บทที่ ๒๒ อรุณรุ่งของวันใหม่
บทที่ ๒๒ อรุณรุ่งของวันใหม่

“ผมไม่ได้ไปศรีสะเกษ แต่ว่าขึ้นไปที่ขอนแก่นแทน เดินทางไปตามหาเจ้าของจดหมายฉบับนี้ ก่อนที่ผมจะได้พบกับ...” ชายหนุ่มหยุดกึกในฉับพลัน ก่อนที่ใบหน้าเขาจะบิดเบี้ยว หยดน้ำตารินไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง

“ก่อนที่ผมจะได้พบกับแม่ของผม...แม่ที่ให้กำเนิดผม” ชายหนุ่มบอกเสียงสั่นทั้งน้ำตานองหน้า

“แล้ว...จันทร์หอมว่าอย่างไรบ้างเมื่อได้พบเธอ และรู้ว่าเธอรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านถามขึ้นก่อนหยิบเอายาสูบมาจุด ควันสีขาวพุ่งออกจากปากและจมูกเมื่อชายสูงวัยถอนหายใจยาว

“ผมเค้นเอาคำตอบจนได้รู้ความจริงทั้งหมด แม่ร้องไห้...และบอกเพียงว่าขอโทษ แต่ผมไม่เคยคิดโทษท่านเลยแม้แต่น้อย คนในบ้านคานพิภพมากกว่าที่สมควรจะต้องได้รับโทษ” น้ำเสียงที่อ่อนล้ากลับกลายเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา ดวงตาของวสันต์ดุดันน่ากลัวราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อให้ตายคามือ

“ผมบอกลาแม่ ว่าจะกลับไปเยี่ยมคุณปู่ของพ่อศักดิ์ที่ศรีสะเกษ แต่ที่จริงแล้วผมย้อนกลับมาที่บ้านคานพิภพ และสังหารสกาวเดือน” วสันต์หันมายิ้มเหยียดหยันใส่หน้านายทรงพลที่นั่งกำมือแน่นด้วยความรวดร้าว

“ผมเอาไม้ตีหัวเธอ แต่เธอก็ยังไม่ตาย เพียงแค่สลบไม่ได้สติ จากนั้นผมจึงวิ่งกลับมายังเรือนฝั่งซ้ายเพื่อเอาเชือกไปแขวนคอสกาวเดือน และระหว่างที่เชือกรัดคอเธออยู่นั้น สกาวเดือนก็ได้สติขึ้นมา...ผมได้แต่ยืนมองเธอดิ้นพรวดพราดอย่างทุรนทุราย เหมือนกับหนูตัวน้อยๆ ที่ถูกโยนลงใส่กองไฟ จนเธอขาดใจตายไปในที่สุด...”

อรอนงค์เอามือปาดน้ำตาออกเบาๆ พร้อมกับสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากจะรับรู้เรื่องราวอันแสนโหดร้ายเหล่านี้เลย เฉกเช่นทุกร่างที่นั่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ หากแต่ว่าความจริงก็ต้องเป็นความจริง... เราทุกคนต่างก็หลีกหนีมันไปไม่พ้น

“แล้วคุณยายผุสดี บุญยืน และบัวเรียว ไม่รู้เห็นกับการตายของสกาวเดือนในครั้งนี้เหรอ?” ผู้หมวดอำพลย่นคิ้ว วสันต์สะบัดศีรษะไปมาอย่างแรง

“ไม่ครับ...ผมฆ่าเธอคนเดียว ไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้เลย พอผมฆ่าเธอเสร็จก็รีบวิ่งกลับไปพักที่กระท่อมๆ เล็ก ที่ปลูกอยู่ท้ายหมู่บ้าน”

จบคำนางผุสดีก็รีบแทรกขึ้นทันที

“เมื่อดิฉันมาพบศพ จึงได้เขียนคำสาปแช่งลงไปในกระดาษแผ่นนั้น เพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว ดิฉันกับบัวเรียวทำทุกวิถีทางให้คานพิภพกริ่งเกรงและหวาดกลัวกับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไปในอดีต ทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังถูกทวงหาความยุติธรรม... บัวเรียวแกล้งทำเป็นถูกผีจันทร์หอมเข้าสิง ต่อมาฉันสั่งให้เธอปลอมตัวเป็นผีเพื่อปรากฎกายให้พวกคนงานที่มาในงานศพได้เห็น จากนั้น...ฉันก็ว่าจ้างให้คนทรงที่คุณหนูอรอนงค์ให้ดิฉันไปเรียกมาทำพิธี พูดในสิ่งที่ดิฉันต้องการให้คนภายนอกได้รับรู้....”

