300 สิ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับ เจอราร์ด บัตเลอร์

เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันที่ช่วงระยะเวลาเพียงแค่สามเดือน ชาวไทยจะได้ดูหนังของ เจอราร์ด บัตเลอร์ ถึงสามเรื่อง นั้นก็คือ Gamer, The Ugly Truth (เข้า 9 ตุลาคม) และ Law Abiding Citizen (เข้า 16 ตุลาคม)

เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสองเรื่องแรก ผู้เขียนเลยไม่ขอพูดถึง แต่อยากจะเล่าเรื่อง Law Abiding Citizen รวมถึงแปลบทความของ เจอราร์ด บัตเลอร์ จากเอสไควร์ฉบับเดือนกันยายน มาให้เพื่อนๆได้อ่านกัน

***อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ Gerard Butler Interview @ Esquire ซึ่งผู้เขียนหยิบมาแปลแค่เสี้ยวเดียว (และต้นฉบับก็อ่านเพลินทีเดียวเชียว)

300 สิ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับ เจอราร์ด บัตเลอร์




ผมเกิดในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสก๊อตแลนด์ แต่ครอบครัวของผมย้ายไปยังเมืองเล็กๆชื่อ ไพรส์ลี่ย์ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตค๊อตตอน คนในเมืองกว่า 80 เปอร์เซ็นทำงานอยู่ในโรงงาน โดยในแต่ละเมืองล้วนต้องมีการพัฒนาหรือเสื่อมโทรม แต่เมืองที่ผมโตมานั้นอยู่ในสภาพไร้กาลเวลา เพราะมันไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ผมใช้เวลาในวัยเด็กส่วนมากในการเล่นเหมือนอยู่ในฉากหนัง เช่นขณะที่ผมเดินอยู่บนทางเท้า ผมก็จะแกล้งทำว่าตัวเองอยู่ในสงครามรบ ใช้วิทยุสื่อสารกับคนอื่น และทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ผมฝันว่าจะได้แสดงหนังจริงๆ และได้ใช้ชีวิตบนความเพ้อฝัน

ผมมีความฝันที่ทรงพลังแต่บางอันก็น่ากลัว เช่นฝันนึงที่ผมอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินแล้วก็มีรถไฟวิ่งไล่หลังมา ซึ่งก็ทำให้ผมตกใจกลัวจนลุกจากเตียง และพยายามปีนหน้าต่างออกไปจากห้องนอน โชคดีที่แม่ของผมดึงขาเอาไว้ได้ทัน ตอนนั้นผมคิดว่าหัวใจของตัวเองจะระเบิดเสียแล้ว แต่บางฝันมันก็มีความตื่นตาตื่นใจ เช่นการเล่นสเก็ตบอร์ดท่องไปทั่วจักรวาล ซึ่งเมื่อตื่นผมก็หวังว่า ตัวเองจะสามารถควบคุมความฝันเหล่านั้นได้ดั่งใจ

แต่ในที่สุดชีวิตของผมก็หักเลี้ยวจากด้านนึงไปสู่อีกด้าน ความฝันที่ผมวาดเอาไว้ในการมีอาชีพเป็นนักแสดง ทำให้ผมก้าวเข้าไปสู่ช่วงเวลาของความกดดันและหดหู่ ผมคิดว่านั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมอายุ 16 ปี เป็นเด็กที่โลกของตัวเองอยู่คนละฟากกับโลกของผู้สร้างภาพยนตร์ นอกจาก ฌอน คอนเนอรี่ แล้ว นักแสดงชาวสก๊อตก็คงไม่มีใครได้รับโอกาส




ผมละทิ้งความฝันนั้นไป และคิดว่าคงไม่สามารถเป็นนักแสดงได้ ผมจึงมุ่งหวังที่จะเป็นทนายความ ผมมาจากครอบครัวที่อยู่ระหว่างชนชั้นแรงงานและชนชั้นกลาง ดังนั้นการที่ผมจะสำเร็จการศึกษาในสาขากฏหมายนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดสำหรับตัวเอง และรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวของผมด้วย

