จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Devil in Destiny Machines (ปิศาจพยากรณ์) ภาคที่ 1 ส่วนที่ 4 ตอนจบ

เมื่อสาวน้อยที่ไร้รอยยิ้มทั้งสี่ได้ก้าวพ้นออกไปจาก ณ สถานที่แห่งนี้ ชายชราอายุเกินร้อยที่เป็นปู่โสมเฝ้าเครื่องทำนายเหล่านั้นก็ได้เดินไปที่เครื่องดูลายมือเป็นเครื่องแรก เขาหยุดยืนตรงหน้าตู้แล้วยิ้มเยาะ ๆ จนเห็นฟันสีดำของแก
“ได้เวลาของเจ้าแล้วสินะ” ชายชราพูดขึ้นกับตู้ดูลายมือแล้วก็ก้มลงทำอะไรบางอย่างที่ข้างล่างของตู้นี้
ในมือของชายผู้เฒ่ามีของบางอย่างถืออยู่มันอยู่ในห่วงที่ดูเหมือนลูกกุญแจสำหรับไขตู้ แต่ทว่าลักษณะของลูกกุญแจนั้นไม่ใช่ธรรมดาเลย มันคือกระดูกนิ้วมือทั้งห้าที่ถูกทำให้เป็นลูกกุญแจ สำหรับเสียบได้เพียงสี่รูนิ้วเท่านั้น ส่วนที่ชายชราไม่ได้เสียบเข้ารูคือนิ้วที่สั้นที่สุดก็คือนิ้วโป้งนั่นเอง
เขานำมันเสียบเข้าไปในรูกุญแจข้างล่างของตู้ดูลายมือจมมิดไปทั้งสองข้อนิ้วของนิ้วทั้งสี่แล้วดึงประตูเปิดฝาเครื่องออกมา ทำให้มองเห็นว่าข้อนิ้วที่จมมิดไปนั้นมันงอพับเกี่ยวรั้งฝาประตูของตู้เครื่องนี้เอาไว้ทำให้สามารถดึงออกมาได้ มันเป็นประตูเวทมนตร์แห่งปิศาจ ชายชราปล่อยทิ้งพวงกุญแจนี้ไว้คาตู้อยู่อย่างนั้น
ข้างในตู้มืดสลัวเห็นเพียงดวงไฟจุดเล็ก ๆ กระพริบดับพร้อมกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากมาย ณ ตรงใจกลางเหมือนเป็นลูกกลม ๆ ของก้อนอะไรบางอย่างขนาดเล็กกว่าลูกฟุตบอล เพียงเล็กน้อย มีสายไฟโยงไปมาเต็มไปหมดระหว่างแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์กับเจ้าลูกกลม ๆ ใบนี้
ชายชราค่อย ๆ เอาสายออกจากเจ้าลูกบอลโลหะนั่นทีละเส้นสองเส้นจนหมดแล้วค่อย ๆ ยกมันออกมา
“ออกมาได้ละ” ชายชรายิ้มอีกครั้งแล้วพูดกับเจ้าลูกบอลกลม ๆ ที่อยู่ในมือพร้อมกับกดลงบนรอยกลม ๆ ขนาดฝ่ามือซึ่งมันอยู่ข้างบนลูกบอลนี้ ให้ยุบลงไปเพียงเล็กน้อย เหมือนเป็นการกดปุ่มให้มันทำอะไรบางอย่าง
“ฝือ..อ.” เสียงดังออกมาเหมือนลมรั่ว
บอลโลหะทรงกลมตอนนี้มันถูกเปิดออกเป็นครึ่งใบ ณ ใจกลางของมันมีลูกแก้วใส ขนาดเท่าลูกเทนนิส บรรจุแสงประหลาดสีเหลืองสวยร่องลอยไปมาอย่างลิงโลดมันมีขนาดเท่าลูกปิงปอง
“ใจเย็น ใจเย็น” ชายชราพูดอยู่กับดวงไฟสีเหลืองที่บรรจุในลูกแก้วใสแล้ววางมันลงบนแท่นอะไรบางอย่างเหมือนลิ้นชักที่มีหลุมรองรับมันไว้ได้อย่างพอดี มันทำให้ลูกแก้วใสนี้จมหายไปครึ่งใบ ด้านบนของแท่นรองรับลูกแก้วใบนี้มีรูขนาดเท่าลูกแก้วอยู่เช่นกัน
ชายชราผลักลิ้นชักกลับเข้าไปในช่องบรรจุของมัน แล้วหยิบของบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกง มันมีลักษณะเหมือนค้อน แต่มองดูให้ชัด ๆ ที่แท้มันก็คือกระดูกท่อนแขนไปจนถึงกำปั้นมือที่ดูไปแล้วเหมือนหัวค้อน ชายชรานำมันเคาะไปที่ด้านข้างตรงที่เป็นช่องลิ้นชักนั้นหนึ่งครั้งไม่แรงจนเกินไป
“เจ้าเป็นอิสระแล้ว” ชายชราพูดขึ้นไม่ทันขาดคำ แสงไฟสีเหลืองขนาดเท่าลูกปิงปองก็ลอยออกมาจากช่องด้านบนมันคือดวงวิญญาณของคนที่หลงเข้ามา ณ ที่แห่งนี้เมื่อสามปีที่แล้ว ด้วยความหลงผิดที่คิดอยากรู้เรื่องในอนาคตของตัวเองจนหลงโง่งมงาย ทำให้พลาดท่าตกเป็นเหยื่ออันแสนหอมเข้ามาติดกับดักของพญามารได้อย่างไม่ยากนัก
“คนอื่นจะได้มีที่อยู่ต่อไป” ชายชราพูดขึ้นพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากที่กระเป๋ากางเกงข้างซ้าย
มันคือลูกแก้วกลมใสขนาดเท่าลูกเทนนิส ลักษณะเหมือนกับลูกแก้วก่อนหน้านี้ซึ่งใช้กักขังดวงวิญญาณเอาไว้ ชายชราบรรจงวางมันลงในหลุมที่ทำมาเพื่อรองรับมันได้อย่างพอดี ในลูกบอลโลหะขนาดลูกฟุตบอลนั่น แล้วปิดมันลงไว้ตามเดิม....

ทางแก้ไขของสี่สาวที่จำเป็นต้องเชื่อเพื่อล้างมลทินคำสาปจากความชั่วช้าที่พวกเธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นตัว แต่สาวน้อยทั้งสี่จะต้องตัดใจทำตามหรือไม่นั้นมิอาจรู้ได้ นอกเสียจากพวกเธอจะต้องรวบรวมความกล้าขึ้นแล้วตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ มันเป็นบทพิสูจน์ความกล้าบ้าบิ่นหรือความเห็นแก่ตัวที่ท้าทายจิตใจของคนบทหนึ่ง เมื่อสิ่งทุกอย่างถูกจัดวางให้อยู่ในหมากเกมส์ของปิศาจร้ายที่คอยจ้องตาเป็นมันเหมือนได้กลิ่นอาหารคาวหวานเลิศรสอันโอชะ

