บทที่ 5 เพราะผมต้องการบางอย่าง... จากเธอ
บทที่ 5 เพราะผมต้องการบางอย่าง... จากเธอ


ผมกำลังนั่งคุยกับเธอสองคนในห้องตรวจ เธอตัดไหมให้ผมเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้แผลของผมก็หายดีเป็นปกติแล้วด้วย แต่ผมก็ยังใจเต้นทุกครั้งที่เจอหน้าเธอและเข้าใกล้เธออยู่ดี อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนสวย... เหมือนอย่างที่ผมเคยบอก ผมไม่รู้ว่าคำว่าสวยสำหรับผม มันจะเหมือนกับที่ผู้ชายทั่วไปใช้เป็นเกณฑ์วัดผู้หญิงหรือเปล่านะ

แต่ผมว่าเธอสวย... จากจิตใจ

เธอเป็นแพทย์ที่เคยอยู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ...?

ผมถามกับพยาบาลที่สนิทด้วย เธอถามผมกลับว่าแล้วทำไมคุณถึงเลือกมาที่นี่ล่ะ...?

ผมจึงนิ่ง... เธอคงจะมีอะไรบางอย่างเหมือนผม... ผมคิดว่าอย่างนั้น เหมือนกับที่เธอบอกว่าชื่อเราสองคนคล้ายกัน ภูศักดิ์กับภักดิ์สุดา... นั่นมันทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นในรอบหลายเดือน หรืออาจจะเป็นหลายปีก็ว่าได้ เธอยังถามอายุผมด้วย แต่ผมก็ตอบเธอไปตามความจริงและที่สำคัญเธอถามเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวผม ผมก็ตอบเธอไปตามความจริงอีกเช่นกัน และคิดว่าเธอก็คงจะเชื่ออย่างนั้นด้วย เธอคงอายุน้อยกว่าผมสองถึงสามปีและเธอก็เรียกผมว่าพี่เมื่อผมบอกอายุเธอไป ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้อนุญาตเธอด้วยซ้ำ หากเธอเป็นทหารที่ฝึกกับผมแล้วทำอย่างนี้ผมจะลงโทษเธอให้เข็ดเลย...

ผมชอบที่จะตอบคำถามเธอ และก็ชอบที่จะให้เธอถามผมด้วย แต่ว่าเราคุยกันได้ไม่เท่าไหร่เธอก็ต้องไปทำงานของเธอ ผมจึงจำต้องกลับมาทำงานของผมเหมือนกัน

แต่วันนี้ผมกำลังจะไปหาเธอด้วยอาการปวดหัวที่ผมเป็นมาแสนนานและมันก็ทรมานผมได้ดีเสียด้วย ผมต้องการพบหมอ... ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นทั้งๆ ที่เมื่อก่อนถึงแม้จะเจ็บไข้มากเพียงใดก็ไม่มีวันที่จะไปเหยียบที่โรงพยาบาลบ่อยนัก ยกเว้นแต่ลูกน้องผมบาดเจ็บผมจึงได้ไปที่นั่น

ผมไม่ชอบหมอ... เมื่อก่อนผมคิดอย่างนั้น แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับอยากไปหาหมอ... หรือผมเริ่มจะชอบหมอ... ผมชักไม่ค่อยแน่ใจเสียแล้วสิ... แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ไปถึงโรงพยาบาลและได้พบเธอในที่สุด

เธอแต่งตัวด้วยชุดสีขาวเหมือนแพทย์ทั่วไป นั่นทำให้เธอดูสุขุมขึ้นมากและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย แต่สีหน้าและรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าก็ทำให้เธอดูเป็นเด็กเสมอในสายตาของผม แววตาเธอใสเหมือนลูกแก้วที่ควรจะมีไว้ครอบครองแต่เมื่อมองลึกลงไปคล้ายๆ ว่าลูกแก้วใสนั้นซุกซ่อนอะไรบางอย่างที่เจ็บปวดไว้... ผมอยากจะรู้เรื่องของเธอบ้างเสียแล้วสิ

