ที่เธอถาม >> ถนนสายนี้มีตะพาบ ก.ม.147
" แล้วพี่จะกลับมาไหม ?"
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคน 2557 เราจรดปากกาเขียนใบลาออก ฝ่าย HR ซักถามถึงสาเหตุ ว่ามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานคนใด หรือมีปัญหาคับข้องใจกับผู้จัดการแผนกคนใหม่ หรืองานหนัก หรือเหนื่อยหน่ายในเรื่องไหน ซึ่งเราก็บอกไปแล้วว่า ไม่เคยมีปัญหากับใคร ไม่ว่าเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย ว่ากันตามจริง ใจเรามันคิดแย้งกับนโยบายการบริหารของเจ้าของซะมากกว่า แล้วเราก็ยืนยันที่จะ "ไป เมื่อสิ้นปี"
ต้นธันวาคม 2557 ฝ่าย HR ถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง เราก็ยืนยันที่คำตอบเดิม ... และเดินจากมาเมื่อสิ้นสุดการทำงานวันสุดท้ายในเดือนธันวาคม
ในช่วงปี 2558 เรากลับมาสู่การทำงานประจำอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ในขณะเดียวกัน ก็ยังได้รับการติดต่อเรื่องการงานจากน้องๆ ในแผนก ได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของที่ทำงานจากภายนอกตลอดเวลา ได้คุย ได้ฟัง และได้เมาท์มอย กับเพื่อนร่วมงานเดิม ทั้งนัดเจอกัน ทั้งไลน์คุยกัน ทั้งติดตามสเตตัสผ่านเฟซบุ๊ค
เพราะความผูกพันกับคนและสถานที่ ทำให้เราเหมือนจะวนเวียนอยู่ในที่เดิม
สำหรับที่ทำงานใหม่ บริษัทเล็กกว่า สวัสดิการก็น้อย เงินเดือนก็น้อยลง เพื่อนร่วมงานก็น้อยลง เนื่องจากโครงการก่อสร้างยังไม่เรียบร้อย อยู่ระหว่างเร่งการขาย ทำให้เรายังไม่ได้ทำงานในด้านที่ถนัดอย่างเต็มที่ แต่อยู่ในส่วนช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง รวมทั้งนำความรู้เดิม มาตระเตรียมไว้ หวังจะได้พร้อมใช้ เมื่อโครงการเปิดเต็มตัว
ที่พบเห็นจากบริษัทนี้ ก็ยังมีเรื่องการแบ่งฝ่าย เช่นกัน และที่รู้สึกว่า น่าจะเป็นปัญหาต่อไป ก็คือ เจ้านายใจดีเกินไป แล้วก็ยัง ใช้เงินแบบไม่แยกแยะ ทั้งเงินบริษัท ทั้งเงินส่วนตัว ปนกันมั่วไป พนักงานที่ทำงานอยู่ ก็ไม่ได้รูสึก รู้จริงในสายงานที่ตัวรับผิดชอบ จึงไม่สามารถแนะนำอะไรที่ถูก ที่ควรแก่เจ้านายได้
กลางเดือนมกราคม 2559
น้องฝ่าย HR เคาะเรียกถามเบอร์โทรศัพท์ผ่านเฟซบุ๊ค แมสเซนเจอร์ วันถัดมา น้องในทีมงานเดิม โทรมานัดกินข้าว เราก็ตะหงิดในใจแล้วว่า มันต้องมีอะไรซักอย่างแน่ๆ เพราะข่าวคราวที่รับรู้มา คือ หลังจากที่เราออกมาแล้ว แผนกนั้นเปลี่ยนคนทำงานเป็นว่าเล่น ..เปลี่ยนกระทั่งผู้จัดการ แล้วก็ไม่เห็นมีงานออกสู่สาธารณชนมากนัก
พอไปกินข้าวกัน ...น้องไม่พูดอะไร ถามแค่ว่า พี่จะกลับมาทำงานกับหนูมั๊ย? แล้วก็ไม่มีข้อมูลซัพพอร์ตอะไร ...ซึ่งก็ถูกแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่น้องจะเป็นคนพูด
ถัดมาอีกวันฝ่าย HR จึงโทรมาคุย ...ขอเชิญไปพบปะและลองพูดคุยกับผู้จัดการคนใหม่ ทาบทาม ถามไถ่ เรื่องเงินเดือน และเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงบางเรื่องให้ทราบไว้ เพราะอยากให้เรากลับไปทำงาน ในตำแหน่งเดิม แต่รับเงินดือนสูงขึ้นกว่าเดิม
เอาล่ะ ...เราก็อยากรู้อยากเห็นอ่ะนะ เลยรับนัด ไปฟังข้อเสนอซะหน่อย
พอเจอหนัากัน น้องก็ถามอีกว่า "พี่จะกลับมาไหม?"
