"Chloe: โคลอี้ ผู้หญิงซ่อนร้าย" ทำความรู้จักก่อนไปดู + บทสัมภาษณ์สามนักแสดงนำและผู้กำกับ



แคทธาลีน (จูลี่แอน มัวร์) แพทย์หญิงที่ประสบความสำเร็จ และ เดวิด (เลียม นีสัน) อาจารย์มหาวิทยาลัย ทั้งสองแต่งงานและใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งคู่มีหน้ามีตาในสังคมและมีลูกชายที่มีอนาคตบนเส้นทางดนตรี แต่แล้วภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสวยงามก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อ เดวิด ไม่ปรากฏตัวในงานวันเกิดของตัวเอง ซึ่งทำให้ แคทธารีน เริ่มสงสัยถึงความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว

เพื่อไขข้อข้องใจ แคทธาลีน ตัดสินใจจ้าง โคลอี้ (อาแมนด้า ไซเฟร็ด) เอสคอร์ทสาวให้มาล่อลวงสามีเพื่อทดสอบ แต่การทำงานของ โคลอี้ ในการล่อลวง เดวิด นั้น กลับทำให้ แคทธาลีน เดินเข้าสู่วังวนของกิเลสและตัณหา และค้นพบกับความรู้สึกที่ลืมเลือนไปอีกครั้ง แต่การเปิดประตูสู่เขตแดนอันต้องห้าม อาจทำให้ชีวิตของคนทั้งสามพบกับการพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต

Chole คือภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่บอกเล่าถึงความรักและการหลอกลวง ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ปี 2003 เรื่อง Natalie ของ แอน ฟองแต็ง ผู้กำกับหญิงชาวฝรั่งเศสชื่อดัง โดยเป็นการประชันกันของสามดาราชั้นนำอย่าง อแมนด้า ไซเฟร็ด ดาราสาวจาก Mamma Mia! และ Dear John, จูลี่แอนน์ มัวร์ นักแสดงที่เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 4 ครั้ง และ เลียม นีสัน ที่เพิ่งมีผลงานแอ็คชั่นสุดมันส์อย่าง Taken

Chloe เป็นผลงานของ อะตอม อีโกยัน ผู้กำกับหนังมือรางวัลชื่อดัง ที่ได้รับรางวัลจากเวทีการประกวดทั่วโลกมาแล้วกว่า 40 ครั้ง โดยมีผลงานเด่นอย่าง The Sweet Hereafter ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงถึงสองรางวัลออสการ์ และเขียนบทโดย อีริน เครสสิด้า วิลสัน ผู้สร้างชื่อจากการเขียนบทให้กับ Secretary หนังรักโรแมนติกอารมณ์แปลกใหม่ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลนักเขียนบทหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก Independent Spirit Awards




บทสัมภาษณ์ จูลีแอนน์ มัวร์ (รับบทเป็น แคทธาลีน)

ภาพยนตร์เรื่อง Chloe เกี่ยวกับอะไร
ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัว ตัวละครที่ฉันรับบท แคทธาลีน เป็นสูตินารีแพทย์ที่แต่งงานกับศาสตราจารย์ พวกเขาและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน เธอเริ่มสงสัยว่าสามีกำลังมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว เมื่อเธอพบกับ โคลอี้ ในบาร์โดยบังเอิญ เธอจึงจ้าง โคลอี้ ให้ล่อลวงเพื่อดูว่าสามีจะตอบโต้ยังไง โดยเล็งประเด็นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงสองคน และเจาะลึกว่าทำไมถึงครอบงำชีวิตพวกเธอ

คุณเข้ามามีส่วนร่วมกับโปรเจ็คนี้ได้ยังไง
มันเริ่มต้นจากผู้กำกับ อะตอม อีโกยัน เขาคือผู้กำกับที่ฉันเฝ้าติดตามผลงานของเขามาโดยตลอด และฉันก็อยากที่จะร่วมงานกับเขามานานแล้ว ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับโปรเจ็คนี้มาก บทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงในความคิดของฉัน ฉันได้พูดคุยกับ อะตอม เกี่ยวกับความสมจริง เพราะมันสำคัญที่พวกเราจะให้ความสำคัญไปที่ตัวละครทั้งสาม ทั้งการกระทำของพวกเขาและจุดประสงค์ที่แท้จริง ฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในมือของผู้กำกับที่ไว้ใจได้ ผลงานของเขามีอิทธิพลและยึดมั่นในรากฐานของอารมณ์และความรู้สึก คุณสามารถเชื่อมต่อได้กับตัวละครในหนังของเขาทุกเรื่อง

คุณคิดว่า Chloe เป็นหนังแนวไหนโดยเฉพาะหรือไม่
โดยเนื้อแท้แล้วมันคือหนังดราม่าที่มีความเป็นทริลเลอร์ แต่ฉันคิดว่าคุณไม่สามารถเรียกมันเป็นหนังเฉพาะทางได้หรอก สำหรับฉันแล้ว Chloe เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงในหนังเรื่องนี้ คุณจะได้เห็นการสื่อสารกันของตัวละคร และค้นพบว่าจากพฤติกรรมธรรมดาของพวกเขา กลายเป็นการตอบสนองที่รุนแรงแค่ไหน มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันในชีวิตของมนุษย์

คุณจินตนาการถึงตัว แคทธาลีน ยังไงเมื่อได้อ่านบทภาพยนตร์
แคทธาลีน เป็นตัวละครที่มีมิติมาก เธอก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาในชีวิต ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังสูญเสียการควบคุม เธอคิดว่าตัวเองเข้าใจในความสัมพันธ์กับสามีและลูกดี แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่าเข้าใจผิดทุกอย่าง และรู้สึกว่าตัวเองกำลังที่จะสูญเสียพวกเขาไป ทุกคนที่เธอรักและรักเธอก็เริ่มที่จะลอยออกไปเรื่อยๆ สถานการณ์ของเธอเป็นสิ่งที่ไม่ไกลจากตัวฉันเท่าไร ฉันคิดว่าผู้หญิงในวัยนี้ก็คงเข้าใจตัว แคทธาลีน ดีอย่างแน่นอน

อะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เธอจ้าง โคลอี้ ให้มาล่อลวงสามี
ความตั้งใจของเธอคือการกลับมาเข้าใจสามีอีกครั้ง และเพื่อหาทางที่จะเห็นความต้องการของเขา เธอคิดว่าเขาต้องมีตัวกระตุ้น เช่น ผู้หญิงที่สาวและสวยกว่า เธอบอกสาวคนนี้ว่า "โอเค บอกฉันสิว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดอะไรกับคุณ และคุณรู้สึกยังไง" โคลอี้ เปรียบเสมือนตัวกลางในการสื่อสารกับสามีเธอ ความใกล้ชิดระหว่าง แคทธาลีน กับ โคลอี้ ก็เพราะเพื่อให้เธอได้ใกล้ชิดกับสามีมากขึ้น เพียงแต่ว่ามันเริ่มที่จะหักเหไปอีกทิศทางนึง เพราะด้วยธรรมชาติของความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดแนบแน่นแล้ว และความอันตรายที่อัดแน่นอยู่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก




เป็นเพราะ แคทธาลีน พยายามค้นพบตัวจนที่แท้จริงหรือเปล่า
พวกเราวัดคุณค่าของตัวเองจากผู้คนที่อยู่รอบตัว จากความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและคนรอบข้าง ดังนั้นบางที แคทธาลีน อาจหลงทางในตัวตนของเธอ เมื่อใดก็ตามที่คุณแหกขอบเขตพฤติกรรมมนุษย์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับในสิ่งที่คุณค้นพบอีกฝั่ง เธอคิดว่าตัวเองรู้สึกปลอดภัยกว่าในโลกที่เธอได้ก้าวเข้ามา การปล่อยอารมณ์เป็นสิ่งอันตราย แคทธาลีน ผลักดันให้ไกลี่สุดเท่าที่เธอทำได้ และได้เรียนรู้บางสิ่งที่คุณไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ความสัมพันธ์ระหว่าง แคทธาลีน และลูกก็ยังมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องด้วย
แน่นอนค่ะ นี่คือผู้หญิงที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกแตกต่างไปจากเดิม และเธอก็ไม่ต้องการที่จะให้มันเปลี่ยนแปลง เธอไม่ยอมปล่อยให้ลูกได้เติบโต เพราะด้วยบุคลิกของเธอในการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแล

การได้ร่วมงานกับ เลียม นีสัน และ อาแมนด้า ไซเฟร็ด เป็นยังไงบ้าง
มันเป็นเรื่องที่วิเศษมาก พวกเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมและเป็นบุคคลที่น่ารัก พวกเราทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ ทุกคนพยายามทำสิ่งที่ท้าทายนี้ และไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนไปกับการแสดงในบางฉาก ฉันว่า Chloe คือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ที่พยายามให้บางคนเห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ และนั้นมันก็เกิดขึ้นจริงในกองถ่าย ฉันรู้สึกสบายใจที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา และฉันก็โชคดีที่มี เลียม นีสัน และ อาแมนด้า ไซเฟร็ด เป็นนักแสดงร่วมจอ

ฉากอีโรติคถือเป็นความท้าทายในการถ่ายทำของคุณไหม
ฉันคิดว่าการทำให้หนังฝังรากลึกลงไปในความสมจริง ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุด สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ คุณต้องทำให้แน่ใจว่าผู้ชมดูเธอแล้วรู้สึกว่า ตัวเองสามารถตัดสินใจพลาดแบบเธอได้เช่นกัน ความท้าทายคือการที่จะเอาองค์ประกอบทุกอย่าง ที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงใส่ลงไป




บทสัมภาษณ์ เลียม นีสัน (รับบทเป็น เดวิด)

อะไรคือความประทับใจแรก หลังจากคุณอ่านบทภาพยนตร์เรื่อง Chloe
ผมคิดว่านี่คือหนังที่ฮอลลิวู้ดไม่กล้าสร้าง มันมีความเป็นอีโรติคที่ผสมผสานกับความเป็นหนังทริลเลอร์ นี่คือหนังที่มีความอันตรายในเรื่องความสัมพันธ์ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเคยดูหนังฮอลลิวู้ดที่เป็นแบบนนี้มาก่อน นี่คือการเปลี่ยนแปลงโดยมีองค์ประกอบในเรื่องราวระทึกขวัญ ที่จะทำให้คุณต้องคอยคาดเดาตลอดเวลา

