นาคนิรมิต (บทที่ 7 ผู้สมรู้ร่วมคิด)
บทที่ 7 ผู้สมรู้ร่วมคิด

“ที่คุณอาให้อรวินทร์ขึ้นไปตามภุชคินทร์ก็เหมือนส่งรองเท้าให้ไปพ่อนาคหนุ่มที่กำลังคลั่งรักเดินทางหลบหนีได้สะดวกขึ้น หลานสาวของคุณอาไม่ได้มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เลยสักนิด มีแต่จะยุยงส่งเสริมตาภุชให้ถลำลึกลงไปอีก แทนที่จะเป็นคนฉุดเขาให้ขึ้นมาจากปลักตมของตัณหาราคะจากแม่มนุษย์สาวนั่นแต่อรวินทร์กลับพาพวกเขาหนีเสียได้” สายสืบที่ปณาลีไหว้วานให้ติดตามอรวินทร์อยู่ห่างๆ รายงานความคืบหน้าการตามหาภุชคินทร์แก่ตน เมื่อรู้ว่าน้องชายปลอดภัยพี่สาวอย่างเธอก็หมดห่วงไปได้ครึ่งนึง แต่ที่รู้ว่าเขาได้ตัวนางมนุษย์สาวแล้วพากันหนีตามกันไปนี่สิ ปณาลี นิลนาคก็แทบอยากจะกระโจนขึ้นจากน้ำแล้วไปลากคอน้องชายกลับมาด้วยตัวเองเสียให้ได้

วารีก้มหน้าเพื่อใช้ความคิด เธอรู้นิสัยอรวินทร์ดีกว่าใคร...ในใจของตนแล้วไม่เคยคิดที่จะขัดขวางความรักระหว่างภุชคินทร์กับกลิ่นจันทร์เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่า...ตอนนี้ตระกูลเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นิลนาคพ้นสภาพจากการเป็นมนุษย์แล้ว ตราบใดที่รักตปักษ์ยังอยู่ค้ำฟ้า นาคาเช่นพวกตนก็มิอาจขึ้นไปดำรงชีวิตเช่นมนุษย์ได้อีก

แต่ถ้าหากว่าหลานชายของเธอยังคงดึงดันและยึดมั่นในศรัทธาแห่งรัก ก็มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น...คือกำจัดรักตปักษ์ให้พ้นทาง ฆ่าสิตามันและทายาททั้งสองของสกุลผู้มีปีกสีแดงนี้เสีย

“กลับไปดูแลปริตรเถอะลี ป่านนี้คงร้องหาแม่แย่แล้วหละ” หันมาบอกคนมีศักดิ์เป็นหลานเสียงเบา ปณาลีทำทีจะแย้งขึ้นแต่ก็ถูกภูรินทร์บังคับด้วยสายตา แม่ลูกอ่อนวัยย่างสามสิบจึงบึ่งออกจากห้องโถงใหญ่ไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“หลานชายของผมเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้มันพาแม่หนูกลิ่นจันทร์ไปถึงไหนแล้วหละ” ไถ่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนแววตา วารีมองหน้าผู้เป็นสามี บัดนี้เขาเป็นประมุขแห่งนิลนาคตระกูลที่ได้ครอบครองมณีนาคสวาทสีเขียวมรกตอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว อำนาจบารมีก็เหลือล้นไม่น้อยหน้าใคร มีสิทธิ์ใช้พลังของรัศมีสีเขียวอันทรงพลานุภาพที่พร้อมจะสังหารเหล่าปรปักษ์ของนิลนาคได้ทุกเวลา

“คุณคิดจะทำยังไงเกี่ยวกับเรื่องของภุชคินทร์” วารีผ่อนลมหายใจ ก้มหน้าลงมองดอกบัวขาวในแจกันสวย ภูรินทร์หยัดกายขึ้น เดินไปทอดสายตามองสระบัวสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าวิมานแห่งนิลนาค