เธอยิ้มให้ผมเหมือนเคยและคงแปลกใจที่คราวนี้ผมยิ้มกลับให้เธอบ้าง ผมเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับใครรวดเร็วนักแต่ผมก็จะพยายามทำความรู้จักกับเธอ เธอตรวจร่างกายผมทั่วไปและถามอาการป่วยของผม ก่อนที่เธอจะบอกผมว่า

“คุณเป็นไมเกรนค่ะ” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มเหมือนเคย แต่ผมกลับมองเธอนิ่ง

“มันเกิดได้หลายสาเหตุแต่ถ้าคุณดูแลรักษาตัวเองคุณก็จะไม่ปวดหัวแบบนี้บ่อยมากนัก”

“ผมต้องกินยาตลอดใช่มั้ยครับ” ผมถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“ยาช่วยได้ระดับหนึ่งค่ะ แต่คุณก็ต้องช่วยตัวเองด้วย”

“ช่วยตัวเอง...” ผมทวนคำ รู้สึกแปลกๆ กับคำที่เธอใช้ แต่ก็ตั้งใจฟังเธอ

“ไม่เกรนเป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงค่ะ แต่ไม่เป็นโรค เราสามารถป้องกันการโจมตีของอาการนี้ได้” เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม ผมชอบรอยยิ้มของเธอที่สุด... คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกับอาการปวดหัวที่ผมมักเป็นบ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงหลังๆ นี้ เธอบอกผมให้ทำให้ใจให้สบายและพยายามอย่าทำให้ตัวเองรู้สึกเครียดมากนัก เธอบอกผมว่าให้ลดพวกไขมันสัตว์และเนื้อสัตว์และแนะนำให้ลองทานน้ำขิงเป็นประจำเพราะจะช่วยรักษาและลดอาการไมเกรนลงได้

“ไม่ต้องกังวลกับมันมาก ทำตามที่คุณหมอบอกและนอนหลับพักผ่อนให้สบายค่ะ” ผมชอบที่เวลาที่เธอแทนตัวเองว่า คุณหมอ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นเด็กๆ ที่ป่วย และไปพบคุณหมอที่แสนจะน่ารักอย่างเธอ และรับรองได้เลยว่าคนไข้คนนี้จะทำตามคำสั่งของคุณหมอทุกอย่างแน่ๆ

“หรือว่าคุณจะเอายาแก้ปวดไปทานก็ได้นะคะถ้ามันมีอาการรุนแรง” เธอว่าเมื่อเห็นผมเอาแต่นิ่ง

“ไม่ครับ ผมยินดีที่จะทำตามวิธีของคุณหมอ” ผมพูดแล้วก็ต้องยิ้มให้กับคำพูดตัวเองที่เรียกเธอว่าหมอ... เธอเองก็ยิ้มให้ความตลกที่ซ่อนอยู่ในใบหน้าเคร่งขรึมของผมเหมือนกัน จนในที่สุดหน้ากากที่เราใส่หากันก็หลุดออกหลังจากที่ทั้งเธอและผมก็ทำเก๊กมานาน

“พี่ภูนี่ก็ขี้เล่นไม่เบานะคะ” เธอทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ผม แต่ผมกลับรู้สึกอายที่เธอมองผมอย่างนั้น

“เชื่อภักดิ์เถอะค่ะ มันไม่เป็นอะไรมากหรอก พี่ภูอย่ากังวลไปเลยทำตามที่หมอคนเก่งสั่งเถอะค่ะ รับรองหาย” เธอลากเสียงเหมือนเด็กๆ บุคลิกของหมอที่ผมเคยเห็นไม่มีอยู่ในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ที่แน่ๆ เธอก็ทำให้คนไข้อย่างผมมีความสุขและยิ้มไปพร้อมกับเธอได้ก็แล้วกัน...