ผมว่ามีผู้กำกับไม่กี่คนที่สามารถทำให้ Chloe เป็นหนังอย่างที่เป็น ผมรู้ว่า อะตอม อีโกยัน เป็นผู้กำกับที่มีศักยภาพพอ ที่จะทำให้ทุกอย่างมีความพิเศษและมีเอกลักษณ์ และยังเก็บรายละเอียดทุกอย่าง ที่ผมเห็นในบทภาพยนตร์มาทำให้ทุกคนต้องนั่งลุ้นตัวเกร็ง และรู้สึกขนลุกไปทั่วทุกสัดส่วนของร่างกาย

คุณเองก็เคยร่วมงานกับ อะตอม อีโกยัน มาแล้วในละครเวที
ใช่ครับ พวกเราร่วมงานกันในบทละครของ เบ็คเก็ตต์ เรื่อง Eh, Joe! เป็นระยะเวลาสองอาทิตย์ มันเป็นละครเวทีที่มีความพิเศษ และทำให้ผมรู้สึกถึงความโดดเด่นของ อะตอม เขาเป็นผู้กำกับที่มีไหวพริบและมีอารมณ์ขันที่ร้ายกาจ ผมอ่าน Chloe ก่อนที่พวกเราจะร่วมงานกันใน Eh, Joe! และผมก็บอกเขาว่า "เราต้องทำเรื่องนี้ร่วมกัน"

คุณเคยดูผลงานภาพยนตร์ที่เขากำกับหรือเปล่า
เคยครับ ผมประทับใจในความเป็นเอกลักษณ์ของเขา ลายเซ็นของเขาในโลกภาพยนตร์ไม่เหมือนใคร เขาทำให้บทกลอนกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว และเอื้อมเข้าไปสัมผัสคุณ ในแนวทางที่ผู้กำกับคนอื่นที่ไม่เคยเข้าไปถึงมาก่อน เขามีลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ ผมเพิ่งได้ดูเรื่อง Adoration มันยอดเยี่ยมมาก มันเป็นหนังที่สวยงามจริงๆ ผมไม่อยากให้มันจบเลย




คุณคิดว่าตัวละครที่คุณรับบทอย่าง เดวิด เป็นยังไง
ผมคิดว่าเขาคือพ่อและสามีที่อบอุ่น เขาพอใจกับงานทีทำ และเป็นศาสตราจารย์ที่มีความสนใจในเรื่องดนตรี เขารักที่เป็นอาจารย์ จากการได้พูดคุยกับ อะตอม พวกเราไม่ได้เจาะลึกลงไปอย่างมากนัก เพราะพวกเราต้องการแสดงในแต่ละฉากให้เหมือนกับการดำเนินเรื่องราว ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาล่วงรู้เกี่ยวกับสามีนั้นคลุมเครือ พวกเราต้องการทำให้มันดูสมจริงและทำให้ผู้ชมรู้สึกติดตามไปกับเรา

คุณคิดว่าเป็น แคทธาลีน ที่สร้างจินตนาการในตัว โคลอี้ หรือว่า โคลอี้ เป็นคนสร้างจินตนาการที่เกิดรอบครอบครัวของ แคทธาลีน
โคลอี้ เป็นหญิงสาวที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง นั้นคือสิ่งที่เธอทำเป็นอาชีพ แต่ แคทธาลีน ได้เพิ่มเติมจินตนาการเข้าไปให้เกิดความแตกต่าง มันเป็นเหมือนเกมส์แมวไล่จับหนู อะตอม ชอบที่จะเล่นกับความรู้สึกของคนดู คุณอาจคิดว่าตัวเองกำลังเดินก้าวลงไปในเรื่องราวนี้เรื่อยๆ แต่แท้จริงแล้วเขากำลังลากคุณลงไปด้วยตัวเองต่างหาก

การได้ทำงานร่วมกับ จูลีแอนน์ และ อาแมนด้า เป็นยังไงบ้าง
เราทั้งสามคนทำงานกันได้อย่างดี มันมีแรงผลักดันระหว่างพวกเราในฐานะนักแสดง และเมื่อคุณมีพื้นฐานของการไว้ใจใครสักคน นั้นก็ทำให้คุณมีเวลาที่จะเปิดประตูไปมองหาสิ่งอื่นๆ คุณสามารถก้าวลงไปในความลึกซึ้ง เพราะคุณเชื่อใจในนักแสดงร่วมจอ นักแสดงดาวรุ่งอย่าง อาแมนด้า มีความสามารถที่ล้นเหลือ เธอมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ บุคลิกภายนอกเธอเป็นคนสดใสร่าเริง เป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่เมื่อกล้องเริ่มถ่ายทำเมื่อไรเธอก็กลายเป็นนักแสดงทันที

ด้วยความที่หนังมีฉากความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด ผู้กำกับต้องการอะไรจากคุณบ้าง
ผมต้องการรู้แค่ว่าเขาจะไม่ถ่ายก้นและน่องของชาวไอริชแก่ๆอย่างผม (หัวเราะ) โดย อาแมนด้า และผมต้องมีการพบกันในฉากมีเซ็กซ์กันในสวนต้นไม้ ซึ่ง อะตอม ก็ถ่ายทำฉากนี้ด้วยวิธีการและมุมกล้องที่ไม่ทำให้ผมและ อาแมนด้า เกิดความอับอายด้วยความโจ่งแจ้งเกินไป แต่ก็ยังทำให้หนังดูอีโรติคและสร้างความเร้าร้อนได้อยู่




บทสัมภาษณ์ อาแมนด้า ไซเฟร็ด (รับบทเป็น โคลอี้)