คงเป็นเพราะผมทำสัญญาขายวิญญาณให้กับซาตานละมั้ง เพราะตั้งแต่สมัยที่อยู่ในโรงเรียนกฏหมายแล้ว ผมจับพลัดจับผลูได้เป็นประธานนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่ผมไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดในเรื่องเรียนด้วยซ้ำ ซึ่งมาคิดๆดูแล้วผใยังแปลกใจตัวเองเลยว่าจบการศึกษามาได้อย่างไร ถ้าเทียบกับแรงจูงใจที่ผมมีในการเรียน

แต่ก่อนเรียนจบหนึ่งปี ผมก็ตัดสินใจพักการเรียนเพื่อเดินทางไปหาประสบการณ์ที่อเมริกา และนั้นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มไร้การควบคุม มีความมืดหม่นอันน่าหลงไหล ผลิตพลังงานความสุขเข้ามาครอบงำร่างกายผม มันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตแบบสิ้นคิด ออกไปผจญภัย เที่ยวปาร์ตี้และผู้หญิง รวมถึงการเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งการอยู่ห่างจากบ้านโดยไม่มีกรอบ หรือระเบียบวินัยมาตั้งอยู่ด้านหน้า ทำให้ผมสามารถทำอะไรตามที่ใจคิดได้ และผมก็ทำมันซะทุกอย่างจริงๆ

ผมพักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ในไมอามี่ บีช กับชาวไอริชขี้เมาสามคน มันเจ๋งมาก พวกเราเมาหัวทิ่มกันทุกวัน ผมเริ่มทำงานแปลกๆ ผมทำงานอยู่ในละครสัตว์เร่ที่เดินทางไปโชว์ทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย ผมต้องขับรถจากแอลเอไปไมอามี่ และจากแอลเอไปชิคาโก ผมถูกจับด้วยข้อหาเมาแล้วขับนับไม่ถ้วน ชีวิตของผมไร้การควบคุม เพราะว่าใจในตอนนั้นยึดมั่นอยู่สิ่งเดียวนั้นก็คือ "ฉันยังเด็ก และนี้ก็คือการใช้ชีวิต" ในที่สุดผมก็ได้ไปนอนเล่นอยู่ในคุกแอลเอ โดยใส่กางเกงยีนส์ลีวาย 501 เสื้อหนังสีดำ ผมเผ้ายาวเฟื้อยและคิดว่าตัวเองคือ จอห์น มอร์ริสัน ผมถูกจับใส่กุญแจมือล่ามติดกับอีกผู้ชายแปดคนในห้องขัง ซึ่งในชณะนั้นผมยังดำรงตำแหน่งประธานนักเรียนอยู่ด้วยซ้ำ




หลังจากได้ลิ้มรสชีวิตด้านมืดแล้ว ผมจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาเรียนต่อ ซึ่งในปีนี้ผมต้องไปฝึกเป็นทนายความเพื่อจบ แต่กลับกลายเป็นว่าบริษัทที่ผมหวังเอาไว้ก็ไม่เปิดรับสมัครแล้ว นอกจากบริษัทเดียวที่มีคนเข้ามาขอฝึกกว่า 200 คน และพวกเขาก็รับเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น

อย่างไรก็ตามผมได้งานนั้นมา แต่เมื่อใส่สูทผูกไทผมก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ความสุขอย่างที่สุด มันมีบางสิ่งในการทำงาน บางสิ่งที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งถ้าผมไม่ทำให้ทุกอย่างพังทลายละก็ ผมก็คงไม่ได้มาพูดคุยอยู่ตรงนี้แน่ๆ ผมอาจจะเป็นแค่ทนายความคนหนึ่ง ในสำนักงานกฎหมายเล็กๆที่สก๊อตแลนด์แน่นอน

ผมกลายเป็นแบดบอยในแวดวงสำนักงานกฎหมาย มันเป็นเรื่องยากที่ทนายฝึกงานจะถูกไล่ออก แต่พวกเขาก็หาทางไล่ผมออกก่อนที่จะฝึกจบเพียงหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งก่อนหน้าเหตุการณ์นั้นก็มี The Edinburgh Festival พอดี มันคือเทศกาลที่ยอดเยี่ยมมาก มีทั้งเดี่ยวไมโครโฟน, การแสดงดนตรี, การเต้นรำ และที่สำคัญที่สุดก็คือการดื่มฟรี เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยแสงสี

ผมเข้าไปดูละครเวทีเรื่อง Trainspotting โดยมีนักแสดงเพียงคนเดียวในฉาก เขาก้าวถอยหลังไปเพื่อบรรยาย และกระโดดออกมาเพื่อแสดง นักแสดงคนนั้นทำได้อย่างยอดเยี่ยม มันมีบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ชลัง แต่ผมกลับรู้สึกว่ากำลังตายจากด้านใน เพราะนี้คือชีวิตที่ผมอยากจะมี ผมพูดกับตัวเองว่า "ฉันทำมันได้ ฉันรู้ว่าตัวเองทำได้ เอ๊ะ แต่มันสายไปรึเปล่า ฉันอายุ 25 แล้ว โอกาสของฉันมันเลยผ่านไปแล้วไหม" ซึ่งอาทิตย์ต่อมาทางสำนักงานกฏหมาย ก็ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นด้วยการไล่ผมออก




ในที่สุดการกระทำไร้สติทั้งหลายของผมก็สิ้นสุดลง เมื่อผมตัดสินใจสารภาพกับแม่ถึงอนาคตในด้านกฏหมายที่ถูกปิดตาย ชีวิตของผมที่ผ่านมาได้สูญสลายไป เหลือเพียงแต่ความใฝ่ฝันในวัยเด็ก และมันก็ทำให้ผมมุ่งหน้าไปกรุงลอนดอน

ผมรู้จักผู้คัดเลือกนักแสดงคนหนึ่ง ที่ทำงานให้กับโรงละครเวทีเล็กๆ เธอเป็นคนที่พูดจาไม่อ้อมค้อม เธอบอกผมว่า "เพื่อนหลายคนของฉันพยายามเลือดตาแทบกระเด็น ในการส่งเสียตัวเองเพื่อเรียนในโรงเรียนการละคร แต่พอพวกเขาจบออกมาแล้วก็ไม่สามารถหางานได้"

แต่ก่อนที่จะมารู้จักเธอนั้น ผมทำงานเป็นเซลล์ขายของทางโทรศัพท์ ทำให้ผู้คนสนใจในคอมพิวเตอร์ที่ผมเองยังไม่รู้เลยว่าดียังไง ในที่สุดเธอคนนี้ก็ให้งานใหม่ให้กับผม ในการช่วยแจกบทภาพยนตร์ให้กับนักแสดง สำหรับละครเวทีของ สตีเว่น เบอร์คอฟฟ์ ซึ่งเป็นคนดังในแวดวงละครเวที และในที่สุดผมก็ได้เจอกับเขา ในร้านกาแฟขั้นล่างของโรงละคร ผมจึงเอ่ยปากถามเขาว่า "ผมอยากลองทดสอบบทนี้ครับ" เขาก็ตอบกลับมาว่า "เอาสิ"

ผมมอบทั้งร่างกายและจิตใจในการทดสอบบท ซึ่งหลังจากนั้นผู้คัดเลือกนักแสดงก็เดินเข้ามาหาผมแบบน้ำตาคลอเบ้า เธอบอกผมว่า "สตีเว่น บอกว่าคุณยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในการทดสอบบท" ผมเดินกลับบ้านโดยมีคำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในสมอง และนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม มันมีพลังงานที่โลดแล่นเริงร่าอยู่ในร่างกาย คุณที่ไม่สามารถทำให้มันดับมอดลงได้ ผมก้าวกระโดดจากคนแจกบท กลายมาเป็นนักแสดงนำในละครของ สตีเว่น เบอร์คอฟฟ์

และผมก็ได้ทำความฝันในวัยเด็กให้เป็นจริงเสียที...