ผมออกมาจากห้องตรวจ ก่อนจะปล่อยให้คนป่วยรายต่อไปเข้าไปพบคุณหมอของผม... ผมอยากจะเรียกอย่างนั้น เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของเธอ

ผมออกมาจากโรงพยาบาลและเดินมาขึ้นรถที่ขับมา และเผอิญก็เหลือบไปเห็นกุหลาบช่อใหญ่ที่ชาวเขาบนดอยปลูกไว้ขาย ผมตัดสินใจซื้อไว้กำหนึ่ง ตอนแรกที่ผมเห็นมัน... ไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้ผมต้องซื้อมันเสียให้ได้ ทั้งที่ผู้ชายอย่างผมไม่เคยจะชอบดอกไม้อย่างนี้ซักเท่าไหร่... แต่ผมก็ซื้อมันมาแล้วนี่

ผมมองดอกกุหลาบสีแดงดอกโตหลายดอกที่รวมกันเป็นช่อและนึกภาพที่ตัวเองกำลังยื่นช่อกุหลาบให้ภักดิ์สุดาแล้วก็ต้องใจเต้น... ผมไม่เคยหัวใจเต้นแรงอย่างนี้ ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูก็เถอะ แต่ทว่าการเผชิญหน้ากับเธอกลับทำให้ตัวใจผมเต้นแรงมากกว่าหลายเท่านัก...และเจ้ากุหลาบช่อใหญ่นั้นมันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมกำลังนึกถึงภาพตอนที่เธอเห็นกุหลาบช่อนี้และภาพตอนที่เธอยกมันขึ้นมาดมอย่างชื่นใจ... เธอคงจะมีความสุขไม่เบา เหมือนกับที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้

ผมหอบกุหลาบช่อโตออกมาจากรถและเดินกลับเข้าไปหาเธออีกครั้ง ในใจตอนนี้เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงสักคน... และเธอก็เป็นคนแรกที่ได้ดอกไม้จากผม

ผมพาเจ้ากุหลาบช่อใหญ่เข้ามาท่ามกลางสายตาของเหล่านางพยาบาลที่มองผมอย่างยิ้มๆ อดที่ผมจะยิ้มและอายอย่างหน้าแดงไม่ได้ เธอเหล่านั้นกำลังรอดูอยู่ว่าผมจะพาเจ้ากุหลาบช่อโตนี้ไปที่ไหน... และผมก็เดินเข้ามาในห้องตรวจของแพทย์หญิงภักดิ์สุดาในที่สุด

ภายในห้องว่างเปล่า...

เธอไม่อยู่... แววตาผมสลดลงทันทีที่ไม่พบเธอตามที่คิดไว้ คิดว่าเธอคงจะติดธุระหรือคงกำลังไปดูแลคนไข้ของผู้ป่วยใน ผมถอนใจเสียงดังครั้งหนึ่ง ก่อนจะทำท่าหอบเจ้ากุหลาบช่อโตออกจากห้อง แต่เสี้ยวสายตาของผมก็หันไปเห็นแจกันว่างๆ ใบหนึ่งตั้งอยู่มุมโต๊ะทำงานของเธอ...

ผมหยิบแจกันใบนั้นมาก่อนจะเอาไปล้างในอ่างล้างเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และกรอกน้ำใส่ครึ่งหนึ่งเพื่อที่เจ้าดอกกุหลาบของผมจะได้ไม่เหี่ยวเร็วนัก ผมค่อยๆ จัดดอกกุหลาบใส่แจกันทีละดอก คอยดูว่าดอกไหนควรจะอยู่ตรงไหนเพื่อที่จะให้แจกันดูสวยงามชวนมอง ผมไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ว่าตัวเองกำลังจัดดอกไม้อยู่ทั้งที่ผมไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะทำอะไรแบบนี้ และในที่สุดผมก็จัดมันจนเสร็จถึงแม้มันอาจจะดูไม่ค่อยสวยนักแต่ผมก็คิดว่าเธอคงชอบ... ผมวางแจกันที่มีดอกกุหลาบแดงอยู่เต็มก่อนจะถอยร่างออกมาเพื่อชมความงามนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ




ไม่คิดว่าฉันจะได้เจอเขาอีก วันนี้เขาดูไม่เหมือนวันก่อนๆ ที่ฉันเจอ เพราะว่าวันนี้เขายิ้มให้ฉันก่อนที่ฉันจะยิ้มให้เขาเสียอีก แต่รอยยิ้มอันอบอุ่นนั้น...ก็ทำให้ใบหน้าของเขาดูมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น...

เขามาตรวจเหมือนกับคนไข้คนอื่นๆ และฉันก็ได้ตรวจอาการพี่ภูศักดิ์ ฉันบอกว่าเขาเป็นไมเกรน ดูสีหน้าเขาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ตอนที่ได้ฟัง ฉันเลยต้องรีบบอกว่านี่ไม่ใช่โรค มันเป็นเพียงแค่อาการปวดหัวแบบหนึ่งเท่านั้นหากเขาพักรักษาตัวและทำตามคำแนะนำที่ฉันบอก คิดว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าเขาเป็นคนที่ว่าง่ายและเชื่อฟังหมอนะ แต่ทหารที่ดูเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวอย่างเขา ฉันว่าคงยากที่จะทำตามที่ฉันบอก เพราะดูแล้วเขาคงจะมีเรื่องที่ต้องทำให้เคร่งเครียดเยอะพอดูเหมือนกัน แต่วันนี้เขาดูร่าเริงกว่าเมื่อก่อนมาก เราสองคนหัวเราะให้กันด้วย...

เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงหัวเราะของเขา คิดว่าเจ้าตัวก็คงอยากได้ยินมันเหมือนกันเพียงแต่ไม่ค่อยมีเรื่องที่ทำให้ต้องหัวเราะเท่านั้นเอง... ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะ

พอฉันตรวจคนไข้รายอื่นๆ เสร็จก็รีบตรงเข้าไปดูอาการผู้ป่วยใน กลุ่มผู้ที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายวันก่อนเริ่มอาการดีขึ้นเป็นลำดับรวมทั้งชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น ฉันเดินเข้าไปที่เตียงของเขาในขณะที่พยาบาลกำลังเช็คอาการของเขาอยู่ ฉันรอกระทั่งพยาบาลออกไปจึงเดินตรงเข้าไปใกล้ร่างที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง

คิดว่าเขาคงจำฉันได้ ก็เราเจอกันตั้งสามครั้ง ครั้งแรกนั้นเหตุเพราะความบังเอิญ... ฉันคิดว่าอย่างนั้น ส่วนครั้งที่สองและสามนั้น ฉันคิดว่าเขาจงใจที่จะตามฉันมา... เขาคงอยากเจอฉัน

“เป็นยังไงบ้างคะ คุณศิลา” ฉันถามพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนกับทุกครั้งที่ถามคนป่วยทุกคน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นมองฉันแน่นิ่ง ชั่วขณะที่เราสองคนสบตากัน เหมือนว่าฉันกำลังถูกสะกดจิตยังไงยังงั้น... เขาต้องการค้นหาอะไรบางอย่างจากดวงตาของฉันงั้นหรอ

“ครับ...” เขาตอบเสียงค่อย ขาเขายังมีเฝือกใส่อยู่ส่วนศีรษะก็แตกและเย็บไปหลายเข็มไหน จะกระดูกซี่โครงหักอีก นายนี่คงจะเจ็บมาก...