ในคืนวันเดียวกัน หลังจากที่ทั้งสี่สาวแยกย้ายกันไปแล้ว ทุกคนต่างไม่กินไม่หิวครุ่นคิดกันอย่างหนักถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจมอยู่ในความคิดของตัวเองด้วยความที่ไม่สามารถที่จะเล่าหรือปรึกษาใคร ๆ ได้เลย
ในห้องพักที่เงียบสนิทไม่ได้เปิดไฟไว้ มันถูกปล่อยให้ห้องมืดเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ กิ๊บอยู่คนละมุมห้องกับเหมียว
ส่วนเจี๊ยบก็เช่นกันกำลังนั่งมองดวงจันทร์อยู่ริมหน้าต่างห้องนอนของเธอ มีเพียงคนแรกคนเดียวที่ตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะเชื่อคำตามเกมส์ของปิศาจที่อาจจะเป็นกลลวงหลอกเล่นสนุก ๆ หรือ เป็นความจริงก็ยังไม่มีใครรู้ และ ไม่อาจคิดจะปฏิเสธได้
“ธูปเพียงดอกเดียวบนปลายมีด” นิดอ่านข้อความในใจจากใบแก้คำเซียมซี แล้วเดินเข้าครัวไปหามีด เธอกำลังเตรียมอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างเพื่อให้ครบและพร้อมตามคำแนะนำของใบแก้คำเซียมซี เพื่อให้ตายได้อย่างไม่สะดุด เพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นความตายที่เธอล้อมันเล่นอยู่นี้จะเป็นจริง
นิดเดินตรงไปหลบอยู่มุมหนึ่งที่ใต้พุ่มไม้ใหญ่ เป็นที่ ๆ มีแสงจันทร์สาดส่องถึง คืนนี้สงัดซึ่งลมและผู้คน จัดได้ว่าเป็นจังหวะที่น่าตายเลยจริง ๆ
นิดเผากระดาษจนเป็นเถ้าถ่านแล้วค่อย ๆ กินมันลงไปอย่างหน้าตาเฉย ถึงแม้ว่ามันจะแสนฝืดคออย่างมากที่สุดก็ตาม มันไม่น่ารับประทานเอาเสียเลยอาหารมื้อค่ำแบบนี้ เธอรีบดื่มน้ำตามเข้าไปให้มันลงท้องจะได้ผ่านขั้นตอนนี้ไปอย่างเร็ว
มาถึงขั้นตอนต่อไปนิดทำมันต่อเนื่องไปอย่างไม่กลัวเกรงหยิบมีดขึ้นมามัดธูปเอาไว้ที่ปลายด้ามจับแล้วจุดไฟให้ธูปติดไว้อย่างนั้น จากนั้นเธอก็หยิบมันขึ้นมาจ่อไว้ที่หน้าอกตรงตำแหน่งของหัวใจ แล้วคุกเข่าหันหน้าต่อดวงจันทร์ท่ามกลางแสงนวลผ่องนั่น เธอกำลังจะอาบไปด้วยเลือดยามราตรี
“ชีวิตนี้ของข้า เจ้ามิบังอาจ” นิดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มดุดัน พร้อมหายใจเฮือกใหญ่เข้าไปจนเต็มปอดเพื่อเพิ่มความกล้าให้กับความกลัวที่อัดแน่นอยู่ในตอนนี้
“ข้าให้เจ้า แล้วเอาคืน” นิดต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อผ่านความเจ็บปวดจากปลายแหลมของคมมีดซึ่งกำลังแทรกผ่านเข้าไปในชั้นเนื้อของเธอก่อนที่มันจะถึงหัวใจ ซึ่งอาจจะทำให้เธอไม่สามารถพูดคำสุดท้ายนี้ได้จนจบ แต่เธอก็พยายามทำได้จนสำเร็จ
นิดหงายล้มไปด้านหลัง ตายลงอย่างสงบถึงแม้ว่าจะต้องเจ็บปวดบ้างก็ตาม เธอชนะความกลัวได้สำเร็จ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการชนะต่อความกลัวของเธอ จะทำให้เธอฟื้นคืนขึ้นมาได้หากสิ่งที่ตู้ทำนายปิศาจนั่นหลอกลวงให้หลงกล
นิดยังคงนอนนิ่งในท่าคุกเข่าหงายพับไปอยู่อย่างนั้น ปลายมีดอันแหลมคมหายเข้าไปในร่างของเธอเกือบมิดธูปที่ปักอยู่ยังคงติดไฟ มันเหมือนกับธูปที่ปักลงบนของเซ่นไหว้อย่างที่เห็นกันทั่วไป ควันธูปค่อย ๆ ลอยขึ้นไปอย่างช้า ๆ
ควันธูปกำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดง แผลที่ถูกมีดแทงกำลังขยับเหมือนปากที่กำลังดูดน้ำ ทำให้มีดที่ปักอยู่ขยับตามไปด้วย เสียงกรีดร้องเสียดแทงแหลมเล็กดังขึ้นออกมาจากแผลที่มันกำลังขยับอยู่นั่น แล้วก็นิ่งไปในที่สุด ควันธูปเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวเช่นเดิม ความเงียบสงบเข้ามาแทนที่ เสียงจิ้งหรีดเริ่มร้องกันตามปกติของมัน.......
……………………………...........
ชั่วเวลาธูปหนึ่งดอกเผาไหม้ตัวเองจนหมด มีดที่ปักอยู่หลุดออกจากอกแล้วหล่นลงไปบนพื้น แผลบนหน้าอกหายไปไม่เหลือไว้แม้แต่เพียงร่องลอยใด ๆ นอกจากเสื้อที่ขาดเป็นรูของมีด แต่นิดก็ยังไม่ลุกขึ้นมา....

เช้าวันต่อมา....ที่ห้องพักของกิ๊บและเหมียว
“ฉันไม่รู้นะว่าแกต้องแก้เคล็ดสะเดาะเคราะห์กันอย่างไร แต่ฉันก็ได้ทำมันไปแล้ว และตอนนี้ฉันก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร มันเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” นิดเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ฟัง แต่ต้องถูกขัดจังหวะขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อ เจี๊ยบเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยหน้าตาที่อิดโรยเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนไม่ต่างกับกิ๊บและเหมียว
“แกว่ายังไงนะ ฉันได้ยินจากข้างนอกไม่ค่อยถนัดนัก” เจี๊ยบเอ่ยปากถามขึ้นทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้
“ฉันทำตามที่เซียมซีบอกทางแก้เอาไว้และมันก็เป็นจริง ตอนนี้ฉันมีความสุขที่สุด ก็เลยอยากมาบอกกับพวกแกว่า มันไม่ได้หลอกเรา มันเป็นไปได้” นิดเล่าด้วยความดีใจ หน้าตาสดชื่น และมีความสุขอย่างที่เห็นได้ชัด
“แกไปทำอะไรมา” กิ๊บถามด้วยอารมณ์ที่ยังไม่อยู่กับที่นัก
“ไม่ได้ แกลืมไปแล้วหรือว่ามันต้องเป็นความลับ ไม่ว่าพวกแกจะไปทำอะไรกันมา อย่างเดียวที่แกต้องระวังมากที่สุดก็คือ เรื่องความลับ ไม่ว่าฉันหรือพวกแกก็ห้ามรู้ห้ามบอกกันโดยเด็ดขาด” นิดเตือนสติทุกคน
“เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันต้องไปแล้วล่ะ เมื่อเช้าได้ข่าวว่าฉันได้ทุนไปต่างเรียนต่างประเทศฟรีตั้งสามเดือนแหนะ” นิดรีบออกไปจากห้องทันที
“เดี่ยวรอฉันด้วยสิแก” เจี๊ยบขอกลับด้วยอีกคนทั้งที่เพิ่งจะมาถึงยังไม่ทันหายเหนื่อยเลย
ห้องของกิ๊บและเหมียวกับเข้าสู่ในสภาวะสงบเงียบอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบมองหน้าซึ่งกัน ทันใดนั้นเหมียวก็ลุกขึ้น ทำเอากิ๊บตกใจขวัญเสีย ด้วยความที่ระแวงว่าสิ่งที่เหมียวต้องทำเป็นความลับนั้นเหมือนกับสิ่งเดียวที่เธอจะต้องทำ
“ฉันออกไปข้างนอกก่อนนะ คืนนี้ฉันคงไม่กลับ”
“แล้วนั่นแกจะไปไหนล่ะ” กิ๊บโล่งใจขึ้น
“ไปทำตามความลับน่ะสิ”