“แต่บุญยงค์บอกว่า ในคืนที่สกาวเดือนตาย เขายอมรับว่านัดกับเธอ แต่เมื่อไปถึงบ้านพักกลับไม่พบร่างสกาวเดือน แต่เผอิญไปเห็นคุณเศรษฐพงษ์วิ่งพรวดพราดออกมาจากดงไม้ บุญยงค์สะกดรอยตามไปก่อนจะเห็นคุณเศรษฐพงษ์กระโดดขึ้นหน้าต่างห้องตัวเอง... ช่วยบอกผมหน่อยสิครับว่า คุณมีส่วนรู้เห็นอะไรในการตายของสกาวเดือนรึเปล่า” สีหน้าอัศวินคาดคั้นจริงจัง

ชายหนุ่มรูปงามเงยหน้าขึ้นมองวสันต์ ดวงตาอันหวาดกลัวคล้ายสุนัขที่กำลังจนตรอกทำให้ฟ้าฉายอดเห็นใจไม่ได้ หากคุณยายผุสดี บัวเรียวและบุญยงค์ไม่รู้เห็นกับการฆาตกรรมครั้งแรก แล้ววสันต์จะรู้ได้ยังไงว่าคืนนั้นบุญยงค์จะนัดพบสกาวเดือน... ถ้าหากว่าเศรษฐพงษ์ไม่เป็นคนส่งข่าวนี้ให้กับเขา

“บอกพวกเรามาเถอะเศรษฐพงษ์ว่าคุณเกี่ยวข้องกับเรื่องนึ้รึเปล่า โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา...”

ชายหนุ่มผู้สืบทอดสกุลคานพิภพก้มหน้าร้องไห้ อัศวินไม่อยากบีบเขา อยากให้เขาสารภาพออกมาด้วยปากของเขาเองมากกว่า ขณะที่วสันต์สั่นศีรษะไม่ให้ชายหนุ่มที่เขาคิดเกินกว่าพี่ชายบอกความจริงทั้งหมด เศรษฐพงษ์ก็ตัดสินใจเปิดปากพูดในที่สุด

“ในตอนนั้น...วสันต์ย่องมาหาผมที่ห้อง เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าคุณพ่อของผมก็คือพ่อแท้ๆ ของเขาด้วย... เขาบอกว่าจะสังหารสกาวเดือน แม้ผมจะห้ามสักแค่ไหนเขาก็ไม่ฟังเลย เป็นความผิดผมเอง...มันเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ขัดขวางเขา !” เศรษฐพงษ์ร้องไห้โฮอย่างไม่ลืมหูลืมตา วสันต์ได้แต่ขบกรามแน่นทั้งน้ำตานองหน้า

“สรุปว่า คืนที่สกาวเดือนถูกฆ่าตาย คุณได้ช่วยเขาฆ่าเหยื่อมั้ยครับ?” ผู้หมวดอำพลถามตรงๆ

“ไม่ครับ พี่พงษ์ไม่ได้ฆ่าสกาวเดือน เมื่อผมจัดการผูกเธอไว้กับต้นไทรย้อยเสร็จพี่พงษ์ถึงวิ่งมาดู...”

วสันต์บอกเสียงแหบพร่า ความจริงจะเป็นเช่นไรนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด วสันต์อาจจะพูดปดเพื่อต้องการปกป้องเศรษฐพงษ์ไว้ หรือทั้งสองคนอาจจะพูดความจริง... ก็สุดที่จะรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ เศรษฐพงษ์ ผุสดี และ บุญยืน รู้เรื่องการตายของสกาวเดือนในครั้งนี้ แต่พวกเขากลับปิดปากเงียบ จนกระทั่งบุญยงค์มาพบศพ... หลังจากที่วสันต์ฆ่าสกาวเดือนแล้ว บุญยืนอาจจะมาช่วยเขาเอาเชือกผูกคอเหยื่อแล้วดึงขึ้นไปห้อยบนต้นไทรย้อยก็เป็นได้ หรือในขณะนั้นนางผุสดีก็อาจจะยืนยิ้มหยัน มองลูกของศัตรูขาดใจตายอย่างทุกข์ทรมาน พอเธอสิ้นใจจึงทิ้งกระดาษที่เขียนคำสาปแช่งตระกูลคานพิภพไว้ เหมือนกับที่ทั้งหมดทำคราวเกิดเรื่องจันทร์หอม ฟ้าฉายไม่อยากคาดเดาอะไรอีกต่อไปแล้ว... ปริศนาฆาตกรรมรายแรก ปิดฉากลงแล้ว !