“คุณต้องพักรักษาตัวอีกซักสองสามวันนะคะ ก่อนที่เราจะย้ายตัวคุณไปที่โรงพยาบาลอื่นที่ดีกว่านี้” ฉันบอกขณะยืนอยู่ข้างๆ เขา ดูเหมือนว่าอีตานี่จะตั้งใจฟังฉันมากเลยทีเดียว เขายังคงมองเหมือนกับตอนเราเจอกันทั้งสามครั้ง ฉันอยากรู้ความหมายของสายตานั้นจริงๆ

“ผมไม่...” คำพูดเขาสะดุด ก่อนก้มหน้าลงและกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่และแหงนหน้ามองฉันจริงจัง

“ผมอยากอยู่ที่นี่” เขายืนยันฉันอีกครั้งด้วยสายตาอันแน่วแน่ของเขาที่ส่งมา และดูเหมือนว่านายนี่จะยังบอกความต้องการออกมาไม่หมด เราสองคนสบสายตากัน... หัวใจฉันเริ่มเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ

“ผมอยากอยู่กับคุณ” ถ้าหากว่าไม่ได้ยินเต็มสองหูแบบนี้ฉันคงคิดว่าตัวเองต้องฝันไปแน่ๆ หากแต่ผู้ชายเจ้าของคำพูดซึ่งอยู่ตรงหน้าฉันนี้ทำให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป... ฉันคิดว่าเค้าไม่สมควรที่จะพูดแบบนั้นเพราะฉันเป็นผู้หญิง ถึงแม้จะยังไม่มีเจ้าของก็เถอะ...

“คุณต้องพักผ่อนให้มากๆ นะคะ” ชั้นก้มหน้านิ่งเพื่อเรียกสติก่อนจะเงยหน้ามาพูดกับเค้าเหมือนเดิมแต่เค้าก็ยังมองชั้นเหมือนที่เคยมองไม่รู้ว่าหน้าชั้นมันมีอะไรที่ให้หน้ามองกันนักหรือ...

“คุณเป็นหมอที่นี่หรอครับ” เขาถามด้วยสีหน้าอยากรู้สุดขีด ขณะที่ฉันกำลังจะเอี้ยวตัวกลับ ฉันค่อยๆ หันกลับมาและพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม

“ค่ะ”

“คุณพักอยู่ที่นี่ใช่มั้ยครับ” สีหน้าเขาดูสนอกสนใจฉันมาก ตกลงว่านายนี่ต้องการอะไรกันแน่ จะบอกว่ามาชอบฉันเหรอ? ฉันไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นนะ แล้วนี่ฉันควรตอบเขาไปดีมั้ยเนี่ย ไม่คิดว่าท่าทางอย่างเขาจะเป็นพวกโรคจิตหรอกนะ แต่ก็อาจจะไม่แน่ก็ได้...

“คุณศิลาพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหมอจะมาดูอาการใหม่นะ” ฉันบอกปัดไปเพื่อที่จะได้จบๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับและเดินออกมาในที่สุด คนไข้รายนี้ทำให้หมออย่างฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ


ฉันกลับมาที่ห้องด้วยสีหน้าที่อาจจะดูไม่ดีเท่าไหร่นัก จนพี่ๆ พยาบาลสังเกตเห็น เพราะปกติพวกเค้าไม่เคยเห็นฉันหน้าบูดบึ้งแบบนี้มาก่อน พอรู้ตัวว่าถูกมองฉันจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันทีและยิ้มเหมือนกับที่เคยทำอยู่ทุกวัน แต่พอฉันก้าวเข้าห้องมาได้ ฉันกลับต้องฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่าอีก... รู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

กุหลาบแดงช่อใหญ่ถูกจัดวางไว้มุมโต๊ะทำงานของฉัน จำได้ว่าก่อนออกจากห้องไปแจกันนี้ยังว่างอยู่นี่ แล้วดอกกุหลาบนี่มาจากไหน...