ได้เวลาที่ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทั้งที่ไม่ได้ต้องการเลย มันเหมือนถูกบังคับขืนใจให้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบ....
”แล้วเราจะเอาใครมาจัดการดีล่ะ” กิ๊บคิดไม่ออกเลยจริง ๆ แต่มีบางสิ่งบางอย่างทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า...
“ฮัลโหล เฮ้ย ! นี่แกสักหนึ่งทุ่มมาอยู่เป็นเพื่อนฉันสักพักหนึ่งสิ คืนนี้เหมียวมันไม่กลับ ฉันคงต้องเครียดมากแน่เลย ฉันกลัวว่ะแก จะได้มีอะไรปรึกษาแกด้วยนะ” กิ๊บกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนหนึ่ง
..............................................................
เหมียวกำลังเดินไปบนท่ามกลางผู้คนที่มากมาย ผ่านไปคนแล้วคนเล่า มองหน้าเขาจ้องหน้าเขาแต่เธอก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า คนไหนที่มีหัวใจของ The Death มันยากเกินที่เธอจะวิเคราะห์โจทย์นี้ได้ และเธอกำลังรอให้มันมืดค่ำลงในวันนี้ ส่วนระหว่างนี้เธอนั่งลงแล้วหยิบไพ่ยิบซีทางแก้นั่นขึ้นมาอ่านอีกเป็นครั้งที่นับไม่ได้แล้ว....
เจี๊ยบแยกกลับบ้านมาเตรียมของทุกอย่างไว้ให้พร้อม คืนนี้เธอจะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างตามใจของพญามาร

เวลาผ่านมาถึงช่วงค่ำคืน... แสงจันทร์ฉายส่องสกาวแพรวพราวไปด้วยดวงดาวประดับแสงอยู่บนฉากของท้องฟ้าสีดำ
เจี๊ยบเดินไปที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านให้กว้างที่สุด แล้วปิดไฟในห้องลง แสงจันทร์ทอดยาวลงบนที่เตียงนอนของเธอพอดี เธอรีบไปหยิบไฟแช๊คกับใบทำนายพยากรณ์ที่เธอได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อย แล้วเธอจึงออกไปจากห้องนอนทันที
เธอยืนอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้าน มันเป็นคืนที่พ่อและแม่ของเธอยังไม่กลับมาจากที่ทำงาน โอกาสเหมาะที่เธอจะได้เผาอะไรบางอย่างเหมือนเด็กแอบเล่นไฟ เจี๊ยบเผาใบพยากรณ์จนเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางแสงจันทร์ส่อง แล้วนำเถ้าที่ได้วางเข้าแนบไว้บนหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจของเธอ
ด้วยฤทธิ์ปาฏิหาริย์แห่งอำนาจมนตร์ตราปิศาจทำให้เถ้าถ่านนั้นหายเข้าไปในร่างของเธอทันที
เจี๊ยบไม่รีรอรีบกลับขึ้นไปบนห้องจุดธูปขึ้นที่ริมหน้าต่างแล้วกลับมานอนลงบนเตียง เอาธูปปักลงไปบนศีรษะของเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หัวข้ามิอยากได้ ฝากไว้ให้พญามาร” เพียงเท่านั้นธูปที่ปักไว้ก็ค่อย ๆ จมลง ๆ ไปในศีรษะของเจี๊ยบอย่างช้า ๆ จนเหลือแต่ปลายธูปที่ยังมีไฟติดอยู่ทั้งที่ในขณะนั้นตัวเธอไม่รู้สึกร้อนหรือรู้สึกเจ็บอะไรเลยนี่ก็คงเป็นเพราะอำนาจแห่งเวทมนตร์ของปิศาจเช่นนั้นกระมัง
มันเป็นคืนที่เจี๊ยบหลับได้อย่างง่ายดายเนื่องจากเมื่อวานนี้เธอไม่ได้นอนเลยมาทั้งคืน ราตรีนี้จึงเหมาะสมยิ่งนักที่เธอจะนอนฝันร้ายสักหนึ่งคืน.....

ส่วนทางกิ๊บกำลังได้จังหวะดี เธออยู่ในห้องกับเพื่อนพร้อมด้วยเสียงเพลงที่อึกทึกพอจะกลบเสียงสนทนาหรือเสียงการประหัตประหารใด เธอรีบจุดธูปขึ้นหนึ่งดอกแล้วรีบไปปักมันไว้บนก้อนดินน้ำมันที่ได้จัดเตรียมไว้ทางทิศตะวันตกในห้องของเธอเอง แล้วอธิษฐานขึ้นว่า “ก้อนเนื้อและก้อนเลือดต่อไปนี้ข้าจะมอบให้” เธอทำทั้งหมดเสร็จได้ทันก่อนที่เหยื่อจะออกมาจากในห้องน้ำ
สาวสวยผู้เคราะห์ร้ายกำลังออกมาจากห้องน้ำอย่างไม่ทันได้เตรียมตัวรู้เลยว่าเพื่อนรักของเธอจะทำกันได้ลงคอ
“ขอโทษด้วยนะเพื่อน” กิ๊บฟาดไม้เบสบอลลงไปที่ศีรษะของเพื่อนจนล้มลงอย่างไม่ได้สติ และซ้ำอีกหลายครั้งจนแน่ใจแล้วว่าเพื่อนรักของเธอได้จบชีวิตลงแล้ว จากนั้นเธอจึงได้นำธูปที่ปักไว้ทางทิศตะวันตกมาปักไว้ในปากของเพื่อนรักแล้วตั้งจิตอธิษฐานอีกครั้งว่า “ก้อนเนื้อและก้อนเลือดนี้ข้ามอบให้ ส่วนของข้า ข้าขอคืน”
กิ๊บลากศพของเพื่อนเข้าไปในห้องน้ำ แล้วรีบออกมาหยิบขวานที่ซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า เธอหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ขณะนี้เธอมีใบหน้าเหมือนคนไร้สติดวงตาเลื่อนลอยขอบตาคล้ำดำและไร้แววตา เส้นผมยุ่งเหยิงรุงรัง แต่ทั้งหมดเธอทำเพื่อความอยู่รอดตามกฎธรรมชาติ เพียงแต่เธอเริ่มเป็นเหมือนสัตว์ป่าเถื่อนเช่นนั้นเอง

“นิดแกจะไปมีความสุขคนเดียวแล้วปล่อยให้เพื่อน ๆ เครียดจนเป็นบ้าอย่างนี้ได้อย่างไรกันเพื่อน” กิ๊บพูดกับเพื่อนที่ไร้วิญญาณอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสับขวานลงไปที่คออย่างแรงจนขาดกระเด็นไปกระแทกกับโถชักโครก
................................................................................

เวลาเพียงไม่นานนักเจี๊ยบก็เริ่มฝันถึงเรื่องราวที่ต้องเผชิญอยู่ในนรกอันมีซากเน่าเปื่อยของภูตผีปิศาจจำนวนมากมายทับทมกันเต็มไปหมด ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าเช่นศพตาย พวกมันส่งเสียงร้องโอดครวญโหยหวนจนน่าขนลุกขนพอง มันหิวโหยมานานและต้องการอาหารอย่างเป็นที่สุด เธอต้องวิ่งหนีมันให้พ้นจากความน่าสยดสยองนั่นอย่างทุรน
ในที่สุดเธอก็หลีกเร้นตัวจากพวกมันมาได้และกำลังยืนอยู่บนเส้นทางเปลี่ยวในยมโลกที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงที่ลำต้นมีแต่หนามแหลมคมจำนวนมากมายปกคลุมอยู่หนาทึบตลอดเส้นทางที่เธอก้าวย่างไป ในความมืดมิดที่มีแต่ดวงตาสีแดงลุกเป็นไฟกำลังจ้องมองมาที่เธอ พวกมันไม่กล้าที่จะล่วงล้ำข้ามเส้นเข้ามาบนทางเปลี่ยวสายนี้ เจี๊ยบเดินไปตามทางเดินนี้อย่างไม่รู้ว่าที่สุดแล้วจะเจอเข้ากับอะไรอีก
เจี๊ยบเดินเข้าไปในความเงียบสงัดอย่างสงบ ทุกย่างก้าวที่สัมผัสลงบนพื้นที่แฉะไปด้วยเลือดข้น ๆ จนมาถึงที่สุดปลายทาง เธอก็ได้พบกับบางสิ่งที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับก้อนเนื้อที่มีรูปทรงอันอัปลักษณ์น่าขยะแขยงและส่งกลิ่นเหม็นเหมือนศพเน่าถึงแม้ว่ามันจะดูคล้ายกับหัวใจของมนุษย์ก็ตาม เธอรู้สึกได้ว่านี่จะต้องเป็นสิ่งที่เธอต้องนำออกไปจากที่ของมันในดินแดนแห่งความตายนี้ แม้ว่ามันอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อผู้เฝ้ารักษาจำนวนสองตนปรากฏตัวขึ้น มันมีใบหน้าที่ดูดุร้ายเหี้ยมโหดลักษณะใบหน้าคล้ายจระเข้กับค้างคาวรวมกันแล้วมีเขาแหลมโค้งยาวมีตาเป็นไฟ ในมือของมันถือหอกแหลมซึ่งมีไฟร้อนลุกโชติช่วงอยู่ตลอดพอจะสามารถแทงทะลุทะลวงได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเผาสิ่งนั้นได้ในทันที

