|
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
|
|
|
|
|
|
|
|
MUJI : When brand is no brand
เป็นคนชอบ MUJI ในความเรียบง่ายของสินค้า (แต่ไม่ค่อยใช้ของๆเขาหรอกนะ มันแพงน่ะ แหะๆ) แต่ที่ชอบมากกว่าคือความคิด “No-Brand” ของเขานี่แหละ คิดได้ไง Brand ของฉันคือความไม่มี Brand แม้แต่คำว่า “MUJI” (無印良品, Mujirushi Ryōhin) ยังแปลเป็นไทยได้ว่า “ไม่มียี่ห้อ แต่มีคุณภาพ”
โดยปกติคำว่า Brand มันไม่ใช่เพียงแค่เครื่องหมายการค้า (Trademark) หรือ โลโก้ (Logo) แต่ Brand มันเป็นความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของคนๆหนึ่งที่มีต่อทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Brand นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือแม้กระทั่งบุคลิกของคนที่ใช้ Brand นั้นๆ ซึ่งแน่นอนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
จริงๆคงต้องบอกว่า MUJI น่ะมี Brand แต่ความเป็น Brand ของ MUJI คือ “No Brand” คือคนจะรู้ว่า MUJI เป็น Brand ที่ไม่มีการใช้เครื่องหมายการค้า (Trademark) บนตัวสินค้าของตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ก็รู้ว่า MUJIเป็นสินค้าเรียบๆแนว Minimalism หรือ Bauhaus ดูแล้วรู้ทันทีว่านี่ของ MUJI นะ ตัวสินค้าเองจะไม่หวือหวาแต่เน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอย วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นวัสดุ Recycle แล้วก็ไม่ค่อยโฆษณาเลยคนใช้ก็พวกชอบของเรียบๆแต่เก๋ อนุรักษ์ธรรมชาติหน่อย ซึ่งนี่แหละคือความเป็น Brand จริงๆของ MUJI จะว่าไปก็เข้ากับแนวคิดเซน (Zen) ของชาวญี่ปุ่นเหมือนกันนะ
สินค้าของ MUJI ดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาได้ก็เพราะปากต่อปากว่าสินค้าของ MUJI คุณภาพค่อนข้างดี ราคาไม่แพงนัก (ในต่างประเทศ) ที่สำคัญเลยก็คือ หลายๆคนชอบคำว่า “No-Brand” น่ะสิ ไอ้ความ “No-Brand” นี่แหละ ทำให้มันแตกต่างจากสินค้าอื่นๆในท้องตลาด หลายคนอาจจะเคยคิดว่าทำไมต้องมี Logo เยอะแยะบนของที่เราใช้ด้วยล่ะ ว่าไหม? ช่องว่างตรงนี้แหละ MUJI ถมมันจนเต็มเลย การคิดสองตลบแบบนี้มันน่าสนใจดีนะ
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 9:24:57 น. |
Counter : 1648 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ป้าจะอิ๊บ (jipnaja ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:11:02:21 น. |
|
โดย: รักมุจิด้วยคนค่ะ IP: 125.25.46.183 วันที่: 6 สิงหาคม 2552 เวลา:16:41:18 น. |
|
| |
|
blue_dahlia |
|
|
|
|