ฉันมองดอกไม้นั้นแล้วก็คลี่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะโน้มตัวลงไปสูดกลิ่นหอมๆ ... ช่างสดชื่นดีจริง

ฉันค่อยๆ นั่งลงที่เก้าอี้ตัวโปรด... สายตาก็ยังมองเจ้าดอกกุหลาบแดงดอกโตหลายดอกอย่างสงสัยและปลื้มใจระคนกันไป... หรือใครบางคนต้องการจะเซอร์ไพรส์ฉันหรือเปล่าน้อ... แล้วคนๆ นั้นเป็นใครกันล่ะ คิดไม่ออกเลยจริงๆ แต่ขณะที่ตัวเองกำลังเพลินกับเจ้ากุหลาบแดงช่อใหญ่อยู่นั้น ใครบางคนก็ก้าวเข้ามาในห้อง... ณสานั่นเอง

ไม่นึกว่าณสาจะมาหาฉันถึงที่นี่ เธอบอกว่าคิดถึงเลยอยากมาหา เลยทำให้ฉันอดที่จะกอดเพื่อนรักคนนี้ไม่ได้ เธอถามถึงสารทุกข์สุกดิบตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉันก็บอกเธอไปตามความจริงแต่ว่าตอนนี้ก็เริ่มจะชินและปรับตัวได้แล้วล่ะ

“ดูเธอมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่” ณสามองช่อกุหลาบในแจกันแล้วก็ยิ้ม ฉันก็ได้แต่ยิ้มตาม รู้สึกดีไม่น้อยที่มีเพื่อนที่สนิทอย่างเธอมาหาฉันบ้างเพราะที่นี่เงียบเหงาไม่ค่อยจะได้พบปะกับใครที่มีอายุไล่เลี่ยกับฉันมากนัก

“คงจะเป็นอย่างนั้นมั้ง” ฉันบอกเธอไป

“ได้ยินข่าวว่าที่นี่มีผู้ป่วยที่รถตกเขามารักษาด้วยหรอ” ณสาเลิกคิ้วสูง

“ใช่...” ฉันตอบเธอไปตามความจริง แต่ไม่ได้บอกว่ามีคนไข้อีกคนที่ทำให้ฉันลำบากใจอย่างมากในการรักษา คนไข้ที่เอาแต่จ้องหน้าฉันตลอดเวลาแบบนายนั่น... คุณศิลา

“เธอต้องดูแลตัวเองดีๆ นะภักดิ์ที่นี่ไม่เหมือนในเมือง” คำพูดของณสาถึงกับทำให้ฉันต้องใจเสีย หวนนึกถึงคำถามของคนไข้คนนั้นที่ถามถึงที่อยู่ฉัน

“ระวังทำไมย่ะ ใครจะมาทำอะไรในเขตโรงพยาบาลแบบนี้” ฉันเชิดหน้าพูด ก่อนที่ยัยณสาจะยิ้มแบบเจ้าเล่ห์

“ยัยบ้า... ฉันไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้น ฉันหมายความว่าให้เธอระวังเรื่องพวกไข้ป่า เธอยิ่งบอบบางอยู่ด้วย” คนเป็นหมอสั่งสอนหมอด้วยกันเสียแล้ว

“จ๊ะ...แม่เกียรตินิยม ไม่ต้องมาสอนหมอด้วยกันหรอกน่า” ฉันล้อฉายาที่เพื่อนๆ เคยตั้งให้ณสาเมื่อครั้งเราเรียนแพทย์ เพราะว่าณสาเป็นคนที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด และเธอก็ได้เกียรตินิยมแบบที่เราล้อเสียด้วย

“ได้ขึ้นไปที่ค่ายทหารรึยัง” เธอทำท่ากระซิบกระซาบจนฉันต้องค้อนเข้าให้

“ไปแล้ว” ไม่นึกว่าคำตอบของฉันจะทำให้ณสามองฉันอย่างอ้าปากค้าง
“ฉันไปทำธุระของชั้นย่ะ”