“ราตรีนี้ชวนฝันนัก ในนั้นเจ้ามีอำนาจทำได้ทุกสิ่ง” เจี๊ยบพูดออกมาเหมือนคนกำลังละเมอกับสิ่งที่เธอเพิ่งจะนึกถึงข้อปฏิบัติข้อ ๓. ได้ว่าทุกอย่างในข้อปฏิบัตินั้นเป็นจริงได้ ยิ่งนึกถึงคำของนิดที่เคยพูดไว้ว่ามันเป็นไปได้จริง ๆ ยิ่งทำให้เจี๊ยบมั่นใจมากขึ้นอีกว่าเธอจะสามารถช่วงชิงสิ่งสำคัญที่สุดในยมโลกนี้ไปได้ เพราะในที่แห่งนี้ถึงจะเป็นนรกก็ตามที แต่มันก็อยู่ในความฝันของเธอ เจ้าของร่างย่อมทำสิ่งใดก็ได้ในฝันของตนเองตามอำเภอใจไม่ว่าจะเป็นเหาะเหินหรือเดินอยู่บนอากาศ
ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ธูปกำลังใกล้จะหมด มันสั้นลงจนเกือบหายเข้าไปในหัวของเธอแล้ว.....
เจี๊ยบตัดสินใจเข้าช่วงชิงสิ่งสำคัญของนรกนั่นทันที ทางฝ่ายปิศาจที่เป็นยามรักษาการณ์ก็พุ่งเข้าหาเจี๊ยบด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็เป็นการดีกว่าที่เจ้าปิศาจตนนั้นมันจะประชิดอยู่กับบัลลังค์ที่ใช้เป็นแท่นวางก้อนเนื้อเหม็น ๆ นั่น
“ไม่มีทางได้แอ้มฉันหรอกเจ้าโง่ อย่าลืมว่าแกอยู่ในความฝันของฉันนะ” เจี๊ยบเยาะเย้ย เมื่อหายตัวผ่านไป แล้วปรากฏร่างขึ้นใหม่อีกครั้งพร้อมกับร่างของตัวเจี๊ยบเองอีกห้าร่างในห้องแห่งนี้มันพอที่จะถ่วงเวลาให้มันหลงเป็นอุปสรรคได้ ส่วนตัวจริงของเธอหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแท่นวางแล้วหยิบก้อนเนื้อที่เน่าเหม็นนั่นขึ้นมากำไว้ในมือ
ธูปที่ติดไฟอยู่กำลังสั้นลงด้วยการเผาไหม้ตัวเองให้หมดไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หายไปในศีรษะของเจี๊ยบ
ทางออกที่ดีที่สุดเร็วที่สุดจากความฝันก็คือ....
เจี๊ยบสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งกลางดึกก่อนที่จะลงไปนอนอีกครั้งเหมือนคนละเมอ....ด้วยความที่เธอง่วงนอนมาก ๆ เธอจึงหลับไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
.....................................................................................

