หลังจากที่โครงการที่เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์อย่าง มหานคร เปิดตัวเมื่อปี 2552 คนจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับดีเวลลอปเปอร์ระดับไฮเอนด์อย่าง เพซ ดีเวลลอปเมนท์ ที่กำลังจะกลายเป็นดีเวลลอปเปอร์ป้ายแดงในตลาดหลักทรัพย์ช่วงกลางปีหน้า มาถึงวันนี้เมื่อความคืบหน้าของโครงการที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของใจกลางมหานคร ด้วยความสูงที่ทำลายสถิติตึกที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ อย่างใบหยก ทาวเวอร์ ที่ 314 เมตรเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว วันนี้
DDproperty.com ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารหนุ่ม สรพจน์ เตชะไกรศรี กูรูแห่งอสังหาริมทรัพย์ตลาดไฮเอนด์กับ 5 คำถามที่เชื่อว่าหลายๆ คนอยากค้นหาคำตอบ
ความคืบหน้าของโครงการมหานครในปัจจุบันเป็นอย่างไร?
โครงการมหานคร ประกอบด้วย 2 อาคารด้วยกัน คืออาคารที่เป็นส่วนของเรสซิเดนซ์และโรงแรม ซึ่งปัจจุบันวางเสาเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินงานใต้ดิน โดยส่วนที่เป็นสำนักงานขายจะถูกรื้อออกหลังจากที่ตัวตึกสร้างเสร็จเพื่อทำเป็นลานอเนกประสงค์ให้คนเข้ามานั่งพักผ่อน ในขณะที่อาคารรีเทล 7 ชั้นด้านหน้าความคืบหน้าของการก่อสร้างมีมากกว่า 55% แล้วและจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2556 ส่วนกำหนดการแล้วเสร็จของโครงการมหานครทั้งโครงการจะอยู่ในช่วงกลางปี 2558
เหตุใด เพซฯ จึงเลือกที่จะพัฒนาแต่โครงการในระดับไฮเอนด์เท่านั้น?
เรามองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดระดับนี้ยังมีไม่มาก จำนวนโครงการและจำนวนยูนิตก็ยังไม่เยอะเท่าในเซคเตอร์อื่นๆ อีกทั้งยังเป็นนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดไฮเอนด์ ผนวกกับความชอบส่วนตัวของผมเองที่ต้องการพัฒนาโครงการที่มีการออกแบบน่าสนใจและมีคุณภาพ ซึ่งก็มีแต่โปรดักส์ในระดับนี้เท่านั้นที่เปิดโอกาสให้เราได้คิดอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ
มองตลาดอสังหาฯ ลักซ์ชัวรี่ในเมืองไทยอย่างไร เมื่อเทียบกับตลาดในประเทศเพื่อนบ้านและแถบเอเชีย?
อย่างที่บอกว่าในเมืองไทยตลาดในเซคเตอร์นี้ยังมีคนทำไม่เยอะ ปริมาณซัพพลายในตลาดที่น่าจะมีมากกว่านี้แต่กลับชะลอตัวเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาส่งผลให้โครงการใหม่ๆ ที่มีแผนจะเปิดตัวกลับชะลอออกไป ถ้าดูถึงความสมดุลของซัพพลายและดีมานด์ ผมมองว่าซัพพลายคอนโดฯ ที่ราคา 200,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปยังมีอยู่ไม่มาก ดังนั้นตลาดระดับนี้ยังไงก็ยังช่องให้โตได้อีก
เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน ถ้าไม่นับสิงคโปร์ ถือว่าโปรดักส์ของไทยอยู่ในระดับดีสุด ส่วนสิงคโปร์คงต้องยกให้เขาเพราะพัฒนานำเราไปค่อนข้างไกล ทั้งในเรื่องของคุณภาพและราคา จนน่าจะเกือบถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ในขณะที่โปรดักส์ไฮเอนด์ของเราถือว่ายังอยู่ในจุดเริ่มต้นและยังมีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้อีก ถ้าจะให้มองประเทศที่ใกล้เคียงกับเราน่าจะเป็นมาเลเซียที่ราคาแพงสุดในตลาดบนใกล้เคียงกันมาก เช่นเดียวกับเรื่องของคุณภาพ
อะไรคือซิกเนเจอร์ของโครงการที่อยู่อาศัยจากเพซฯ?
อย่างแรกเลยคือ คุณภาพ ของตัวโครงการที่ จับต้องได้ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ประการที่สองเป็นเรื่องของการออกแบบที่มีการนำ นวัตรกรรม ใหม่ๆ เข้ามาผสมผสาน ซึ่งดูได้จากแต่ละโครงการที่ผ่านมาของเราซึ่งค่อนข้างที่จะแตกต่างจากคอนโดฯ หรือตึกอื่นๆ ทั่วไป เราพยายามที่จะเสริมอะไรที่เราคิดว่าดีและดีกว่าของที่มีอยู่แล้ว นั่นคือความโดดเด่นที่ผมคิดว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเรา
มองว่าการเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) จะมีผลต่อตลาดอสังหาฯ ของไทยอย่างไร?
การเปิดตลาดจะทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อมากขึ้น ซึ่งชาวต่างชาติส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและสนใจสินค้าในระดับไฮเอนด์ ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันในตลาดระดับนี้สูงขึ้น โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ากรุงเทพฯ น่าจะได้รับประโยชน์มากกว่าเมืองอื่นๆ ด้วยความที่เป็นเมืองศูนย์กลางของประเทศ ในขณะที่ราคาของอสังหาฯ และคุณภาพแล้วผมคิดว่าเราน่าจะได้เปรียบกว่าประเทศเพื่อนบ้าน คงมีชาวต่างชาติที่สนใจจะมาซื้อเพื่ออยู่หรือซื้อเพื่อลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้จนถึงวันที่เราเข้าสู่ AEC อย่างเป็นทางการในปี 58 ผมมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยในระดับบนจะเติบโตได้ดี
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