค์เลยถ้าจะไปดูหมอแล้วต้องมานั่งทุกข์ใจอยู่อย่างนี้
“เจี๊ยบมันก็เลยต้องเช็คเบอร์โทรทุกเบอร์ที่โทรมาเข้าเครื่องของไอ้เต้ ทำเอาไอ้เต้รำคาญไปเลย” “แล้วเต้มันว่ายังไงบ้างละ”
“ก็จะว่าไงละ ก็ทะเลาะกันนะสิ ไอ้เต้ก็บอกว่าไม่มีใคร ส่วนเจี๊ยบก็ไม่ยอมเชื่อ”
“เห้อ..อ..นี่เป็นเพราะไอ้หมอปากมอมคนเดียว” “เนี่ยเหตุผลที่ฉันอยู่อย่างไม่มีคู่ทุกวันนี้นี่ไงละ”
“โธ่นี่กิ๊บไม่อยากมีหรือว่าไม่มีใครมาจีบกันแน่ยะหล่อน ฉันไม่เห็นมีใครเข้ามาจีบแกเลยซักคน”
“บ้า..อย่างฉันมีมาตั้งเยอะ ทำไมจะต้องบอกให้ใคร ๆ รู้ด้วยหรือไงหา”
“จ๊ะ..แม่คนสวยรวยเสน่ห์ แม่คนสวยเลือกเงียบ ชั้นเชื่อจ๊ะ ฉันเชื่อ..”
ช่างทำผมแต่งผมให้กิ๊บจนเสร็จ เธอจึงเดินไปที่เอาเครื่องอบผมออกจากศีรษะของเหมียว
ก็พอดีกับเพื่อนทั้งสอง นิดและเจี๊ยบผลักประดูเดินเข้ามาในร้าน
“เฮ้ย..นี่แกมาเร็วดีนี่ ทุกทีนัดแต่ละครั้งรอไปทั้งชาติกว่าจะโผล่มาได้”
“เอ๊ะ นี่แก กิ๊บฉันมาเร็วแกก็ว่า ฉันมาช้าแกก็บ่น ฉันไม่มาแกก็เก้อนะแก”
“เออ แล้วนี่พวกแกทำผมกันเสร็จหรือยังเนี่ย”
“เอาละ เสร็จพอดีเลยคะ” ช่างทำผมพูดขึ้นขณะที่ละมือออกมาจากศีรษะของเหมียว
“ทีนี้เราไปกันได้แล้ว มีใครอยากสวยกว่าชั้นอีกไหมยะ ถ้ามีเชิญได้เลยแต่ชั้นไม่รอแล้วนะจ๊ะ”
.........................................................................
สาวสวยทั้งสี่คนกำลังแต่งหน้าแต่งตาอยู่ในห้องน้ำของห้าง เดอะ เวิลด์ เซ็นเตอร์
“ใครมีลิปสีชมพูบ้าง ขอฉันใช้บ้างสิ” กิ๊บถาม
“มีสิ นี่ไง” เจี๊ยบยื่นลิปสติกให้
“แหม เจี๊ยบนี่ร้านเครื่องสำอางเคลื่อนที่เลยนะจ๊ะ” นิดแซว
“เออใช่! เจ๊เจี๊ยบแกมีทุกอย่างเรื่องปิ้งย่างเลยแหละ” เหมียวเสริม
“ยี่ห้ออะไรนะอ๋อ..อ..คูโบต้าใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกัน” กิ๊บคงกล่าวคำนี้แทนคำขอบคุณ
“แหมก็ต้องเตรียมไว้ทุกอย่างสิยะ เคล็ดลับความงามของชั้นนี่”
“วันนี้พวกเราเลิศสุด ๆ ชั้นว่าเราไปถ่ายรูปกันข้างบนดีกว่าไหมเพื่อน” เหมียวชวน
“เอาสิ ฉันชอบมากเลยแหละ” เจี๊ยบบอกให้ทุกคนรู้ความต้องการของเธอ
เมื่อสรุปเป็นเสียงเอกฉันท์ ดังนั้นทั้งสี่สาวจึงต้องเดินหาสตูดิโอถ่ายรูปกันเป็นอันดับแรกก่อน แต่เพราะทุกคนมาที่นี่เป็นครั้งแรกจึงไม่คุ้นเคยนักกับห้างนี้ จึงต้องเดินชมห้างไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาสะดุดเข้ากับบริเวณที่ลับตาผู้คนซึ่งไม่ค่อยมีคนสนใจแม้แต่คนผ่านไปผ่านมา มันเป็นมุมอับที่ไม่มีใครเดิน หรือว่าไม่มีใครเห็นกันจริง ๆ
“เฮ้ย!~ พวกแกดูนั่นสิ”
นิดชี้ไปที่ช่องทางเดินที่ดูลึกลับมีเพียงแสงสลัว ๆ เปิดไฟกระพริบด้วยแสงเป็นหยดดาวสว่างหลากสีเหมือนทางเข้าของสวนสนุก หน้าทางเข้ามีป้ายไฟใหญ่ ๆ ตั้งไว้
“สตูดิโอถ่ายรูป ฟรี! บริการสำหรับลูกค้าที่ต้องการดูดวงเท่านั้น”
“นี่แกเห็นป้ายไฟที่ตั้งอยู่ข้างหน้าทางเข้านั่นหรือเปล่าวะ”
นิดถามเพื่อนทุกคนในขณะที่ทุกคนก็หันไปมองที่ทางเข้านั้นอยู่เหมือนกัน
“ไหน ๆ เราก็จะไปถ่ายรูปกันอยู่แล้ว น่าจะลองเข้าไปดูดวงกันก่อนก็ดีนะ” เจี๊ยบสนใจ
“ไปสิ ฉันก็อยากดูอยู่เหมือนกัน”
เหมียวพาเดินจ้ำอ้าวนำไปก่อน ทุกคนจึงรีบเดินตามไปติด ๆ
“นี่พวกแก ดูมันแปลก ๆ อยู่นะ”
“กิ๊บแกอย่าคิดมากน่า นี่พวกเราอยู่บนห้างนะไม่ได้อยู่ซอยเปลี่ยวตามซอกตึก” นิดพูดเพื่อไม่ให้กิ๊บกังวลใจ
...สี่สาวหยุดยืนอยู่ที่ป้ายไฟหน้าทางเข้า ข้างบนช่องทางเข้ามีป้ายแขวนเขียนข้อความด้วยตัวหนังสือเก่า