กิ๊บรีบทำงานอย่างเร่งรีบก่อนเวลาที่ห้างเดอะ เวิลด์ เซ็นเตอร์จะปิดลง เธอจึงต้องทำเวลาอย่างเร็วที่สุดในการแยกย่อยร่างของเพื่อนให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นท่อน ๆ น้อย ๆ แล้วรีบโกยทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกันทั้งเครื่องในอวัยวะครบพอที่จะสามารถประกอบให้เป็นร่างเดิมได้เว้นแต่วิญญาณที่ไม่มีเท่านั้น ทั้งหมดถูกนำลงใส่ไว้ในถุงดำแล้วใส่ในกระเป๋าเดินทางล้อลากใบใหญ่
กิ๊บรีบล้างห้องน้ำจนสะอาดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาบน้ำแต่งตัวแต่งหน้าแต่งตาให้ดูดีที่สุดไม่ให้ดูเป็นที่น่าสงสัยก่อนที่เธอจะลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกไปจากห้องพัก ทิ้งไว้แค่เพียงคราบเลือดนอกห้องน้ำเท่านั้นที่เธอไม่สนใจอีกเลย
กิ๊บมาทันเวลาก่อนห้างจะปิดทำการได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น มันจึงเป็นโอกาสเพียงพอที่จะทำให้เธอไปยื่นแลกเปลี่ยนชีวิตต่อชีวิตกับจอมปิศาจที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนได้ทันเวลาหากไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง
กิ๊บเดินลากกระเป๋าเข้าไปในห้าง อย่างที่ไม่มีใครสงสัยในพฤติกรรมครั้งนี้เลย ผู้คนที่มาเที่ยวต่างก็ผ่านไปไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะทำอะไร ต่างก็มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจกันทั้งนั้น กิ๊บจึงสบายใจขึ้นจากที่เคยคิดกังวลเมื่อระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ เธอจึงเดินมุ่งหน้าไปที่เดียวที่เธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้ มันต้องเดินไปอย่างทุลักทุเลเสียเหลือเกินกับเจ้ากระเป๋าล้อลากใบหนัก ๆ นี้
เธอมาถึงตรงที่ ๆ เคยมีทางเข้าของลานพยากรณ์แล้ว เธอกำลังแสดงอาการดีใจอย่างชัดเจน มันเข้ามาแทนที่ความเหี่ยวเฉาที่มีมาตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น และมันเป็นความดีใจที่เกิดขึ้นได้เพียงชั่วครู่สั้น ๆ เท่านั้นเมื่อเธอหาช่องทางเข้าลานพยากรณ์ยังไม่พบ กิ๊บลนลานจนมองได้ออกทางสีหน้า เธอเกิดความวิตกสับสนและกังวลกลัว อากาศเหมือนมันเริ่มเย็นขึ้นมากะทันหันและเธอก็เริ่มเหงื่อแตกออกมาจนมากมาย หน้าตาเริ่มไม่ค่อยดีแล้วเมื่อเครื่องสำอางที่ได้ลงสีเอาไว้กำลังเปรอะเปื้อนใบหน้า แต่เธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องตรงความสวยของเธอเลย ตอนนี้เธอต้องหาช่องทางเข้าให้ได้อย่างเร็วที่สุดในเวลาที่เหลือน้อยเต็มทีก่อนที่จะมีใครสนใจสังเกตตัวเธอขึ้นมา
กิ๊บเดินจ้ำอย่างรีบเร่งขึ้นกว่าเดิมเหมือนกับกำลังจะวิ่ง สายตาวอกแวกไปมาหันซ้ายหันขวาเดินไปเดินมาจนทั่วทุกมุมในห้างจนสามารถที่จะเขียนแผนที่ในที่ห้างได้เลย
“เรียนผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ กรุณาตรวจทรัพย์สินของมีค่าของท่านให้เรียบร้อยก่อนเดินทางออกจากห้าง ขณะนี้เป็นเวลาปิดทำการของทางห้างแล้ว ขอขอบพระคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่าน..........” เสียงประกาศจากทางห้างแจ้งเตือนให้ทราบว่าห้างกำลังจะปิด
ได้เวลาเดินอีกรอบเป็นครั้งสุดท้าย....
“คุณครับ คุณกำลังตามหาอะไรอยู่ครับ ทางเราเห็นคุณเดินไปเดินมาทั่วห้างหลายรอบแล้วนะครับ มีอะไรให้ทางเรารับใช้หรือเปล่าครับ” ยามคนหนึ่งเดินเข้ามาหาในขณะที่กำลังติดต่อไปที่เพื่อนคนอื่นให้มาสมทบกันที่จุดนี้
“เออะ เอ่อ..อ ไม่มีค่ะ” “เออะ เอ่อ ฉะ ฉันกำลังหาห้อง ๆ หนึ่งอยู่ค่ะ ที่ช่องทางเดินสลัว ๆ เข้าไปข้างในเป็นห้องมืด ๆ ค่ะ แล้วมีตู้เกมส์ อะ เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ มันเป็นตู้ทำนายดวงเต็มไปหมดเลยค่ะ” กิ๊บเริ่มวิตกจริตมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“เอ ห้องที่ว่าเนี่ย เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ห้างเปิดทำการ เดินตรวจตรากันทุกวัน ไม่เห็นมีห้องหรือช่องทางเดินที่ว่าเลยนะครับ ถ้าคุณผู้หญิงหมายถึงถึงตู้เกมส์ก็จะถูกจัไดไว้ให้อยู่ด้านบนสุดของห้างนะครับ”
“มีสิคะ ฉันเคยมาแล้วตั้งสองครั้ง”
“แต่ว่าห้างของเราปิดบริการสำหรับวันนี้แล้วนะครับ คงต้องขอเชิญให้คุณมาใช้บริการใหม่ในวันพรุ่งนี้ครับ”
“ไม่ได้หรอก ฉันต้องหามันให้เจอให้ได้ ถึงมันจะดึกดื่นจนเช้าก็ต้องหาให้เจอ” กิ๊บเริ่มครองสติไม่อยู่ ตอนนี้เธอเริ่มเหมือนคนบ้าเข้าไปจริง ๆ แล้ว
ยามเดินเข้ามาข้างหลังของเธอเพิ่มอีกจำนวนสองคนในขณะที่คนข้างหน้าของเธอก็ยังพยายามใช้คำที่สุภาพอยู่อย่างใจเย็นที่สุด “ไม่ได้หรอกครับ ทางเราต้องขอเชิญคุณออกไปทางประตูด้านลานจอดรถนะครับเนื่องจากทางด้านหน้าประตูได้ปิดลงแล้วตามเวลาแล้วครับ”
“ไม่ ! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะเจอห้องนั่น” กิ๊บไม่ยอมเริ่มแผดเสียงดังขึ้น
ยามส่งสัญญาณไปหาเพื่อนที่อยู่ด้านหลังให้ล็อคตัวเธอไว้ กิ๊บดิ้นรนอย่างแรงก็ยังไม่สามารถขืนกำลังของยามหนุ่มสองคนนั่นได้
“แก ปล่อยฉันเดี่ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นพวกแกต้องตายกันหมด” กิ๊บไม่มีสติติดตัวแล้ว
“ผมขออนุญาตรวจค้นกระเป๋านะครับ” ยามพูดจบพร้อมทำความเคารพแบบตำรวจก่อนเดินเข้าไปตรวจค้น
ยามนำกระเป๋าล้อลากใบใหญ่ออกมาจากมือที่เธอกำอยู่จนแน่น ก็พอดีกับที่ผู้จัดการห้างได้รับรายงานจึงเดินเข้ามาสมทบด้วยเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยภายในห้างแห่งนี้ ขณะเดียวกับที่ยามคนนั้นกำลังเปิดกระเป๋าออกมาดูอยู่พอดี ทุกคนต้องตกตะลึงตาค้างจนพูดไม่ออก กลิ่นคาวคลุ้งของเลือดสด ๆ กับภาพเครื่องในอวัยวะต่าง ๆ ทั้งหัว แขน ขา อยู่ในนั้นครบ
ทุกคนตกใจและเอามือปิดปากปิดจมูกของตัวเองไว้เพื่อห้ามไม่ให้ไอเจียนออกมา
กิ๊บถูกควบคุมตัวไปที่สำนักงานของห้างเพื่อรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวไปดำเนินคดี ทำให้เธอต้องเสียสติอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“นั่นไง มันอยู่นั่น มัน มันเป็นเจ้าของเครื่องทำนายดวงที่ฉันไปมา” กิ๊บชี้ไปที่รูปขนาดใหญ่บนข้างฝาผนังของสำนักงาน
“คุณจะบ้าเหรอ นั่นมันเจ้าคุณทวดของกรรมการเจ้าของห้างแห่งนี้นะ” ผู้จัดการสาขาต่อว่ากิ๊บ
..............................................................................
เหมียวยังคงเดินไปมาอยู่ภายใต้แสงจันทร์นั่นเอง เธอกำลังเริ่มรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเฝ้าติดตามเธอเหมือนเงาที่คอยตามตัว ทำให้เธอต้องหันกลับไปมองยังมุมมืดตามซอกตึกและพุ่มไม้อยู่หลายครั้ง ทุกอย่างมันดูไม่มีอะไรผิดปกติ เธอเดินไปหาบริเวณที่ซึ่งปลอดผู้คน มีเพียงคนจรจัดที่นอนหลับอยู่กับสุนัขเรื้อนตัวหนึ่งเท่านั้น เหมียวหยิบกระดาษใบทำนายขึ้นจุดไฟทันทีแล้วนำเถ้าถ่านของมันมาป้ายไว้ที่ดวงตาของเธอ
ตามด้วยธูปหนึ่งดอกที่จุดจนไฟลุกติดอยู่ที่ปลายธูปนั่นเธอรีบนำมันปักลงที่กลางใจพร้อมกล่าวคาถาที่ต้องใช้ประกอบกัน
“ใจนี้ไร้ค่า ข้าแลกกับเจ้า” เหมียวพูดขึ้นในขณะที่ธูปถูกกดลงไปที่หัวใจของเธอ มันเข้าไปได้อย่างง่ายดายด้วยเวทมนตร์แห่งแสงจันทร์ปิศาจ
คนจรจัดตื่นขึ้นทันได้เห็นการกระทำของเหมียวอยู่ด้วยความสงสัยและประหลาดใจว่าเหมียวทำอะไรอยู่ สุนัขเรื้อนเห่าหอนขึ้นอย่างเคร่งเครียด แต่ทิศทางที่มันหันหน้าไปกลับไม่ใช่ตรงที่เหมียวอยู่
ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของเหมียวไม่แตกต่างจากพวกภูตผีส่วนอีกครึ่งที่ยังคงเป็นมนุษย์ เมื่อเหมียวเป็นเหมือนอมนุษย์อยู่อย่างละครึ่งนั้นก็พอทำให้เธอมีกลิ่นเดียวกันกับเหล่าพวกภูตผีปิศาจ และเมื่อเธอเป็นเช่นนี้แล้วแน่นอนที่หัวใจของเธอต้องหยุดเต้นไปด้วยพร้อมกับลมหายใจ
ผีตัวหนึ่งกำลังเดินกระโผกกระเผลกผ่านมาทางเหมียว เธอรู้ได้ทันทีว่าเป็นเพราะถ่านเถ้าที่ป้ายบนดวงตาของเธอ เหมียวขนลุกขึ้นชูชันด้วยความกลัว แต่ก็ต้องทำใจกล้าสู้ไว้เพื่อว่าเธอจะได้ใช้สอบถามให้เป็นประโยชน์
“ไงน้อง พี่ว่าน้องรีบหนีไปเสียดีกว่านะ ไอ้เจ้ามัจจุราชนั่นมันหลบอยู่ตรงพุ่มไม้กำลังเล็งสายตามาที่น้อง เดี่ยวก็โดนลากไปหวิวหรอกน้อง พี่เผ่นไปก่อนล่ะ ตัวใครตัวมันนะน้อง” ผีตัวนั้นรีบจากไปทันทีพร้อมกับผีตัวอื่น ๆ ที่กำลังตาลีตาเหลือกเหมือนหนีตายกันอีกครั้ง
เหมียวหันไปมองตามทิศทางที่ผีตัวนั้นบอกแล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ “เจ้าตัวนี้นี่เองที่ไปเกี่ยวเอาวิญญาณของคนตายบนโลกให้ไปอยู่ในนรก”
“มันนี่เอง...มันต้องเป็น The Death อย่างแน่นอน ท่าทางมันเหมือนรูปในไพ่ยิบซีหมายเลข 13 เลย”
“แสดงว่ามันเฝ้าจับตามองมาที่เราอยู่ตลอด มันต้องการอะไรจากเรากันแน่” เหมียวสงสัยว่าเธอไม่ใช่คนที่ต้องการพบตัว The Death เท่านั้น ยังมีมันด้วยที่ต้องการพบกับเธอ
มันกำลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมาจากเงามืดหลังพุ่มไม้นั่นอย่างช้า ๆ เหมียวอึ้งแน่นิ่งเหมือนต้องมนตร์สะกด “เราต้องสู้กับมันเพื่อแย่งชิงเอาหัวใจของมันมาให้ได้ เราต้องเลือกระหว่างมันตายกับเราตาย เลือกเอามันตายดีกว่า” เหมียวต้องเสี่ยงแล้ว
ไม่ง่ายอย่างที่เหมียวคิด มัจจุราช The Death เป็นปิศาจที่มีฤทธิ์มาก ดวงวิญญาณและภูตผีถึงได้เกรงกลัวเช่นนี้ แต่เหมียวไม่มีทางเลือกแล้วเมื่อ The Death ย่างก้าวเหมือนลื่นไถลเข้ามาใกล้กับเธออย่างเร็วด้วยการเคลื่อนไหวเพียงช้า ๆ
เหมียวตัดสินใจพุ่งเข้าใส่พร้อมกับยื่นมือเข้าไปตรงกลางอกของมัน The Death หลบเหมียวได้อย่างสบาย ๆ พร้อมกับเอาเคียวลงมาสะกิดถูกหลังของเธอเบา ๆ จนเป็นแผลเหวอะหวะเห็นกระดูกสันหลัง เหมียวล้มลงห่างจาก The Death ได้ไม่ไกลนักเพียงประมาณสี่ก้าวเท่านั้น แต่สำหรับ The Death แล้วมันใกล้พอที่จะสับเคียวเกี่ยววิญญาณลงบนคอของเหมียวก็เป็นเรื่องง่ายดายมาก
เลือดของเหมียวอาบลงมาเป็นทางจนชุดที่เธอสวมใส่เต็มไปด้วยเลือด และแล้วเลือดที่ไหลพรั่งพรูออกมาก็ไหลย้อนกลับเข้าไปในบาดแผลที่กำลังดูดเลือดตัวเองอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับแผลที่กำลังสมานกันเข้าอย่างช้า ๆ จนเสื้อแห้งเหลือไว้แค่รอยขาดเป็นทางยาว
ขณะเดียวกับที่ The Death กำลังย่างก้าวเหมือนเท้าไม่ได้สัมผัสพื้นเลื่อนลอยเข้ามาทางเหมียวแล้วยกเคียวขึ้นสูงเหนือศีรษะของมัน แล้วหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มัน.....
“ทำไม ?! มันถึงไม่ฆ่าเราเสีย” “ทำไม ?! มันจึงปล่อยเราไปง่าย ๆ ทั้งที่เราพลาดท่า” เหมียวพูดขึ้นกับตัวเองในขณะที่ The Death ลอยผ่านพ้นศีรษะของเธอหายไปในความมืด
เหมียวพยุงตัวเองขึ้นแล้วเดินทางกลับที่พักด้วยความเหนื่อยล้าอย่างที่สุด “มันจะเป็นไปได้อย่างไร หัวใจ The Death บ้าจริง ๆ”

