Review: We Bought a Zoo




ยุคที่สภาพสังคมทำให้มนุษย์สงสัยในความดีงามทุกชนิดที่เกิดขึ้น คงไม่มีใครทำหนังเสริมสร้างกำลังใจได้ดีกว่า คาเมรอน โครว์ อีกแล้ว... เมื่อโลกของ เบนจามิน มี (แมท เดม่อน) ต้องเปลี่ยนไป หลังจากภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อหกเดือนก่อน ในฐานะนะนักข่าวที่เสพติดการผจญภัย การยู่บ้านดูแลลูกชายและลูกสาวไม่ใช่การผจญภัยที่เขาจินตนาการไว้ ดีแลน ลูกชายวัย 14 ตัดขาดจากโลกภายนอก และถ่ายทอดความรู้สึกผ่านการวาดรูปที่มืดหม่นและรุนแรง ในขณะที่ โรซี่ ลูกสาววัย 7 ขวบ ก็เป็นเหมือนแสงสว่างเดียวภายในครอบครัว เธอก็ยังต้องการความรักจากผู้ปกครองเพื่อที่จะเติบโต

ด้วยความพยายามที่จะหนีจากทุกอย่าง ครอบครัวของ เบนจามิน ก็ได้ย้ายไปอยู่ในบ้านแถบชนบท ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองแคลิฟอร์เนีย ถึงแม้ที่นี่จะเป็นทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่มันก็มีข้อแม้ตรงที่มันมีสวนสัตว์พ่วงมาด้วย โดยเจ้าของใหม่ก็ต้องบริหารและดูแลให้มันกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง เบนจามิน ตัดสินใจรับข้อเสนอด้วยการตัดสินใจแบบกระทันหัน ซึ่งทำให้เรื่องราวของ We Bought a Zoo เริ่มต้นขึ้น ทั้งอุปสรรคและความสำเร็จที่เกิดขึ้นคู่ขนานไปกับปัญหาส่วนตัวของ เบนจามิน และครอบครัว รวมถึงกลุ่มทีมงานดูแลสวนสัตว์ที่เขาต้องเจออีกด้วย





สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นเอกลักษณ์ในหนังของ คาเมรอน โครว์ ก็คือ การมีตัวละครนำที่เราพร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อเอาใจช่วย เหมือนกับ วิลเลี่ยม มิลเลอร์ ที่ต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอก และค้นหาความหมายของร็อคแอนด์โรลเป็นครั้งแรก หรือ เจอร์รี่ แม็คไกวร์ ที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางอาชีพของตัวเอง ในจุดที่เขาคิดไปเองว่าสูงสุดในของชีวิตแล้ว เบนจามิน ก็คือผู้ชายที่ต้องการความช่วยเหลือ ในแบบที่เขาไม่สามารถเอ่ยปากได้ และครอบครัวที่เหลือและทีมงานดูแลสวนสัตว์ เขาก็พบกับสิ่งที่คิดว่าจะนำไปสู่การเยียวยา ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาก็ต้องดิ้นรนเพื่อรักษามันเอาไว้ เขาคือนักผจญภัยที่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้เป็นผู้นำ ซึ่งเขาก็ทำมันแบบทุ่มหมดใจ นี่คือสิ่งที่บทภาพยนตร์ของ โครว์ ทำสำเร็จทุกครั้ง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกเห็นใจ หรือไม่อยากเอาใจช่วยไปกับตัวละครแบบนี้