“เมฆมืดมัวหม่นหมอง มิอาจซ่อนเร้นแสงจันทน์ฉายในดวงตาข้า
พยากรณ์ชี้ชะตา จักนำพาสู่ความจริง”
“ดูขลังดีว่ะเพื่อน ท่าทางจะดูแม่นว่ะ” นิดพูดหลังจากอ่านข้อความจบ
ทุกคนเดินไปตามช่องทางเดินที่ลัดเลาะไปมาซ้ายทีขวาทีแล้วซ้ายอีกทีก็เป็นห้องกว้าง ๆ มืด ๆ มีเพียงแสงสว่างจากห้องสตูดิโอถ่ายรูปเล็ก ๆ ที่ต้องบริการตัวเอง กับตู้ดูดวงอิเล็กทรอนิกส์แบบต่าง ๆ จำนวนมากที่มีลักษณะทั่วไปก็เหมือนกับตู้เกมส์หยอดเหรียญ
“นั่นไงโต๊ะแลกเหรียญอยู่มุมสุดห้องนั่นแหนะ”
ทุกคนมองไปตามที่เจี๊ยบชี้ ซึ่งเห็นโต๊ะด้านแลกเหรียญตั้งอยู่ด้านใน มีคนแก่ ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ใต้แสงไฟอ่อนสลัว ๆ ที่โต๊ะนั่น
“เออว่ะ พวกแกมีเหรียญกันบ้างหรือเปล่าจะได้ไม่ต้องเดินไปแลก” เหมียวถาม
“ไม่มีเลยว่ะแก” กิ๊บตอบทันทีเพราะรู้อยู่ว่าตนเองไม่มีเศษเหรียญเลย
“เออ ฉันก็ไม่มีวะ” นิดบอกในขณะที่ได้ตรวจดูแล้ว
“ไม่มีเหมือนกัน” เจี๊ยบตรวจดูจนทั่วกระเป๋าแล้วเช่นกัน
“ตู้พวกนี้ไม่ต้องใช้เหรียญหรอก”
เสียงชายแก่ที่เฝ้าโต๊ะอยู่สุดห้องนั่นแทรกขึ้นมาระหว่างการสนทนาของสาวทั้งสี่ เขายืนอยู่ข้าง ๆ เหมียว และน้ำเสียงแหบแห้งของเขาเหมือนกับว่าเขามีอายุราว ๆ สักร้อยปีได้
. “ว้าย..ย.!?”
สาวทั้งสี่ร้องเสียงหลงดังขึ้นพร้อม ๆ กันด้วยความตกใจสุดขีด ทุกคนโผเข้าหากันทันทีทันใด
“โธ่..คุณลุงตกใจหมดเลย” เหมียวกล่าวในขณะที่ยังไม่หายตกใจ
ลุงชราไม่พูดสิ่งใด ได้แต่ยืนแสยะยิ้มอยู่ตรงนั้น
สาวทั้งสี่พอระงับสติอารมณ์ได้ก็ไม่ได้สนใจลุงชรานั่นอีก ทุกคนหันหลังไปสนใจที่ตู้ทำนายดวงทันที
‘ ตู้เซียมซี ’
ป้ายที่เชียนไว้ด้านบนของตู้ แต่ไม่ได้มีใครสนใจ เพราะแค่เห็นลักษณะในตู้ทุกคนก็รู้แล้ว มันเป็นสิ่งที่พวกเธอต่างคุ้นเคยกันมาก่อน
ทุกคนกำลังมองไปที่กระบอกเซียมซีสีแดง มันถูกเขียนไว้ด้วยข้อความเป็นภาษาจีนอยู่ที่ข้างกระบอกซึ่งลอยอยู่ใจกลางของตู้ใบนี้แต่ไม่มีใครรู้ความหมายของตัวหนังสือนั่นว่ามันแปลว่าอะไร ข้างล่างของกระบอกเซียมซีซึ่งลอยอยู่ตรงกลางตู้นี้ มีกรวยท่อสำหรับให้ไม้เซียมซี (หรือ ไม้ติ้ว = ทำจากไม้ไผ่แล้วทาสีแดงสด) จากกระบอกเซียมซีหล่นลงไป นอกจากนี้ยังมีจอภาพระบบสัมผัสที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้เล่นได้
“ฉันว่าตู้นี้มันเข้าท่าดีนะ เข้าใจคิดดีว่ะ”
เหมียวชมไอเดียสร้างสรรค์ของคนที่คิดตู้นี้ขึ้นได้อย่างพิสดาร โดยยังไม่รู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
“แล้วต้องทำยังไงต่อไปละคะลุง”
นิดพูดขึ้นพร้อมหันหน้ากลับไปหาลุงแก่ ที่ยังเข้าใจว่าอยู่ข้างหลังพวกเธอ แหละต้องพบกับความว่างเปล่า ลุงแก่คนนั้นไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น มันช่างรวดเร็วเกินที่คนแก่อายุหลักร้อยจะเดินได้ว่องไวจนพวกเธอไม่ทันรู้ตัว
“นี่พวกแก ฉันว่ามันแปลก ๆ เหมือนกันนะ”
นิดมองไปที่โต๊ะด้านในสุดของห้องดูดวง ก็ไม่พบว่าลุงแก่คนนั้นนั่งอยู่ นิดสงสัยและชักจะเริ่มกลัวเองบ้างแล้ว
“ไม่หรอกน่า ก็นี่ไงตู้เซียมซีก็แค่ตู้ทำนายดวงตู้หนึ่ง” เจี๊ยบดึงให้นิดหันกลับมาสนใจ
“นี่ ๆ ใครจะดูก่อนเป็นคนแรกล่ะ ใครชอบเซียมซีก็เล่นก่อนเลย” กิ๊บไม่คิดจะเล่นก่อน
“มา ฉันเอง” นิดขอลองเล่นเป็นคนแรก
“เอ.?!~.. ต้องทำยังไงบ้างนะ ….นี่ไง ๆ หน้าจอมันบอกกติกาการเล่นออกมาแล้ว”
“กฎข้อที่ ๑.