อะไรคือความประทับใจแรกหลังจากที่คุณได้อ่านบทภาพยนตร์
ฉันรู้สึกทึ่งไปเลย ในแง่มุมของตัวละคร มันไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันเคยทำมาก่อน และก็เป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิต ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรับบทนี้ได้แน่ๆ จากนั้นเมื่อเข้าไปทดสอบบท ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองได้ดึงบางสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจออกมาจนหมด นี่คือบทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง และองค์ประกอบที่เข้มข้นกว่าบทอื่นๆ มันมีสถานการณ์และความสัมพันธ์ ที่ไม่มีหนังเรื่องไหนเคยพัฒนาขึ้นมาก่อน ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่วิเศษมาก

คุณคิดว่าตัวเองได้คิดค้นรักสามเส้าแนวใหม่ขึ้นมาหรือเปล่า
รักสามเส้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ฉันคิดว่านี่คือรักสามเส้าในรูปแบบที่แตกต่างออกไป มันมีความพิเศษมาก

คุณจะอธิบายถึงตัวละครที่คุณรับบทว่ายังไง
โคลอี้ เป็นหญิงสาวที่ฉลาดในเรื่องของการทำธุรกิจ เธอเป็นคนที่มีประสบการณ์ แต่เธอก็เป็นเด็กที่มีปัญหา เธอใช้ชีวิตเพียงตัวคนเดียว เธอไม่เคยสัมผัสกับรักแท้หรือความสัมพันธ์ที่แท้จริงจากลูกค้า มันมีความเปราะบางที่ห่อหุ้มใจเธอ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่คุณจะได้เห็นชีวิตของ โคลอี้ ทั้งนอกและใน ทุกสิ่งทุกอย่างผสมผสานกัน ทำให้เธอกลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจและตีความได้ลำบาก

อะตอม อีโกยัน ได้มอบแนวทางการแสดงให้กับคุณหรือเปล่า
พวกเราลงไปสำรวจของจุดมุ่งหมายในชีวิตของเธอ ก่อนที่เธอจะตกหลุมรัก และจนถึงช่วงเวลาที่เธอค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงต่อ แคทธาลีน พวกเธอรู้สึกสับสนเพราะว่า แคทธาลีน มีภาพลักษณ์แห่งความเป็นแม่สูง แต่ก็เธอยังมีอารมณ์ที่โหยหาความรักแบบหนุ่มสาว มันทำให้ โคลอี้ รู้สึกสับสนในตัว บางอย่างที่มีชีวิตในตัวเธอถูกปลุกขึ้นมา มันกลายเป็นสิ่งครอบงำการกระทำของเธอ ในฐานะที่เป็นนักแสดง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ อะตอม เป็นผู้กำกับที่วิเศษที่สุดก็คือ เขารู้ตั้งแต่แรกว่าทุกอย่างต้องออกมาในรูปแบบไหน เขาอาจเป็นผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดที่ฉันเคยร่วมงานด้วย




ตัวละครอย่าง โคลอี้ ถูกพัฒนาในรูปแบบไหนในภาพยนตร์
การเติบโตของ โคลอี้ เกี่ยวพันกับการค้นพบของ แคทธาลีน ไปตลอดทั้งเรื่อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ แคทธาลีน กระทำสร้างผลกระทบให้กับความรู้สึกของ โคลอี้ มันคือสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปจากที่ โคลอี้ เคยสัมผัสมาตลอด นั้นก็คือการได้ค่าจ้างเพื่อปรนเปรอความสุขให้คนอื่น โคลอี้ ไม่เคยแชร์ความรู้สึกกับใครมากก่อน นี่คือสิ่งที่แปลกใหม่ในโลกของเธอ เธอเริ่มที่เล่าเรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้น ก่อนที่จะจมลึกลงไปในโลกแห่งจินตนาการ จนกลายเป็นการถูกครอบงำด้วยตัณหา

โคลอี้ เปรียบเหมือนตัวแทนจินตนาการของทุกคนหรือเปล่า
ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทรงพลังในการมอบสิ่งที่ผู้ชายต้องการ และจากนั้นก็เดินจากมาอย่างไม่ใยดี เหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ แคทธาลีน รับ โคลอี้ เข้ามาเพื่อที่จะเป็นตัวแทนของความมีตัวตนในโลกของเธอ แคทธาลีน มองหาบางอย่างที่ทำให้เธอคิดว่าชีวิตของตัวเองยังมีคุณค่า

การทำงานร่วมกับ จูลีแอนน์ เป็นยังไงบ้าง
ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก ฉันรู้สึกประหม่าในฉากที่ต้องใกล้ชิดแบบแนบแน่นกับเธอ มันเป็นครั้งแรกของฉัน โชคดีที่มันสำเร็จในแนวทางที่ฉันคาดไม่ถึง จูลีแอนน์ เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ การแสดงร่วมกับเธอกลายเป็นสิ่งที่ง่าย เธอเข้ามาทำงานและทำได้อย่างมืออาชีพ ฉันเรียนรู้จากเธอมากมาย จูลีแอนน์ รู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร และเธอก็ยังเป็นคนที่เข้าถึงง่ายและไม่มีการวางมาดอะไรเลย
นอกจากฉากอีโรติคแล้ว บทพูดก็ยังมีความล่อแหลมอีกด้วย

