กุมภาพันธ์ 2555

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
เมื่อได้ผ่านอะไร หลายๆ อย่าง

ถ้าอายุที่มากขึ้น หมายถึงความแก่ เราก็ยอมรับนะ เพราะความแก่นี้ เกิดจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิต การที่เราผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เล็กจนโต พบกับความลำบาก จนเกิดความเสียใจ เกิดความน้อยใจ ตลอดมา จนวันนี้ เราถือว่า ความลำบากนั้นเป็น "กำไรชีวิต"


สมัยเด็กๆ มีปมด้อย เรื่องพ่อแม่ แยกทางกัน เราต้องอยู่กับย่า พ่อมีเมียใหม่ และมองเราเป็นส่วนเกิน เป็นภาระตลอดมา ย่าต้องคอยปลอบใจ และสอนให้เรารู้จัก "พึ่งตนเอง"


เรารับจ้างป้าข้างบ้านหั่นผัก ตั้งแต่เรียนประถมฯ ได้วันละสิบบาท เพื่อเอาไว้ใช้ไปโรงเรียน เอาข้าวเที่ยงไปกิน เพราะเรากับย่าต้องประหยัดมาก ค่าเทอมก็ได้จากเงินเก็บของย่าที่ลูกหลานให้ (ตอนเรียนประถมฯ นั้น เป็นโรงเรียนเอกชนที่เดียวที่เราได้เรียน) พอขึ้นมัธยมฯ ก็ช่วยแม่ใหม่ ขายของ ได้ค่าแรงวันละร้อยบาท โชคดีที่แม่ใหม่เป็นคนใจกว้าง ไม่เคยรักเกียจเรา จะคอยช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนบ้างตามสมควรเราจึงเต็มใจช่วยงานอย่างเต็มที่ ผิดกับพ่อที่แสดงอาการรังเกียจอย่างชัดเจน


ในบรรดาลูกๆ ของพ่อ ย่าชอบบอกว่า ถ้าสร้างเป็นนิยาย สงสัยเราได้เป็นนางเอก เพราะลำบากที่สุด 555 ถ้าไม่ช่วยงานก็คือ ไม่ได้เรียน แต่พี่น้องคนอื่น ไม่มีใครต้องมาช่วยงานสักคน ได้เรียนโรงเรียนเอกชนตลอด เพราะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ได้ เรา "อิจฉา" และ "เก็บกด" มาก แต่ความ "อิจฉา" กลับส่งพลังให้เรา "ขวนขวาย" อย่างไม่น่าเชื่อ เราสามารถสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลได้ตลอด (แอบเยาะเย้ยพ่อ อยู่ในใจด้วย ว่าเป็นไงละ เกลียดหนู แต่หนูเก่งกว่าลูกที่พ่อรักอีก ^^) เราช่วยงานร้านขายของจนใกล้จบ ปวช. ก็มีคำพูดจากพ่อให้ช้ำใจว่า "ไม่มีเงินส่งเรียน ปวส.นะ" ทั้งที่ปกติแทบจะไม่ได้ช่วยค่าเลี้ยงดูใดๆ อยู่แล้ว กลับมีคำพูดฟาดเข้ากลางใจเรา ให้เราเสียใจอีกจนได้ (เราเป็นคนชอบเรียนมากค่ะ) ชีวิตช่วงนั้นเขว่ทันที เราประชดด้วยการ มีแฟน แล้วท้อง โชคดีว่าเป็นเดือนที่เรียนจบพอดี เราได้ทำงานแล้ว จึงไม่มีปัญหาใดๆ มากนัก


แต่ปัญหากับอยู่ที่พ่อของเด็ก ที่สารพัดความเลวร้ายมาอยู่ในตัว ทั้งที่แก่กว่าเราเป็นสิบปี ไร้ความคิด ตบตีเราเวลาเมา แอบมีเมียน้อย การพนัน ขี้เหล้าเมายา ฯลฯ เราทนทุกข์สาหัสอยู่ 5 ปี เราจะเลิก แต่พ่อเด็กไม่เลิก ขโมยลูกเราไปต่อรอง (นึกถึงแล้วอยากเตะสักป้าป! จริงๆ 555) เรากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำงานแทบไม่รู้เรื่อง ย่าพลอยทุกข์ไปด้วย จนต้องพาเราไปเอาลูกคืนที่ย่าเด็ก ตอนแรกแกจะไม่ให้ แต่พอเห็นภาพเรากับลูกวิ่งมากอดกัน แล้วลูกเราตอนนั้นอายุยังไม่เต็มห้าขวบดี น้ำตาคลอเบ้ามากอดแม่ แกจึงยอมให้มา (ตอนนั้นเป็นช่วงที่เศร้าที่สุดช่วงหนึ่ง) เราได้ลูกคืนมา พร้อมกับพอเด็กระรานไม่เลิก ไปโวยวายที่ทำงานเรากะว่าให้เราออกจากงานให้ได้ (ดูความคิดเค้าซิ) จนพ่อเราต้องเรียกมาพูดกันให้รู้เรื่อง พ่อเด็กถึงยอมเลิกรา ครั้งนั้นความรู้สึกเรากับพ่อเริ่มดีขึ้น พูดกันมากขึ้น แต่มันเป็นช่วงสั้นๆ ไม่ถึงปีพ่อเราก็เสีย เพราะอุบัติเหตุ (เล่าถึงตอนนี้น้ำตาไหลอีกแล้ว)