“แล้วในคืนที่...นายบุกเข้ามาในห้องนายท่านเหมราชล่ะ...มีจุดประสงค์อะไร?”อัศวินจ้องหน้าจำเลยหนุ่ม วสันต์ปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ ก่อนขบริมฝีปากล่างตัวเองเบาๆ

“ผมอยากให้ท่านรู้ว่าผมเป็นใคร เพราะท่านก็เคยข่มเหงรังแกน้ำใจคุณแม่จันทร์หอมเช่นกัน ผมบอกท่านว่าจะล้างแค้นแทนแม่ จะฆ่าลูกหลานของท่านให้หมดทุกคน และจะเปิดโปงความชั่วร้ายที่พวกคานพิภพได้ทำกับแม่ผมเอาไว้”

“แล้วทำไมพอพวกเราออกตามหาถึงไม่พบตัวคุณ คุณไปซ่อนที่ไหน?” ผู้ใหญ่บ้านหรี่ตามอง ฟ้าฉายถอนหายใจอีกครั้งก่อนเงยหน้าขึ้นสูง

“ความจริงแล้ว...ตอนที่ฟ้ากับพวกคนงานไปค้นห้องพี่พงษ์ ฟ้าคิดว่าวสันต์ซ่อนตัวอยู่ในนั้นค่ะ แต่เพราะความไม่แน่ใจเลยไม่กล้าบอกใคร ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

หญิงสาวก้มหน้าน้อยๆ หากเธอตัดสินใจบอกทุกคนในคราวนั้น แสงดาวคงไม่ต้องมาเสียชีวิตเป็นศพรายที่สอง เพราะความเห็นใจและสงสารที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ ก็ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเธอลดน้อยถอยลงไป เธอไม่น่าปล่อยให้เขารอดไปเลยฟ้าฉาย !

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคุณเศรษฐพงษ์ให้ที่ซ่อนแก่คุณวสันต์ แล้วการฆาตกรรมครั้งที่สองหละครับ” อัศวินกวาดสายตามองวสันต์ เศรษฐพงษ์ นางผุสดี และบุญยืน

“ไม่มีใครรู้เห็นหรือให้ความร่วมมือกับผมในการฆ่าแสงดาวครับ...ไม่มี” วสันต์บอกหนักแน่น

“จะมีหรือไม่มี เราก็ต้องหาหลักฐานและสอบปากคำอีกครั้งเมื่อรุ่งสาง” ผู้หมวดอำพลแทรกขึ้น

ดูเหมือนว่าอะไรๆ จะง่ายขึ้นแล้ว เสียงไก่ที่โก่งคอขันทำให้ทุกร่างต้องถอนหายใจออกพร้อมกัน... เวลาย่างเข้าตีสี่กว่าแล้ว พวกชาวบ้านยังคงนั่งเฝ้าฆาตกรหนุ่มอยู่บนเรือนคานพิภพ ขณะที่ฟ้าฉายสาวเท้าเดินลงบันไดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง อากาศช่วงรอยต่อของเวลากลางคืนกับกลางวันหนาวเหน็บกว่าปกติ หญิงสาวทรุดนั่งอยู่ที่บันไดหน้าเรือน สองตาเบิกมองท้องฟ้าทิศตะวันออก ไม่นานนักแสงสีเหลืองอมส้มก็ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นมา ระบายลงบนก้อนเมฆที่ลอยละลิ่วอยู่ประปราย กระจัดกระจายอยู่ทั่วโค้งฟ้า กลุ่มสกุณามากมายโผบินออกหากินในยามรุ่งสาง ทิวหมอกสีขาวโพลนยังคงจับกลุ่มกันอยู่เหนือผืนนาและชายป่ารอบหมู่บ้าน ก่อนที่ดวงตากลมใสจะเบิกกว้างขึ้นมาอย่างฉับพลันเมื่อเห็นรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งวิ่งฝ่ากระแสหมอกตรงเข้ามายังบ้านคานพิภพ

“คุณพ่อ...” ฟ้าฉายว่าเสียงกระซิบ ร่างระหงหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนวิ่งลงบันไดไปด้วยรอยยิ้ม รถยนต์คันงามจอดลงตรงลานโล่งหน้าเรือน คนบนเรือนค่อยๆ เดินกันลงมาดู

“ฟ้าฉาย...” นายวชิระคลี่ยิ้มด้วยความโล่งใจเมื่อได้เห็นดวงหน้านวลเนียนของลูกสาว ร่างระหงตรงเข้าไปสวมกอดบิดาไว้แน่น แนบใบหน้าลงกับบ่าของผู้เป็นพ่อขณะที่อีกฝ่ายเอามือลูบแผ่นหลังเธอเบาๆ

“ฟ้ารู้ว่าพ่อต้องมา...” ฟ้าฉายกระซิบพูดกับบิดาที่ข้างหูก่อนถอนอ้อมกอดออกมา สองตาประสานกันแน่นิ่ง