“มนุษย์และนาคอยู่ร่วมกันมานานนับพันปี แหละมีความสัมพันธ์กันแนบแน่นจนมิอาจแยกออกจากกันได้ มนุษย์ที่มีคู่ครองเป็นนาคนั้นก็เคยมีให้เห็นหลายผู้หลายคน หากว่า...ภุชคินทร์เลือกกลิ่นจันทร์ เราก็ไม่ควรจะขัดขวางพวกเขา” ดวงตาสีเขียวคล้ำเจือไปด้วยความกังวลแม้ว่าจะได้พูดความรู้สึกจากใจจริงออกมา ภูรินทร์เพิ่งกลับมาจากเฝ้าท้าววิรูปักษ์และพบญาติมิตร ณ จาตุมหาราชิกา ที่นั่น...เขาได้พบกับองค์กฤติเทพนาคราช วิรูปักษ์ชั้นสูงผู้เป็นพระญาติแห่งเจ้านาคา กฤติเทพองค์นี้กว้างขวางในหมู่นาคสีทองยิ่งนัก เมื่อได้เข้าไปนั่งสดับรับฟังเหล่าคนธรรพ์บรรเลงเพลงในวิมานของพระองค์ภูรินทร์ก็บังเอิญได้ยินนาคสีทองหนุ่มสาวในวิมานนั้นกล่าวขานถึงวิรูปักษ์ตนหนึ่ง

“ตอนนี้นาคหนุ่มที่ชื่อพิณภัทร์ยังอยู่กับกลิ่นจันทร์หรือไม่?” หันมาหาผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่ทราบสิคะ ท่านถามหานาคสีทองตนนี้ทำไมกัน”

“ข้าสงสัยว่าพิณภัทร์อาจจะเป็นคนของเบื้องบนที่ถูกส่งลงมาให้อารักขากลิ่นจันทร์” คนพูดหรี่ตาในขณะที่วารีโคลงศีรษะไปมา

“ก็อาจจะใช่ เพราะเขาก็บอกกับพวกเราเองว่าท้าววิรูปักษ์ส่งเขามาให้อารักขาผู้นำพามณีนาคสวาท”

“ไม่ใช่” ผู้เป็นประมุขตอบทันควัน “เรื่องที่พิณภัทร์ลงมาคอยดูแลกลิ่นจันทร์คงไม่ได้มีผู้บงการเพียงแค่ท้าววิรูปักษ์ แต่อาจจะมีมากกว่านั้น...ใครบางคนกำลังเฝ้าดูผู้หญิงคนนี้อยู่ห่างๆ”

“ใครกัน...?” ราชินีแห่งนิลนาคย่นคิ้ว ดวงหน้าอิ่มเอิบเต็มไปด้วยความกังวล

“ถ้าหากว่ากลิ่นจันทร์มีความสำคัญกับพวกนาคสีทองถึงขนาดนี้ แสดงว่าเธอต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาๆ แน่ เธออาจจะเกี่ยวข้องหรืออาจจะเคยข้องแวะกับตระกูลวิรูปักษ์มาก่อน” ผู้เป็นประมุขทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ไม้ขัดมันริมระเบียง พริ้มตาหลับพร้อมกับถอนหายใจเพื่อขับไล่ความกังวลให้หมดสิ้นไป แต่เหมือนยิ่งอยากจะลืมสมองมันก็สั่งให้เขาได้ยินเพียงแต่เสียงซุบซิบนินทาของเหล่านาคสีทองหนุ่มสาวเหล่านั้น หัวใจสั่นไหวเต้นระรัวขึ้นมาราวกับกลองศึกเมื่อนึกถึงท่อนประโยคที่ดังก้องอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พิณภัทร์ขอถอนตัวจากหน้าที่... แต่องค์ชายเล็กคงไม่ยอม เหตุเพราะยังอาลัยอาวรณ์กับนางมนุษย์ผู้นำพามณีนาคสวาทสีเขียวนั่นอยู่...


หญิงสาวดิ้นพรวดพราดอยู่ในอ้อมกอดของนาคหนุ่มขณะที่ยังอยู่ในนิทราก่อนจะรำพึงรำพันออกมาเป็นภาษาโบราณที่ภุชคินทร์ต้องเงี่ยหูฟัง “องค์ชายไผทเทพได้โปรดอย่าทิ้งข้าไป...ข้ารักท่าน ข้ารักท่านสุดหัวใจ”

“จันทร์...กลิ่นจันทร์” ภุชคินทร์เขย่าไหล่เล็กนั้นสองสามทีก่อนที่ร่างบางจะได้สติ พยายามลืมสองตาหนักอึ้งขึ้นมองรูปหน้าคร้ามคมที่อยู่เพียงเอื้อมมือ สายลมหนาวยามดึกพัดโชยเข้ามายังเพิงหินแห่งภูสูงของสกลนคร

