Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
5 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 
5 Steps การเรียนรู้สู่พลังสมองลูก บายโฟร์โมสต์และการเลี้ยวลูกในแบบโบว์

สวัสดีค่า วันนี้ว่างๆเลยอยากเขียนแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกกันจ้า เนื่องจากเปิดไปเจอบทความของ คุณบัว-ปัทมน (อดิเรกสาร) สุริยะ คุณแม่ลูก3 แถมมีลูกแฝดอีกต่างหาก ในกิจกรรมโฟร์โมสต์ สคูล สมาร์ท ดีเอชเอ 5 เท่า  ส่งเสริมความรู้โภชนาการเพื่อพัฒนาศักยภาพสมองให้เด็กมีพลังเรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกในแบบของเธอเอง ซึ่งพออ่านๆไป เฮ้ย แนวการเลี้ยงลูกคล้ายๆกันเลยแหะ 





ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า โบว์แต่งงานและ มีลูกเมื่ออายุยังน้อย ดังนั้นตั้งแต่การดูแลตัวเองระหว่างการตั้งครรภ์ เรื่อยมาถึงหลังคลอดน้อง จนถึงการเลี้ยงดูน้องนั้น โบว์จะค่อนข้างเชื่อตามผู้ใหญ่ เสริมด้วยหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกโดยจะหยิบบางอย่างมาปรับใช้กับลูกเรา เพราะโบว์เชื่อว่าเด็กแต่ละคนจะมีนิสัยความชอบไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเลี้ยงดูลูกจึงต้องปรับให้เข้ากับลูกเราด้วยเพื่อให้เค้ารับสิ่งต่างๆได้ไว และเป็นประโยชน์ที่สุดต่อตัวเด็กเอง

บางครั้งการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวใหญ่ก็อาจจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้างกับผู้ใหญ่ เพราะเค้าอาจจะไม่ได้รับความคิดแบบสมัยใหม่เหมือนตอนนี้ ซึ่งต้องค่อยๆปรับกันไป แต่มีอยู่อย่างนึงที่ความคิดตรงกันก็คือ “การดื่มนม” ผู้ใหญ่(ในทีนี้หมายถึงอาม่า) คงไม่รู้หรอกว่านมมีส่วนผสมยังงัย ช่วยให้ประโยชน์อะไรบ้าง เค้ารู้แต่ว่านมดื่มแล้วฉลาด ดื่มแล้วสูงแค่นั้น เค้าก็พอใจแล้ว แต่แม่ๆอย่างเราจะรู้ลึกถึงประโยชน์ของนม มากกว่าเพราะมีสื่อต่างๆที่สามารถค้นเจอได้ง่ายนั่นเอง




อ่านบทความคุณบัวแล้วพบว่า “ตัวเธอเลี้ยงลูกสาวทั้งสามคนด้วยนมแม่และเลือกนมผสมร่วมด้วย จนลูกโตถึงวัยที่สามารถดื่มนมจากกล่องในขวบปีที่ 2 เป็นต้นมา เธอก็เลือกนมที่มีส่วนผสมของดีเอชเอสูง 5 เท่าเป็นอาหารประจำวันอีกอย่างหนึ่งของลูก เพื่อให้มั่นใจว่าสมองของลูกจะได้รับสารอาหารที่มีส่วนช่วยให้สมองได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ โดยลูกทุกคนจะชอบดื่มนมกันวันละ 3-4 กล่อง “ อ่านถึงตรงนี้ อัยย่ะ เหมือนกันเป๊ะเลย ต่างกันแค่โบว์มีลูกแค่ 2 คนเท่านั้น 555 จนถึงตอนนี้ลูกคนโตโบว์ 9ขวบครึ่ง คนเล็ก6 ขวบ ก็ยังคงดื่มนมกล่องวันละ3-4 กล่องอยู่ ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงทั้งคู่ ไม่ค่อยเจ็บป่วย ถ้าวันไหนตัวรุมๆทานยาไป วันต่อมาก็หายแล้ว 