นายวชิระคลี่ยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง เอามือลูบหัวลูกสาวจอมดื้อรั้นของเขา “ก็เรามันเป็นแบบนี้จะไม่ให้พ่อตามมาได้ยังไง พ่อมีลูกสาวคนเดียว นับจากแม่ของลูก ลูกคือผู้หญิงอีกคนที่พ่อรักมากกว่าชีวิตของพ่อเอง” คำพูดอันซาบซึ้งใจที่ยินทำให้คนฟังน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะกลั้นมันไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นายวชิระเอานิ้วปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของลูกสาวเบาๆ จากนั้นจึงหันไปส่งยิ้มให้กับสหายเก่าที่ไม่ได้เจอหน้ากันเนิ่นนานปี

“สบายดีเหรอไอ้พล...” ผู้หมวดอำพลทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้น ตรงปรี่เข้ามากอดเพื่อนรักไว้แน่นด้วยความคิดถึง

“เรื่องมันจบแล้ววชิระ...” บอกก่อนถอนอ้อมกอดออกมา

“เพราะได้ลูกสาวเอ็งกับลูกชายข้า เรื่องมันถึงจบลงเสียที” คนพูดหัวเราะร่าเสียงดัง อัศวินรีบตะลีตะลานวิ่งลงบันไดมาอย่างทุลักทุเล เมื่อเห็นนายตำรวจสูงวัยที่ยืนอยู่เคียงข้างบิดาจึงรีบยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อม

“สวัสดีครับคุณพ่อ ผมอัศวินครับ...” ชายหนุ่มบอกเสียงใสพร้อมรอยยิ้ม

“เรียกลุงเฉยๆ ก็ได้มั้ง...” พันตำรวจโทวชิระจุดยิ้มมุมปากก่อนหันไปมองลูกสาวที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างหลัง

“มีอะไรกันรึเปล่าเนี่ย...” ว่าพร้อมมองอัศวินกับฟ้าฉายสลับไปมาอย่างมีเลศนัยน์

“ไม่ค่ะ...ไม่มีอะไร” ฟ้าฉายตอบอ้อมแอ้ม

“ตอนนี้ไม่มีอะไร แต่ต่อไปไม่แน่ครับ” อัศวินกระเซ้าเสียงหวานก่อนที่ชายสูงวัยจะหันมาทำตาเขียวใส่จนเขาต้องหัวหด

“เอ่อ...คุณพ่อคะ แล้วเธอได้มาด้วยรึเปล่า?...” ฟ้าฉายเลิกคิ้วถามบิดา นายวชิระหันไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ก่อนที่หญิงสาวภายในจะเปิดประตูรถออกมา ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาทำให้ความงดงามเลือนลางจางหายลงไปมาก หากแต่เอกลักษณ์บนใบหน้า ทั้งรูปปาก สันจมูก เรียวคิ้ว ก็คล้ายคลึงฟ้าฉายราวกับพิมพ์เดียว

หญิงสาวจ้องมองสตรีวัยสี่สิบกว่าปีที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอสวมผ้าฝ้ายสีขาวและผ้าซิ่นสีเขียวหม่นๆ ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความอัดอั้นและทุกข์ตรม ฟ้าฉายรีบตรงปรี่เข้าไปหาจันทร์หอมด้วยความปิติยินดี

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อฟ้าฉาย แล้วคุณ...”

“ฉัน จันทร์หอมจ้ะ...” จันทร์หอมคลี่ยิ้มบางๆ สำหรับเธอแล้ว... ไม่เคยคิดที่จะหวนกลับคืนมาบ้านนี้อีกนับแต่วันนั้น วันที่เธอเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะความรังเกียจชิงชังของคนในบ้านนี้

“ตลอดเวลาที่ฉันอยู่ที่นี่ ในหัวของฉันอัดแน่นไปด้วยความสงสัยในเรื่องราวของคุณ...รออยู่ที่นี่นะคะ เดี๋ยวฉันมา” ฟ้าฉายกำชับ ก่อนเอี้ยวตัวหันหลังกลับ ตรงไปหาบัวเรียวและคว้ามือหญิงแม่บ้านไปยังเรือนพักหลังเล็กที่อยู่หลังสวนดอกไม้

ภูมิพงษ์ค่อยๆ สาวเท้าลงมาจากบันได สองตาของเขาเอาแต่จ้องมองหญิงสาวที่จากบ้านคานพิภพไปกว่ายี่สิบปีอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา หญิงสาวที่เขาข่มเหงน้ำใจเธอ...