“ฝันอะไร?” เอ่ยถามคนรักเสียงนุ่ม กลิ่นจันทร์ถอนลมหายใจร้อนรุ่มออกมาก่อนสูดลมเย็นชื้นเข้าปอด

“บอกมาเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอกมันก็แค่ความฝัน” นาคหนุ่มกระซิบที่ข้างหูหญิงสาวอีกครั้ง จับมือนุ่มนิ่มที่เย็นเฉียบไว้แน่น กลิ่นจันทร์จ้องตาเขียวคล้ำอันอบอุ่นตรงหน้าก่อนเอ่ยบอกนิทราอันแสนสับสน

“มันเป็นเมืองโบราณเมืองหนึ่ง นอกเมืองเป็นหนองน้ำใหญ่ มีปราสาทหิน รูปสลักหินทราย ผู้คนนุ่งห่มผ้าแพรสีคล้ำ ส่วนตัวฉัน...ใส่แพรสีชาด ประดับด้วยอัญมณีมีค่ามากมาย ในความฝัน...เมืองนั้นกำลังมีทุกข์ ประชาชนกรีดร้องโหยหวน มองไปทางไหนเห็นแต่เพียงซากศพของพวกทหาร ปราสาทหินแดงฉานด้วยโลหิตที่กระเซ็นสาด และฉันกำลังนั่งร้อง...” ริมฝีปากเชิดรั้นนิ่งค้างพูดอะไรไม่ออก ภุชคินทร์กลืนน้ำลายลงคอ พยายามไตร่ตรองเหตุการณ์ในความฝันอันพิสดารของคนรัก กลิ่นจันทร์ฝันเห็นตนอยู่ในเมืองโบราณงั้นหรือ...

“แล้วในฝันนั้นเธอกำลังนั่งทำอะไรล่ะ” ภุชคินทร์พยายามลดเสียงให้นุ่มลงอีก กลิ่นจันทร์คงกำลังขวัญเสีย อาจจะเพราะเหตุการณ์ในนิทรานั้นสุดสยองจนติดค้างอยู่ในโสตประสาท

“เมื่อกี้เธอเพ้อเรียกชื่อคนๆ นึงออกมา” คำพูดของนาคหนุ่มทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าจ้องมองเขาจริงจัง “ไผทเทพ...เธอบอกว่ารักเขาสุดหัวใจ” ชายหนุ่มมิอาจปกปิดความเจ็บร้าวที่ฉายชัดอยู่ในสองตาได้ ริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่นเข้าหากันจนชิด ดวงตาสีเขียวคล้ำจ้องหน้าหญิงสาวเพื่อรอฟังคำตอบ

“ฉันร้องไห้...ร้องไห้ให้กับเขา” กลิ่นจันทร์พริ้มตาหลับลงก่อนยกสองมือขึ้นปิดหน้า ทำไมเธอต้องมาฝันอะไรบ้าๆ แบบนี้ด้วยนะ คราวก่อนเธอก็เคยฝันเห็นชายหนุ่มผู้ชื่อไผทเทพแล้วครั้งนึง ในนั้น...เธอกับเขารักกัน แหละกำลังจะเข้าวิวาห์ในอีกไม่ช้า แต่ทว่า...ก็ได้เกิดเหตุการณ์ทำให้ต้องพลัดพรากจากกัน เหมือนงามพลที่ต้องสูญเสียเธอไป

อรวินทร์เดินดุ่มๆ เข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยภายหลังออกไปล่าตระเวน นาคสาววางพวงผลไม้ในมือลงบนแผ่นหิน จ้องมองสองร่างที่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน “เมื่อกี้ได้ยินแว่วๆ ว่าใครร้องไห้ให้กับใครเหรอ?” บุ้ยปากถามก่อนได้รับความเงียบแทนคำตอบ กลิ่นจันทร์ลดมือลงจากใบหน้าในขณะที่ภุชคินทร์ขบกรามแน่นหันขวับมาหา

“เธอนอนอยู่กับฉัน แต่ก็ยังรำพึงรำพันถึงชายอื่น เขาคนนั้นคงมีความสำคัญกับเธอมากสินะ” ร่างสูงหยัดกายขึ้น กลิ่นจันทร์ได้แต่จ้องหน้าคมคายที่เดือดดาลของเขาด้วยความตกใจ