สำหรับในส่วนของการพัฒนาการทางด้านอื่นๆ ทั้งในเรื่องการพัฒนาสมอง กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ โบว์จะอาศัยการเล่นกับลูกเป็นตัวช่วย ซึ่งคล้ายๆกับคุณบัวเลย โดยตั้งแต่เด็กๆ จะมีคนคอยเล่นกับลูกเราเสมอ ทั้งอากง อาม่า อาโกว อาแปะ และคนงานในบ้านทำให้ลูกเราเป็นเด็กที่ไม่ค่อยกลัวคน และจะอารมณ์ดีตลอดเวลา

ตอนที่ลูกยังเล็กๆก็จะ เล่นแบบปิดตาจ๊ะเอ๋ ร้องเพลงประกอบท่าทางแบบง่ายๆให้ลูกทำตาม โตขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มมีตัวช่วยเช่นหนังสือสอนพัฒนาการ ต่อบล็อก ปั้นแป้งโด ตลอดจน จาน ชาม ช้อน ให้ลูกได้สัมผัสได้เล่น เมื่อถึงวัยหัดเดินและปีนป่าย โบว์ก็จะปล่อยให้เค้าพยายามเอง โดยเราคอยระวังอันตรายและเลือกสถานที่ที่ปลอดภัย เวลาล้มจะได้ไม่เจ็บ ซึ่งเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อได้อย่างดีโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองอุปกรณ์อะไรมาก

ตอนกลางคืนก็จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง และถามคำถามง่ายๆเพื่อให้แกตอบ เพื่อดูทักษะความเข้าใจของเค้า และสอดแทรกเรื่องของความดี ความชั่วในนิทานไปด้วยค่ะ





เมื่อถึงวัยเรียนที่เค้าสามารถอ่านออกแล้วอย่างปัจจุบันนี้  โบว์ก็จะกลับกันให้ลูกอ่านนิทานหรือเรื่องเกี่ยวกับความรู้รอบตัวให้เราฟังแล้ว เราก็จะถามโน่นๆนี่หลอกล่อให้เค้าตอบ ถ้าเค้ายังไม่เข้าใจเนื้อหา โบว์ก็จะอธิบายให้เค้าเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจอีก โบว์จะเปิดภาพเลยค่า เพราะเด็กๆจะเห็นภาพแล้วเข้าใจง่ายกว่า อย่างเช่น ทำไมฝนถึงตก โบว์ก็อธิบายไป ดูลูกก็เข้าใจส่วนนึงแต่ดูจากหน้าแล้วแกน่าจะงงอยู่ ก็เปิดภาพให้ดูค่า ว่าฝนมากจากน้ำลอยขึ้นไปบนอากาศรวมตัวเป็นเมฆฝนสุดท้ายก็ตกลงมา ทีนี้ลูกเข้าใจเลยค่ะ แถมเค้าก็รู้สึกสนุกด้วย

นอกจากการเลี้ยงลูกในแบบโบว์แล้ว ยังมีข้อมูลดีๆเกี่ยวกับการเลี้ยงดู การรับโภชนาการ และการพัฒนาศักยภาพทางด้านต่างๆ จากอาจารย์ดร.วสุนันท์ ชุ่มเชื้อ  อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล  มาเสริมให้คุณแม่ทั้งหลายได้ความรู้ไปพร้อมกับโบว์ด้วยจ้า 