ชะตานำพาชีวิต ลิขิตซึ่งเวรกรรม ดวงใครย่อมดวงมัน คนนั้นต้องจัดการ”
“แล้วกฎข้อต่อไปละ” นิดถาม
“เออว่ะ ไม่เห็นมีกฎข้อที่สองเลยว่ะแก”
“เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เราก็เริ่มกันเลยละกันนะ เอาล่ะเดี่ยวเขาว่าไงนะ ‘ดวงใครย่อมดวงมัน คนนั้นต้องจัดการ ‘…”
“หมายความว่าใครอยากดูดวงก็คงต้องเป็นคนนั้นกดปุ่มสินะ” เจี๊ยบตีความถูกต้อง
“ฉันกดปุ่มแล้วนะ” นิดพูดจบก็กดปุ่มสตาร์ททันที
เสียงดนตรีบรรเลงเพลงดังขึ้นอย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจพร้อมกับแสดงข้อความต่อไปให้ผู้เล่นติดตามไปด้วย
“อยากรู้สิ่งใด อยู่ที่ใจเจ้า เฝ้าวิงวอน......อธิษฐาน
O กดปุ่มค้างไว้ ให้เซียมซีได้ทำนาย”
“หมายถึงอะไรวะแก”
นิดถามเพื่อน ๆ ที่กำลังช่วยกันมุงดูอยู่ที่หน้าจอ
“แกก็กดปุ่มค้างไว้แล้วอยากรู้อะไรก็ให้อธิษฐานไว้ในใจ..แกนี่โง่จริงนี่หว่า” เจี๊ยบต่อว่าเพราะไม่ทันใจ “เออสิวะแก ฉันไม่ค่อยถนัดแปลความหมายอะไรพวกนี้เหมือนแกนี่หว่า”
“เออ..อ..อ แกก็ช่างมันเหอะวะ ตั้งใจเล่นหน่อยสิ อธิษฐานซะแล้วกดปุ่มค้างไว้ด้วย” เหมียวบ่นเพราะรำคาญ
“เอาล่ะ ฉันต้องการสมาธินะ”
แล้วนิดก็กดปุ่มบนหน้าจอค้างไว้แล้วอธิษฐานพึมพำ ๆ อย่างตั้งใจจริง ๆ
“หวือ.. หวือ.. หวือ.. หวือ.. หวือ.. หวือ...”
เสียงดนตรีเปลี่ยนเป็นเสียงสูงเสียงต่ำสลับกันไปสลับกันมา
จนเมื่อสิ้นเสียงกระบอกเซียมซีก็เริ่มทำงาน มันเริ่มสั่นเบา ๆ จนค่อย ๆ แรงขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
มันขยับไปมาเหมือนกำลังถูกมือใครจับเขย่า อย่างแรง เสียงของไม้ติ้วกระทบกันดังได้บรรยากาศเสมือนจริง
ไม้เซียมซีสีแดงสด กำลังค่อย ๆ โผล่เด่นขึ้นมาเพียงหนึ่งก้าน มันเริ่มพ้นออกจากกระบอกไม้ไผ่ สูงพ้นขึ้นเรื่อย ๆ
สาวสวยทั้งสี่ลุ้นอยู่ด้วยใจจดจ่อจ้องมองอย่างไม่กระพริบ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเธอตื่นเต้นมากกับการรอผลที่ออกมาของหมายเลขบนไม้ติ้วนั่น
ไม้ติ้วกำลังหล่นออกมาจากกระบอกไม้ไผ่นั่นแล้ว ไม่มีใครเห็นได้เลยว่ามันเป็นหมายเลขใด
“นั่นไงแก ล่วงแล้ว ๆ” “เย้..เย้..” “yes!” ทุกคนแสดงออกซึ่งความดีใจเหมือนได้ทำอะไรสำเร็จจนได้
แต่ว่าคนที่ลุ้นสุดตัว น่าจะเป็นนิดเจ้าของผลการทำนายในครั้งนี้มากกว่า
“เห็นหรือเปล่าวะพวกแกว่ามันเป็นเลขอะไร” เจี๊ยบถาม
“ไม่รู้ว่ะ ไม่เห็นเลย” เหมียวพูดขึ้น
“แล้วฉันจะรู้หรือเปล่าวะพวกแก” นิดสงสัยเล็ก ๆ
“ไม่หรอกน่า แกก็รอดูต่อไปสิ มันต้องบอกอะไรมาบนหน้าจอบ้างแหละ” กิ๊บพูดถูกต้อง
“อะ นั่นไงมันขึ้นข้อความมาแล้ว” นิดดีใจ และ เช่นเดียวกับทุกคน
“กฎข้อที่ ๒.
คำทายมิอาจลวง.... ดวงตาสวรรค์มิอาจจเผย ด้วยมิเคยต้องสินบน คนจรต้องจ่ายทาน จึงได้ผ่านอ่านเฉลย”
ข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจออีกครั้งด้วยข้อความเหมือนว่ากำลังเรียกร้องอะไรบางอย่างเพื่อแลกกับคำทำนายและตามด้วยข้อความต่อมาอีกหลายบรรทัด ที่กำลังเกิดค่อย ๆ เกิดขึ้นจากการรวมตัวของภาพกลุ่มควันธูป
“สิ่งใดที่เจ้าฝัน สิ่งนั้นอาจเป็นจริง มีของเพียงบางสิ่ง....ที่ต้องแลก เพื่อได้มา”
มันปรากฎขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วค่อย ๆ สลายไปช้า ๆ จึงกลับมารวมตัวกันเป็นตัวหนังสือข้อความใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“ความจริงที่ได้รับ จะมากมายฤาล้ำค่า ขึ้นอยู่เจ้าเลือกมา...ตามกำลัง สิ่งใดที่เจ้าแลก จงบอกมา”
“๑. เลือด”
“๒. เนื้อ”
“๓. ความสุข”
“๔. ชีวิต”
“๕. วิญญาณ”
.......ข้อความบนหน้าจอปรากฏขึ้น พร้อมกับเสียงดนตรีที่เหมือนมีมนตร์ขลัง.......มันทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จริงจัง
“ฉันว่าแกอย่ารู้คำตอบเลยดีกว่า” กิ๊บเริ่มไม่มั่นใจและเริ่มรู้สึกกลัว
“เหมือนกับว่าถ้าแกอยากรู้คำทำนายแกจะต้องเลือกข้อใดข้อหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน” เจี๊ยบอธิบาย
“ฉันว่ามันชักจะยังไง ๆ อยู่นะ” กิ๊บทักขึ้นอีกครั้ง
เพื่อนทุกคนหยุดชะงักแล้วหันมามองที่กิ๊บเป็นสายตาเดียว
“ใช่! ฉันเห็นด้วยนะ เราเลิกเล่นกันเถอะนะ” เจี๊ยบเสริมทันทีทันใด
“โธ่เอ๊ย..ย.. พวกแกจะกลัวอะไรกันนักกันหนา มันก็ไอ้แค่ตู้ดูดวงธรรมดาเหมือนตู้เกมส์ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละน่า ทำเป็นไม่เคยเล่นไปได้”
มาถึงตรงนี้แล้ว นิดจึงอยากรู้เสียเหลือเกินว่า ไม้ติ้วนั่นมันคือเลขอะไร
“อ่ะ อ่ะ” “ตามใจละกัน”
“ฉันเลือกละนะ”
นิดใช้นิ้วมือค่อย ๆ ชี้ผ่านไปมาบนหัวข้อทั้งห้าเพื่อเลือกหาข้อที่ถูกใจที่สุด
“แกเลือกดี ๆ นะ” เจี๊ยบแทรกขึ้นขัดจังหวะ แต่นิดไม่ได้สนใจ
“คิดดี ๆ ก่อนนะเว้ยแก” กิ๊บเตือนด้วยความเป็นห่วง
“เออน่า..ไม่มีอะไรหรอกน่า พวกแกเข้าใจคำว่า ตู้เกมส์มั๊ยวะ” “พวกแกดูที่ปากฉันนี่ ‘ตู้เกมส.ส..ส.’ ” นิดแสดงอาการรำคาญอย่างเห็นได้ชัด ที่ถูกเพื่อน ๆ คอยขัดจังหวะ จึงทำปากสะกดคำว่า ‘ตู้เกมส..ส..’
