|
ทอดน่องท่อง "มะละกา" Part XVI : วันสุดท้ายในเมืองมะละกา
ความเดิมตอนที่แล้ว
2 วันแล้วที่เดินเที่ยวอย่างเต็มที่ ออกกำลังขาไปมากจนรู้สึกปวดน่องมากขึ้น แต่ความที่บ้านเราชอบพาเดินเที่ยวมาแต่เล็กแต่น้อย ..อาการปวดน่องปวดขา ก็เลยเป็นเีพียงอาการเล็กน้อยในช่วงเช้าวันต่อมา ของแบบนี้ "มันต้องถอน" เมื่อยใช่มั๊ย ...งั้นก็ต้องเดินต่อไปอีก
วันสุดท้ายนี้ เป็นวันฟรีสไตล์ เก็บตก ตัวใครตัวมัน ขอให้กลับมาโรงแรมก่อนเช็คเอาท์ก็แล้วกัน เราก็จัดเก็บของฝากใส่ลงเป้ เก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ และกวาดเอากาแฟ ชา ครีม และน้ำตาลซอง ใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย >> ยัยงก พร้อมที่จะหิ้วออกจากห้อง เมื่อกลับมาเช็คเอาท์ได้ทันที
กริช 2 อันฝากพ่อ ขนม 2 อย่างฝากคนที่บ้านและที่ทำงาน เสื้อที่ระลึกของตัวเอง
ไม่ว่ายังไง ..กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ...ก็เลยพากันเดินไปหามื้อเช้ากันก่อน รู้กันแล้วว่า เมืองมะละกานี้เป็นเมื่องท่ามาแต่เก่าก่อน มีวัฒนธรรมหลากหลายเชื้อชาติและศาสนา ดังนั้น ..การทำความรู้จักกับเมืองนี้ ก็น่าจะทำความรู้จักกับอาหารการกินในครบถ้วน หลังจากที่ไปเดินชมวิถึชีวิตและศึกษาอดีตในพิพิัธภ้ัณฑ์มาแล้ว
อาหารแบบมาเลย์กินแล้ว อาหารแบบจีนก็กินแล้ว อาหารฝรั่งมันธรรมดาไป ไม่ต้องกินก็ได้ อาหารชาวนนยา ก็ลองแล้ว (แค่ขนมหวานก็ถือว่าลองแล้วล่ะ) เหลือแต่อาหารแขก ที่ยังไม่ได้ลิ้มลอง ดังนั้น ร้านอาหารอินเดียชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า ที่เราเดินผ่านมา 2 วันแล้ว จึงเป็นร้านที่เลือกสำหรับเช้าวันสุดท้าย ...
ร้านนี้เป็นร้านอาหารแบบ 24 ชั่วโมงเลยล่ะ (แมคโดนัลที่นี่ก็มีแบบ 24 ชม.ด้วยเช่นกัน) สังเกตดูชาวบ้านที่นั่งหม่ำกันอยู่ ..ไม่รู้จะเลือกอะไร พนักงานก็เดินไปเดินมา ไม่สนใจพวกเราเลย กลัวจะไม่ได้กิน ก็เลยต้องเดินไปมองดูที่หน้าเคาน์เตอร์พ่อครัวเลย ... ดูภาพอาหารที่ติดไว้ ดูเมนู จากนั้นเรา 2 คนก็จิ้มมาได้ 3 อย่าง แล้วก็กลับมานั่งรอที่โต๊ะ สั่ง Teh เป็นเครื่องดื่มร้อนๆ มาละเลียด
ไม่นานนัก อาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ ...จานแรก ไข่ทอดชีสกับมันฝรั่งทอด >> นี่มันอาหารฝรั่ง ฉันจะสั่งมาทำไมเนี่ย อีกจานเพื่อนเราสั่งมา ..ชื่ออะไรจอห์นๆ ไม่รู้ จำไม่ได้ หน้าตาประหลาดมาก ไม่รู้ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือหวาน เพราะมีขนมปังรองด้านล่าง มีผักผลไม้ และมีไอศกรีม วางมาด้วย สุดท้าย ..เป็นโรตีแผ่นบางๆ ตั้งมาเป็นกระโจมเลยล่ะ ... แล้วจะกินกันหมดมั๊ย ?? ระหว่างนั่งละเลียดกันอยู่ 2 คน เพื่อนอีกคนเดินผ่านมาพอดี ...ก็เลยเรียกให้มาช่วยกันกินหน่อย คือจริงๆ แล้ว ก็ตั้งใจจะสั่งอาหารหนัก แบบแกงกะหรี่หรืออะไรประมาณนั้น แต่ตัวเรานั้น ไม่เคยกินอาหารหนักๆ ในยามเช้าขนาดนี้ ส่วนเพื่อนเราอ่ะกินได้ แต่ว่าดันมีแต่เนื้อวัวที่คุณเธอไม่กินซะนี่ ก็เลยได้อาหารเช้าที่ดูแปลกตา ..แต่ก็อิ่มและอร่อย (แบบแปลก)
เติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตัวใครตัวมันค่ะ แยกกันตามอัธยาศัย เราขึ้นเนินเซนต์ปอลล์อีกรอบ ..ขอเก็บบรรยายกาศช่วงเช้าบ้าง
ลงจากเขา ก็แวะเข้าสำนักงานท่องเที่ยว (ควรจะเข้าตั้งแต่วันแรกแล้ว) ..ได้เอกสารติดมือกลับมาอีกหน่อย แล้วเลยขึ้นไปดูป้อมปืนใหญ่ ข้างๆ กัน
มองไปฝั่งตรงข้ามแม่น้ำมะละกา ก็จะเป็นตึกแถวเก่าอยู่ริมน้ำ บรรดานักท่องเที่ยวที่ล่องเรือ ก็คงได้เห็นภาพแบบนี้เช่นกัน
เราก็อยากเห็นบ้าง แต่ไม่อยากเสียเงิน 20 ริงกิต และเกรงว่าจะกินเวลาไปมาก ก็เลยต้องข้ามสะพานแล้วไปเดินชมซะเอง
