|
|||
จตุธาตุววัตถาน "จตุธาตุววัตถาน" ได้แก่ การกำหนดธาตุ ๔ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อันมีอยู่ในกายของตน โดยกำหนดเอาว่า 🥔 สิ่งที่มีลักษณะแข็งในร่างกาย 💧 สิ่งที่มีลักษณะซึมซาบ/เหลวในร่างกาย 🔥 สิ่งที่มีลักษณะอบอุ่นในร่างกาย 🌪 สิ่งที่มีลักษณะเบา/เคลื่อนไหวได้ในร่างกาย กำหนดให้มองเห็นสิ่งนั้นๆชัดเจน จนเห็นชัดในใจว่า กายนี้เต็มไปด้วยธาตุทั้ง ๔ หรือเป็น กลุ่มธาตุทั้ง ๔ แล้วกำหนดสิ่งที่มีลักษณะเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ในภายนอกที่มาสัมผัสเข้ากับกายนี้ หรือที่เราต้องกินดื่มใช้สอยอยู่ทุกวันนั้นว่า เป็นแต่ธาตุทั้งสิ้น ในขณะที่ระลึกถึงธาตุทั้ง ๔ นั้น ความเข้าใจเรื่อง “ข้าพเจ้า” “ของข้าพเจ้า” “ผู้ชาย” “ผู้หญิง” จะหมดไป จิตจะตั้งมั่นในความคิดที่ว่ามีเฉพาะธาตุ ๔ เท่านั้น ไม่มีความรู้สึกทางอายตนะ ไม่มีความเป็นอยู่ที่แท้จริง กายที่มีธาตุ ๔ เป็นอารมณ์ อารมณ์นี้เป็นอารมณ์ที่มีความคิด เรื่องธรรมชาติของธาตุ ๔ ตามที่ปรากฏเป็นจุดยึด ในขณะเจริญภาวนาด้วยจิตที่พิจารณาธาตุทั้ง ๔ สมาธิย่อมเกิดขึ้น แต่สมาธิจะไม่สูงเกินกว่าอุปจารสมาธิ จิตที่มีสมาธิเช่นนี้ย่อมยึดธรรมชาติของธาตุชนิดต่างๆ เป็นส่วนประกอบอันเดียวกัน และหลังจากนั้นจะนำไปสู่ปัญญาอันสมบูรณ์ สำหรับผู้มีสติปัญญาไม่เฉียบแหลมในพระสูตรเหล่านี้ ท่านอธิบายธาตุแต่ละอย่างไว้ ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะภายใน และ ลักษณะภายนอก ใน ๒ อย่างนี้ ธาตุ ๔ ของแต่ละบุคคลแบ่งออกเป็น ๔๒ ลักษณะ คือ 🥔ธาตุดินมี ๒๐ ได้แก่ส่วนของร่างกายที่แข็ง เริ่มต้นด้วยผมบนศีรษะ และลงท้ายด้วยอุจจาระ 💧ธาตุนํ้ามี ๑๒ ได้แก่ ส่วนที่เหลว เริ่มจากน้ำดี และลงท้ายด้วยนํ้าปัสสาวะ 🔥ธาตุไฟมี ๔ คือ ความร้อนที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ความร้อนที่เกิดจากความแก่ ความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ และความร้อนจากการย่อย 🌪ธาตุลมมี ๖ ได้แก่ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องล่าง ลมในท้อง ลมในไส้ ลมที่ช่วยให้มีการเคลื่อนไหวของแขนขา ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ธาตุ ๔ อย่าง ของแต่ละบุคคล เรียกว่า “มหาธาตุ” จุดมุ่งหมายสำคัญของสมาธินี้ก็คือ 1)การทำจิตให้เป็นอิสระ จากความสำคัญว่ามีตัวตนในแต่ละบุคคล 2)เพื่อเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งธรรมชาติอันเป็นพื้นฐานของร่างกาย โดยไม่คิดเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล พระสาวกควรหลีกเลี่ยงไปอยู่ ณ ที่