ให้ดูช้า ๆ แบบภาษาอังกฤษที่เติมตัว S ต่อท้ายด้วย ทำให้เพื่อนทุกคนต้องเงียบและตั้งใจดูต่อไป
“เอาล่ะ ฉันเลือกข้อ ๑ ละกันนะ” นิดพูดขึ้นพร้อมกับเอานิ้วสัมผัสลงบนข้อความข้อที่ ๑. อย่างมั่นใจ
ข้อความทั้งหมดหายไปแล้วปรากฏข้อความใหม่ขึ้นแทนพร้อมด้วยเสียงบรรเลงเพลงบทใหม่ที่ฟังดูลึกลับและวิเวกวังเวง......
‘ฮือ...ฮือ...อ..อือ..อือ..ฮือ.อ.ฮือ...อ..อือ..อือ..ฮือ.อ...’
“กฎข้อที่ ๓.
ความลับแห่งสวรรค์ จะสรรค์เสกให้เป็นจริง มีเพียงอยู่บางสิ่ง ที่เจ้า...ต้องทำตาม
บทความ...ต่อไปนี้ มีเรื่องดี มีเรื่องร้าย
ฟ้าดินจักทำนาย ให้กลาย...แต่เรื่องดี...
เรื่องนี้...เป็นความลับ จงระงับอย่าแพร่งพราย
เจ้านั้นสมควรตาย หากเจ้ายังเฉลยมัน...”
“ O สัญญา สาบาน ด้วยชีวาวาย”
ข้อความล่าสุดนี้ทำให้ผู้อ่านทุกคนในที่นี้ รู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ สับสนใจ ไม่รู้ว่าจะอย่างไรต่อไปดี
“ว่าไงวะพวกแก” คราวนี้นิดขอความเห็นจากเพื่อน ๆ
“แกคงต้องเลือกแล้วล่ะว่าแกจะเล่นต่อหรือเปล่า เพราะถ้าแกรู้คำทำนาย แกก็จะต้องรักษาความลับของคำทำนายที่แกได้ ไม่บอกให้ใครรู้โดยเด็ดขาด ไม่งั้นแกตาย..ย..ฮือ..อ..ฮือ..อ.” เหมียวอธิบายเสร็จก็ทำท่าทางเหมือนผีหลอก
“ใช่!~ หรือ แม้แต่พวกฉัน แกก็บอกไม่ได้นะ” เจี๊ยบเสริม
“ใช่!~ ไม่เช่นนั้นแกตาย..ย..แห้ แห้” เหมียวทำเสียงแหบแห้งและท่าทางประกอบ
“ไอ้บ้า! นี่แก...ไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย”
นิดชักไม่มั่นใจว่าจะเล่นต่อไปอีกดีหรือเปล่า แต่ด้วยนิสัยโผงผางห้าว ๆ ของเธอแล้วยิ่งอยู่ต่อหน้าเพื่อน ๆ อีกมันทำให้นิดยิ่งอยากโชว์สิ่งที่กำลังอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เธอเริ่มกลัวให้มันดำเนินต่อไปจนจบ
“เอาละ ฉันตกลง ลองดูซิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” นิดกดปุ่ม
เธอกำลังท้าทายความกลัวของตัวเองด้วยการท้าทายเจ้าตู้เซียมซีใบนี้....
“ถ้อยแถลง แสดงความ ตามใจเจ้า
สิ่งใดเล่าที่เจ้าถาม ตามอธิษฐาน
ดลจิตคิด ดลจิตฝัน ดลบันดาล
ให้พานสบ พบสิ่งดี...”
ข้อความสื่อสารกันระหว่างผู้เล่นกับเครื่องปรากฏขึ้น คราวนี้มันเป็นตัวหนังสือที่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาจากข้างล่างจอขึ้นไปข้างบนอย่างช้า ๆ จนมาหยุดที่ตรงกลาง แล้วค่อยเลือนรางไปเหมือนกลุ่มควันของธูปที่ต้องลมเพียงแผ่วเบาให้พอฟุ้งกระจาย แล้วค่อยกลับมารวมตัวกันขึ้นอีกครั้งเป็นข้อความใหม่นี้
“...หากเจ้าทุกข์ใจร้อนกาย ให้เศร้าหมอง จงประคองลองตามเซียมซีชี้เฉลย ความในใบ เข้าทำนองตามจริง นั้นใช่เลย ด้วยมิเคยทายใครให้ผิดคำ…”
“หมายความว่าไงวะพวกแก แปลทีดิ”
“ข้อความครั้งแรกขอให้แกโชคดี ส่วนครั้งที่สองถ้ามันไม่ดีก็ให้แกทำตามนั่นแหละ” กิ๊บอธิบาย
“แล้วเมื่อไรใบเซียมซีจะออกมาวะแก”
“เอ๊ะ!~ แกนี่ใจร้อนจังเลยว่ะ ขอเวลาให้เครื่องมันประมวลผลบ้างสิ” เจี๊ยบต่อว่า
“บางทีดวงแกอาจจะมีเรื่องแย่ ๆ มากกว่าเรื่องดีก็ได้ มันเลยต้องคิดนานว่ะ” เหมียวพูดแล้วหัวเราะร่าไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ทุกคนที่กำลังมองเป็นเรื่องตลก
“อะนั่น” นิดเห็นอะไรบางอย่างออกมาจากเครื่อง
กระดาษใบเซียมซีเก่า ๆ ใบหนึ่ง มันมีสีน้ำตาลเหมือนสีน้ำชา มีข้อความที่เหมือนถูกเขียนไว้ด้วยลายมือ
“เห็นไหมว่ามันก็เป็นแค่เกมส์ทำนายดวง ไม่เห็นมีอะไรเลย พวกแกน่ะคิดมากไป” นิดพูดขึ้นในขณะที่บก้มลงไปเก็บใบเซียมซีที่ออกมาจากเครื่อง แล้วพับเก็บใส่กระเป๋าถือของตัวเองทันที
“นี่แก เอามาให้พวกเราอ่านบ้างสิ” เหมียวทวงพร้อมกับยื่นมือไปขอ
“ไม่ได้ว่ะ เดี่ยวผิดคำสัญญา ฉันก็ตายกันพอดี” นิดปัดมือเหมียวลงเบา ๆ
“อ้าว.ว.ว..!?~ ไหนแกบอกว่าเป็นแค่เกมส์ไง แล้วทำไมจริงจังด้วยวะแก” กิ๊บย้อนถาม
“แหม..ก็..มันเป็นส่วนหนึ่งของเกมส์ยังไงล่ะ ฉันเล่นตามเกมส์ แล้วมันผิดรึ...ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า..”
