<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
19 สิงหาคม 2557
 

กะทันหันทริป :: Mumbai-Pune, India :: Part VIII (ถึงเมืองปูเน่)

ความเดิมตอนที่แล้ว 

พอรถเริ่มออกพ้นจากตัวเมืองมุมไบ  ไม่มีตึก อาคาร บ้านเรือน ให้ดู
มีแต่ภูเขา ถนน เมฆ และท้องฟ้า  อาการเพลียแดดก็กำเริบ เลยต้องพักสายตาไปช่วงๆ 
ปล่อยให้คุณพี่สาวกับอัสวีนีคุยกันเรื่องการงานกันไป  
มารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อบันดูหักรถเข้าจอดข้างทาง  ....ถึงสถานที่พักรถระหว่างทางแล้ว 

ตรงนี้ (ตรงไหน ไม่รู้) มีอาคารเตี้ยๆ  เป็นร้านอาหารและมีห้องน้ำด้วย
ถัดมาก็เป็นเหมือนแผงร้านค้า ขายขนม ขายน้ำ ขายผลไม้ 
อัสวีนีจัดชาร้อนจากร้าน Nescafe มาให้  ส่วนเราเดินเตร็ดเตร่แล้วก็ถือโอกาสซื้อของขบเคี้ยวเพื่อแตกแบงค์ย่อย



แล้วก็มายืนเมียงมองถั่วต้มข้างๆ ร้านเนสท์กาแฟ  ช่างเป็นของว่างที่ดูแปลกตา 
เราคุ้นชินกับ "แขกขายถั่ว"  ซึ่งเป็นถั่วทอด  มาถึงถิ่นแขกเข้าจริงๆ  เขาดันนิยมถั่วต้มซะงั้น 



ถั่วที่ต้มแล้ว มีสารพัดแบบ อัสวีนีซื้อถั่วลิสงมาให้กิน  คนขายจัดแจงตักถั่วลิสงใส่ชาม ใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศหั่นชิ้นเล็ก 
เติมพริก (และอาจมีเครื่องปรุงอื่นที่เราไม่เห็น)  แล้วคลุกเคล้าให้ทั่วๆ ใส่ถั่วส่งมาให้พร้อมช้อนพลาสติก  
ความอร่อยมันอยู่ที่ถั่วลิสงเนื้อแน่น แต่ไม่แข็ง เคี้ยวเพลินมาก ตักกันคนละคำสองคำ  ยังไม่ทันหมด แต่ต้องเดินทางต่อ 
ไม่อยากไปทำหกในรถ เลยต้องตัดใจทิ้งไป ....อ่ะ ถือว่าได้ลองแล้วละกันนะ  แม้ว่าจะเสียดายของอยู่ก็ตาม 



เดินทางต่อ  ปริมาณรถเริ่มหนาแน่น ....ก็เลยไม่มีโอกาสสังเกตดูระหว่างทางอีกที 
คราวนี้ ติดใจสะพาน เป็นงานสถาปัตยกรรมก่ออิฐ คงเป็นสะพานเก่าแก่ดั่งเดิมแน่เลย ....ถ่ายรูปเก็บไว้ 
ในเส้นทางเข้าเมืองปูเน่  มีรถเยอะมาก ทั้งรถบัสโดยสาร รถบรรทุกสินค้า และรถยนต์ส่วนบุคคล 
และในที่สุด เราก็เจออุบัติเหตุจนได้  มีรถพ่วงบรรทุกสินค้า พลิกคว่ำ ขวางทางในถนนเส้นทีสวนทางเรา 
ดีนะ อยู่อีกทาง ถ้าอยู่ในเส้นทางของเรา คงได้ติดอีกนานแน่ๆ   



ราวๆ สามชั่วโมงจากเมืองมุมไบ  ก็เข้าเขตเมืองปูเน่ซะที   นั่งรถจนเมื่อยไปหมดแล้ว 
ทีแรกคิดว่า บันดูจะส่งพวกเราเข้าทีพักเลย  แต่อัสวีนี่ขอพาเข้าไปชมเมืองซะหน่อย 
ประกอบกับคุณพี่สาวเกรงว่าจะไม่มีเวลาซื้อของฝาก  ก็เลยอยากซื้อซะวันแรกนั่นแหละ 





