พฤศจิกายน 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
20
22
23
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
Annanpurna Sanctuary : Tadapani - Chhomrong (Day 7)
ผ่านการ Trekking มาวันที่ 4 อย่างกับผ่านมาเป็นปี รู้สึกคุ้นเคยกับการ Trek มาก ๆ

โชคดีที่เมื่อวานไม่ค่อยเหนื่อยเหมือนได้พัก ขาที่เคยปวดเมื่อยก็ดีขึ้นมาก
ก็เลยถือโอกาสยืดเส้นยืดสายด้วยโยคะแบบง่าย ๆ ก่อนออกเดินทาง

เช้านี้เราออกเดินทางตั้ง 8 โมงเช้า เพราะมัวแต่ชื่นชมกับภาพพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า



หน้าที่พักเรา ก็มีป้ายบอกทางไป Chhomrong เลย


Sanu บอกว่า ทางเดินวันนี้ในตอนเช้าจะเป็น ลง ลง ลง ลง ลง และ ลง ลง ลง ลง
ก่อนที่จะขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น และ ขึ้น ในตอนบ่าย แต่ไม่มี Steep Climb ส่วนมากเป็น Flat Walk

เริ่มจากการลง ลง ลง แบบเป็นขั้นบันไดในป่า


ต่อด้วยการลง ลง ลง ทางลาดที่ชันมาก เป็นฝุ่น ๆ ทางเดินก็แคบ
ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง และทุ่งข้าวฟ่าง
ที่ไม่มีร่มเงาให้พักใจเลยซักกะนิด....




พอเข้าไปหลบร่มได้บ้าง ก็เวลามีบ้านหลังเล็ก ๆ นี่แหละ


ยังดี ที่มีวิวสวย ๆ ให้ชมตลอดทางพอเป็นกำลังใจ



มาถึงตอนนี้เรากับ Sanu เริ่มมีปัญหาเรื่องการบอกเวลากัน
เนื่องจากตลอดทางมันไม่มีร่มเลย เรากับเพื่อนเลยไม่ยอมพักกัน
ก็แหม จะให้เหมือนฝรั่งนั่งพักตากแดดได้ยังไง

ที่มีปัญหาเรื่องการบอกเวลาคือ Sanu จะบอกว่า "3 more minutes to rest area" ซึ่งพวกเราเดินไปเกือบ 15 นาที ก็ยังไม่ถึง พอถาม ก็จะบอกเหมือนเดิม "a couple more minutes" ... เซ็ง

เถียงกันเรื่อง a couple more minutes ได้ไม่นาน เราก็มาถึง Rest Area
ซึ่งเป็น Rest Area ที่ "ไม่มีร่ม" เลยค๊าาา....
ฝรั่งก็นั่งตากแดดชื่นมื่นกันไปสิ เรากับเพื่อนต้องเข้าไปนั่งหลบแดดด้านในตึก


วิวที่ Rest Area นี่เทพมาก มิน่าฝรั่งเลยยอมมานั่งตากแดด



ขณะเรากับเพื่อนถ่ายรูปอยู่ Sanu เดินยิ้มร่ามาชี้ให้พวกเราดูว่า Chhomrong อยู่ไปนู๊นนนนนน ...
พร้อมกับชี้หมู่บ้านที่อยู่ลิบ ๆ ให้ดูว่า นั่นคือ Gurjung Village ที่ทานอาหารกลางวัน


วันนี้เดินวันที่ 5 กฏข้อนึงที่เราจำใส่ไว้ในหัวคือ "ยิ่งเราเดินลงมากเท่าไร เดี๋ยวเราก็ต้องขึ้นมากเท่านั้น" 
ซึ่งมันก็เป็นจริง....พอนึกถึงกฏข้อนี้ได้ ถึงขั้นปาดเหงื่อกันทีเดียว

ช่วงที่เราเดินลงกันอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางแดดเปรี้ยง เวลาเห็นนักท่องเที่ยวที่เดินขึ้นสวนขึ้นมา เราจะรู้สึกเห็นใจมาก เพราะขนาดทางที่เราลงมายังทั้งลาดชันทั้งร้อนมาก ๆ นึกภาพถ้าเราต้องเดินขึ้นทางนี้ ตายแน่ ๆ

การเดิน Trekking ที่เนปาลนี่มหัศจรรย์กว่าที่ไหน ๆ ที่เคยไป แค่ผ่านมา 5 วัน ทุกวันวิวที่นี่ก็ยังสามารถทำให้พวกเราตื่นเต้นอยู่เสมอ เปลี่ยนไปไม่ซ้ำกัน ตั้งแต่ในป่าที่มีมอสเฟิร์นขึ้นเพียบ ป่าสน ป่าต้นเมเปิ้ลที่มีใบไม้สีเหลืองแดงเต็มไปหมด จนถึงวันนี้ที่เต็มไปด้วทุ่งข้าวฟ่างและแปลงผักของเกษตรกร รวมไปถึงน้ำตกเล็กน้ำตกน้อย สายน้ำต่าง ๆ ไหลยาวมาจากหิมาลัยจนคดเคี้ยวไปสุดสายตา