แล้วทุกคนก็หัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน
ไม่มีใครสนใจเครื่องทำนายเซียมซีอีกแล้ว ทุกคนเดินจากมันมา โดยไม่รู้ว่าตู้เซียมซีมันกำลังค่อย ๆ ดับลงอย่างช้า ๆ อีกครั้งเหมือนก่อนหน้าที่พวกเธอจะย่างก้าวเข้ามา ณ ที่แห่งนี้
เมื่อนิดได้ทดลองเล่นตู้เซียมซีทำนายดวงผ่านไปเป็นคนแรกแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มผ่อนคลายลงในทันใด มันยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้ของคนที่เหลือ
ทุกคนกำลังสนุกกับมัน ไม่มีใครได้มีความหวาดระแวงหรือเกรงกลัวเหมือนเช่นตอนแรกที่ได้เริ่มเล่นเกมส์
“ทีนี้ใครจะเล่นอะไรอีกล่ะ....เราไปดูตู้นั้นกันดีกว่านะพวกเรา” กิ๊บหันไปหันมาจนพบสิ่งที่ต้องการ พร้อมกับเดินนำไปเป็นคนแรก
“เอ๊ะ?.... นี่มันตู้อะไรนะ มีกระจกเงาไว้ให้ส่องหน้าด้วย” นิดสงสัยแล้วก้มหน้ามองลงไปที่กระจก
“อ๋อ..อ..ไม่ใช่อย่างที่นิดพูดซักหน่อย มันก็คือตู้ดูลายมือนี่เอง” เจี๊ยบสังเกต
“เฮ้ย..แกรู้ได้อย่างไรวะ” เหมียวถาม
“นั่นไง...เขาเขียนไว้ข้างบนตู้ว่า ‘ดูลายมือ’ พวกแกมัวแต่ส่องกระจก ไม่ยอมสังเกตกันเองแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นกระจกเงาก็มีไว้เพื่อให้วางมือลงบนนี้” กิ๊บวางมือลงไปประกบบนกระจกเงาเป็นตัวอย่าง
ทันทีที่มือสัมผัสบนพื้นกระจกนั่น เสียงกระหึ่มของดนตรีก็บรรเลงเพลงเป็นท่วงทำนองอันสนุกสนานตื่นเต้นเร้าใจ
“อุ้ย!..ตกใจหมดเลย” กิ๊บตกใจเล็กน้อยขณะที่เสียงดนตรีกระหึ่มขึ้นดังในครั้งแรก
“ยินดี น่าดีใจ ที่คนไกล ได้จรมา”
“ยินดีที่ได้รู้จัก สาวิตรี”
คำทักประโยคแรกของตู้ดูลายมือก็สามารถทำให้ทุกคนฉงนสนเท่ห์ในใจมากที่สุด
“เฮ้ย..ย..ตู้อัจฉริยะ..” กิ๊บอุทานออกมาด้วยความทึ่ง
“แก...มันรู้ชื่อจริงกิ๊บด้วยว่ะ” นิดทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“เออ..นั่นสิ ไฮเทคสุด ๆ เลยแก” เจี๊ยบทึ่งในความฉลาดของมัน
“ไหน! กิ๊บแกลองเอามือขึ้นซิ” เหมียวให้กิ๊บทำตามเพราะยังไม่เชื่อในความฉลาดของมัน
กิ๊บทำตามที่เหมียวแนะ เธอยกมือขึ้นออกจากกระจกเงา แต่มันยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นไปอีก กับความทันสมัยของเจ้าเครื่องนี้
“ดูที่กระจกนั่นสิ” นิดชี้ให้ดูในขณะที่ทุกคนจ้องมองดูกันอยู่แล้ว
“รูปมือของแกยังอยู่บนกระจกอยู่เลยว่ะ” เหมียวเชื่อในความสามารถของเครื่องนั่นแล้ว
“น่าสนใจวะแก ขอฉันลองก่อนได้ไหมกิ๊บ”
“เออ ก็ได้ แกลองเลยเจี๊ยบ ฉันไม่ค่อยชอบดูลายมือวะ”
“’ถ้าอย่างนั้นแกก็วางมือลงไปสิ” นิดกระตุ้น
ในขณะที่ทุกคนรอดูอยู่ เจี๊ยบวางมือลงทับบนเงามือเดิมของกิ๊บที่เคยวางไว้ก่อนหน้า
แต่ว่า.....เครื่องเงียบสนิท...ไม่เกิดสิ่งใดขึ้นเลย จนเจี๊ยบต้องละมือออกมาจากกระจกเงานั้น
“เฮ้ย..ย.เครื่องมันไม่รับวะแก มันยังเป็นเงามือของแกอยู่เลย” เจี๊ยบรู้สึกโกรธอยู่ในใจ
“สาวิตรีศรีสง่านามไพเราะ ..งามเหมาะเจาะเหมาะสมซึ่งความหมาย เจ้ามาแล้ว..ฝากลอยไว้ ให้ทำนาย ไฉนเจ้ากลายกลับ เลือนลับไป
เมื่อเจ้ามา ฝากมือไว้ ใครไม่ว่า
เมื่อจากไป แล้วใยเจ้า ไม่อำลา
เมื่อเจ้ามา อย่าจาก ลับตาไป”
คำอ้อนวอนจากเจ้าเครื่องทำนายเครื่องนี้ทำให้กิ๊บยอมกลับมาใช้บริการอีกครั้งตามคำเชื้อเชิญ “สงสัยต้องเป็นแกแล้วล่ะกิ๊บ” เจี๊ยบหลบออกมาอยู่ข้างหลัง คืนเครื่องให้กิ๊บอีกครั้งหนึ่ง
“เออก็ได้ ฉันดูเองละกัน”
“ถ้าดูแม่นดูอันไหนก็เหมือนกันแหละน่า” เหมียวพูดถูก ทุกเครื่องดูแม่นหมด
ว่าแล้วกิ๊บก็เลยต้องวางมือลงบนกระจกเงาอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วกดปุ่มสัมผัสบนหน้าจอเพื่อใช้บริการ
“ O .เริ่มต้น...” เข้าสู่การทำนายโชคชะตาต่อไป
ในขณะที่เพื่อนทุกคนเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบ
“กฎข้อที่ ๑.