เมืองนี้ ก็มีศิลปะบนกำแพง ริมถนน ให้เห็นหลายจุด อีกทั้งมีการขายของข้างทางด้วย 
เจ้าถิ่นทั้งสอง พาแวะเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยเมืองปูเน่ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของเมือง 
เป็นสถานที่ศึกษาต่อยอดนิยมของชาวอินเดียและนักศึกษาต่างชาติมากมาย  รวมทั้งนักศึกษาชาวไทยด้วย 



แต่ว่า อาคารเก่าที่เจ้าบ้านอยากให้เยี่ยมชม อยู่ระหว่างบูรณะ  
ก็เลยได้แต่เดินดูภายนอก ...แป๊บนึงเท่านั้นเอง  เรื่องของเรื่องคือ 
 สามคนนั้นเขาเฉยๆ กับตึกเก่าอ่ะนะ มีแต่เราที่กระตือรือร้นขอใช้เวลาถ่ายรูปเก็บไว้ 





บรรยากาศยามเย็นในมหาวิทยาลัยดูวังเวงพิกล ตึกคณะต่างๆ แยกห่างจากกันเป็นสัดส่วน 
รกเรื้อด้วยต้นไม้ระเกะระกะ จนดูเหมือนตึกร้างยังไงไม่รู้  ถ้าไม่เห็นว่ามีรถแล่นสวนทาง มีนักศึกษาเดินริมถนน
เราคงคิดว่า ตัวเองหลงมาอยู่ในอดีตที่เงียบเหงาวังเวงแน่ๆ   



ออกจากมหาวิทยาลัย ไม่มีเวลาแวะสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ   เจ้าบ้านชวนแวะไปช้อปปิ้งกันเลยละกัน 
ร้านแรก เป็นร้านแนะนำ  จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองมากมาย ทั้งเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน สินค้าเพื่อสุขภาพต่างๆ  
เราติดใจกระเป๋าหนังราคา 1,000 รูปี  เป็นหนังวัว นิ่มมาก เหมือนที่พ่อเคยซื้อมาให้ (ตอนที่พ่อมาทำงานที่อินเดีย) 
แต่ก็ต้องหักใจวางคืนไว้บนชั้น เพราะไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้แล้ว เราต้องเที่ยวเอง กินเอง ต้องใช้เงินอีกมากน้อยแค่ไหน 
ขอเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในเรื่องเที่ยวซะก่อน   ของฝากนั้น ไว้ว่ากันวันสุดท้าย 


สรุปแล้ว สาวไทยสองคนออกจากร้านมือเปล่า แต่อัสวีนีได้โคมไฟประดับบ้าน 1 ชิ้น 
มาต่อกันที่ร้านของฝาก ร้านใหญ่อีกแห่งในตัวเมือง 



ร้านนี้ขายสินค้าอินเดีย แบบที่เราเห็นในร้านค้าที่เช่าตึกเรานั่นแหละ ทั้งพรม ทั้งของแต่งบ้านประดับหินอ่อน 
งานไม้แกะสลัก งานหินอ่อนแกะสลัก และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ล้วนแต่ "ราคาแพง" ....เกินงบค่ะ ....ขอผ่าน


แล้วก็มาแวะร้านขาย "หิน" ข้างทาง  สินค้าจากหินสารพัดชนิดนี้ หาซื้อได้ตามร้านค้าในสีลมนะคะ 
เราชอบหินรูปหัวใจสีชมพูนะ  แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องใช้เงินแค่ไหนยังไง ...ของฝากรอไปก่อน 

สุดท้าย ก็ไม่ได้ซื้ออะไรกันเลย  บอกอัสวีนีและบันดูว่า ขอเข้าที่พักเลยละกัน 
ไม่ต้องเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว  ถ้าพวกเราหินก็จะสั่งรูมเซอร์วิสกินกันเอง ....อยากพักแล้ว  