ย้อนกลับมาที่สำนักงานท่องเที่ยวอีกรอบ ..เพื่อเก็บภาพดอกไม้ประจำชาติ
จากนั้นก็รีบจ้ำไปจ่ายเิงิน 3 ริงกิตเข้าชมพิพิธภัณฑ์บนอาคารรูปเรือจำลองที่เล็งตั้งแต่มาถึงวันแรก
พิพิธภัณฑ์การเดินเรือทะเล : Maritime Museum เรือลำนี้จำลองขึ้นตามแบบเรือฟลอราเดอลามาร์ (The Flora De La Mar) ของโปรตุเกส ที่อัลกูเบิร์กใช้ขนทรัพย์สมบัติอันมีค่าจากพระราชวังสุลต่าลมะละกา พร้อมหญิงสาวชาวมลายูหลายสิบคน ที่มีฝึมือเชี่ยวชาญการเย็บปักถักร้อยและการร่ายรำ ลงเรือสำเภาลำนี้ในวันที่ 20 มกราคม 1512 ทว่าหลังจากเดินทางออกจากฝั่งได้เพียง 6 วัน เรื่อที่บรรทุกเกิดพิกัดนี้ ก็ล่มลงที่นอกชายฝั่งของเกาะสุมาตรา แม้ว่าอัลบูเกิร์กสามารถขึ้นฝั่งได้โดยปลอดภัย แต่ทรัพย์สมบัติก็จงลงสู่ใต้พื้นมหาสมุทรเสียสิ้น
เรือจำลองมีขนาดเทียบเท่าของจริงคือ ยาว 36 เมตร สูง 34 เมตร กว้าง 8 เมตร บนเรือมีอุปกรณ์การเดินเรือแบบของจริง พร้อมจัดแสดงวิถีชิวิตของกะลาสีเรือ โดยใช้หุ่นจำลองและแผ่นนิทรรศการเล่าประวัติความสำคัญของช่องแคบมะละกาและเส้นทางการเดินเรือ จัดแสดงอุปกรณ์เครื่องใช้ประจำเรือ เช่น กล้องส่องทางไกล เข็มทิศ เรือสำเภาจำลองของชาติต่างๆ ที่เดินทางเข้ามาค้าขายในภูมิภาคนี้
อาคารข้างๆ กันจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติการเดินเรือของโลก ประวัตินักเดินเรือคนสำคัญ ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ยังชีพบนเรือ ไม่ใช่นิทรรศการแบบ "แห้ง" ซะทีเดียว
ก็ขอสรุปไว้ตรงนี้เลยว่า เมืองมะละกา เหมาะกับนักท่องเที่ยวผู้แสวงหาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ต้องการชม "ของเก่า" จากประวัติศาสตร์ทั้งหมดทีเดียว แต่มีสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ตามประวัติศาสตร์ให้ศึกษาเรียนรู้อย่างเป็นระบบ วิธีการจัดแสดงและลำดับเรื่องราวในแต่ละพิพิธภัณฑ์นั้น ทำได้ดีมากเลยทีเดียว เราอาจติบ้าง เพราะความที่เราได้เห็น "ของเก่า" จริงๆ มาแล้วจากพิพิธภัณฑ์ของไทย แต่การนำเสนอแบบพิพิธภัณฑ์ไทยนั้น ไม่ค่อยเล่าเรื่องประกอบสิ่งจัดแสดง มันก็เลยรับรู้ประวัติศาสตร์แบบกระท่อนกระแท่นไปบ้าง ... แต่เท่าที่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์ในระยะหลังๆ มานี้ (รวมทั้งพิพิธภัณฑ์เอกชน) ก็เห็นการพัฒนารูปแบบ และการนำเสนอที่ชวนให้ศึกษาค้นคว้ามากขึ้น
หมดเวลาสำหรับการเรียนรู้ที่เมืองมะละกาแล้ว 2 วันครึ่งนับว่ามากและเพียงพอต่อการเรียนรู้แล้วล่ะ แม้ว่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวนอกตัวเมืองเก่าออกไปอีก แต่นั่นก็เป็นการเที่ยวชมเชิงนิเวศแล้วล่ะ เราไม่มีเวลาอีกแล้ว ...คงต้องอำลา "มะละกา เมืองมรดกโลก" ไว้แต่เีพียงเท่านี้
แต่ว่าการเดินทางของเรายังไม่จบนะ ...
โปรดติดตามตอนต่อไป (คาดว่าจะเป็นตอนจบ)
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 22:21:56 น. |
|
6 comments
|
Counter : 1598 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:49:22 น. |
|
โดย: JewNid วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:0:45:19 น. |
|
โดย: ตา (ta/'o-o/' ) วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:2:07:44 น. |
|
โดย: โมกสีเงิน วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:9:16:53 น. |
|
โดย: weissbier วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:26:30 น. |
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:31:31 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|
ปล.รูปประกอบสุดท้ายน่ะนางแบบที่ไหนน้อ