ลายมือดุจลายแทง เส้นชี้แจงมีความหมาย
อยากรู้คำทำนาย จงมอบไว้ซึ่งลายมือ
ลายมือมิซ่อนเร้น ดุจดั่งเช่นปริศนา
ขอจงภาวนา อธิษฐานมา ว่าสิ่งใด...”
กิ๊บนิ่งหลับตาลงนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วก็ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
“กิ๊บ แกอธิษฐานถามอะไรวะ ฉันอยากรู้...” เหมียวรบกวนความสงบเพราะความใคร่อยากรู้
“กิ๊บแกอธิษฐานเรื่องอะไรวะแก” เหมียวถามซ้ำอีกครั้ง
“เรื่องความรัก เนื้อคู่”
“ว้าย...ว้าย...ว้าย กิ๊บแกอยากมีความรักแล้วเหรอยะ” เหมียวแซว
“คนไม่มีแฟนอย่างฉัน ก็อยากจะรู้บ้างสิว่าทำไมไม่มีใครมาสะดุดเท้าฉันบ้างเลยวะ”
“อ้าว..ว..แล้วไหนแกว่า มีมาตั้งเยอะแกไม่เอาเองไง” เหมียวย้อนถามถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อเช้าที่ร้านทำผม
“แหมมันก็มีบ้างแหละ แต่มาแล้วก็ไป แบบว่าแวะชมแป๊บนึง”
“ทางเดินมีที่ไป หนทางมีที่มา
ชะตาถูกลิขิต ชีวิตถูกกำหนด
สับสนแลเลี้ยวคด ชีวิตหมดหนทาง
ลายมือดั่งเข็มทิศ ชีวิตมีความหมาย
เส้นสายคือทางไป เส้นใจต้องรักษา
เส้นสมองต้องนำพา เส้นชีวาไม่อับจน”
ข้อความใหม่ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งเช่นเดียวกับกลุ่มควันธูป หยุดนิ่งเพียงชั่วครู่แล้วสลายไปอย่างช้า ๆแล้วกลับเข้ามารวมตัวกันเป็นข้อความใหม่ทันที
“ความจริงที่ได้รับ จะมากมายฤาล้ำค่า ขึ้นอยู่เจ้าเลือกมา...ตามกำลัง” “สิ่งใดที่เจ้าแลก จงบอกมา”
“๑. เลือด”
“๒. เนื้อ”
“๓. ความสุข”
“๔. ชีวิต”
“๕. วิญญาณ”
มันคือข้อความเดียวกันกับที่ทุกคนเคยเห็นแล้วที่ตู้เซียมซี
“คราวนี้ฉันจะเลือกอะไรดีวะ” “พวกแกช่วยคิดหน่อยสิ” กิ๊บอยากได้คำแนะนำ
“ฉันว่าแกลองเลือกข้อ ๑. เหมือนกับนิดดูก่อนก็ดีนะ” เหมียวแนะ
“จะเลือกข้อไหนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แกดูสิฉันก็ยังหายใจอยู่ดี แกเข้าใจคำว่า ‘ตู้เกมส..ส..’ หรือเปล่าล่ะ” นิดทบทวนคำพูดอีกเป็นครั้งที่สอง
“เอาอย่างนี้ละกัน ฉันขอเลือกข้อ ๒. ละกันจะได้ไม่เหมือนกับนิด ดูซิว่าจะเป็นอย่างไร”
ข้อความเดิมบนหน้าจอค่อย ๆ เลือนหายไป และเพลงบทใหม่ที่อลังการกว่าน่าตื่นเต้นกว่าเข้ามาแทนที่ ข้อความใหม่ได้ปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง
“ทางเดิน มีหนทาง...วางแผนไว้
ชีวิต มีวันหน้า...จงกล้าเดิน
ลายมือ บอกทางไป...ไม่ประมาท”
“ O ...ต่อไป...”
“เห็นไหมล่ะ ว่ามันไม่มีอะไร แกก็ยังยืนอยู่ตรงนี้” นิดพูดย้ำ
“พูดถึงว่าถ้ามันไม่มีอะไรแล้วคนสร้าง มันทำขึ้นมาเพื่ออะไร” เจี๊ยบสงสัยในวัตถุประสงค์ของสถานที่แห่งนี้
“ก็คงอยากให้ลูกค้าที่มาเดินห้างได้สนุกสนานกัน แล้วกลับมาเที่ยวใหม่ มันเป็นการตลาดของเค้ามั้ง” เหมียวคิดแบบนักธุรกิจ และมันถูกส่วนหนึ่งผิดส่วนหนึ่งโดยลืมไปว่าของฟรีไม่มีอยู่ในโลก
กิ๊บหันกลับมาที่หน้าจออีกครั้ง อ่านข้อความที่ยังรออยู่ แล้วกดปุ่ม ‘...ต่อไป...’
ภาพมือบนกระจกเงา มันถูกย้ายมาปรากฏขึ้นบนจอภาพของเครื่องทำนาย มันเป็นภาพมือเสมือนจริง ของกิ๊บ ก่อนที่มันจะย้ายไปครึ่งจอทางด้านซ้ายและปล่อยให้คำอรรถอธิบายถูกแสดงไว้ทางด้านฝั่งขวา เส้นลายมือเส้นหนึ่งก็ถูกเน้นสีขึ้นเป็นสีแดงกระพริบอย่างช้า ๆ พร้อมกับข้อความอธิบายความหมายของเส้นลายมือเส้นนี้
มันคือเส้นลายมือที่วางตามขวางอยู่เดี่ยว ๆ ตั้งอยู่บนสุดเหนือเส้นอื่น ๆ แต่ต่ำลงมาจากโคนล่างสุดของนิ้วชี้ กลาง นาง ก้อย มันคือ.........
“เส้นหัวใจ....
เส้นนี้สำคัญยิ่ง บอกหลายสิ่งทายนิสัย
รักสวยใจน้ำงาม มารยาท บรรจงศิลป์
เมตตาแลโอบอ้อม หรืออ่อนน้อมมีคุณธรรม”
”เออดีว่ะแก ดูสิเขาบอกด้วยว่าตรงนี้เป็นเส้นอะไร แล้วมันทำนายอะไรได้ สนุกดีว่ะแก” เจ้าของมือกล่าว
“ดูซิว่าดวงฉันจะเป็นอย่างไร”
จากนั้นข้อความเดิมก็ค่อย ๆ จางไป ข้อความใหม่เข้ามาแทนที่ มันคือคำทำนายของกิ๊บนั่นเอง
“สวยรูปจูบมิหอม เข้าทำนองแต่หนหลัง
แต่งตัวเหลือกำลัง จึงน่าชังจากข้างใน
จิตใจไม่คงมั่น มักช่างฝันให้ได้มา
ชอบติฉินคำนินทา รักแล้วลาไม่ใยดี
คนดีต้องหนีจาก เพราะเรื่องมากตนช้ำใจ
วันคืนไม่สดใส มิอาจโน้มให้ใจงาม....