ระหว่างทางไปโรงแรมที่พัก ผ่านถนนในเมืองได้เห็นชีวิตผู้คนท้องถิ่นในแต่ละย่าน ตื่นเต้นดี 
บนถนนช่วงเย็น รถก็เยอะมากมาย  รถติด เสียงแตรดังตามสี่แยก   ...เออ..บรรยายกาศเหมือนที่อ่านเจอเลย 
พอผ่านมาถึงถนนกลางเมือง ชื่ออะไรจำไม่ได้ เป็นย่านที่หนุ่มสาวชาวเมืองปูเน่ออกมาช้อปปิ้งกัน 
มีแผงลอยและรถเข็นขายอาหารข้างทาง ....อัสวีนี อยากให้พวกเราได้สัมผัสชีวิตคนท้องถิ่น 
ก็เลยบอกให้บันดูจอดรถ แล้วชวนพวกเราสองพี่น้องลงไปเดินเล่น ....เหนื่อยนะ แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าบ้านเสียน้ำใจ 

ลงจากรถก็เดินตามหลังอัสวีนีข้ามถนน ...ซึ่งเป็นการข้ามถนนที่เสี่ยงอันตรายสุดๆ  
พี่ท่านขับรถกันเร็วมาก  แต่คนข้ามถนนก็ใจแกร่งมาก ไม่สนทางม้าลาย เพราะไม่เห็น 
ดูจังหวะรถที่สวนไปมา  แล้วก้าวเร็วๆ ข้ามไปอีกฝั่งกันเลย 



จุดที่อัสวีนี่พาแวะ มีร้านขายของกินหลายอย่างมาก  เธอจัดการสั่งของกินให้พวกเราลอง อย่างละนิดละหน่อย 
คนที่ลองทุกอย่างที่เธอจัดมาคือ เราเอง ส่วนพี่สาวเราหยิบชิมนิดนึง พอเป็นพิธี 
จากภาพบน  คนขายข้าวโพดยืนเบียดกับคนขายของนึ่ง  ซึ่งชิมแล้วคล้ายๆ เกี๊ยวซ่า 
ส่วนข้าวโพดก็มีการคลุกเคล้ายกับมะม่วงหั่นและอื่นๆ อีกมากมาย ที่กินแล้ว ...อร่อยมาก ...ชอบเลย 
อีกอย่างคือแป้งทอด กินกับโยเกิตที่เปรี้ยวสุดๆ  ส่วนภาพมุมล่างซ้าย มีกรรมวิธีที่ไม่น่าจำ และไม่ควรมองมือคนทำ
ไม่งั้นจะพานกินไม่ลงเอาได้  ...น่าทึ่งตรงนี้ เขาทำขาย 6 ลูก 20 รูปี  ทำส่งให้คนซื้อที่ละคำ 
และคนขายจำได้ด้วยนะว่าส่งไปคนโน้น คนนี่ จำนวนเท่าไหร่  คนซื้อแค่รับมากิน แล้วยื่นถ้วยไปรอรับคำต่อไป 




จานใหญ่ๆ ชวนอิ่มท้องที่สุด เหมือนจะเป็นข้าว ที่ผสมอะไรมากมาย แยกแยะไม่ถูก  เรียกก็ไม่ถูกอีก  
รสชาติคล้ายๆ หมี่กรอบ ....เอาเป็นว่า มีเรามีกินได้ ...และพี่สาวเราขอผ่าน .....
ปิดท้ายกันด้วย "น้ำมะนาว" ที่มองดูพื้นที่ใกล้เคียงคนขายแล้ว ถือว่าสะอาดกว่าที่เมืองมุมไบ 
เลยกล้าลอง  มีให้เลือกสองอย่างคือ ผสมน้ำ กับผสมโซดา ก็ลองแบบธรรมดากันก่อน 

คนขายใช้เครื่องคั่นน้ำมะนาว ใส่แก้วเติมน้ำเปล่า (เป็นน้ำเย็น)  เติมเกลือและน้ำตาล ใช้ความชำนาญในการตักส่วนผสม
คน คน คน จนละลายเข้ากันดี   แล้วส่งมาให้ดื่ม .....สุดยอดอ่ะ   อร่อยมาก  ชอบอีกเช่นกัน 
และน้ำมะนาว ก็เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวเมืองปูเน่เช่นกัน 