เมื่อได้เห็นหน้าจันทร์หอมแล้ว ทั้งนางไพรินทร์และนายทรงพลก็ทรุดฮวบลงที่หน้าเรือนพร้อมๆ กัน สายตาของหญิงรับใช้ที่จากบ้านคานพิภพไปนานไม่ได้แฝงไปด้วยความอาฆาตพยาบาทเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เธอกลับทอดมองพวกเขา ผู้เป็นนายด้วยความสงสารและสลดใจ... จนกระทั่งตำรวจพาวสันต์เดินลงบันไดมาพบเธอ

ผู้เป็นแม่วิ่งทั้งน้ำตาไปสวมกอดลูกชายคนเดียวของเธอไว้แน่น วสันต์เอาสองมือที่ถูกใส่กุญแจมือพนมก้มกราบแทบเท้าจันทร์หอมด้วยความสำนึกในบุญคุณ และเพื่อขอโทษในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปทั้งหมดทั้งมวล ทั้งนางผุสดีและบุญยืนตรงเข้าสวมกอดทั้งสองแม่ลูกไว้ทั้งน้ำตา... เป็นภาพที่ทั้งน่าเวทนาและน่าประทับใจ ในคราวเดียวกัน


ฟ้าฉายและบัวเรียวรีบจูงมือนายพัฒน์ตรงมายังกลางลานหน้าเรือนคานพิภพหลังใหญ่ นายพัฒน์กวาดสายตามองผู้คนมากมายด้วยความตกใจปนตื่นเต้น ดวงตาอันตื่นตระหนกหันมาหาฟ้าฉาย

“เธอจะพาฉันมาพบใคร...” เขาหันมาถามขณะฟ้าฉายจูงมือเขามาใกล้ๆ จันทร์หอมที่นั่งลูบหัวลูกชายอยู่เบาๆ

“คุณจันทร์หอมคะ...” ฟ้าฉายตะโกนก้อง ทุกร่างต่างหันขวับมาที่เธอพร้อมกัน พร้อมกับจันทร์หอมที่จ้องมองผู้ชายที่เธอรักที่สุดด้วยความดีใจ

“เธอ...” สองตาของนายพัฒน์จ้องนิ่งไปที่ดวงหน้างดงามอันผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน หากแต่ว่ารอยยิ้มและแววตาคู่นั้นของเธอ เขากลับไม่มีวันลืม !

“จันทร์หอม...เธอจริงๆ ด้วย” นายพัฒน์โผเข้าไปสวมกอดจันทร์หอมขณะที่เธอสอดประสานสองแขนโอบรั้งแผ่นหลังของเขาไว้แน่นด้วยหัวใจที่ถวิลหาทุกคืนวัน

ฟ้าฉายจ้องมองพวกเขาทั้งสองด้วยความปลื้มใจ อย่างน้อยทั้งจันทร์หอมและพัฒน์ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง บัวเรียวที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด หญิงแม่บ้านหันมาหาฟ้าฉาย ยกมือไหว้เธอทั้งน้ำตาจนอีกฝ่ายแทบยกมือขึ้นรับไหว้ไม่ทัน

“ขอบคุณคุณฟ้าฉายมากนะคะ... หากไม่ได้คุณ ก็คงจะไม่มีวันนี้ คุณเป็นดังเช่นแสงสว่างเหมือนชื่อของคุณ... งดงามทั้งรูปกายและจิตใจ...”

“บัวเรียว...” ฟ้าฉายลากเสียงยาวพร้อมรอยยิ้ม บัวเรียวโผเข้าสวมกอดเธอไว้แน่น

“ต่อจากนี้ไป ฉันฝากให้บัวเรียวช่วยดูแลอรอนงค์ด้วยนะ ฉันรู้ว่าทั้งบัวเรียวและคุณยายผุสดีคงเข้าใจว่าอรอนงค์ไม่รู้เห็นเรื่องราวในอดีต ฝากอรอนงค์ด้วยนะ...”

บัวเรียวเงยหน้าขึ้นมองฟ้าฉายด้วยสีหน้าจริงจัง “ค่ะ...บัวเรียวจะดูแลคุณอรอนงค์เป็นอย่างดี”

“ขอบใจมากจ้ะ” ฟ้าฉายตบไหล่เธอเบาๆ ก่อนเบิกตาหันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนน้ำตาซึมกับภาพที่เธอได้เห็นตรงหน้า เศรษฐพงษ์เดินลงบันได้มาคล้ายคนที่ไร้ซึ่งวิญญาณ สองพี่น้องหันมาสบสายตากันก่อนโผกอดกันทั้งน้ำตา