วันที่พ่อเสีย แม่ใหม่โทรมาบอกพร้อมน้ำตาและเสียงสะอื้น ตอนเจ็ดโมงเช้า เรากำลังแต่งตัวไปทำงาน พอรู้ข่าวเข่าทรุดทันที ร้องไห้จนเสียงดัง ตั้งสติได้ก็ขี่จักรยานไปลางาน ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน แม่ใหม่บอกว่าให้น้องชายเรามารับเรา แต่อย่าเพิ่งบอกน้องว่าพ่อเสีย เดี๋ยวน้องขับรถไม่ได้ พอน้องมารับ เราต้องปั้นหน้าให้เสียใจน้อยที่สุด (ระหว่างที่พิมพ์นี่ก็น้ำตาไหลไม่หยุดเหมือนกัน) จนถึงโรงพยาบาล เราเห็นร่างของพ่อ ที่มีเลือดไหลจากตรงหัวไม่หยุด ทั้งๆ ที่แม่ใหม่บอกว่าเมื่อตอนโดนรถชนจนถึงโรงพยาบาล พ่อมีสติดีมาก สามารถบอกให้โรงพยาบาลโทรหาแม่ใหม่ได้ เมื่อตอนแม่ใหม่มาก็ยังคุยกันอยู่ดีๆ แล้วแม่ก็ขอกลับมารับป้าเพื่อไปเยี่ยม แต่พอเจ็ดโมงเช้าแม่ใหม่ไปถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า "พ่อเสียแล้ว" 


เรากับน้องกอดกันร้องไห้นานมาก เราหันไปกอดศพพ่อ ทั้งที่ตอนมีชีวิตเราไม่เคยได้กอดกันเลย เราหันไปพูดกับพ่อว่า "พ่อกำลังจะรักหนูอยู่แล้ว ทำไมพ่อต้องตายด้วย" ย่าบอกว่า "เพราะพ่อแสดงความรักก่อนตาย" (พิมพ์ไปหยุดร้องไห้ไป) 


ระหว่างงานศพ เรากลายเป็นคนที่เศร้าที่สุด ในบรรดาลูกของพ่อ อาจเพราะระหว่างเรากับพ่อ มันมีความทรงจำดีๆ ต่อกันก่อนท่านจากไปละมั้ง หลังจากเสร็จงานศพ เราต้องช่วยแม่ใหม่ดูแลอพาร์ทเม้นแทนพ่อ เพราะน้องยังเรียนอยู่ เราไม่ขอรับค่าจ้าง เพราะอพาร์ทเม้นที่ดูแลอยู่แม่ใหม่ต้องส่งหนี้ธนาคารต่ออีกหลายปี แต่แม่ใหม่เกรงใจ จึงให้เป็นแตะเอียเรากับลูกแทน


มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับเราอีกมากมาย แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ล้วนแต่สร้างความเข้มแข็งให้เราทั้งสิ้น เราทำงานเลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งแต่ลูกอายุห้าขวบ จนบัดนี้ลูกอายุสิบหกแล้ว ระหว่างเลี้ยงลูกเราก็เรียนต่อปริญญาตรีที่ มสธ.ไปด้วย เพราะเราปีปมด้อยเรื่องไม่ได้เรียนต่ออยู่ในใจตลอดเวลา ใช้เวลาเรียนหกปีก็จบ ได้รับปริญญา มาให้ย่ายิ้มแก้มปริ ย่าไม่ได้ไปรับปริญญากับเรา แต่เรากลับมาถ่ายรูปกับย่าที่บ้าน ย่าเอารูปอวดใครต่อใคร แล้วบอกว่า มันไม่มีพ่อมีแม่ มันก็เรียนจบได้ ขนาดคนดูถูกมันเยอะแยะ มันก็ยังทำตัวดีได้ เราดีใจมากที่ย่าภูมิใจในตัวเรา