“มันไม่ใช่อย่างนั้นภุช ฉันไม่...” นาคหนุ่มยกมือขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะอ้าปากค้าง

“ฉันขอเวลาซักพัก...” พูดจบก็สะบัดหน้าหนีก่อนเดินออกไปต่อหน้าต่อตาคนรัก


“คงจะสมใจท่านแล้วสินะ” เสียงกังวานใสของพิณภัทร์ทำให้คนที่กำลังคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจต้องหันขวับมายังหน้าประตู ร่างเพรียวลมสืบเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาสีน้ำตาลทองสองคู่จ้องมองกันด้วยความขุ่นเคือง

องค์ชายเล็กแห่งตระกูลวิรูปักษ์หุบยิ้ม เชิดหน้าจ้องมองนาคคนสนิทของกฤติเทพนาคราชผู้มีศักดิ์เป็นอา “มันเรื่องของข้า...” สี่คำที่ได้ยินทำให้พิณภัทร์ต้องยิ้มเย่าะ

“ทำให้กลิ่นจันทร์ฝันถึงเรื่องอดีตตัวเองว่าเคยรักท่านมากเพียงใดงั้นหรือ แล้วจะเอายังไงต่อ ก็แค่ผู้ชายในความฝันมันจะไปเร้าใจเท่ากับเนื้อหนังที่สัมผัสแตะต้องได้จริงๆ ดังเช่นนาคหนุ่มตนนั้นหรือท่าน”

“นี่เจ้า...” คนที่ถูกจี้จุดพูดอะไรไม่ออก เขาก็ทำได้เพียงแค่เท่านี้ดังที่พิณภัทร์ว่าจริงๆ ถ้าเธอจำเขาได้แล้วจะเอายังไงต่อไป จะรับเธอขึ้นมาอยู่บนสวรรค์นั้นก็คงทำไม่ได้หรือว่าจะลงไปอยู่กับเธอก็คงไม่เหมาะ แล้วจะทำอย่างไรเล่าเขาถึงจะได้อยู่เคียงคู่กับเธออีกครั้ง

“ข้าไม่อยากให้ท่านยุ่งวุ่นวายกับกลิ่นจันทร์อีก ขอให้เธอได้ใช้ชีวิตกับคนที่เธอรัก” พิณภัทร์จ้องมองรูปหน้าที่ซีดเผือดของไผทเทพ เขาทำผิดต่อกลิ่นจันทร์มามาก คอยขัดขวางเธอกับภุชคินทร์ตามคำสั่งของไผทเทพ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ตรัศวินเข้ามาสร้างสัมพันธ์กับกลิ่นจันทร์เพื่อให้เธอถอนใจจากนาคหนุ่ม แต่ทว่า...วันนี้ทุกอย่างมันกลับยุ่งเหยิงจนยากจะควบคุม นับแต่นี้ไป เขาบอกกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ขัดขวางความรักของกลิ่นจันทร์กับภุชคินทร์อีก และก็จะไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่ายสหายมนุษย์คนแรกของตนอีกเป็นอันขาด

“ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งกับกลิ่นจันทร์อีกแล้วไง” ไผทเทพถามเสียงกร้าว จุดยิ้มเยือกเย็น

“ก็ท่านยังไม่ยอมวางมือนี่ ตอนนี้กลิ่นจันทร์ก็เหมือนเป็นเพื่อนข้าคนนึง และข้าก็เป็นนาคาประเภทที่ว่ารักสหายยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียด้วย” คนฟังกำสองมือแน่น อยากจะออกปากสั่งให้ทหารรับใช้มาสังหารนาคหนุ่มนี้ให้ตายคามือ

“สองคนนั้นถูกท่านรังแกอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีทางรู้ว่าศัตรูคือใคร แบบนี้เห็นทีว่ามันคงไม่ยุติธรรม แม้ท่านจะเป็นทายาทแห่งวิรูปักษ์แต่ก็มีกำเนิดต่ำกว่าข้า ที่ผ่านมานั้นข้าอดทนมามากพอแล้ว นับแต่นี้ไปหากว่าท่านทำเรื่องอันไม่สมควรไปมากกว่านี้ข้าจะนำทูลให้องค์วิรูปักษ์ทรงทราบ” พิณภัทร์ถอยหลังออกไปสองก้าว จ้องมองนาคสีทองผู้สูงศักดิ์ที่ตัวสั่นเทิ้ม กรามหนาขบแน่นจนเป็นสัน สายตาของผู้เป็นองค์ชายจ้องมองประหนึ่งอยากจะฉีกร่างอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ

“ไว้เจอกันโอกาสหน้า ลาก่อนองค์ชาย” นาคหนุ่มบอกลาก่อนที่ร่างเพรียวลมจะกระจายหายไปกับอณูสีทอง ลอยล่องออกสู่ประตูแห่งวิมานขององค์ชายไผทเทพ


ศรสวรรค์พยายามวิ่งให้ทันร่างสูงโปร่งที่กระหืดกระหอบสาวเท้าขึ้นระเบียงกว้างแห่งคฤหาสน์รักตปักษ์ด้วยความร้อนรนจนในที่สุดมือน้อยก็คว้าท่อนแขนแข็งแรงไว้ได้

“นายจะไปไหนตรัศวิน” กระชากเสียงถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ โครงหน้าขาวสะอาดหันมาแสยะยิ้มให้กับดวงพักตร์อันงดงามของศรสวรรค์

“กลับบ้านไปได้แล้ว อย่าอยู่ที่นี่ให้เสียเวลาอีกเลย” แกะมือนุ่มนิ่มนั้นออกก่อนจะพุ่งกายขึ้นสู่ฟากฟ้า ปีกสีแดงขนาดใหญ่แผ่หลาออกไปไกลหลายสิบเมตร ร่างสมส่วนของชายหนุ่มที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นครุฑหนุ่มผู้น่าเกรงขามหันกลับมายังร่างบอบบางที่ยืนจ้องมองเขาอย่างอาวรณ์

“อย่ามายุ่งกับฉันอีกศรสวรรค์” ประโยคดังหมุดเข็มแหลมคมแว่วลอยมาเข้าหูศรสวรรค์จนชาไปทั้งร่าง ปักษาสาวได้แต่ทอดมองรักตปักษ์หนุ่มบินไกลออกไป

“ตามไป...” เสียงแหบพร่าของสิตามันทำให้ศรสวรรค์ต้องหันหลังกลับ ไตรเวทย์ประคองร่างประมุขแห่งคฤหาสน์รักตปักษ์อยู่หน้าบันได ทั้งสองจ้องมองเธอด้วยสายตามาดมั่น

จะให้เธอตามเขาไปงั้นหรือ? แต่ตรัศวินกำลังจะไปหาคนที่เขารักนะ แล้วเธอจะไม่กลายเป็นนางปักษาที่คลั่งรัก คอยติดตามครุฑหนุ่มที่ไม่เคยมีใจให้ตัวเองสักนิดไปงั้นหรือ เธอควรจะทำตามที่รักตปักษ์ทั้งสองนี้บอกหรือไม่นะศรสวรรค์


“จันทร์...เดี๋ยวก่อน” อรวินทร์ตะโกนเรียกเพื่อนสาวขณะวิ่งตามออกมาจากเพิงหิน หันซ้ายขวาด้วยความกังวลแต่ก็ไม่พบร่างแบบบางนั้น “ตายแล้ว...หายไปไหนเนี่ย” บ่นอุบอิบกับตัวเอง กลางป่าลึกแบบนี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัย ภูตผีปีศาจคอยจ้องจะเล่นงานหากมีโอกาส หรือไม่แน่แถบนี้อาจมีพวกครุฑอาศัยอยู่ก็ได้

กลิ่นจันทร์วิ่งตามภุชคินทร์ออกมาจนกระทั่งนาคหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่ลานหินกว้าง สายลมหนาวยะเยือกยามดึกพัดผ่านมาจนเธอหนาวเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ สองตากลมใสจ้องมองแผ่นหลังหนาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาหา

“เธอรู้มั้ย...ตอนที่เธอถูกโยนลงจากเรือใจฉันก็เหมือนแตกสลาย คร่ำครวญหาเธอทุกลมหายใจเข้าออก เฝ้าภาวนาว่าขอให้เธอรอดชีวิต จนกระทั่ง...ได้พบเธออีกครั้ง สำหรับฉันแล้ว อุปสรรคจากพวกรักตปักษ์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย หากว่าเราทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว” นาคหนุ่มค่อยๆ เบี่ยงตัวหันหลังกลับมา รูปหน้าคร้ามคมชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำตา

“ฉันรักนาย...นายเองก็รู้ใช่มั้ย” หญิงสาวบอกกับเขา แต่ภุชคินทร์ก็ยังคงคลางแคลงใจ เธออยู่กับงามพลนานหลายเดือนคงเคยมอบความรักให้กับมนุษย์หนุ่มบ้าง หรือว่ากลิ่นจันทร์อาจจะเคยเป็นเนื้อคู่กับมนุษย์นั่นเธอถึงได้เพ้อรำพันจนละเมอออกมา

“จะให้ทำยังไงภุชคินทร์” เอ่ยถามนาคหนุ่มด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ฉันเองก็ไม่รู้...” ภุชคินทร์ก้มหน้า รู้สึกว่าแสงจันทร์บนฟ้าถูกบดบังด้วยเกลียวเมฆจนมองอะไรไม่เห็น หญิงสาวหมายจะก้าวขาเข้าไปหาชายหนุ่มเพื่อปลอบโยนแต่พลันนั้นเองลมใหญ่ก็พัดโหมเข้าใส่สองร่างจนเซถลาออกจากกัน ร่างบอบบางกระเด็นลิ่วห่างจากนาคหนุ่มออกมาไกล ภุชคินทร์ยกแขนขึ้นบังละอองฝุ่นและเศษใบไม้ที่ปลิวว่อน หรี่ตามองหาร่างคนรักที่คงกำลังยึดต้นไม้บนลานหินต้านแรงลมไว้ แต่วินาทีนั้นเองหัวใจของนาคาหนุ่มก็เหมือนว่าจะหยุดเต้นลง ปีกสีแดงหนาเข้มค่อยหดหายเข้าสู่แผ่นหลังของครุฑหนุ่ม ร่างสูงสง่าก้าวขาเข้าไปหากลิ่นจันทร์ที่ยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่กระพริบตา

“ตรัศวิน...” ภุชคินทร์ขบกรามแน่นก่อนจะทะยานเข้าใส่ปักษาร่างสีแดงเต็มกำลัง แต่มันก็กลับสายไปเสียแล้ว ครุฑผู้สง่างามโอบกอดร่างกลิ่นจันทร์ไว้ในอ้อมอก พาเธอโผบินขึ้นสู่ห้วงเวหาที่เขามิอาจเอื้อมถึง

กลิ่นจันทร์ใจเต้นระรัวอยู่ในอก ไม่นึกฝันว่ามนุษย์จะกลายร่างเป็นนกตัวใหญ่แบบนี้ได้ หญิงสาวได้แต่เบิกตาจ้องมองดวงเนตรสีน้ำตาลแดงของชายหนุ่มที่มีรูปร่างผิดแผกธรรมชาติ ปีกหนากระพือขึ้นลงพาร่างเธอขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เย็นเฉียบ สันจมูกโด่งกระทบกับปลายคางสั่นระริกของเธอ

“จะพาฉันไปที่ไหน?” เอ่ยถามเสียงเครือด้วยความโกรธเคืองแต่สองแขนก็ยังโอบกอดเขาไว้แน่น ชายหนุ่มคลี่ยิ้มวาบหวามก่อนจะเอนกายไปด้านซ้าย หญิงสาวเลยได้ก้มมองลงมายังพื้นดินที่จากมาด้วยความกลัวว่าจะเผลอหล่นฮวบลงไป หัวใจเฝ้าภาวนาว่าขอให้ได้พบกับภุชคินทร์อีกครั้ง
แม้จะไม่รู้ว่าผู้ที่ลักพาตัวเธอตอนนี้เป็นใครแต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่รู้สึกหวั่นเกรงเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่แวบแรกที่ตกใจกับการกลายร่างของเขาเท่านั้น แต่พอได้มองตาที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นคู่นั้นหัวใจเธอกลับพองโตขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าเขาอาจจะรู้จักเธอมาก่อน...