“อะไรกัน กองเลือดนี่มัน..!?” เหมียวต้องประหลาดใจเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาพบกับกองเลือดที่แห้งเกรอะอยู่บนพื้นแต่ก็เลิกสนใจกับสิ่งที่เห็นนั่น เธอมุ่งไปหาเตียงแล้วล้มตัวนอนหลับไป.....

เช้าวันต่อมา....เหมียวหายใจขึ้นเฮือกแรกเมื่อแสงยามเช้าแรงกล้าพอที่จะผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาได้ พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ในห้องพักดังขึ้น
...................................................................

“แกมีเรื่องด่วนอะไรวะถึงได้เรียกฉันมาที่นี่”
“นี่แกดูหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันนี้สิ” เจี๊ยบส่งหนังสือพิมพ์ให้เหมียว
“นี่มัน..น.กิ๊บกับนิดนี่แก” “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
ภาพกิ๊บพาดหัวอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์พร้อมกับภาพนิดที่เป็นภาพถ่ายเหมือนบัตรประชาชน
“ฉันไม่อยากเล่า แกอ่านดูเอาเองละกัน”
“สวยบ้าฆ่าหั่นเพื่อน”
“กิ๊บฆ่านิด” เหมียวพูดขึ้นเหมือนเข้าใจอะไรทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ทำให้นึกถึงกองเลือดแห้ง ๆ ที่อยู่บนห้องพักด้วย
“ใช่ตอนนี้กิ๊บถูกจับอยู่และต้องทำการตรวจอีกครั้งว่าเป็นบ้าจริงหรือไม่”
ทั้งเหมียวและเจี๊ยบต่างก็รู้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องแก้ไขคำทำนายเลว ๆ นั่นเป็นแน่
“เหลือเราเพียงสองคนแล้วนะ” เจี๊ยบพูดขึ้นด้วยความรู้สึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอสองคนที่เหลือ
“ฉันขออยู่บ้านแกก่อนละกัน ที่ห้องพักน่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาพิสูจน์ค้นหาหลักฐานที่เป็นสิ่งจูงใจของเรื่องในไม่ช้านี้เป็นแน่”
“เออ แกมาอยู่ที่นี่ก่อนก็ดีแล้วจะได้เป็นเพื่อนฉัน พ่อแม่ฉันจะกลับจากต่างประเทศก็ต้องเป็นพรุ่งนี้นั่นแหละ”
“นี่ตัวแกเหมือนมีกลิ่นอะไรเหม็นสาบเน่าอยู่ด้วยนะ แกอาบน้ำบ้างหรือเปล่า หรือ ว่าช่วงนี้แกมี ปอ.จอ.ดอ. มา”
“บ้า..ฉันอาบน้ำนะ แต่บอกแกไม่ได้หรอกเรื่องนี้ แกก็รู้นี่เราต้องทำอะไรให้เป็นความลับ”
“เออ ก็ได้ฉันไม่ถามแกอีกแล้ว” เหมียวเข้าใจและไม่อยากยุ่งอีก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้มันทำให้เธออยากรู้
เจี๊ยบเดินขึ้นไปบนห้องนอนของเธอแล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาฉีดน้ำหอมจนทั่ว แล้วนำมาห่อก้อนเนื้อเหม็นสาบความเน่านั่น นำมันเก็บไว้ในกระเป๋าถือ “เช้านี้ส่งกลิ่นแรงมากเลย โอย..ย. อยากจะแหวะ”
................................................................................

ราตรีมืดมิดกลับคืนมาอีกครั้ง.....รัตติกาลอันแสนหวานฉ่ำกำลังเริ่มขึ้น
“อะ มันเริ่มขยับแล้ว” เจี๊ยบพูดขึ้นเบา ๆ กับตัวเองจึงขอตัวเหมียวเข้าห้องน้ำทันที
“ฉันไปข้างนอกนะ ดึกหน่อยถึงจะกลับ” เหมียวบอกลาก่อนที่เจี๊ยบจะเข้าห้องน้ำ
เจี๊ยบหยิบก้อนเนื้อเหม็น ๆ เน่านั่นออกมาจากประเป๋าถือ มาไว้บนมือทั้งสองของเธอ มันกำลังขยับเป็นจังหวะเหมือนหัวใจเต้นพร้อมกับแสงสีแดงอ่อน ๆ ที่สว่างขึ้นแล้วหรี่ลงเป็นจังหวะด้วยเช่นกัน
“ได้เวลาแล้ว” เจี๊ยบนำมันห่อเก็บไว้ตามเดิมแล้วรีบออกมาจากห้องน้ำทันทีเพื่อที่จะได้ทำพิธีกรรมขั้นตอนต่อไป
เธอออกไปอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้าน นำหัวใจปิศาจออกมาจากกระเป๋าถือ ทันใดนั้น The Death ก็ปรากฏตัวขึ้นทันที มันกำลังค่อย ๆ เคลื่อนลอยตัวต่ำ ๆ มาพร้อมกับก้าวเท้าเดินอย่างช้า ๆ
เหมียวแอบดูอยู่พร้อมหยิบอาวุธที่เตรียมไว้มันคือไม้เบสบอลเหล็กที่พอจะฟาดกันกับ The Death ได้อยู่บ้าง
“เจี๊ยบระวัง The Death” เหมียวแอบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้สนามหน้าบ้านนี่เอง เธอตะโกนขึ้นเตือนเจี๊ยบให้รู้ตัวก่อนที่ The Death จะมาถึงตัว ทำให้เจี๊ยบวิ่งหนีออกมาหาเหมียวได้ทัน
“นั่นมันต้องเป็นหัวใจ The Death แน่เลย มันถึงได้มาทวงคืนจากแก” เหมียวพูดขึ้นในขณะที่มายืนขวางตัวเจี๊ยบไว้
“แกเอามันมาให้ฉันเดี่ยวนี้” เหมียวหันชำเลืองมาข้างหลังอย่างระมัดระวังข้างหน้าที่ซึ่งกำลังเผชิญอยู่พร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งมาทวงหัวใจ The Death จากเจี๊ยบ
“ไม่ได้ ฉันต้องใช้มัน”