เรื่องราวใน Law Abiding Citizen




เมื่อการปล้นบ้านกลายเป็นเหตุการณ์นองเลือด ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจะไม่หยุด เพื่อตามล้างแค้นทุกคนที่เกี่ยวข้อง Law Abiding Citizen ภาพยนตร์แอ็คชั่น-ทริลเลอร์ ผลงานจากผู้กำกับจาก The Italian Job ที่เข้าไปสำรวจความฟอนเฟะของความยุติธรรมจอมปลอม

ไคล์ด เชลตัน (เจอราร์ด บัตเลอร์) เป็นผู้ชายรักครอบครัวที่ลูกเมียถูกฆาตกรรมระหว่างการถูกปล้นบ้าน เมื่อฆาตกรทั้งสองถูกจับ นิค ไรซ์ (เจมี่ ฟ็อกซ์) อัยการเขตหนุ่มไฟแรงได้รับมอบหมายให้จัดการกับคดีนี้ นิค ได้เสนอให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งได้รับโทษสถานเบา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้การปรักปรำผู้ร่วมสมคบคิด

เวลาเลยผ่านไปสิบปี ผู้ต้องหาที่หลุดรอดไปจากการโทษฆาตกรรมถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ซึ่ง ไคล์ด ก็สารภาพและยอมมอบตัวแต่โดยดี แต่ภายหลังเขาก็ได้เอ่ยปากเตือน นิค ว่าให้เขาแก้ไขระบบกฏหมาย ที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องพบกับความตาย ไม่เช่นนั้นทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องชดใช้

ในไม่ช้า ไคล์ด ก็ได้ทำตามคำเตือน ด้วยแผนการลอบสังหารที่น่าทึ่งและอันตราย จากการชักใยอยู่หลังลูกกรงเหล็กที่ไม่สามารถคาดเดาหรือป้องกันได้ เมืองฟิลาเดลเฟียต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤต เมื่อเป้าหมายผู้มีอำนาจในเมืองถูกสังหารไปทีละคน โดยที่ทางการไม่สามารถยับยั้งความโกลาหลนี้ได้

มีเพียง นิค เท่านั้นที่จะหยุดเรื่องนี้ได้ และเพื่อที่จะทำมันเขาต้องพยายามเอาชนะอัจฉริยะอย่าง ไคล์ด ที่ความพลาดพลั้งเพียงนิดเดียวก็อาจหมายถึงความตาย และเมื่อครอบครัวของ นิค ตกอยู่ในอุ้งมือของ ไคล์ด เขาก็ยิ่งต้องดิ้นรนในการแก้ไขปริศนาจากคู่ต่อกร ที่มักเดินนำหน้าเขาอยู่หนึ่งก้าวเสมอ

Law Abiding Citizen เข้าฉายวันที่ 16 ตุลาคมนี้


Create Date : 03 ตุลาคม 2552
Last Update : 3 ตุลาคม 2552 21:44:58 น. 19 comments
Counter : 8916 Pageviews.

 
อ่านเพลินดีครับ ชีวิตเรานี่ก็มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้อยู่เหมือนกัน


โดย: McMurphy วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:21:24:59 น.  

 
ชอบคำวิจารณ์ด้านขวา มันอะไรที่ตรงที่สุด ไม่มากไม่น้อย


โดย: RageMachine วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:22:13:23 น.  

 


The Brothers Bloom

Rian Johnson (of Brick's fame) takes on Wes Anderson's style of filmmaking, perfect as quirky period love story (between Rachel Weisz & Adrien Brody), but disappointing as con games that they play and got played (this ain't no The Sting). Oh, and Rinko Kikuchi steals every scene she's in without saying a single word.

BloodyMonday Rating:

The Damned United

This is one character-driven film that feels small in scope, as it doesn’t emphasize much about football match, nor tell the story of any secondary characters. But that's what makes The Damned United so damn good, since you can just enjoy seeing Michael Sheen channels famous people (Tony Blair, David Frost, Brian Clough, he was brilliant in all of them). Not a cinematic masterpiece in any way, but an entertaining one.