เราเลี้ยงลูกเองไม่เคยต้องขอเงินใคร (นอกจากบัตรเครดิต 555) ญาติพี่น้องเริ่มรังเกียจเราน้อยลง เพราะเราพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเราเข้มแข็ง และเอาตัวรอดได้ทุกเรื่อง ที่สำคัญญาติพี่น้องไม่เคยต้องมาลำบาก หรือเดือดร้อนกับเรื่องของเราเลย ย่าก็ภูมิใจเรามากขึ้น ^^ เพราะใครๆ ก็ชมว่าย่าเลี้ยงเราดี ได้พึ่งพาหลานได้ ย่าจะดีใจทุกครั้งที่มีคนชมเรา เราก็ดีใจทุกครั้ง ที่หลานย่าคนนี้ ทำให้ย่าภูมิใจได้


ทุกครั้งที่เราแก้ปัญหาใดๆ ได้ด้วยตัวเอง เราจะนึกขอบคุณพ่อทุกครั้งที่ไม่เคยเลี้ยงให้เราสบาย นึกขอบคุณญาติพี่น้องทุกครั้ง ที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเรา (มีเพียงเรื่องเดียวที่เสียดาย พ่อไม่ทันได้เห็นเรารับปริญญา) ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นมาก เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือเราไม่โกรธญาติพี่น้องคนไหนเลย ทำให้เราพูดคุย เป็นที่ปรึกษาเรื่องโน้นนี้ได้บ้าง อย่างสนิทใจ ทั้งที่ตอนแรกๆ ก็ไม่อยากคุยกับใคร แต่เราพยายามคิดว่าเป็นกรรม ถ้าเราไม่ต่อกรรม มันจะทำให้เรามีความสุข 


อายุมากขึ้น ความคิดก็มากขึ้น ความเข้มแข็ง ก็แกร่งขึ้น เวลาเพื่อนปรึกษาปัญหาเรา เราจะเตือนสติเพื่อนทุกครั้งว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจากกรรม ถ้าเรายิ่งโกรธ เราจะยิ่งทุกข์ เราพูดเช่นนี้ได้เพราะเราผ่านทุกข์มามากมาย จนรู้ว่าทุกข์แบบไหน ก็แล้วแต่ ต้องแก้ด้วย "สติ" เราจะเน้นให้เพื่อนมีสติ ให้มองปัญหาสองมุม มุมนึงคือสาเหตุ มุมนึงคือผลที่ตามมา ถ้าแก้ที่สาเหตุไม่ได้ ก็ต้องแก้ที่ผล (จริงๆ แล้วตัวเราเองบางครั้งก็ขาดสติเหมือนกัน^^ แต่จะพยายามดึงกลับมาให้ไวที่สุด) เพื่อน "กัลยาณมิตร" ของเราหลายคน จะพยายามมองปัญหาต่างๆ ในมุมบวก แล้วต่างคนต่างดึงเพื่อนที่สติหลุด ให้กลับมามีสติอีกครั้ง บางทีเราก็ดึงเพื่อน บางทีเพื่อนก็ดึงเรา 555 แต่ทุกปัญหาจะแก้ไม่ได้ ถ้าขาด "กำลังใจ" จงเติมกำลังใจให้กันและกันนะคะ ไม่ว่าคนนั้นเป็นคนที่คุณรัก หรือคนที่คุณเกลียดก็ตาม......








Free TextEditor



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2555 17:35:16 น.
Counter : 486 Pageviews.

4 comments
  
เข้ามาเติมกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆนะคะ
โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:23:15:12 น.
  
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะคุณ แฟนlinkinPark ตาลก็ขอมอบกำลังใจ ให้เช่นกันค่ะ ^^

โดย: ขนมหวานสร้างไขมัน วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:15:03:30 น.
  
เก่งมากแล้วที่ลุยมาได้ขนาดนี้ .....เรื่องต่อไปแค่เรื่องจิ๊บๆเท่านั้นเอง..พ่เชื่อนะว่าคนเก่งมันอยู่ที่ไนก้เก่ง เว้ยเฮ้ยยย
โดย: daxter (daxter ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2555 เวลา:0:30:17 น.
  
ขอบคุณค่ะ พี่ daxter

กลับมาอ่านเรื่องพ่ออีกครั้งน้ำตาอีกแล้วค่ะ กลายเป็นคิดถึงพ่อซะอย่างนั้น TT
โดย: ขนมหวานสร้างไขมัน วันที่: 5 กรกฎาคม 2555 เวลา:11:54:41 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ขนมหวานสร้างไขมัน
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อย่าหวังให้ใครช่วยเรา ในเมื่อเรายังช่วยตัวเองได้อยู่