ซึ่งอาจาย์ให้ความรู้ไว้ว่า “กระบวนการรู้คิดไม่ใช่เรื่องของไอคิว แต่เป็นกระบวนการคิดที่พ่อแม่ส่งเสริมได้  จากอาหารที่เด็กต้องได้รับโภชนาการที่มีคุณค่าอย่างครบถ้วน และกิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการ” อาจารย์ดร.วสุนันท์ ระบุ  โดยใน 6 ปีแรกของเด็ก การเลี้ยงดูจะต้องเน้นให้เกิดสารสื่อประสาทขึ้นในสมองให้มากที่สุด   และพ่อแม่ต้องกระตุ้นพัฒนาการด้วยพฤติกรรมหรือกิจกรรม เช่น การเล่นบทบาทสมมติ  และใช้การเล่านิทานเป็นเทคนิคพัฒนาพื้นฐานอารมณ์  พัฒนาประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว พัฒนาการรับรู้ตนเองโดยให้เด็กรู้จักอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์มากระทบ กระบวนการรู้คิดจะเกิดการเชื่อมโยงความคิดและจินตนาการโดยปรากฏออกมาเป็นบทสรุปตอนจบของนิทานตามความคิดของเด็ก “ อ่านไปอ่านมาอ้าวคล้ายที่เราสอนลูกอีกแล้ว โอเค แสดงว่าเราสอนไม่ผิดทางและ 555




นอกจากนี้ในกิจกรรมโฟร์โมสต์ สคูล สมาร์ท ดีเอชเอ 5 เท่า  ส่งเสริมความรู้โภชนาการเพื่อพัฒนาศักยภาพสมองให้เด็กมีพลังเรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด ยังได้จัดทำ คู่มือในชื่อ ‘5 Steps การเรียนรู้สู่พลังสมองลูก’ บ่งชี้เคล็ดลับสำคัญสร้างพลังสมองลูก 5 ด้านและฮาวทูสู่การพัฒนาสมองลูกแต่ละช่วงวัยเพื่อส่งเสริมกระบวนการรู้คิดซึ่งเป็นทักษะที่ควรฝึกให้เกิดขึ้นสำหรับเด็กและเยาวชนในยุคปัจจุบันเพื่อส่งเสริมเป็นบุคลิกภาพหนึ่งเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในโลกในศตวรรษที่ 21 ที่มีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยียิ่งกว่ายุคนี้อีกด้วย โบว์จะขอยกตัวอย่างมาส่วนนึงนะคะ เพราะโบว์รู้สึกว่าเป็นประโยชน์ต่อแม่ยุคใหม่มาก นั่นคือ

เทคนิคสร้างพลังสมอง 3 ช่วงวัย 5 ขั้นตอน
ช่วงวัยสำคัญของเด็กที่พ่อแม่ไม่ควรพลาดโอกาสทองในการพัฒนาสมองลูกมีอยู่ 3 ช่วงคือ 3-6 ปี  6-10 ปี และ 10-12 ปี โดยมีขั้นตอนพัฒนาทักษะการเรียนรู้  5 ขั้นตอนประกอบด้วย พัฒนาพื้นฐานอารมณ์  พัฒนาประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว  พัฒนาการรับรู้ตนเอง  พัฒนาการรับรู้ผู้อื่น  พัฒนากระบวนการรู้คิด โดยใช้เทคนิควิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ทั้ง 5 ขั้นตอนนั้นแตกต่างกันตามช่วงวัย
ช่วง 3-6 ปี ใช้เทคนิค เล่นบทบาทสมมติและเล่านิทาน เป็นสื่อที่ปลุกอารมณ์สะท้อนตัวตนของลูกให้มีประสบการณ์ขณะฟังนิทานหรือเล่นในบทบาทสมมติ ใช้ท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง  สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมผ่านตัวละครในนิทาน และให้ลูกคิดว่าตัวเองมีส่วนเหมือนหรือต่างกับตัวละครในนิทานอย่างไร กระบวนการรู้คิดจะถูกพัฒนาผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ทำให้ลูกสามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาตอนจบหรือสามารถเล่าเรื่องที่ตัวเองแต่งขึ้นได้