ตอนนี้ เราได้คุยกับคนที่จะเป็นหัวหน้างาน (ถ้าเราตอบรับกลับมาทำงาน) ได้ฟังการหว่านล้อม ชักชวน แกมขอร้องจากฝ่าย HR และน้องในทีม
แต่ว่า ...เรายังไม่คำตอบใดๆ ให้ ขอเวลาให้ได้คุยกับที่ทำงานปัจจุบันซะก่อน เรามีสัญญาใจต่อกัน เราชอบอัธยาศัยและวิสัยทัศน์ของเจ้านายคนนี้ ติดแค่เรื่องเดียวคือการบริหารเงินของเขานั่นแหละ ที่ทำให้เรารู้สึก "ไม่มั่นคง"
ส่วนทางที่ทำงานเดิม ก็ติดอยู่ตรงที่ว่า เรารู้สไตล์ของเจ้าของแล้ว เชือว่าตัวเองวิเคราะห์ได้ถูกซะด้วย แล้วการจัดการคนที่ไม่ต้องการของเขา ...ก็ออกแนวฉับพลันทันที การกลับมาร่วมงานอีกครั้ง โดยมีความคาดหวังว่า เราจะทำได้นั้น มันทำให้รู้สึก "หนักที่บ่า" ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม แล้วยังเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยกันมาแต่แรกเริ่ม ...จะคิด จะมอง อย่างไร พวกเด็กใหม่ๆ ไม่ห่วงหรอก เราเชื่อว่าเราปรับตัวเข้ากันได้
คำถามที่เธอถาม ...เราจึงยังไม่มีคำตอบ จนถึงตอนนี้ เราก็ยังตอบไม่ได้
กลับ หรือ ไม่กลับ
ขอเวลาให้ได้คุยกับเจ้านายทางนี้ก่อนนะ ...จะชั่งน้ำหนัก มีคนแนะนำว่า ... นี่คือเวลา อัพค่าตัว แต่อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมันอยู่ที่ "ใจ" จะแบกรับความคาดหวังจากที่ไหน ก็ต้องตัดสินใจให้เหมาะ
พอมาถึงตอนนี้ เราคิดขึ้นมาได้ว่า
ชีวิต ...มีทางแยก ให้เลือก หากเลือกผิด ก็แค่กลับตัวใหม่ เท่านั้นเอง
-------------------------------------------------------------------------
ไม่ได้ร่วมเขียนงานตะพาบมานานมากแล้ว รอบนี้โจทย์ มาได้ตรงใจ กับเรื่องที่อยากบันทึกไว้
"ที่เธอถาม" ...ตอนนี้ ยังไม่มีคำตอบให้หรอกนะ หรือว่า มีแล้วในใจ ...แต่รอการเปรียบเทียบ เราก็บอกไม่ได้ ...รู้แต่ว่า ยังไม่ถึงกำหนดนัดหมาย ก็ยังไม่ตอบ ..นะ
เพื่อนคนไหน ...มีคำแนะนำ ..วานช่วยตอบด้วยนะ
Create Date : 24 มกราคม 2559 |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2559 20:28:37 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1467 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาเก็บลิ้งค์ทันทีครับ