ในผลงานของ โครว์ เพลงคือทุกสิ่งทุกอย่าง และการได้ Jonsi จาก Sigur Ros มาทำเพลงให้ ก็เหมือนการจับคู่กันที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยังไม่รวมถึงเพลงของ Bob Dylan, My Morning Jacket, Bon Iver และอื่นๆ เพลงประกอบใน We Bought a Zoo ช่วยนำพาอารมณ์เราไปตั้งแต่ความเศร้า ความหวัง จนไปถึงความอิ่มเอม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและเป็นความสามารถพิเศษของ โครว์ ที่ฉากเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังดูฉาก Montage ที่กำลังสรุปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หากแต่จับช่วงเวลาหนึ่งเอาไว้ และถ่ายทอดออกมาจนกลายเป็นสิ่งที่น่าจดจำ ทำให้ฉากที่ใช้เพลง Hoppipolla ที่พระเอกนั่งดูรูปภรรยา ก็ขึ้นทำเนียบฉากเปี่ยมมนต์ขลังค์อย่างเช่น Tiny Dancer ใน Almost Famous, In Your Eyes ใน Say Anything หรือแม้กระทั่ง Freebird ใน Elizabethtown





พูดถึงสารของหนังก็ยังมีประโยคสำคัญ ซึ่งตัวเอกใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต นั้นก็คือ “บางครั้งคุณต้องการเพียงแค่ 20 วินาทีของความกล้าบ้าบิ่น 20 วินาทีของการทำเรื่องน่าอายที่กล้าหาญ” ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน เมื่อเรากลั้นใจทำบางสิ่งบางอย่างไปเลย ซึ่งอาจเป็นเรื่องโง่เขลาหรือสิ้นคิด หรือท้ายที่สุดแล้วเราไม่ได้รับสิ่งดีๆกลับคืนมา เพราะถ้าเราตัดใจไม่ได้ทำลงไป มันก็อาจกลายเป็นความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต ซึ่งพอคิดไปคิดมา การกระทำจากสัญชาตญาณนี้เอง ก็เป็นเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในผลงานของตัวผู้กำกับเช่นกัน

ทันทีที่หนังจบ หลายคนคงจะรู้สึกว่าหนังราดน้ำเชื่อมหนักมือเกินไปไหม หรือว่าทำไมชีวิตถึงเจอทางออกที่ง่ายดายขนาดนั้น แต่ก็อย่างที่พูดเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรก ถ้าเกิดเราอยากดูหนังที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจ คงไม่มีใครที่ทำได้ดีไปกว่า โครว์ คุณจะหัวเราะ น้ำตาซึม และยิ้มไปในทุกจังหวะที่หนังต้องการพาป หลายคนอาจตั้งคำถามในใจระหว่างดูว่า ทำไม? ทำไม? ทำไม? ผู้เขียนก็อยากจะตอบด้วยประโยคสำคัญ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นและวินาทีสุดท้ายของหนังว่า... ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?


BloodyMonday Rating: 3.5/4




 

Create Date : 25 มีนาคม 2555
3 comments
Last Update : 25 มีนาคม 2555 22:31:46 น.
Counter : 3060 Pageviews.

 

โอ้ววว ดีใจกลับมารีวิวยาวๆให้ได้อ่านกันอีกครั้งคร้าบ เห็นด้วยว่าหนังดีมากจริงๆ มีทั้งความประทับใจ และ กำลังใจ

 

โดย: ลูกอบรสเขียด 25 มีนาคม 2555 23:01:33 น.  

 

ผมไม่ค่อยได้ดูหนังของ Crowe เท่าไหร่ครับ ที่ได้ดูคือ Vanilla Sky กับ Jerry Maguire ซึ่งก็ไม่ได้ประทับใจนัก


ปล. หายไปนานเลยนะครับ

 

โดย: navagan 25 มีนาคม 2555 23:16:09 น.  

 

ลูกอบรสเขียด
เบื่อๆนะก็เลยกลับมาเขียบล็อค เดี๋ยวก็คงหายตัวไปอีก ฮ่าๆ

navagan
ผมชอบหนังของเขามากเลยครับ Almost Famous กับ Say Anything นี่มีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องดูจนจบทุกที :)

 

โดย: BloodyMonday 27 มีนาคม 2555 1:19:51 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2555
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.