ฟ้าฉายทอดสายตามองต้นยางนาที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวกลางท้องทุ่งที่อ้างว้างกลางฤดูหนาวอันแสนหนาวเหน็บ รถยนต์ของบิดาแล่นออกจากบ้านคานพิภพในอีกสามวันให้หลัง นับจากวันที่เรื่องทุกอย่างคลี่คลายลง หญิงสาวอยู่ช่วยงานศพแม่ชีขจีเกศและแสงดาวซึ่งจัดขึ้นพร้อมกันก่อนลากลับขอนแก่นพร้อมกับบิดา

บัดนี้ร่างระหงนั่งเอาศีรษะซบลงกับขอบกระจกรถ ดวงตาอันอ่อนล้าเหม่อมองแสงแดดสีเหลืองทองอันแสบจ้ายามบ่ายแก่ๆ ขณะที่นายวชิระหันมาเมียงมองลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาพร้อมรอยยิ้มเป็นระยะ

“พ่อคะ...หนูมีเรื่องจะเล่าให้พ่อฟังด้วยแหละ รับรองว่าสนุกกว่าทุกเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้ฟ้าเลย” หญิงสาวขยับตัวให้นั่งตรงๆ หันมาสนทนากับบิดาที่นั่งอยู่เคียงข้าง

“ว่ามาสิลูก...” นายวชิระตอบ ก่อนที่หญิงสาวจะสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ สองตากลมใสจ้องมองถนนเบื้องหน้าที่ทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

“ที่เมืองๆ หนึ่งมีตระกูลเศรษฐีอยู่ตระกูลหนึ่ง ปลูกเรือนทรงไทยหลังงามติดลำน้ำโขง เศรษฐีคนนั้นมีลูกสามคน และอยู่มาวันหนึ่งลูกชายคนกลางของเขาก็ได้ไปข่มขืนหญิงรับใช้ในบ้านเข้า จนเธอเกิดตั้งท้อง มิหนำซ้ำ สามีของลูกสาวคนที่สามยังคอยหาโอกาสที่จะข่มเหงรังแกหญิงรับใช้คนนั้นเช่นกัน จนเมื่อคนงานเก่าแก่ซึ่งเป็นป้าของหญิงรับใช้ที่ถูกข่มเหงรังแกนำเรื่องนี้ไปบอกแก่เศรษฐีเจ้าของบ้านด้วยความแค้นใจ แต่ผู้เป็นนายก็หาได้ใส่ใจไม่ ในคืนวันงานแต่งงานของลูกสาวคนสุดท้อง สามีของเธอหมายจะข่มขืนหญิงผู้นั้น หากแต่คนรักของหญิงคนนั้นก็มาพบเข้าเสียก่อน แต่เขาก็พลาดท่าถูกไอ้คนใจชั่วเอาไม้ตีหัวจนสลบ มันลากเธอจากจุดที่ต่อสู้กันกับชายคนรักของเธอ มายังศาลาเก่าๆ ใกล้ทางลงไปสู่แม่น้ำโขงหมายจะข่มขืนเธอ แต่ว่า...ลูกสาวคนสุดท้องและภรรยาของลูกชายคนที่สองของเศรษฐีผู้นั้นก็มาพบเข้าเสียก่อน เธอทั้งสองไล่ให้ชายคนนั้นกลับไป และพวกเธอก็จัดการมัดร่างหญิงรับใช้คนนั้นก่อนโยนลงสู่แม่น้ำโขง...” หญิงสาวค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมาช้าๆ นายวชิระหันมาจ้องมองดวงหน้านวลเนียนที่เรียบเฉยครู่หนึ่ง

“แต่ว่า...ก็มีหญิงรับใช้อีกคน คุณป้าเธอและชายคนงานที่หวังดีกับเธอ ช่วยเธอเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด พวกเขาส่งเธอกลับบ้านเกิดและปิดบังเรื่องนี้มาเป็นเวลากว่ายี่สิบปี โดยทิ้งปริศนาอันน่าสะพรึงกลัวและคำสาปแช่งตระกูลคานพิภพเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง เพื่อที่จะไม่ให้พวกเขาลืมเลือนเรื่องนี้ จนต่อมา...ลูกสาวคนโตของเศรษฐีผู้นั้นเกิดแท้งลูก เธอปรารถนาที่จะมีลูกมาก เมื่อหญิงรับใช้เก่าแก่ทราบเรื่องจึงออกปากว่าจะหาเด็กที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกับที่เธอครบกำหนดคลอด โดยเธอต้องหนีไปต่างเมืองจนกว่าจะคลอด แล้วจากนั้นหญิงคนงานเก่าแก่ก็ไปนำลูกชายของหญิงรับใช้ที่ถูกปองร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด มาให้แก่ลูกสาวคนโตของเศรษฐีผู้นั้นเลี้ยงดู...”