......................................................
.....................................................”
“ไม่จริงดวงฉันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก แกโกหก เจ้าเครื่องบ้า” กิ๊บโวยวายใส่เครื่องด้วยอารมณ์เสียสุด ๆ
“นี่แกเป็นอะไรวะ ฉันยังไม่เห็นมันจะมีอะไรเลย” เหมียวสงสัยในอาการของกิ๊บ
“นี่แก ฉันไม่เห็นมีข้อความอะไรเลยวะ กิ๊บแกเห็นอะไรเหรอ” นิดก็ไม่ต่างจากเพื่อน ๆ ที่ต้องการคำตอบ
“เออว่ะกิ๊บ แกทำท่าเหมือนแกกำลังอ่านอะไรอยู่แหนะ” เจี๊ยบสงสัย
“จริง ๆ ด้วยแก.. ฉันว่าแกเพี้ยนไปหรือเปล่า” เหมียวต่อว่า
“ก็นี่ไงแกไม่เห็นหรือไง ฉันยังเห็นเลย” กิ๊บยืนยันด้วยเสียงดังหนักแน่น พร้อมกับอารมณ์ที่ยังฉุนอยู่
“เฮ้ย แกบ้าหรือเปล่าวะ พวกฉันยืนรุมดูกันตั้งหกลูกตา ยังไม่เห็นตัวหนังสือโผล่ขึ้นมาสักตัว” นิดต่อว่าเสริมเข้าไปอีกเป็นคนสุดท้าย
“ไม่รู้สิ หรือว่าเจ้าตู้นี้ต้องการให้เป็นความลับ ดวงใครก็ดวงมัน หรือเปล่าวะพวกแก” กิ๊บหันมามองหน้าเพื่อน ๆ แต่คำทำนายมันก็ยังไม่หายไปจากความเครียดของเธอ
กิ๊บไม่สนใจเพื่อน ๆ อีกแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาจ้องมองไปที่หน้าจอของเครื่องทำนายลายมือนี้อย่างตั้งใจเหมือนกำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่ ทั้งที่เพื่อน ๆ ของเธอต่างก็กำลังจ้องมองมาที่ใบหน้าของเธอด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะหันมามองหน้ากันเองด้วยความสงสัย
“เออนี่กิ๊บ ถ้าอย่างนั้นฉันไปดูตู้อื่นก่อนนะแก” เหมียวบอกกล่าวก่อนที่จะเดินออกมา “……………........” กิ๊บนิ่งเฉยและยังคงมองไปที่เครื่องนั่นต่อไป ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“กิ๊บ นี่แกฉันไปดูที่ตู้อื่นก่อนนะ” นิดพูดให้เสียงดัง ๆ ขึ้น
“........หา เออ..ไปกันเหอะ...” กิ๊บหันมาตอบแล้วกลับไปจ้องมองที่หน้าตู้ต่อ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปดูตู้อื่นกันก่อนละกัน” นิดหันไปชวนเพื่อนที่เหลืออยู่ แล้วรีบเดินตามเหมียวไปทันที
สาวสวยที่เหลือจึงได้เดินเข้าไปข้างในบริเวณส่วนอื่น ๆ เพื่อหาตู้ทำนายที่ตัวเองชอบ ปล่อยให้กิ๊บเผชิญความเครียดเพียงลำพัง
...................................................................
เส้นลายมือเส้นต่อไปกระพริบเป็นสีแดงอย่างช้า ๆ มันอยู่ในตำแหน่งใต้อุ้งมือที่อยู่ต่ำกว่าใต้นิ้วโป้งลงมา เป็นเส้นที่ตีโค้งขอบอ้อมอุ้งเนื้อของนิ้วโป้งเรียกว่า....
“เส้นชีวิต...
เส้นนี้สำคัญนัก บอกชีวิตความเป็นไป
หนทางอยู่หนไหน ลำบากยากเข็ญใจ
โชคร้ายจะนำไป โชคดีจะนำมา
หรือมีวาสนา โอกาสมาไม่รอคอย
ความเพียรเป็นที่ตั้ง ความเจริญเป็นที่มา
การเจริญงานก้าวหน้า ด้วยความว่ากำลังตน...
.....................................................
.....................................................”
ข้อความจางหายไปหลังจากที่กิ๊บอ่านจบ เหมือนว่าจะรู้ว่ากิ๊บอ่านจบเมื่อใด ข้อความใหม่เข้ามาแสดงให้ผู้เล่นตามไป
“ชีวิตนั้นไม่นานนัก เดินทางลัดดั่งต้องมนตร์
วิถีมิมีถนน ช่างวกวนแลวนเวียน
หนทางอย่างป่าเขา พอทำเนาให้หักเห
เดินทางเหมือนร่อนเร่ ชีวิตชอบลังเลหันเหดั่งต้องลม
ชีวิตจึงผสมด้วยลั่นทม และ ลำเค็ญ...
...................................................
....................................................”
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก” กิ๊บพูดขึ้นเบา ๆ เหมือนเสียงพึมพำของคนเหม่อลอย แต่ก็ยังติดตามดูข้อความต่อไปเรื่อย ๆ
เส้นลายมืออีกเส้นหนึ่งกระพริบขึ้นอีกแล้ว มันคือเส้นที่ตีเริ่มต้นบนเส้นเดียวกับเส้นชีวิต เพียงแต่ไม่ได้ตีโค้งลงมาด้วย เส้นนี้เรียกว่า...
“เส้นสมอง....
บอกลิขิต แสดงความคิดพินิจพิจารณา
มีสมองเบาปัญญา หรือล้ำค่ากว่าทรัพย์ใด
เป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่อง หรือคุยเฟื่องเปลืองน้ำลาย
ความจริงจะบอกทาย หายสงสัยในลายมือ...
.................................................
................................................”
กิ๊บต้องเครียดหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อข้อความที่ออกมาไม่มีดีเลยสักเรื่องเดียว แต่เธอก็ยังอดทนดูอยู่ได้ไม่รู้จบ
เส้นที่สาว ๆ ทุกคนใฝ่ฝันกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงกระพริบอยู่อย่างช้า ๆ มันคือเส้นสั้น ๆ อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ระหว่างโคนล่างของนิ้วก้อยกับเส้นหัวใจ เส้นสมรสจะขีดขึ้นมาจากด้านข้างสันฝ่ามือ
“เส้นสมรส...
บอกความหมายให้คู่รัก ที่ประจักษ์เก่าก่อน แต่หนหลัง
เนื้อคู่มีอยู่ ย่อมรู้กัน มิอาจผันแปรเปลี่ยนไป
ความรัก เกิดจากรัก เกิดจากจิต เกิดจากใจ
ความรักอยู่หนใด เหตุไฉนไม่เคยมา
อาภัพรัก อาภัพนัก อยากมีรัก ปักชีวา
สงสัยจะไม่มา ให้เสน่หา ให้อาลัย
.............................................