BloodyMonday Rating:

Fighting

ไม่น่าเชื่อว่าพล็อตเก่าเน่าค้างปียังสามารถ สร้างความบันเทิงได้ ทั้งที่ฉากการต่อสู้ก็ได้ไม่ดีเด่อะไร ความรักของพระ-นางก็ขาดอารมณ์ร่วม บทสรุปก็ทำออกมาได้น่าผิดหวัง... สงสัยคงต้องยกความดีให้กับบทสนทนาที่ดูเอาใจใส่เป็นพิเศษ (ผกก. เคยสร้างเ...ซอร์ไพรซ์ มาแล้วกับ A Guide to Recognizing Your Saints) ซึ่งทำให้มันไม่ใช่แค่หนังผู้ชายตีกันแบบ Never Back Down แต่เป็นหนังมีพล็อตไม่ต่างจากหนังแผ่น แต่ถ้าตั้งใจดูจริงๆคุณก็อาจ "ได้" อะไรกลับไปบ้างไม่มากก็น้อย...

ปล. จะคอยดูว่า แชนนิ่ง เททั่ม จะเกาะกระแสหนุ่มฮ็อตไปได้นานแค่ไหน เพราะเท่าที่ดูมาแทบไม่เคยเห็นเขาเล่นดีสักเรื่องเลย (ยกเว้น A Guide to Recognizing Your Saints)

BloodyMonday Rating:


โดย: BloodyMonday วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:22:30:57 น.  

 
หล่ออ้ะ


โดย: สตีฟ แม็คมานานแล้ว วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:1:06:21 น.  

 

หน้าตาตลกแต่น่ารัก บุคลิกและแววตาแบดบอย
ส่วนผสมที่เกือบจะลงตัว


โดย: อออ (อั๊งอังอา ) วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:8:40:14 น.  

 

ไม่อ่ะ อิ่มน้ำตาขากเบรฟฮาร์ท ไม่ดูหนังลุงแกอีกเลย ออกจะเบื่อหน้าแกนะ


โดย: อั๊งอังอา วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:18:20:28 น.  

 

เขาใช้ชีวิตได้คุ้มจริงๆนะคะ
ไม่เสีย"ชาติ"เกิด จริงๆ
(ไม่เสียทีที่เกิดมาชีวิตหนึ่ง)
ขออภัยหยาบคาย
แต่แบบว่าหมายตรงดี..
เลือดไอริชนี่แรงๆกันเป็นส่วนใหญ่มังคะ!!!




แวะเอาของว่างมาส่ง
เผื่อว่าแกล้มดูบอล
นั่งดู Arsenal นำ Backburn ไปแล้ว 5-2

ตอนแรกๆยังสูสีอยู่เลยนะคะ



โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:21:12:15 น.  

 

อ้าว!! Scott ไม่ใช่ Irish


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:21:14:09 น.  

 
ยังไม่เข้าตาผมแฮะพ่อคนนี้ เท่าที่ได้ดูผลงานเค้ามา


โดย: เอกเช้า IP: 124.122.152.149 วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:22:08:45 น.  

 
^
^
ผมชอบเค้าจากเรื่องนี้นะ ^^



โดย: BloodyMonday วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:22:21:02 น.  

 
^
^
^
บลัดดี้ชอบผู้ชายอบอุ่น แต่ลุคก้าวร้าวเหรอค่ะเนี่ย55555+ รักนะจุ๊บๆ


โดย: มารีออง วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:23:18:51 น.  

 
5555+ แหมไม่ใช่ซักหน่อยยยย (แอ๊บแบ้ว) เขามาดูบลัดดี้ประจำ แต่ไม่ได้เม้นเพราะยังไม่ได้ดูหนังที่บลัดดี้อัพตะหากจิงๆนะฮะ ยูโน้วววว55


โดย: มารีออง(เอง) IP: 125.24.27.120 วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:23:56:04 น.  

 
คนสำเร็จต้องเดินผ่านช่วงชีวิตแบบนี้แทบทุกคนเลยนะครับ จากต่ำสุดสู่ความฝัน (แต่อ่านๆดูแล้วพี่แกก็น่าจะเก่งไม่เบาเป็นทุนอยู่แล้ว ^^)

ส่วน Law Abiding Citizen ได้ดูจากตัวอย่างผมนึกไปถึงตัวละคร Joker แห่งแบตแมนครับ 555+


โดย: Seam - C IP: 115.87.129.235 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:12:42:05 น.  