ช่วง 6-10 ปี ใช้เทคนิค เล่านิทานและชวนท่องเที่ยวสำรวจโลกกว้าง จะช่วยสะท้อนความคิดของลูก กระตุ้นให้เกิดการรู้จักตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว รู้จักความหมายที่เป็นรูปธรรมจากนิยาย นิทานเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง ผ่านกิจกรรมท่องเที่ยว ผจญภัย ดูภาพยนตร์ และการจำลองเหตุการณ์ต่างๆ  กิจกรรมกลุ่มผ่านโครงงานของโรงเรียนช่วยพัฒนาพื้นฐานอารมณ์เพราะเด็กได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น บุคลิกและนิสัยของตนเองจะปรากฏชัดขึ้นและเด็กต้องเรียนรู้และจัดการอารมณ์ของตัวเองด้วย  งานประดิษฐ์ทุกรูปแบบส่งเสริมพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว  การเล่านิทานหรือให้เด็กแต่งเรื่องตามจินตนาการช่วยสะท้อนความคิดความรู้สึกของตนเอง อาจปรากฏออกมาในรูปแบบของเกมสร้างสรรค์เล่น พ่อแม่และครู ควรส่งเสริมกำลังใจให้คำชมในพฤติกรรมและความคิดของเด็ก  การเคารพความคิดของตัวเองและความคิดผู้อื่นจะช่วยลดอาการเอาแต่ใจตัวเองของเด็กวัยนี้ลงได้ ทำให้เด็กรู้จักความแตกต่างระหว่างบุคคล รู้คุณค่าในตัวเอง  การพัฒนากระบวนการรู้คิดจะเกิดขึ้นในแบบที่เรียกว่าความมั่นคงทางอารมณ์

ช่วง 10-12 ปี ใช้เทคนิค ชวนลูกเที่ยวผจญภัยและให้สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก การออกค่ายอาสาเป็นกิจกรรมที่ดี สอนให้รู้จักการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม  รู้การแบ่งปันอย่างมีความสุข  ลูกจะมีทักษะในการปรับอารมณ์ตัวเองให้เผชิญได้ทั้งความผิดหวังและสมหวัง การส่งเสริมกำลังใจจากพ่อแม่และครูยังเป็นสิ่งจำเป็น  พัฒนาประสาทสัมผัสการเคลื่อนไหวด้วยกิจกรรมรำฟ้อน หรือส่งเสริมให้เล่นกีฬาที่ชอบ  ช่วงวัยนี้มีพัฒนาการรับรู้ตัวเองผ่านเหตุการณ์จำลองในอาชีพต่างๆ  สร้างการเรียนรู้ที่หลากหลายต่อการยังชีพในอนาคต  กระบวนการรู้คิดในช่วงวัยนี้จะสะท้อนออกมาผ่านการแสดงความคิดเห็นของเด็กต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น การวิจารณ์ภาพยนตร์เมื่อดูจบร่วมกับพ่อแม่  การดูเกมกีฬา  การเรียนรู้วิถีชีวิตผู้คนต่างพื้นที่และเกิดการวิพากย์แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่รับรู้  เหล่านี้เป็นการเรียนรู้เพื่อสร้างกระบวนการรู้คิดให้เด็กได้เชื่อมโยงสิ่งต่างๆได้กว้างไกล พลังสมองจะถูกใช้ไปกับการเรียนรู้เช่นนี้ทุกวัน เด็กจะผูกพันกับการเรียนรู้ก่อนิสัยใฝ่รู้ได้อย่างไม่สิ้นสุด  
นี่แค่ส่วนหนึ่งนะคะ เห็นมั๊ยละคะว่าได้ความรู้มากขึ้นจริงๆ




ถ้าใครสนใจสาระดีๆ  เพื่อการเรียนรู้ต่อเนื่องกับโฟร์โมสต์ สคูล สมาร์ท สามารถดาวน์โหลดฟรีคู่มือ‘5 Steps การเรียนรู้สู่พลังสมองลูก’ ได้ที่ 


นี่โบว์ก็ไปโหลดมาเรียบร้อยแล้ว ยังมีเนื้อหาดีๆอีกมากมายให้อ่านกันนะคะ อย่าลืมไปโหลดมาอ่านกันนน๊า






Create Date : 05 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2556 16:36:48 น. 1 comments
Counter : 1972 Pageviews.

 
ดีมากๆๆ


โดย: วชิราณี สุวพิศ IP: 182.93.206.121 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2556 เวลา:10:56:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

momybowy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]




Friends' blogs
[Add momybowy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.