The Death เข้ามาใกล้จวนตัวแล้วเงื้อมเคียวแหลมขึ้นสูงจะฟาดลงมาที่เจี๊ยบ แต่เหมียวไม่ยอมเอาไม้เบสบอลเหล็กกันเอาไว้จนติดอยู่ด้วยกันกับคมเคียวอันแหลมคมของ The Death มันฝังเข้าไปในไม้เบสบอลเหล็กของเหมียว มันติดอยู่อย่างนั้นจะยกขึ้นอีกครั้งก็ไม่ได้เพราะเหมียวรั้งยื้อมันเอาไว้
“ดีที่แกมาให้ฉันจัดการถึงที่นี่ โดยที่ฉันไม่ต้องไปดิ้นรนตามหา” เหมียวพูดขึ้นเหมือนว่าจะได้ชัย
เจี๊ยบได้จังหวะโอกาสแล้วภายใต้แสงจันทร์ เธอจึงนำหัวใจของมันยัดเข้าไปในหน้าอกของเธอเอง
“สิงสู่ในใจเจ้าเป็นเรือนพักเรือนอาศัย” เจี๊ยบทวนข้อความที่นึกขึ้นได้ แล้วรีบทำการขั้นต่อไป เธอรีบจุดธูปขึ้นอย่างรีบรน
The Death รู้ว่าอาจจะไม่ทันกาลแล้วจึงใช้มืออีกข้างผลักใส่เหมียวเข้าอย่างแรงจนกระดูกซี่โครงหักยุบลงไปอย่างเห็นได้จากภายนอก จากนั้น The Death ก็จับเอามืออันน่าเกลียดของมันดึงไม้เบสบอลเหล็กออกจากเคียวเกี่ยววิญญาณ แล้วขว้างไม้เบสบอลใส่เจี๊ยบด้วยเวทมนตร์ ทำให้มันบินคว้างไปกระทบกับศีรษะของเจี๊ยบอย่างแรงจนล้มสลบลงไปในขณะที่ธูปปักลงไปถึงกระดูกหน้าอกของเธอแล้วอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นเธอก็จะทำทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงเหมียวเท่านั้นที่ยังมีแรงสู้อยู่
ดูเหมือนว่าเหมียวกำลังจะถอดใจแล้ว เธอรีบวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน ส่วน The Death กำลังมุ่งตรงเข้าไปหาร่างที่กำลังสลบอยู่ของเจี๊ยบทันที
ทันใดนั้นเอง...แสงสว่างจากสปอตร์ไลท์สองดวงที่ติดไว้ใช้ส่องสนามหญ้าหน้าบ้านก็สว่างพรึบขึ้น มันน่าจะแรงพอที่จะหยุด The Death ไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง เหมียวรีบวิ่งออกมานอกบ้านพร้อมกับมีดทำครัวที่มีปลายแหลมคมอยู่ในมือ
The Death มันหนีไปโดยทิ้งร่างของเจี๊ยบไว้ที่ตรงนั้น เหมียววิ่งมาหยุดลงที่ร่างของเจี๊ยบแล้วคุกเข่าลงพร้อมกับชูมือทั้งสองที่กำมีดเอาไว้จนแน่น หวังจะชำแหละลงที่กลางหน้าอกของเจี๊ยบ ทันทีที่มีดกำลังพุ่งลงมาที่กลางอกของเจี๊ยบเพื่อหมายจะควักเอาหัวใจ The Death ออกมา เคียวเกี่ยววิญญาณก็หมุนคว้างออกมาจากความมืด ณ ที่แห่งหนึ่งอย่างไม่ทันรู้เลยว่าทิศทางใด มันพุ่งตรงเข้ามาอย่างแรงตัดผ่านไปที่คอของเหมียวทันทีมันยังคงหมุนต่อไปอีกไกลก่อนที่มันจะหมุนคว้างกลับไปตามทิศทางเดิมที่มันถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง
ร่างของเหมียวล้มลงโดยที่ไม่มีศีรษะ มันกระเด็นออกไปไกล เลือดของเธอเริ่มหยุดไหลแล้วจากบาดแผลที่เกิดขึ้นมันคอยดูดเลือดกลับเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ช้าแผลก็ปิดสนิททั้งตรงคอ และส่วนหัว เพียงแต่มันไม่ได้ประกอบกันเข้ามาเป็นร่างเดียวกันเท่านั้น ร่างของเหมียวมันทำหน้าที่ดูดเลือดดูดเนื้อได้ดีจนวินาทีสุดท้ายเลยจริง ๆ
ดวงจันทร์กำลังจะถูกราหูอมไว้ในขณะที่ความมืดมิดเริ่มจะคืบคลานเข้ามา แต่มิอาจจะทำให้ที่แห่งนั้นมืดลงได้ด้วยเพราะแสงไฟที่ยังส่องสว่างไสวจากสปอตร์ไลท์
The Death ไม่ได้ทำอะไรกับร่างของเจี๊ยบอีกเลยและเธอก็ทำทุกอย่างได้สำเร็จแล้วก่อนเวลาที่ราหูอมจันทร์ ดังนั้นร่างของเธอจึงปลอดภัย เธอนอนหลับอยู่ตรงกลางสนามหญ้าหน้าบ้านจนเช้าวันต่อมา.....
เจี๊ยบลุกขึ้นนั่งอยู่ที่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านแล้วกวาดสายตาไปทั่วก็ไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากมีดทำครัวตกอยู่กับหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันใหม่ที่มีคนขว้างเข้ามาในบ้านทุก ๆ เช้า เธอลุกขึ้นเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์กับมีดทำครัวแล้วเดินเข้าไปนั่งพักที่ชุดรับแขกในบ้าน
“สวยฆ่าหั่นเพื่อน ฆ่าตัวตายแล้วเมื่อคืนนี้” พาดหัวเป็นข้อความไม่ใหญ่โตนักบนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์
“กิ๊บตายแล้ว” “ทำไม !?” เจี๊ยบสงสัยว่าทำไมเธอถึงยังรอดอยู่ได้จนเช้า
.............................................................................................