“ธุระอะไรของเธอมิทราบ...จะบอกว่าไปหว่านเสน่ห์ให้ทหารหนุ่มๆ ในค่ายก็บอกมาเถอะ” ณสาทำหน้ายิ้มแบบกวนๆ

“ฉันไปทำธุระจริงๆ และถึงฉันจะไม่ได้ไปหว่านเสน่ห์ในค่ายอ่ะนะ ก็มีทหารมาหาถึงที่นี่ก็แล้วกัน” ไม่รู้ว่าฉันพูดแบบนั้นไปได้ยังไง ในใจตอนนี้นึกถึงหน้าเขาขึ้นมาทันที นายทหารใบหน้าคมคาย ผู้เคร่งขรึม...

“จริงหรอยัยภักดิ์...” ณสาทำท่าสั่นเป็นเจ้าเข้า หวังว่าคงไม่มีคนไข้หรือใครที่ไหนมาเห็นกิริยาท่าทางของเราทั้งสองคนตอนนี้หรอกนะ

“เค้าชื่ออะไร ยศชั้นไหนบอกชั้นมาเดี๋ยวนี้นะแล้วเค้าหล่อรึเปล่า” ยัยนั่นเขย่าแขนฉันใหญ่จนฉันต้องยอมแพ้

“เค้าชื่อภูศักดิ์ เราพึ่งเป็นเพื่อนกันได้ไม่นาน” ฉันบอกกับณสาอย่างนั้น ก็เพราะว่าเราพึ่งเป็นเพื่อนกันจริงๆ

“และอาจจะพัฒนาต่อไปมากกว่านั้นในอีกไม่ช้าใช่มั้ย ?”

“ยัยบ้า... คิดอกุศล” ฉันโยนมะกอกลงหัวยัยเพื่อนตัวแสบ แต่จะว่าไปอีกที ทำไมเวลาคิดถึงเขาฉันต้องยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวด้วยนะ ยังจำรอยยิ้มอันจริงใจและอบอุ่นของเขาได้เสมอ...

“แล้วไปเจอกับเค้าได้ยังไงหรือว่าเค้าเข้ามาจีบเธอ”

“จะบ้าหรอ...” ฉันถอนหายใจ พร้อมกับมองเพื่อนคนนี้อย่างเอือมระอา คนอย่างเค้าน่ะหรอจะจีบผู้หญิงเป็น...

“เผอิญว่าทหารของเค้าปะทะกับพวกลักลอบค้ายาทำให้บาดเจ็บ เค้าก็เลยต้องมาที่นี่”

“แล้วเค้าบาดเจ็บรึเปล่า” ณสามีสีหน้าสนอกสนใจ

“เค้าโดนกระสุนเฉี่ยวที่ต้นแขน ฉันก็เลยได้ทำแผลให้” ฉันบอกเสียงเรียบ แต่ยัยณสากลับทำทีเป็นอายม้วนอย่างน่าหมั่นไส้

“ได้ทำแผลให้เค้าด้วย... เค้าคงประทับใจเธอแย่เลยยัยภักดิ์สุดา... เพราะอย่างนี้นี่เองที่ทำให้เธออยากมาอยู่ที่นี่” ยัยนั่นทำตาล้อเลียน

“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะเหตุผลแบบนั้น” สีหน้าของฉันสลดลง มิวายที่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ จนทำให้ตัวเองต้องระหกระเหินมาไกลแบบนี้... ไม่ใช่สิ ฉันเต็มใจที่จะมาต่างหาก

ณสาก้มหน้านิ่ง... รับรู้ว่าตัวเองพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา ซึ่งบางครั้งฉันก็อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้บ้างเพื่อที่จะได้เป็นบทเรียนในครั้งต่อไปให้เธอคิดก่อนที่จะพูดออกมา

“ฉันขอโทษนะภักดิ์ที่พูดแบบนั้น” ณสาก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี

“เธอจะกลับเลยรึเปล่า” ฉันเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน แม่เพื่อนตัวแสบของฉันก็คงพอเข้าใจว่าฉันคงไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ

“ไม่... ว่าจะอยู่ค้างกับเธอ”

“งั้นดีมาก” ฉันตบไหล่ณสาเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างอีกครั้ง


ฉันพาณสามาที่บ้านพัก และอาสาทำอาหารให้ณสาลองทาน เธอบอกว่าฝีมือฉันใช้ได้และควรที่จะพัฒนาให้ดีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้เป็นแม่ศรีเรือนและเป็นศรีภรรยากับสามีต่อไป ยัยนี่... นับวันก็ยิ่งเอาเรื่องขึ้นทุกที เธอคงอยากให้ฉันเจอคนใหม่เร็วๆ เพื่อที่จะได้ลืมผู้ชายคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยรักฉัน... แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่ฉันบอกย้ำกับตัวเอง เวลา... คือยารักษาที่จะเยียวยาได้ดีที่สุด และอาการตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นมากแล้ว

ไม่นานนักเราสองคนก็เข้านอน ฉันกางมุ้งครอบที่นอนไว้เพื่อกันยุง เพิ่งหัดใช้มุ้งได้ไม่นานนัก... พูดแล้วก็ตลกตัวเองไม่หาย ฉันคงจะชินกับสังคมเมืองมากไปเลยไม่คุ้นกับวิถีชีวิตชาวบ้านแบบนี้

ณสานอนกอดฉันแน่น... เราห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน บรรยากาศตอนนี้ทำให้ฉันอดที่จะคิดถึงตอนเราออกค่ายอาสาพัฒนาหมู่บ้านในชนบทไม่ได้ ครั้งนั้นเราทั้งสามคน ฉัน ณสาและก็... นรินทิพย์

ช่างเถอะ... ฉันไม่น่าคิดถึงเรื่องนี้เลย ยิ่งพูดก็ยิ่งนึกและก็ยิ่งทำให้เจ็บใจมากขึ้นไปอีก นรินทิพย์ไม่น่าทำกับเพื่อนที่คบกันมาตั้งหลายปีแบบนี้เลย เธอไม่น่าทำเลยจริงๆ แต่ก็อย่างว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง...

ฉันเลิกคิดถึงเพื่อนทรยศคนนั้น ก่อนจะหันมาดูหน้าใสๆ ของณสาที่กอดฉันแน่นราวกับว่าเป็นแม่ของเธอยังไงยังงั้น ฉันเอื้อมแขนไปโอบร่างเธอไว้แน่นเช่นเดียวกัน...

“ขอบคุณที่ยังเป็นเพื่อนกันนะ...” ฉันกระซิบที่ข้างหูณสาเบาๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง



Create Date : 06 ธันวาคม 2554
Last Update : 6 ธันวาคม 2554 20:49:22 น.
Counter : 338 Pageviews.

3 comments
  
บางที นางเอกก็มั่นใจในตัวเองไปนะคะ เอ หรือว่าเราคิดมากเกินไป 555
โดย: มิน IP: 113.53.5.17 วันที่: 6 ธันวาคม 2554 เวลา:23:21:53 น.
  
ผู้หญิงมีหลายบุคลิกในคนๆ เดียวครับ (ผมว่านะ...^^)
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 7 ธันวาคม 2554 เวลา:9:20:00 น.
  
แบบ ความจริงมันก็ชอบผู้หญิงฉลาดแบบนางเอกนะคะ แต่ชอบผู้หญิงที่มีคุณค่าด้วย เดี๋ยวผู้ชายจะดูถูกเอาว่าง่าย ไรเงี้ย คิดไปนู่น 55555555+
โดย: มิน IP: 101.109.123.2 วันที่: 7 ธันวาคม 2554 เวลา:23:07:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
ธันวาคม 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
MY VIP Friend