.............................................”
ข้อความที่บั่นทอนความรู้สึกของกิ๊บกำลังจางไปแล้ว คำทำนายใหม่กำลังปรากฏขึ้น อย่างน้อยมันเริ่ม
คล้ายว่าจะดี เธออาจจะมีหวังขึ้นมาบ้าง
“เนื้อคู่มี มิใช่เนื้อคู่แท้ คู่แน่ ๆ มีอยู่ไม่รู้หมาย
ชีวิตนี้มีรักอย่างมากมาย แต่สุดท้ายก็เลือกได้ เพียงสามคน
คนหนึ่งก็เห็นว่าเป็นบ้า บ้าตัณหา บ้าราคะ บ้าสับสน
คนสองเหมือนดั่งโดนของต้องมนตร์ อยู่มิทนแล้วจากไป ไม่กลับมา
คนสุดท้ายได้หวังเป็นที่พึ่ง อยู่มิถึงนานก็จางหาย
เหนื่อยรัก เหนื่อยใจ เหนื่อยกายา สุดท้ายมาอยู่เงียบอย่างเดียวดาย
.....................................................................
....................................................................”
ข้อความสลายไปเหมือนกลุ่มควัน แล้วถูกแทนที่ด้วยข้อความใหม่เพื่อการล่ำลา.....
“...ลาก่อน...มิอาจ จะลาลับ
วันหนึ่งคงได้กลับอย่างโหยหา
วันหนึ่งนั้นฉันจะรอคอยการกลับมา
เพื่อค้นหาทางแก้ไข ให้กับเธอ..
.................................
.................................”
จากนั้นเครื่องก็ได้ดับลงทันที ปล่อยให้กิ๊บยืนตาค้างจ้องมองไปที่จอภาพที่มืดสนิทด้วยความหดหู่ใจและเศร้าหมองกับชีวิตที่มันทุกข์อะไรขนาดนี้ เธอยังย้ำคิดย้ำทำอยู่ว่ามันไม่ใช่
“แกโกหก ฉันไม่เชื่อแก ฉันจะไปลองดูที่ตู้อื่น”
“ปึ้ง...ปึ้ง” “ปั้ง ปั้ง” เธอทั้งเตะทั้งถีบเจ้าเครื่องนี้ไปหลายทีดับความโมโหที่มิอาจหายได้เลย
“ไพ่ยิบซี”
ตู้ไพ่ยิบซี มีลักษณะเหมือนตู้ที่ผ่าน ๆ มา ส่วนแตกต่างที่สำคัญคือมันมีช่องเล็ก ๆ ซึ่งใช้สำหรับใส่อะไรบางสิ่งบางอย่างลงไปในนั้น
“เจี๊ยบ ขอเหมียวเล่นก่อนนะ”
“เออ..แกเล่นก่อนก็ได้ ยังมีอีกตั้งหลายตู้ให้เล่น ไม่เห็นเป็นไรเลย”
เจี๊ยบถอยออกมายืนอยู่ข้างหลัง เป็นผู้ชมแทน
“ว้าว..ว.น่าสนุกจังเลย แกว่าไหม” เหมียวยิ้มร่าแสดงความชอบใจอย่างกระตือรือร้น
“พอ..พอ..เลิกเว่อได้แล้วแก เริ่มเล่นซักทีสิ ฉันดูลีลาของแกมาพักนึงแล้วนะ” นิดเร่งจนเหมียวต้องเริ่มเล่นทันที
“กฎข้อที่ ๑.
ไพ่นี้มีมนตร์ขลัง มีพลังแห่งอสูร
เจ้านั้นจงเกื้อกูล เอื้ออาหารให้แก่มัน
ไพ่นี้มีความลับ ซ้อนกลนักปริศนา
อยากได้ความลับมา จงสรรหาสองสิ่ง ในกายตน
เป็นผมหรือเป็นเล็บ พอได้เก็บ ไว้ศึกษา
ไพ่รู้พิจารณา ไปค้นหาคำทำนาย...
................................................
................................................”
“ O ...ต่อไป...”
“เอ... ข้อความนี้หมายถึงต้องเอาผมกับเล็บใส่ลงไปที่ช่องนี้หรือเปล่านะ” เหมียวชี้ไปที่ช่องเล็ก ๆ ที่หน้าตู้ไพ่ยิบซี
“น่าจะใช่แหละ”
เจี๊ยบเห็นด้วยในขณะที่นิดกำลังยืนเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองอยู่
“เอากรรไกรตัดเล็บออกมาให้ฉันเดี่ยวนี้เลย ฉันรู้นะว่าแกมี..ไม่รู้หน้าที่เลยนะแก” เหมียวยื่นมือมาอยู่ที่ตรงหน้าเจี๊ยบ
เจี๊ยบเอามือควานหาในกระเป๋าถือ ที่มีแต่ข้าวของเครื่องใช้เต็มไปหมด
“อ่ะ...นี่ได้แล้วจ๊ะคุณนาย” เจี๊ยบยื่นให้
เหมียวทำท่าทางลังเลขึ้นมาว่าจะเลือกตัดเล็บจากนิ้วไหนดี เพราะเล็บของเธอล้วนแต่สวยไปด้วยลายดอกไม้สีต่าง ๆไปหมดทุกนิ้ว ด้วยลายเพ้นท์ที่เธอชอบ สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องแลกด้วยเล็บจากนิ้วก้อย แล้วก็ดึงเส้นผมของตัวเองออกมาอีกหนึ่งเส้นใส่ลงไปในช่องเล็ก ๆ นั่น
“ฉันกดปุ่มต่อไปเลยนะ”
“ปัญญาฉลาดหลัก ปัญหาหนักใช้ไม่เป็น
สิ่งดีจึงไม่เห็น เพราะไม่เป็นด้วยปัญญา
ความคิดย่อมตรึกตรอง แต่ทั้งผองใช้เพื่อบ้า
ความคิดพิจารณา นำพามาให้เป็นภัย
ปัญหา ใหญ่หลวงนัก ใครก็ทักแต่ไม่ฟัง
ปัญญาท่วมหัวพัง มิอาจรั้งให้เย็นใจ
คนดีมีเป็นสิบ แต่ไม่คิดเลือกคนบ้า
ทุกอย่างต้องตามตำรา เรื่องนี้หนาจงระวัง...
.....................................................
....................................................”
ติดตามส่วนที่ 2 ได้ที่นี่//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=box-x&month=05-2008&date=13&group=1&gblog=20




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2550
0 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 11:07:09 น.
Counter : 685 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.