เมื่อเวลาที่ตัวละครของฉันเล่าเรื่อง เธอก็จะพยายามอ่านสีหน้าของ แคทธาลีน คุณจะรู้ได้ถึงกงล้อที่หมุนอยู่ในสมองของ โคลอี้ โดยเรื่องเล่าออกมาเป็นคำพูดที่ไม่อ้อมค้อม ในขณะเดียวกันก็คิดว่า "เธอมีอารมณ์หรือไม่ ฉันควรหยุดไหม ฉันพูดมากเกินไปหรือเปล่า" ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก โคลเอ้ พยายามเก็บ แคทธาลีน เอาไว้ในสถานะที่เธอมีอำนาจเหนือกว่า แต่จากนั้นคุณก็จะเห็นว่าสถานะของตัวละครทั้งสองค่อยๆสลับกัน

สุดท้ายแล้วใครคือ โคลอี้
มันไม่มีอะไรที่ชั่วร้ายในตัวของ โคลอี้ เลย แต่เป็นเพียงแค่หญิงสาวที่ขาดความอบอุ่นและมีจินตนาการสูง เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่บาดเจ็บ ฉันคิดว่า โคลอี้ เป็นนักบุญในตอนสุดท้าย นั้นคือสิ่งที่ฉันคิดนะ




บทสัมภาษณ์ อะตอม อีโกยัน (ผู้กำกับ)

Chloe เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ที่คุณคิดว่าสามารถควบคุมได้ แต่เมื่อมันเกี่ยวพันกับความรู้สึกของคนอื่น คุณก็จะพบว่าตัวเองไร้การควบคุมอย่างสิ้นเชิง แคทธาลีน คิดว่าเธอสามารถควบคุมชีวิตของตัวเอง แต่ทุกอย่างก็เริ่มที่จะพังทลาย เธอคิดว่าสามีไม่รักอีกต่อไปแล้ว เธอจึงคิดถึงการจ้าง โคลอี้ สาวเอสคอร์ทเข้ามาล่อลวงสมีและรายงานผล

แต่ด้วยความคาดไม่ถึง แคทธาลีน กลายเป็นคนที่ถูกครอบงำโดยเรื่องราวที่ โคลอี้ นำมาเล่าเกี่ยวกับการความสัมพันธ์ระหว่างเธอและสามี และยิ่ง แคทธาลีน ถลำลึกลงไปในรายละเอียดมากขึ้นเร่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงสองคน กลายเป็นประเด็นและมีความซับซ้อนมากขึ้น และนำไปสู่ผลลัพท์ที่ไม่มีใครคาดถึง

ผมคิดว่าผลงานของผมให้ความสนใจไปที่การเล่าเรื่อง เกี่ยวกับผู้คนที่มองย้อนกลับไปถึงชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขา นี่เป็นบททดสอบที่น่าสนใจว่า จินตนาการของคุณจะนำสิ่งที่หลับไหลอยู่ในตัวในรูปแบบไหนออกมา

นี้เป็นภาพยนตร์ที่คุณไม่ได้เขียนบทเองเรื่องแรกใช่ไหม
ใช่ครับ แต่เมื่อ ไอวาน ไรท์แมน เข้ามาติดต่อให้ผมทำหน้าที่กำกับ ผมรู้จัก อีริน เครสสิด้า วิลสัน และชื่นชมผลงานเขียนของเธอมาโดยตลอด ทันทีที่ได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ผมก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะว่ามันคือโอกาสที่ดีในการที่เราทั้งสองคนจะได้ทำงานร่วมกัน มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจในการได้กำกับ บทพูดที่ผมเองไม่ได้เป็นคนเขียนขึ้นมาเป็นครั้งแรก มันถือเป็นเกียรติที่ได้รับความสนใจจาก ไอวาน เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ผมนับถือมาก

อะไรหมายถึงบทภาพยนตร์ที่ดีสำหรับคุณ
บทภาพยนตร์ที่ดีคือบทที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ และมีการหลอกล่อบ้างเล็กน้อบ มีบางสิ่งที่ต้องการคนดูค้นพบด้วยตัวเอง มันเป็นความท้าทายและน่าตื่นเต้น ในการค้นพบวิถีทางในการถ่ายทอดความเป็นไปได้ มากเท่ากับการคัดเลือกนักแสดงที่มีความสามารถเหล่านี้ และหนังเรื่องนี้ก็ยังเกิดขึ้นในบ้านเกิดของผม เมืองโตรอนโต้ถือเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่เราถ่ายทำ คือตั้งแต่หน้าหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ผมคิดว่ามันถูกถ่ายทอดด้วยผลงานด้านภาพอย่างสวยงาม

ทำไมคุณถึงคิดว่าการถ่ายทำในโตรอนโต้เป็นเรื่องสำคัญ
พวกเราต้องการให้ภายนอกเมืองโตรอนโต้เต็มไปด้วยหิมะและความหนาวจัด และเชิญชวนให้ผูคนเข้าไปหลบในตัวอาคาร มันเป็นความคิดที่โรแมนติคสำหรับคนที่ค้นพบสถานที่ ที่ปกป้องตัวเองจากสภาพความโหดร้ายด้านนอก ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกการหลบภัยภายในจิตใจของตัวละคร ที่กำลังมองหาความสัมพันธ์ที่พวกเขาขาดหายไป