 
อู๊ย... เรื่องย่อ Law Abiding Citizen น่าดูมาก

ผมได้แผ่น The Damned United จากคนขายดีวีดีเจ้าประจำที่ยัดเยียดใส่มือแถมมาให้ (มิไยที่จะอ้อนวอนต่อรองว่าขอเป็นเรื่อง Duplicity ได้มั๊ย) เห็นเรตติ้งจากคุณบลัดดี้แล้วค่อยอยากดูขึ้นมาหน่อย

ส่วน Fighting เพิ่งได้แผ่นมาเมื่อวันเสาร์ ยังไม่ได้เปิดเลย มัวแต่ดู Watchmen แบบจริงๆจังๆ (ได้ดูบนรถบัสบริษัทไปทีแล้ว) พอตั้งใจดูก็รู้สึกสนุกกับมันมากๆ ชอบความเป็นกวีของ Rorschach กับความเข้าใจโลกของ The Comedian จริงๆ


โดย: แฟนผมฯ IP: 142.103.23.32, 202.134.119.218 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:17:48:39 น.  

 
ว่าจะดู The Ugly Truth ล่ะ


โดย: grappa วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:8:00:21 น.  

 
+ ใช่ครับ จากที่ได้ดูเจอราด บัตเลอร์แสดงมา ผมก็ชอบเค้าจากเรื่องเดียวกับคุณ Bd Md เลย คงเป็นเพราะบทของ Dear Frankie มันดีอยู่แล้ว แล้วหนังก็เป็นโทนอบอุ่นด้วยมั้งครับ เลยทำให้ดูน่าประทับใจกว่าเรื่องอื่นๆ

+ อืม ... อ่านประวัติจากบทสัมภาษณ์แล้ว ถือว่าเค้าเป็นอีกคนหนึ่งที่น่าชื่นชม และก็โชคดีมากๆ ที่ "โอกาสแห่งความฝัน" ลอยผ่านมา แล้วเค้าก็คว้าไว้ได้ทันท่วงที คงมีคนแค่กระหยิบมือเดียวบนโลกนี้มังครับ ที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักอ่า

+ มนุษย์ส่วนใหญ่ มันจะมีช่วงนึงที่เหมือนเป็น "ชีวิตทดลอง" ที่ต้องเอาตัวเองไปสัมผัสด้านมืด ... เพียงแต่มีแค่บางคนเท่านั้นที่จะหลุดรอดกลับออกมา (โดยอาจมี "บาดแผลชีวิต" ติดกลับออกมาด้วย มากบ้าง น้อยบ้าง) ไม่จมดิ่งลงไปในวังวนนั้น

+ พล็อตของ Law Abiding Citizen น่าดูเหมือนคุณแฟนผมฯ ว่าไว้เจงๆ ด้วย อีก 2 อาทิตย์เข้าชิมิครับ ผมคงไม่พลาด

+ The rebound จากด้านขวากับ 3 เรื่องใน #3 ก็น่าดูครับ (แต่รู้สึกจะเห็นรายชื่อเข้าฉายแค่ Brothers Bloom รึเปล่าเอ่ย?)


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 6 ตุลาคม 2552 เวลา:14:09:17 น.  

 
นับได้ 286 สิ่งเองแหละ....


โดย: Jotivator วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:0:51:40 น.  

 
จะว่าชอบก้อสุดๆเลย ตั้งแต่Gamerแระ

หน้าเข้ม ดูดีมาก เวลายิ้มหัวใจแทบละลายเลย

ทึ่งจิงๆอ่ะ ชอบที่สุดตรงหุ่นคุงเจอราร์ด บัตเลอร์ อ่ะ

ค่ะ รู้สึกชีวิตพี่เขามีรสชาติดีอ่ะนะ


โดย: เดฟฟี่ IP: 58.9.55.241 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:10:04:57 น.  

 
ไม่ว่าเค้าจะแสดงเป็นอะไร เค้าจะเป็นPhantomในใจของเราเสมอ


โดย: varinerin IP: 125.24.108.110 วันที่: 15 กรกฎาคม 2557 เวลา:20:06:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
3 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.