รื่นรมย์ได้ไม่นาน พอข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเท่านั้น....ชะตากรรมแห่งการขึ้นก็มาถึง

แว่บแรกที่เห็นทางขึ้น หันไปถาม Sanu ทันทีว่าไหนบอกว่าจะไม่มี Steep Climb ไง
Sanu หันมาตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า "This is not steep climb, steep climb is only in Ulleri"
ปร๊าดด....ค้นพบแล้วว่า นอกจากเราจะมีปัญหาการสื่อสารเรื่องเวลาแล้ว 
เรายังตีความหมายของคำว่า "Steep Climb" ต่างกันอีก

เป็นจริงดังใจหวั่น ทางขึ้นหฤโหดวันนี้ทำให้ Ulleri เมื่อวันแรกเป็นอนุบาลไปเลย มีทั้งขั้นบันได ทางลาดขึ้นอย่างชันที่มีแต่ ขึ้น ๆ ๆ อย่างไร้จุดหมาย ก้อนหินใหญ่ ๆ ที่เราต้องปีนขึ้น หนักเข้าไปอีกว่า แทบจะไม่มีร่มเลย ซัก 95% ของการเดินตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวันนี้ มีแต่แดด แดด และแดด

เหมือนทุกครั้ง อาหารกลางวันที่ Gurjung จะเป็นสิ่งอื่นไปได้เช่นไร


ระหว่างทานอาหารกลางวันกันอยู่ ก็ได้ยินฝรั่งโต๊ะติดกับเราอุทาน "Oh My God" เสียงดังมาก...

ไวเท่าความคิด ความสอดรู้ในสันดานมิได้จางหายไปกับความเหนื่อย 
หันไปดูปรากฏว่า เป็นผู้หญิงที่เดินแซงเราลงมาจาก Tadapani เมื่อตอนเช้า เค้าถอดรองเท้าและถุงเท้าสองข้างเค้าออกมา ปรากฏว่า...เล็บหลุด...ค่ะ ทั้ง 10 นิ้วเลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ นิ้วเท้าเค้ากลายเป็นสีม่วงไปเลย สยดสยองมาก ไอ้เราก็พอจะพกพลาสเตอร์มาบ้างแต่ดันอยู่กะลูกหาบซึ่งเดินหายลิ่วไปไกลแล้ว สงสารเค้าจังเลยอะ ผู้หญิงดูเจ็บเท้ามาก ๆ สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนจากรองเท้า Trekking มาใส่รองเท้าแตะคีบแทน

Sanu บอกว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเค้าเดินลงมาเร็วเกินไป และรองเท้าเค้าคับเกินไป ทำให้นิ้วเท้าด้านหน้าชนกับหัวรองเท้าอยู่ตลอดเวลา ตอนชนแรก ๆ อาจจะเจ็บ แต่ถ้าทนต่อไปมันจะชาจนม่วงเป็นแบบนี้ Sanu บอกเกิดขึ้นประจำกับคนที่ซื้อรองเท้าขนาดไม่พอดีมา

เราใช้เวลาทานอาหารกลางวันไม่ถึง 40 นาที ก็ตัดสินใจออกเดินทางกันต่อเพราะจากทางที่เห็นคาดว่าบ่ายนี้คงจะสาหัสมากเช่นกัน

เส้นทางสุดหฤโหดในวันนี้มีข้อดี ทำให้เราสามารถแยกอุจจาระของสัตว์ได้ว่าอันไหนของม้า อันไหนของลา อันไหนของวัว อันไหนของควาย อันไหนของแพะ จากสภาพที่เห็น เพราะทางวันนี้มันไม่ใช่แค่ความลาดชัน แต่เราจะต้องเดินหลบกับระเบิดพวกนี้อย่างระมัดระวัง...คาดว่ามารอบหน้าอาจจะจำแนกได้จากกลิ่น

มาถึงทางเข้า Chhomrong ตอน 15:30 น. (ใช้เวลาเดินเป็นประวัติศาสตร์ เกือบ 8 ชั่วโมง!! โอ้วแม่จ้าววว)

สภาพตอนมาถึงทางเข้าหมู่บ้านเหมือนซากศพเดินได้ จนสามารถรับรู้ถึงสายตาแห่งความเวทนาในสภาพของพวกเราจากชาวบ้านและนักท่องเที่ยวรอบ ๆ 

พอก้าวถึงประตูหมู่บ้าน พวกเราก็ดีใจว่า ถึงแร้ววว 
แต่ Sanu บอกยังไม่ใช่....ต้องเดินไปอีก 10 นาที
ที่พักของพวกเราต้องเดินไปอีกจนเกือบสุดหมู่บ้านเพราะพวกเราขอ "The Best View"...โอเค เถียงไม่ได้