นี้หนังอีโรติคผสมดราม่าหรือเปล่า
สิ่งที่ทำให้อีโรติคมีความน่าค้นหาก็คือ มันมีพื้นฐานจากความเป็นดราม่า โดยเฉพาะสภาพภายในจิตใจของตัวละคร เมื่อคุณทำงานร่วมกับนักแสดงที่มีฝีมือขนาดนี้แล้ว มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะใส่ความอีโรติคเข้าไปในเรื่องราว เพื่อถ่ายทอดสภาพจิตใจ มันไม่ใช่หนังที่เน้นแต่ฉากโป๊เปลือย แต่มันต้องเป็นบางอย่างที่ตัวละครเข้าไปสำรวจจิตใจของตัวเอง




โคลอี้ เข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่าง แคทธาลีน และ เดวิด ได้ยังไง
ไอเดียของการเป็นตัวแทนดึงดูดความสนใจของผม ผู้คนที่สามารถเติมเต็มบางสิ่งที่คุณพบว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ เพราะว่าด้วยสภาพแรงกดดันจากสภาพแวดล้อม หรือความกลัวที่ไม่ให้คุณค้นพบบางอย่าง นี่คือรากฐานตัวตนของ แคทธาลีน ผู้สร้างเรื่องราวในชีวิตเธอ เธอจ้างผู้หญิงให้เข้ามาเป็นตัวละครในโลกของเธอ และรู้สึกตื่นเต้นไปกับความเป็นไปได้ เธอรู้สึกว่ามันช่วยให้ตัวเองสำรวจ สิ่งที่ชีวิตจริงของเธอไม่มีทางเกิดขึ้น

แคทธาลีน ต้องการมีความสัมพันธ์กับผู้ชาย ที่เธอรู้สึกว่าไม่สามารถเชื่อมต่อได้อีกแล้ว ผมว่าผู้หญิงหลายคนคงก้าวผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหายไปจากโลก คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดกับใครอีกต่อไปแล้ว และเธอก็ลบล้างมันด้วยการสร้างตัวแทนขึ้นมา แต่มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอ เมื่อพบว่ามีหลายสิ่งที่เธอควบคุมไม่ได้ แม้กระทั่งแรงกระตุ้นของตัวเองก็ตาม

คุณคัดเลือกนักแสดงยังไง
พวกเราต้องการนักแสดงหญิงที่มีความสามารถในการรับบทเป็น แคทธาลีน และ จูลีแอนน์ ก็เป็นนักแสดงที่ผมชื่นชอบมานาน ผมยังได้รับเกียรติในการร่วมงานกับ เลียม มาก่อนบนละครเวที พวกเราเข้าขากันมาก ผมคิดว่าเขาสามารถทำให้คนดูรู้สึกแปลกใจ และเมื่อเราทำการทดสอบบท เพื่อเข้ามารับบทเป็น โคลเอ้ นักแสดงสาว อาแมนด้า ก็เป็นคนที่โดดเด่นที่สุด เธอรับเล่นก่อนความสำเร็จจาก Mamma Mia! เสียอีก ผมคิดว่านี่คือบทสุดท้ายที่เธอเลือกเล่นก่อน Mamma Mia! เธอมีความหลากหลายทางอารมณ์ที่สามารถปลดปล่อยให้เรารู้สึกคาดไม่ถึง เธอเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตามอง

คุณอธิบายถึงตัวตนของ โคลอี้ กับ อาแมนด้า ยังไง
ผมบอกเธอว่าผู้หญิงอย่าง โคลอี้ ต้องมีชีวิตอยู่จริง ผมเอาสิ่งที่ตัวเองค้นคว้าและพูดคุยกับ อาแมนด้า เกี่ยวกับการหาบางอย่างในตัว โคลอี้ ที่ทำให้ แคทธาลีน รู้สึกถูกดึงดูด เธอเหมือนมีมนต์สะกดบางอย่าง และ แคทธาลีน ก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง มันมีความเปราะบางและความต้องการความรักของ โคลอี้ ซึ่ง อาแมนด้า ได้แสดงออกมาอย่างเยี่ยมยอด เธอเป็นคนเปิดกว้างและอ่อนไหว แต่ก็ยังเข้มแข็งอีกด้วย และนั้นทำให้ โคลอี้ เหมือนมีชีวิตจริงมากที่สุด

คุณหมายความว่า โคลอี้ รู้สึกบางอย่างที่ตัวเองไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เมื่อใครบางคนรู้สึกว่ากำลังตกหลุมรัก พวกเราจะแปลทุกสิ่งทุกอย่างในแนวทางที่ตัวเองคิด และนั้นก็คือสิ่งที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ เธอพบว่าหนทางเดียวที่ตัวเองจะคงความสัมพันธ์กับ แคทธาลีน ผู้หญิงที่เธอไม่มีโอกาสสัมผัสในชีวิตจริง นั้นก็คือการสร้างเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ได้ ระหว่างเธอกับสามีของ แคทธาลีน ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องราวที่เปลี่ยนชีวิตของ แคทธาลีน

พวกเราไม่เพียงแต่รู้สึกทึ่งกับความเพ้อฝันที่ทำให้ แคทธาลีน ปล่อยใจให้เชื่อไปกับเรื่องราวเหล่านี้ แต่ยังได้รับรู้ถึงความสิ้นหวังของ โคลอี้ ที่ทำให้เธอยังคงเล่าเรื่องราวเหล่านี้ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับระหว่างเธอและ แคทธาลีน เป็นความจริงในโลกของ โคลอี้