ที่เหมาะสมและที่วิเวก และเจริญกรรมฐานข้อนี้เป็น ๔ แนว ดังนี้ ๑ พิจารณา ส่วนประกอบของธาตุ ๔ โดยวิธีสงเคราะห์ (รวบรวม) ๒ พิจารณา ส่วนประกอบ ของธาตุ ๔ โดยวิธีวิเคราะห์ (แยกแยะ) ๓ พิจารณา ลักษณะ ของธาตุ ๔ โดยวิธีสงเคราะห์ (รวบรวม) ๔ พิจารณา ลักษณะของธาตุ ๔ โดยวิธีวิเคราะห์ (แยกแยะ) เมื่อดำเนินการตามวิธีที่ ๑ ใน ๔ วิธีข้างบนนี้ ธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานของร่างกายย่อมปรากฎขึ้น และขจัดเสียซึ่งความคิดเรื่องตัวตน ในขณะที่ส่งจิตไปจดจ่ออยู่กับธาตุ ๔ อย่าง ในลักษณะไม่ขาดสาย อุปจารฌานย่อมเกิดขึ้น ถ้าอารมณ์กรรมฐานไม่ประจักษ์แจ้ง พระสาวกควรพิจารณาธาตุทั้ง ๔ วิเคราะห์ และแบ่งส่วนประกอบของธาตุเหล่านั้น เกี่ยวกับธาตุ ๒ อย่างแรก ควรพิจารณาอาการ ๓๒ ในร่างกายตามที่กล่าวแล้ว ในตอนที่ว่าด้วยกายคตาสติกรรมฐาน กำหนดว่าแต่ละส่วนไม่มีวิญญาณ และไม่มีบุคคลตัวตนที่แท้จริง โดยทำนองเดียวกัน ควรวิเคราะห์และพิจารณาส่วนประกอบของธาตุ ๒ อย่างที่เหลือว่าปราศจากวิญญาณ และไม่มีความเป็นบุคคลตัวตนที่แท้จริง เป็นเพียงธาตุที่ประกอบกันเป็นร่างกายเท่านั้น ในขณะที่ตั้งจิตกำหนดเช่นนี้ ลักษณะของธาตุตามธรรมชาติย่อมปรากฎในตัวมันเอง และจิตก็จะเข้าสู่อุปจารฌาน ::: อ่านเพิ่มเติม ::: //thaibuddhistmeditation.blogspot.com/2016/10/blog-post_83.html?m=1 โดย: สมาชิกหมายเลข 6217887 วันที่: 20 มกราคม 2564 เวลา:12:41:54 น.
|
สมาชิกหมายเลข 6217887
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ธาตุที่ ๕ ได้แก่ อากาศ
ซึ่งมี ๒ ลักษณะ
คือเป็นของบุคคล และ ไม่ใช่ของบุคคล
คำว่าอากาศสำหรับบุคคล
ใช้กับอวัยวะที่มีช่องว่าง
เช่น ปาก รูจมูก หู เป็นต้น
ซึ่งเรียกว่า อุปาทารูป
ซึ่งสร้างขึ้นโดย
ส่วนประกอบของธาตุ ๔
อย่างอื่น
หรืออาศัยส่วนประกอบของธาตุ ๔ อย่างอื่น
ข้อนี้รวมถึงช่องว่างระหว่างส่วน ๒ ส่วนของร่างกายด้วย
ซึ่งเรียกว่า ปริจเฉทรูป
ได้แก่
ช่องว่างโดยรอบหรือส่วนแยกของรูป
ที่มองเห็นธาตุ ๔ หรือธาตุ ๕ เหล่านี้
ท่านให้ไว้เพื่อเป็นอารมณ์กรรมฐานประเภทหนึ่ง
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับอรูปกรรมกรรมฐาน
ในธาตุวิภังคสูตร
ท่านกล่าวอธิบายธาตุไว้ ๖
ธาตุที่ ๖ เป็นวิญญาณธาตุ
ซึ่งท่านกำหนดให้เป็นอารมณ์กรรมฐานที่ว่าด้วยอรูปกรรมฐาน