ศรสวรรค์ได้แต่กัดฟันบินตามครุฑหนุ่มไปห่างๆ อย่างเจ็บใจ ดวงตาสีฟ้าสุกใสจ้องมองดวงหน้าของมนุษย์สาวที่เคลียคลออยู่กับครุฑหนุ่มอย่างทำอะไรไม่ได้ หล่อนช่างคล้ายนางกากีเข้าไปทุกทีแล้วนะแม่กลิ่นจันทร์ เตือนกับตัวเองไว้เสมอว่าให้มีสติไม่พลั้งมือฆ่านางมนุษย์นี้ให้ตายเพราะโทสะที่พุ่งพล่าน

แต่ในขณะที่กำลังบินติดตามคู่หมั้นหนุ่มไปอย่างเงียบๆ นั้นสายตาก็เหลือบมองไปเห็นการเคลื่อนไหวของบางอย่างที่พื้นดิน นาคตนหนึ่งกำลังไล่ตามตรัศวินไปอย่างไม่ลดละ

ครุฑสาวกระพือปีกแรงขึ้นก่อนจะถลันกายลงต่ำ ปีกสีน้ำเงินเข้มงุ้มงอเข้าหากันขณะที่ฝ่ากระแสลมไปอย่างรวดเร็ว ปลายเล็บแหลมคมจิกลงที่หนังสีเขียวของนาคหนุ่มก่อนจะโยนร่างเหยื่อขึ้นกลางเวหา

อรวินทร์แหงนมองร่างของภุชคินทร์ที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศก่อนจะหล่นฮวบลงยังพื้นดินอย่างแรง นาคสาวกัดฟันอย่างเจ็บใจขณะเลื้อยเข้าไปหาทายาทแห่งนิลนาคที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ศรสวรรค์บินหลาลงสู่พื้นดินอีกครั้ง หมายจะฝังจะงอยปากแหลมคมลงยังร่างของพญางูผู้โอหังแต่ทว่านาคสาวที่กระโจนเข้าใส่ก็ทำให้นางปักษาเซถลาออกไป

ปักษาสาวและพญานาควัยไล่เลี่ยกันกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างเอาเป็นเอาตาย ภุชคินทร์พยายามประคองร่างที่สะบักสะบอมขึ้นก่อนจะรีบติดตามคนรักไปอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“โอ๊ย...” แผ่นหลังของอรวินทร์ฟาดเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่อย่างแรง ได้ยินเสียงกระดูกดังกรึบกรับในขณะที่รู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่างกาย ศรสวรรค์สูดลมหายใจเข้าปอด เชิดหน้ามองนังงูเขียวไม่เจียมตัวก่อนสาวเท้าเข้ามาหา

กรงเล็บสีแดงยกขึ้นสูง กำลังจะฟาดลงใส่เรียวหน้าได้รูปของอีกฝ่ายแต่ทั้งร่างก็นิ่งค้างไปเสียก่อน ความเจ็บปวดดังมีใครเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงลงกลางหัวใจทำให้ครุฑสาวเซถลาก่อนจะล้มลงกับพื้น อรวินทร์ถอยกายห่างออกมา ดวงตาเขียวคล้ำจ้องมองศัตรูที่นอนดิ้นทุรนทุรายอย่างทุกข์ทรมาน

“สร้างศัตรูไปทั่วเลยนะเธอ...” น้ำเสียงกังวานใสที่ดังขึ้นนั้นทำให้อรวินทร์ต้องเบิกตาค้าง ร่างเพรียวลมของวิรูปักษ์หนุ่มค่อยๆ ลอยต่ำลงมาจากยอดไม้สูงกระทั่งปลายเท้าเหยียบลงยังพื้นดินนางครุฑแดนสวรรค์จึงกระหืดกระหอบลุกขึ้นนั่ง “แม่นกสีน้ำเงินนี่เป็นใคร?” อรวินทร์ปรับสีหน้าให้เป็นปกติภายหลังได้สบตากับคนที่ไม่ได้พบหน้ากันแสนนาน

“ฉันไม่รู้ หล่อนคงเป็นพวกรับใช้ของรักตปักษ์มั้ง”

“ไม่น่าใช่” คนฟังโคลงศีรษะ ก้มลงมองดวงหน้าเนียนสวยของปักษาที่สิ้นฤทธิ์ “เธอเป็นใคร...” สามคำที่หลุดลอยออกไปได้นำพาความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่านักแก่ศรสวรรค์ เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นทั่วป่าใหญ่ในขณะที่ครุฑสาวพนมมือร้องขอชีวิต

“ฉะ...ฉันเป็นคู่หมั้นของตรัศวิน รักตปักษ์” จบประโยคความเจ็บปวดที่เกาะกุมร่างกายอยู่ก็พลันเลือนหายไป นาคสองตระกูลหันมาจ้องหน้ากันด้วยความตกใจ ครุฑนางนี้เป็นคู่หมั้นของตรัศวินงั้นหรือ...