ผ่าน Guest House อื่น ๆ ไป


ก่อนเป็น Walking Death มาถึงที่พักของเรา International Guest House


วิวสวย ๆ ของหิมาลัยยังคงเป็นยาวิเศษที่สามารถเยียวยาความเหนื่อยล้าและปวดเมื่อยของเราได้เป็นอย่างดี





Sanu กับ San Jay มาขอโทษขอโพยว่าวันนี้เค้าไม่สามารถล็อคห้องวิวสวยให้เราเพราะมีคนจองไปก่อน ซึ่งเรากับเพื่อนก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย วิวนอกห้องสวยขนาดนี้ เราก็โชคดีมากแล้ว

อาบน้ำวันนี้ 150 Rp แล้วหล่ะ แต่เราก็ต้องอาบ ตากแดดกันซะ

ก่อนทานอาหารเย็น Sanu เรียกเรากับเพื่อนมาดูแผนที่กันอีกครั้ง พร้อมอธิบายเส้นทางการเดินของพวกเราจาก Chhomrong ไปจนถึง Base Camp ว่าเป็นยังไงและบอกว่าให้เราฝากของใช้ที่ไม่จำเป็นไว้ที่ Chhomrong แล้วค่อยกลับมาเอา San Jay จะได้ไม่ต้องแบกของหนักเกินไป ซึ่งพวกเราก็เห็นด้วยว่าควรทำอย่างนั้น


คืนพรุ่งนี้ พวกเราจะต้องไปค้างกันที่ Dovan ... พูดพลาง Sanu ก็ชี้นิ้วไปบอกว่า อยู่โน่น (หลังเขานั่นไปอีก)


ภาพที่เห็น ณ ขณะนั้น ซึ่งกล้องอาจจับภาพมาไม่ได้คือ ทางลาดขึ้น ๆ ๆ ๆ แสนชัน ไร้ร่มเงาไม้ใด ๆ

Sanu ซ้ำเติมอาการช็อคด้วยกันบอกว่า พรุ่งนี้พวกเราจะต้องเดินทำเวลาเพื่อไปทานข้าวกลางวันที่หมู่บ้าน Bamboo ย้ำอีกว่า "Everybody does that" ขอไม่ให้พวกเราเดินชมนกชมไม้ถ่ายรูปเอื่อยเฉื่อยแบบวันนี้อีก เพราะทางเดินพรุ่งนี้ค่อนข้างโหดและไกล.....

แอบกรี๊ดเล็ก ๆ ในใจว่าวันนี้ขนาด(มรึง)บอกว่า Flat Walk กรูก็จะตาย(ห้า)อยู่แล้ว !!! แล้วสำหรับพรุ่งนี้เมริงก็พูดคำเดิม "Flat walk" แต่บอกให้พวกเราทำเวลาหน่อย

...หันมาบ่นกับเพื่อนด้วยประโยคยอดฮิตประจำทริป "พรุ่งนี้กรูจะรอดไม๊(วะ)คะ"

ย๊างง ยังไม่พอ Sanu ยังบอกอีกว่า พรุ่งนี้ขอให้เราเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า!!
วันนี้พวกเราออก 8 โมง เดินซะเกือบ 8 ชั่วโมง แสดงว่าพรุ่งนี้มันต้องโหดหินของจริงอะเด๊....!!
หัวเข่าชั้นที่เริ่มปวดตะหงิด ๆ จากทางลงตอนเช้า กับน่องที่ระเบิดไปนานแล้วจะเป็นยังไงบ้างว๊าา พรุ่งนี้

ห้องอาหารค่ำ...ให้เราทำใจก่อนนอน


อาหารค่ำมื้อนี้ ไม่รู้เรากับเพื่อนสั่งไปได้ยังไง 
จานแรกพิซซ่า...รสชาติพอทน


จานที่สองนี่แหละปัญหา...
เราสั่ง Spaghetti Bolognese....แต่สิ่งที่ได้มาคือ


สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมา และเรียนที่อิตาลี ชั้นรู้จัก Spaghetti Bolognese ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนี้
เรียกเจ้าของ Guest House มาต่อว่าว่านี่มันไม่ใช่ Spaghetti Bolognese แน่นอน 
แต่เจ้าของยืนยันว่า นี่แหละ Spaghetti Bolognese พร้อมกับเรียกบรรดาคนในครัวออกมายืนยัน
ว่าไอ้เส้นสปาเกตตี้ครีม ๆ และไข่ต้มนี่คือ Spaghetti Bolognese...โอเคจบข่าวและการโต้เถียง

ขอสิ้นสุดวันอันโหดร้ายเตรียมรับวันอันโหดกว่าด้วย Chhomrong Spaghetti Bolognese




Create Date : 25 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2555 0:39:37 น.
Counter : 1246 Pageviews.

1 comments
  
แวะมาเก็บข้อมูลค่ะ
โดย: never the last วันที่: 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา:7:48:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนอย่างว่า
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



พื้นที่ขีด ๆ เขียน ๆ