“แล้วจากนั้นก็มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งจากขอนแก่นนำจดหมายจากหญิงรับใช้คนนั้นมาส่งให้กับลูกสาวคนโตของเศรษฐี โดยเธอหารู้ไม่ว่าภายในจดหมายฉบับนั้นมีความลับสำคัญซ่อนอยู่” คำพูดของบิดาทำให้หญิงสาวยกยิ้ม

“แต่ที่น่าสลดใจ...คือชายหนุ่มคนนั้นเกิดทราบเรื่องราวทั้งหมด เขาหมายจะล้างแค้นให้มารดาและเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต โดยสื่อผ่านสถานที่ๆ เขาฆ่าเหยื่อ การจัดวางตำแหน่งศพ จากต้นไทรย้อย สู่ศาลาทางลงแม่น้ำ และที่สุดท้ายเขาหมายจะทำ นั่นคือโยนเหยื่อคนสุดท้ายลงสู่แม่น้ำโขงเหมือนกับที่คนพวกนั้นทำกับแม่ของเขา แต่ว่า...หญิงสาวผู้นั้นกับตำรวจหนุ่มเซ่อๆ คนหนึ่งก็ขัดขวางเขาได้ในที่สุด” จบประโยค ผู้เป็นพ่อก็หัวเราะร่าเสียงดังอย่างชอบอกชอบใจก่อนที่ฟ้าฉายจะหันมามองดวงหน้าบิดาอย่างจริงจัง

“คุณพ่อคะ...คืออัศวินเขาบอกว่า...อยากจะย้ายมาที่ขอนแก่นน่ะค่ะ คุณพ่อพอจะ....” ยังไม่ทันจะพูดจบอีกฝ่ายก็แทรกขึ้นทันที

“ลูกชอบหมอนั่นเหรอ?...” คำถามเถรตรงที่ฟ้าฉายได้รับจากบิดาเสมอมาทำให้หญิงสาวกล้าผายยิ้มกว้างอย่างไม่อาย

“เขาก็ไม่เลวนี่คะ หรือพ่อว่าไง...”

“พ่อยังไงก็ได้ แล้วแต่ลูก...แต่ดูท่าหมอนั่นก็คงเสน่ห์แรงไม่เบาเหมือนกันนี่” ฟ้าฉายหัวเราะเบาๆ เมื่อบิดาพูดจบ

“ตำรวจก็เจ้าชู้ด้วยกันทุกคนนั่นแหละ...” ทำทีค้อนใส่บิดาก่อนหันจ้องมองบรรยากาศท้องทุ่งยามเย็นด้วยความเบิกบานใจ... อีกไม่กี่ชั่วโมงรถยนต์คันนี้ก็แล่นเข้าสู่เมืองขอนแก่นแล้ว



จันทร์หอมเดินทางกลับบ้านเมื่อเรื่องทุกอย่างจบสิ้นลง แต่ทว่าหลังจากนั้นผลกรรมก็ดำเนินไปตามวงล้อของมัน ภูมิพงษ์ยิงตัวตายในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา และห่างกันไม่ถึงเดือน นายท่านเหมราชก็จากไปด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน วสันต์ถูกพิพากษาจับคุกเป็นเวลาหลายสิบปี เช่นเดียวกับนางพิมพ์พา ส่วนทรงพลนั้นย้ายกลับไปพักอาศัยกับญาติพี่น้องในตัวเมืองหลังจากที่เขาไม่มีชื่อผู้ที่จะได้รับทรัพย์สมบัติในพินัยกรรมของตระกูลคานพิภพ
เศรษฐพงษ์ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง เก็บกระเป๋าเดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ ไพรินทร์ออกบวชชีหลังจากเสร็จสิ้นงานศพผู้เป็นบิดา กิจการทั้งสามของคานพิภพอันได้แก่ โรงไหม โรงไม้และโรงสี ตกมาสู่อรอนงค์ คานพิภพ เพียงผู้เดียว ด้วยพินัยกรรมของนายท่านเหมราช ที่เขียนไว้ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจไม่กี่วัน

เวลาผ่านไปราวสามเดือน... อรอนงค์ก็หมั้นกับชายหนุ่มผู้เป็นคู่หมาย หญิงสาวยังคงดูแลกิจการทั้งสามต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง...

และไม่นานนัก...อัศวินก็ได้ย้ายไปประจำการที่ขอนแก่นตามที่ใจต้องการ และตำรวจหนุ่มก็ได้รับการต้อนรับด้วยคดีฆาตกรรมอันพิลึกพิลั่นและน่าสะพรึงกลัว ในคืนที่เกิดจันทรุปราคา ชายหนุ่มสามคนในหมู่บ้านแถบชนบทอันห่างไกล ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ศพถูกหั่นอวัยวะออกเป็นชิ้นๆ สร้างความขนลุกขนพองให้กับผู้พบเห็น และหนึ่งในผู้ตายนั้นก็เป็นลูกชายของน้าสาวฟ้าฉาย...