จากที่ว่าจะกินกันนิดหน่อย กลายเป็น enjoy eating ไปได้ ...โน้นคำ นี่คำ สุดท้ายก็เต็มท้อง 
ไม่ต้องพึ่งอาหารจากรูมเซอร์วิสเลย  

บันดูตีรถออกนอกเมือง  เพราะบริษัทจัดที่พักให้ใกล้ที่ทำงาน (ของพี่สาวเรา) 
โรงแรมค่อนข้างหรูหรา  และต้องผ่านเครื่องสแกนกระเป๋า ตรวจอาวุธอย่างละเอียดถี่ถ้วน 
จัดการเรื่องเช็คอินแล้ว ...ก็ขึ้นมานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนุ่มๆ 



แต่ปรากฎว่า โรงแรมนี้ ไม่ยักมีฟรีไวไฟ ...คืนนั้นเราก็เลยลองใช้บริการแบบเสียเงิน 1 ชั่วโมง 
เพื่ออัพภาพถ่าย (บางส่วน)  ขึ้น Facebook และ Instagram ไว้ก่อน 
พรุ่งนี้ ต้องแยกจากพี่สาว ไปเที่ยวตามลำพังกับบันดู ไม่มีโปรแกรมแน่ชัด  มีแต่โพยสถานที่ท่องเที่ยว
ไม่มีแผนที ....คงต้องปล่อยให้บันดูพาเที่ยวซะแล้ว 


โปรดติดตามตอนต่อไป 


ปล. 
อ่านเรื่องของมหาวิทยาลัย : Savitribai Phule Pune University 
 >> คลิก 





Create Date : 19 สิงหาคม 2557
Last Update : 8 ธันวาคม 2558 21:52:37 น. 4 comments
Counter : 2386 Pageviews.  
 
 
 
 
ชอบชื่อเมืองนี้จัง ปูเน่

ตอนนี้อ่านแล้วขำๆดีค่ะ ฝากไว้ก่อนๆ จนไม่ได้ซื้อ

แต่เห็นของกินตะละอย่างแล้ว อร่อยหรา 555

รร.แรมน่าพักดีนะคะ


อะ ติดตามต่อจร้า


 
 

โดย: นักล่าน้ำตก IP: 1.46.39.231 วันที่: 20 สิงหาคม 2557 เวลา:13:54:46 น.  

 
 
 
โรงแรมสวยมาก อย่างกับไม่ใช่อินเดียเลยค่ะ
มหาวิทยาลัยที่นี่ดูเก่าจัง
ถ้าอนุรักษ์ดีๆคงสวยนะคะ

อาหารแปลกๆ ถ้านุ่นไปจะทานได้รึเปล่าก็ไม่รู้ ^^

ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆค่า

 
 

โดย: lovereason วันที่: 20 สิงหาคม 2557 เวลา:20:51:37 น.  

 
 
 
ชอบชื่อ Good luck stoe shop จัง

เคยได้ยินว่า คนไทยไปเรียนที่ ปูเน่ เยอะค่ะ แต่เพิ่งเคยเห็นที่ตั้งมหาวิทยาลัย
 
 

โดย: กาบริเอล วันที่: 21 สิงหาคม 2557 เวลา:12:20:04 น.  

 
 
 
ตอนนี้กำลังพักโรงแรมนี้อยุ่พอดีเลย บังเอิญ มันใกล้ที่ทำงาน กำลังคิดว่าจะไปหาซื้อของฝากใกล้ๆโรงแรมมีรึเปล่า
 
 

โดย: ภา IP: 192.99.14.36 วันที่: 15 เมษายน 2558 เวลา:18:40:13 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

นัทธ์
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]





รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน
เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว
มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้



สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539

ห้ามผู้ใดละเมิด
โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้
และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต
เป็นลายลักษณ์อักษร

New Comments
[Add นัทธ์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com