คุณคิดว่า Chloe ถือเป็นหนังที่คุณก้าวเข้าสู่ฮอลลิวู้ดครั้งแรกหรือเปล่า
ใช่ครับ ทั้ง ไอวาน ไรท์แมน และ ทอม พอลล็อค ถือเป็นผู้อำนวยการสร้างที่มีชื่อเสียงในฮอลลิวู้ด พวกเราช่วยกันเสนอไอเดียที่จะทำให้หนังเข้าถึงฐานผู้ชมที่กว้างขึ้น และนี่ก็เป็นหนังของผม ที่มีเส้นเรื่องเป็นเส้นตรงมากกว่าเรื่องก่อนๆ นี่คือโลกที่แตกต่างออกไปจากเดิม ผมคิดว่ามันเป็นหนังที่ผมอยากดูในฐานะผู้ชม มากกว่าที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว



ตัวอย่างภาพยนตร์


Create Date : 24 มีนาคม 2553
Last Update : 24 มีนาคม 2553 22:54:11 น. 14 comments
Counter : 21485 Pageviews.

 
อัพแบบขี้โกงนิดๆเมื่อเอางานมาก็อปลงบล็อค (ยังไงก็คืองานเขียนเหมือนกันแหละ เน๊อะๆ) เอาเป็นว่าเพื่อนคนไหนอยากหนีร้อนกาย (มาร้อนใจ) ในโรงภาพยนตร์ก็เชิญตามสะดวก Chloe เข้าฉายวันที่ 15 เมษายน นี้จ้า...

โอ๊ะ รู้สึกว่าเคยเขียนรีวิวเอาไว้ตอนดูใหม่ๆด้วย ขุดเอามาแปะอีกรอบ (ตกลงเอนทรี้นี้จะไม่เขียนอะไรใหม่เลยใช่มั้ยย)


Chloe

Chloe follows a successful Toronto doctor Catherine (Julianne Moore), as she comes to suspect that her husband, David (Liam Neeson) is having an affair - which inevitably leads her to hire a prostitute (Amanda Seyfried's Chloe) to test David's fidelity. But Chloe also has a secret of her own.

Seriously, that is the whole synopsis of this film. In the tradition of paperback pulp novel, Chloe is trashy B-thriller. You could find this type of film in bargain bin, with second rate actors, in third rate production value. But hold the phone here, three high-profile Hollywood stars in Atom Egoyan’s film cannot do all wrong, isn’t it?

Well, with talent people behind the project, it proves that even the most obnoxious premise can have entertaining value. This is undoubtedly Atom Egoyan's most accessible endeavor to date. As his films usually move at glacial pace, lacking of emotional resonance with characters, and require a lot from audience to harvest in them. The result is either you resonance with it or completely don’t give a shit. Chole still has that sort of Egoyan’s touch, but adding more melodrama aspect, and a little bit of cheap thrill to reassure the accessibility.

This film is perfect for actors showcase. Julianne Moore is an ultimate go-to “woman on crisis” actress, since she completely nails in every scene. That teary eyes and subtlety in performance, she effortlessly leads us through her self-discovery. Same praise should go to Amanda Seyfried who is eye-popping (no pun intended) as the title figure, holding her own opposite her powerhouse costars cementing her place as a promising up-and-comer (it’s also her most “revealing” role to date). Only Liam Neeson who has nothing much to do here, he only exists as catalysis to Catherine and Chloe’s meeting. But with limited time he has, he did it quite admirable.

You can compare Chole to films like The Hand That Rocks the Cradle or Single White Female, as the story progress, it only matters and justified by over-the-top twists and revelations - trashy as they may be - prove effective at infusing the genre and talented people who is too good for material. Chloe has effectively established itself as an irresistibly over-the-top thriller that's so enjoyable. You cannot resist its appeal and tasty flavors it delivered.

BloodyMonday Rating:


โดย: BloodyMonday วันที่: 24 มีนาคม 2553 เวลา:22:29:58 น.  

 
เมื่อเห็นชื่อผู้กำกับ ความน่าสนใจพุ่งปรี๊ดดดดด ^^


โดย: Seam - C IP: 203.144.144.164 วันที่: 25 มีนาคม 2553 เวลา:14:33:27 น.  

 
ขอบคุณสำหรับบทสัมภาษณ์มากๆเลยนะครับ


โดย: CONRRINE วันที่: 25 มีนาคม 2553 เวลา:16:09:28 น.  

 
"เธอคิดว่าเขาต้องมีตัวกระตุ้น เช่น ผู้หญิงที่สาวและสวยกว่า"... สาวกว่าน่ะช่วยไม่ได้ แต่เราว่าจูลีแอนน์มัวร์เธอสวยมากกนะ ถ้าสามีจะทิ้งไปหาคนสวยกว่าผู้กำกับคงต้องให้เจ๊ใส่จมูกปลอมแบบนิโคลคิดแมนแล้วล่ะ - -" (ชอบจูลีแอนน์ มัวร์)

"ฉันคิดว่า โคลอี้ เป็นนักบุญในตอนสุดท้าย"..นึกถึงVisitorQ หนังที่ไม่ได้ดู แต่มีคนเล่าให้ฟัง คือนังโคลอี้เข้ามาป่วนครอบครัวแล้วทำให้ทุกคนกลับมาคืนดีกันตอนสุดท้ายใช่มั๊ย(ห้ามตอบ เดี๋ยวจะรอดูแผ่น^^)

ชอบน้องอแมนด้าด้วย เราพึ่งได้ดู Jennifer bodyอ่ะ รู้สึกว่าน้องเค้าสวยกว่านางจิ้งจอกมอร์แกนอีกนะ แต่เรื่องนั้นดูแล้วหลับ มาตื่นเอาตอนเกือบจบ แหะๆ




โดย: อป (apple_cinnamon ) วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:10:21:42 น.  