ฟ้าฉายเดินทางกลับสู่บ้านเกิดของมารดา พร้อมกับนายตำรวจหนุ่มขี้เก๊กที่เกิดมีสาวบ้านนามาติดพัน เพื่อร่วมพิธีศพ ก่อนจะได้สืบหาเบาะแสและกระชากหน้ากากของฆาตกรอีกครั้ง... อย่างที่เธอคาดไม่ถึง

จบ



Create Date : 12 ธันวาคม 2554
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 21:30:06 น.
Counter : 1416 Pageviews.

14 comments
  
จบแล้วๆๆๆๆค่ะ สนุกมากค่ะ แต่จบแบบนี้จะมีตอนต่อเป็นซีรี่ย์ไหมค่ะ แต่อยากให้มีบทพระเอกมากอีกหน่อย นางเอกเด่นมาก ไม่ได้ให้พระเอกโชว์บ้างเลย แต่ชอบที่นางเอกไม่ดื้อจนเกินงามแบบในละครทั่วๆไปที่หาเรื่องใส่ตัวแบบไม่ปรึกษาใคร......สนุกมากค่ะ ปรบมือให้ๆค่ะ เย้ๆๆๆๆ ดังๆๆๆ
โดย: ณิญา IP: 110.77.205.129 วันที่: 12 ธันวาคม 2554 เวลา:22:01:27 น.
  
ครับ ขอบคุณมากครับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 13 ธันวาคม 2554 เวลา:10:24:09 น.
  
แปะๆๆ (จบมือ) จบแล้วๆๆๆ ชอบนางเอกนะคะ พระเอกไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ อ่านแล้วลุ้นมากๆ เขียนดีค่ะ ^^
โดย: มิน IP: 118.173.155.173 วันที่: 13 ธันวาคม 2554 เวลา:18:49:15 น.
  
ครับ ^^ ขอบคุณครับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 13 ธันวาคม 2554 เวลา:23:10:40 น.
  
You are the best!!!....thanks.
โดย: Jack IP: 12.110.192.178 วันที่: 14 ธันวาคม 2554 เวลา:7:12:59 น.
  
Thank you Kab.. ^^
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 14 ธันวาคม 2554 เวลา:9:47:39 น.
  
แวะมาทักทายครับ
โดย: huaboonsan วันที่: 21 ธันวาคม 2554 เวลา:2:38:50 น.
  
ครับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 21 ธันวาคม 2554 เวลา:19:37:10 น.
  
คุณมินท์ครับ ข้อความข้างบนของ ogreeny22 เป็นสแปม ผมแจ้งบล็อกแก๊งไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณมินท์ผ่านมาเห็น ลบทิ้งดีกว่าครับ เดี๋ยวมีใครกดเข้าจะเป็นอันตราย ช่วงนี้มีข่าวไวรัสกำลังระบาดอีกแล้ว
โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:17:27:30 น.
  
แวะมาสวัสดีปีใหม่ด้วยค่ะ
โดย: เสื้อสีขาวบนราวไม้ไผ่ วันที่: 11 มกราคม 2555 เวลา:9:26:22 น.
  
ครับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 12 มกราคม 2555 เวลา:17:46:39 น.
  
สวัสดีค่ะ คุณผีเสื้อสีดำ ไม่รู้ว่าจำหลินได้ไหม เคยเข้ามาอ่านและทักทายคุณผีเสื้อสีดำ นานแล้วค่ะ นาน ๆ ครั้งก็จะแวะเข้ามาอ่านสักครั้ง เพราะชอบอ่านแบบรวดเดียวจบค่ะ สนุกมากสำหรับเรื่องนี้ จินตนาการเลิศหรูค่ะ ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุก ๆ มาให้อ่านนะคะ
โดย: หลิน IP: 125.24.234.63 วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:39:47 น.
  
จำได้ครับคุณหลิน ^^ ขอบคุณครับที่มาอ่าน...

ฝาก กนกนาคราช อีกเรื่องนะครับ กำลังปั่นอยู่ ^^
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:22:05:14 น.
  
สนุกมากค่ะคุณมิ้นท์ จริงๆอ่านจบแล้วสักพัก แต่ด้วยหลายปัจจัยเลยทำให้เพิ่งมาเม้นท์ตอนอวสานนี่ ขอให้เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ด้วยนะคะ
โดย: pearzilla IP: 97.87.4.236 วันที่: 15 กรกฎาคม 2555 เวลา:5:12:44 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
ธันวาคม 2554

 
 
 
 
1
2
3
7
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
MY VIP Friend