ยามเมื่ออาทิตย์ลาลับ ในคืนเดียวกันวันนั้นนั่นเอง ณ ห้าง เดอะ เวิลด์ เซ็นเตอร์
“ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ของเรา” ชายชราซึ่งเป็นปู่ทวดของห้างแห่งนี้เริ่มต้นสนทนาอยู่กับตู้ทำนายไพ่ยิบซี
“แกขังฉันไว้ทำไม” เหมียวส่งข้อความผ่านหน้าจอภาพของเครื่องทำนายไพ่ยิบซี
“มันเป็นสัญญาที่เธอทำเอาไว้”
“แกหลอกใช้พวกฉันให้ทำงานให้แก”
“แกต้องการฆ่า The Death แต่แกใช้พวกฉันให้ทำลายหัวใจของมัน”
“เธอฉลาดมาก แต่ก็ทำงานไม่สำเร็จ” ชายชรายิ้มเยาะ
“ทำไมแกถึงไม่ยอมออกไปฆ่ามันเองล่ะ แกกลัวมันใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ ถูกต้องหากฉันออกไป ฉันจะต้องถูกมันจับลงนรกทันที ที่นี่เต็มไปด้วยเวทมนตร์แห่งอาคมที่ปกป้องรักษาฉันไว้ ไม่ให้มันสามารถเข้ามาได้” ชายชราตอบอย่างไม่รู้สึกโกรธ กับเฉย ๆ กับคำสบประมาทของเหมียว
“แกก็ตายไปแล้ว ทำไมไม่ให้มันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติล่ะ”
“ฉันสร้างที่นี่มา ลูกหลานของฉันถึงได้เจริญเติบโตจนยิ่งใหญ่อยู่อย่างนี้ ฉันเป็นห่วงสมบัติของฉัน ฉันไปไหนไม่ได้”
“ที่แท้แกก็เป็นพวกปู่โสมเฝ้าทรัพย์นี่เอง” เหมียวสบประมาทขึ้นอีกครั้ง
“เธอก็ไม่ได้รักเพื่อนจริง ๆ เธอรักตัวเอง” ชายชราพูดจบแล้วเดินจากไป

“เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องกลัวนะเพื่อนของเธอก็มาอยู่ที่นี่ด้วย” ชายชราทักทายตู้ดูลายมือ
“เธอคือใคร ? อยู่ที่ตู้ไหน ?” กิ๊บถามเป็นข้อความออกมาให้อ่านที่หน้าจอของตู้ดูลายมือ
“อยู่ไปเธอก็จะรู้เองแหละ” ชายชราไม่บอก
“แล้วมากันกี่คนล่ะ”
“แหมเสียดายจริง ๆ ที่ตู้พยากรณ์ดวงชะตาตามวันเกิดไม่ได้มาอยู่ด้วย” ชายชราบ่นพึมพำ
“เจี๊ยบใช่ไหมที่ไม่ได้มาด้วย”
“เธอเกือบทำได้สำเร็จแล้วเชียวนะ” ชายชราตอบแทนด้วยคำประโยคนี้แต่ก็ไม่ตรงกับคำถามของกิ๊บพูดจบชายชราเฒ่าก็เดินจากไปสู่ประตูทางออกของลายทำนายแห่งนี้

ชายชราเดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดยืนอยู่ก่อนถึงปากทางเข้า พอได้ระยะที่จะไม่ถูกทำอันตรายได้
“แกจงมอบวิญญาณมาให้ข้าเสียแต่โดยดีเถิด” The Death กำลังลอยอยู่ด้านนอกของปากทางเข้าด้วย
ชุดผ้าคลุมสีดำที่กำลังโบกสะบัดอย่างแรง ในอารมณ์ของ The Death ด้วยความโกรธแค้น
มันกำลังทำหน้าที่ทวงวิญญาณของตาเฒ่าเฝ้าทรัพย์ วิกลจริต

“วิญญาณฉันก็ต้องเป็นของฉัน แกไม่มีสิทธิ์ทวงเอา” ชายชราไม่ยอมจำนนต่อกฎของธรรมชาติ
“แล้วการที่แกกักขังวิญญาณของคนอื่นล่ะมันหมายความว่าอย่างไร”
“แก มันต้องตาย The Death แกต้องตาย ฉันจะต้องฆ่าแกให้สำเร็จสักวันหนึ่ง” ชายชราโมโห ใบหน้าเปลี่ยนเป็นความเหี่ยวย่นยับอันน่าเกลียดพร้อมแววตาที่ลุกขึ้นเป็นสีแดงเหมือนไฟ
“แกไม่มีวันฆ่าฉันได้หรอก ไม่มีวัน” The Death กล่าวขึ้นยิ่งทำให้ชายชราเฒ่าเดือดแค้น
“แกก็ไม่มีทางจะเอาตัวฉันไปได้เหมือนกัน ฮ่า..ฮ่า.ฮ่า.” ชายชราหัวเราะเยาะอย่างสะใจ
“รักษาตัวแกไว้ให้ดี วันหนึ่งแกจะต้องใช้กรรมอย่างทรมานแสนสาหัสในนรกของข้า” The Death เตือนให้ระวังตัว ซึ่งอันที่จริงกำลังเตือนตาเฒ่าว่าอย่าให้จับได้มากกว่า
“แกก็เช่นกัน ระวังคนข้างหลังไว้ให้ดี” “เจ้าสาวน้อยที่รอดชีวิตคนนั้น เธอมีหัวใจของแกอยู่พร้อมด้วยอำนาจแห่งพลังเวทที่รวมเธอเข้าไว้กับหัวใจของแกจนเป็นสิ่งเดียวกัน แกไม่สามารถฆ่าเธอได้แล้วเมื่อราหูได้อมจันทร์ผ่านไป ทุกอย่างได้ซึมซาบรวมกันจนสำเร็จเป็นหนึ่ง ทางที่ดีแกจงไปปกป้องรักษาเธอไว้ให้ดีเถอะ หากเธอเป็นอะไรแกก็ต้องตาย จนกว่าอายุขัยแห่งแสงเทียนชีวิตของเธอจะหมดลง แกถึงจะได้หัวใจของแกคืน แกก็รู้ไม่ใช่หรือ” ชายชรารู้เรื่องของ The Death เป็นอย่างดีด้วยความที่จะต้องการหาทางฆ่า The Death ให้จงได้ เพื่อจะได้เป็นอิสระไม่ถูกตามล่าเอาวิญญาณอยู่เหมือนในขณะนี้
“แก....แก.....” เสียงคำรามดังสนั่นขึ้นด้วยความโกรธแค้น แล้ว The Death ก็จางหายไปอย่างช้า ๆ เป็นกลุ่มควันดำเหมือนพายุที่รุนแรง
…………………………………………………………..

หนึ่งปีผ่านไป....
เจี๊ยบหยิบรูปเก่า ๆ ขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่งจากอัลบั้มรูปที่มีเพียงเพื่อนสนิทของเธอ เท่านั้น เธอพลิกไปจากหน้าแรกไปเรื่อย ๆ ด้วยความอาลัย คิดถึงเพื่อนที่ต้องจากเธอไปทั้งสามคน นึกถึงเรื่องราวที่ยังมีความสุขสนุกสนานด้วยกัน แต่ในวันนี้เธอไม่มีวันเก่า ๆ แบบนั้นอีกแล้ว จนที่สุดเธอก็พลิกมาถึงหน้าท้ายสุดของอัลบั้ม เธอต้องประหลาดใจเมื่อเห็นภาพถ่ายหมู่ที่ได้ถ่ายไว้ที่ห้างเดอะ เวิลด์ เซ็นเตอร์
“ทำไมภาพ....ภาพมันถึงได้เปลี่ยนไป” เจี๊ยบพูดขึ้นเมื่อได้เห็นภาพนิดจางหายไป กิ๊บกับเหมียวเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่อายุเป็นร้อย ส่วนตัวเธอเท่านั้นที่ยังคงสดใสเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
..................................................................................

อีกครั้ง ณ ห้างเดอะ เวิลด์ เซ็นเตอร์ ที่กำลังเจริญรุ่งเรือง
“เฮ้ย ! พวกเธอดูนั่นสิ มีช่องทางเดินไปลานพยากรณ์ด้วยนะ” กิตเห็นช่องทางเดินที่มืดสลัวพร้อมไฟประดับประดาเหมือนหยดดาว
“ไปดูกันเถอะ น่าตื่นเต้นดี” น้ำสาวน้อยแสนสวยชวนเพื่อน ๆ ทุกคนในกลุ่มเดินไปยังช่องทางนั่น

กลุ่มนักศึกษาชายหญิงทั้งเจ็ดคนมุ่งหน้าตรงไปสู่ช่องทางแห่งความลึกลับที่มิอาจจะรอดพ้นหากเหยียบย่างเข้าไปสู่ดินแดนของอาถรรค์....คำทำนาย...

จบ...ภาค1 Devil in Destiny Machines (ปิศาจพยากรณ์ ตอน คำทำนายไม่มีวันตาย)


Create Date : 13 พฤษภาคม 2551
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 11:08:49 น. 0 comments
Counter : 1563 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.