“ตายแล้ว...” อรวินทร์โพล่งปากเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ ร่างปราดเปรียวหันไปมองหาเพื่อนหนุ่มก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า ดวงตาสีเขียวคล้ำหันมาหาพิณภัทร์ด้วยความตื่นตระหนก “ฝากยัยครุฑนี่ด้วยนะ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปตามภุชคินทร์”

“เดี๋ยว...ไปตามภุชคินทร์ ไปทำไม” พิณภัทร์ย่นคิ้วในขณะที่นาคสาวจ้องมองนางปักษาด้วยสายตาคมกริบพร้อมกับถอนหายใจฮึดฮัด

“ก็นายตรัศวินมาพาตัวกลิ่นจันทร์ไปแล้ว ตอนนี้ภุชคินทร์กำลังไล่ตามไปอยู่ถ้าขืนพวกรักตปักษ์ได้ตัวกลิ่นจันทร์ไปล่ะก็...” อรวินทร์ส่ายศีรษะอย่างทำอะไรไม่ถูก “ฉันต้องไปแล้ว” พูดจบก็กลายร่างเป็นพญางูสีเขียวตัวใหญ่ก่อนจะเลื้อยหนีเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว

พิณภัทร์หรี่ตาครุ่นคิด แสดงว่าตอนนี้สิตามันปล่อยตัวหลานชายออกมาจากกรงขังแล้วเหรอเนี่ย แต่ว่าฝ่ายของตรีดาวก็กำลังตามหากลิ่นจันทร์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่...ตรัศวินคงไม่ยอมให้พวกญาติเอาตัวกลิ่นจันทร์ไปแน่

นาคหนุ่มเชิดหน้า สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนก้มลงมองเรือนร่างอรชรที่ยังหอบหายใจอยู่บนพื้น ไม่แน่...ศรสวรรค์อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญของพวกรักตปักษ์ก็ได้



Create Date : 08 ธันวาคม 2553
Last Update : 8 ธันวาคม 2553 9:28:31 น.
Counter : 921 Pageviews.

7 comments
  
หนูภัทรกลับมาแล้ว ดีใจจังเอ๊ย ดีใจจัง
จริงๆคิดถึงเรื่อง กากี มานานแล้วหล่ะ เพราะมีครุฑมาแย่งไปเนี่ย อิๆ
แต่่ก็เอาเหอะ พวกนิทานโบราณที่ต่อว่าผู้หญิงว่าแย่มีหลายสามีเนี่ย อ่านดูจริงๆมันก็ไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงสักนิดนึง แนวว่าชีเป็นเหยื่อมากกว่า เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก ....

เอาใจช่วยหนูจันทร์ต่อไป สู้ๆ แต่ เฮ้อ ภุช ดูอ่อนแอจังเวลาเทียบกะศัตรูแต่ละคน จะไหวมั้ยนะ
โดย: pearzilla IP: 24.240.79.111 วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:11:33:45 น.
  

แวะมาอ่านนิยายก่อนเข้านอนค่ะ..
โดย: natto (natto-kita ) วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:19:47:10 น.
  
โดย: Junenaka1 วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:21:08:42 น.
  
แวะมาอ่านค่ะ สนุกเหมือนเดิม
โดย: pan IP: 58.181.128.178 วันที่: 9 ธันวาคม 2553 เวลา:8:32:07 น.
  
ขอบคุณครับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 9 ธันวาคม 2553 เวลา:9:04:30 น.
  
เอาเข้าไปพ่อคุณเเม่คุณรักสามเส้าสี่เส้าเคล้าเลือดเคล้าความเเค้นความอิจฉาริษยาเเละความเจ็บปวดผสมปนเปกันไปหมด
โดย: VEE IP: 66.172.227.210 วันที่: 9 ธันวาคม 2553 เวลา:11:10:32 น.
  
กรี๊ดดดด กอดดดด เฮียพิณ หอมแก้มหญิงอร

สบตาน้องวิน ให้สมความคิดถึง

แหมๆ เฮียขา ไม่เจอะหญิงอรตั้งนานน่าจะหวานกว่านี้หน่อย

โดย: p_ew IP: 118.172.97.32 วันที่: 12 ธันวาคม 2553 เวลา:18:57:29 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
ธันวาคม 2553

 
 
 
1
2
3
4
5
7
9
10
12
13
14
15
17
18
20
21
23
24
25
27
29
30
31
 
 
MY VIP Friend