 
เมย์เดย์ๆเลือดสาดจันทร์สยองทราบแล้วเปลี่ยน ช่วยแคสติ้งดาราจากสก็อตแลนด์หน่อยจิ เราไม่รู้จักใครเลยอ่ะ รู้จักแต่ปู่ฌอนคอนเนอรี่...


โดย: อป (apple_cinnamon ) วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:11:23:03 น.  

 
แต้งกิ้วฟอร์แคสติ้ง แต่เค้าชอบเจมส์แม็คอะวอยนะ เลือดใหม่มาแรงแซงโค้ง..แต่ทำไมดูว้อนเต็ดแล้วเฉยๆ เจ๊โจลี่ก็ผอมเกิ๊น~

มาสปอยล์ต่อ (ไม่ต้องอ่านก็ได้นะ อยากเล่าตามประสาคนโรคจิต หุๆ)
...สุดท้ายตำรวจก็ช่วยเฮเธอร์ได้โดยสวัสดิภาพ เธอได้รับผลกระทบทางจิตใจเกินกว่าที่จะกลับไปใช้ชีวิตกับลูกชายเหมือนเดิมได้ ลูกเลยอาศัยอยู่กับคุณยาย เฮเธอร์ไปใช้ชีวิตชนบทอย่างสุขสงบในเมืองเล็กๆ ผู้คนในเมืองไม่ถือสาที่เธออาจดูไม่เต็มไปบ้างเพราะทราบเรื่องที่เธอถูกลักพาตัวไป ทุกวันเฮเธอร์ก็ไปจ่ายตลาดและกลับมายังบ้านเงียบๆที่มีเธออาศัยอยู่เพียงคนเดียว
ตัดภาพไปในครัว..เฮเธอร์ในชุดผ้ากันเปื้อนแบบแม่บ้านย้อนยุคกำลังต้มสตูว์ในหม้อ กลิ่นเครื่องเทศและเนื้อหอมอบอวลไปทั่วบ้าน เฮเธอร์ยิ้มอย่างมีความสุข..กล้องแพนไปในห้องข้างๆซึ่งเป็นห้องโล่งไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ยกเว้นเก้าอี้ตัวเดียวกลางห้องที่มีผู้ชายคนหนึ่งถูกมัดอยู่..กล้องซูมที่หน้าผู้ชายเห็นสายตาหวาดกลัวสุดขีดเมื่อเฮเธอร์ตะโกนบอกว่า "dinner's ready"
น่าเอาไปสร้างหนังที่ซู้ดด<3




โดย: อป (apple_cinnamon ) วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:12:52:01 น.  

 
น่าดูเป็นที่สุด อีโกยานกำกับซะด้วย เพิ่งจะดู Adoration ไปเมื่อไม่นานมานี้ รู้สึกไม่ค่อยสุดเท่าไหร่


โดย: เอกเช้า IP: 198.155.101.241 วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:13:16:28 น.  

 
อะแมนด้า เซฟไฟรด์
นี้ช่างเป็นการเดินทางที่แสนไกล และยาวนานเหลือเกิน
แต่เชื่อว่าก็คงคุ้มกับเธอแล้ว


โดย: น้ำหนึ่ง IP: 124.120.70.114 วันที่: 27 มีนาคม 2553 เวลา:6:21:52 น.  

 
เห็นโปสเตอร์ที่โรงหนังสองเรื่องควบ
เธอ ! มาแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ?



โดย: haro_haro วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:16:55:03 น.  

 
วันนี้เกือบได้ดูเรื่องนี้แล้ว ได้ รว จากพันทิปค่ะ
น่าเสียดายยยย อดดูๆๆ แต่เข้าเมื่อไหร่จะดูให้ได้ :D


โดย: Elizabeth Town วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:20:53:17 น.  

 

หนังดีหนังเด่นของชาวเฉลิมไทย ปี 2552

เป็นเรื่องไหนบ้าง ไปดูกันเร็ว Smiley




โดย: จูริง วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:2:11:14 น.  

 
อยากดูน้องอแมนด้าเปลือย เอ๊ย รับบทแบบนี้มานานแล้ว

อ๋อ... งานของคุณบลัดดี้เป็นแบบนี้นี่เอง ดูท่าจะเป็นงานที่มีความสุขดีเนอะ น่าอิจฉา


โดย: แฟนผมฯ IP: 122.248.16.2 วันที่: 1 เมษายน 2553 เวลา:12:53:54 น.  

 

หนังหนักเล็กๆนะคะแต่ต้องลองไปดูเหมือนกัน..
ดูแถวโรงที่พัทยาแล้วกัน 12-18 เมย.
อยู่เล่นสงกรานต์ทางนู้น..ไม่ใกล้ไม่ไกล กทม.



Male & Female
abstract painting by "Albert Chi Hwang"








โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:1:17:34 น.  

 
อยากรู้ว่าแคทเธอรีนรู้สึกยังไง


โดย: kiku IP: 115.87.184.240 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:13:32:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
24 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.