บทที่ 2 ชานนท์
บทที่ 2 ชานนท์

งานเทศกาลออกพรรษาที่กำลังจะมาถึงนั้นทำให้ที่วิทยาลัยต้องจัดนักศึกษาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก รวมถึงนักศึกษาแผนกวิชาการบัญชีซึ่งกิ่งดาวและกลุ่มเพื่อนสังกัดอยู่ ทั้งกิ่งดาว กล่อมแก้วและช่อทิพย์ต่างก็ถูกเลือกให้เป็นนางรำในขบวนแห่ส่วนณภัทร์ถูกจองตัวให้ทำหน้าที่บรรยายรูปขบวนเป็นภาษาต่างประเทศร่วมกับคุณครูบงกช

หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายสามสาวก็รีบไปซ้อมรำที่โรงพละซึ่งมีสถานที่กว้างขวาง นางรำทุกคนที่ถูกคัดมาต่างมีหน้าตาที่จัดได้ว่าสะสวย รวมทั้งรูปร่างก็อรชรสมกับดรุณีแรกรุ่นพึงจะเป็น รูปขบวนถูกแบ่งออกเป็นสี่แถว แถวละสิบห้าคน ทำให้มีนางรำทั้งหมดหกสิบคน

กว่าจะซ้อมรำเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว บัดนี้ท้องฟ้าด้านนอกโรงยิมนั้นต่างมืดสนิท มีเพียงแสงไฟตามเสาไฟข้างทางเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง

นักศึกษาหญิงร่วมหกสิบคนต่างทยอยกันออกมาด้วยทีท่าเหนื่อยอ่อน บางคนก็มีผู้ปกครองมารอรับ ส่วนบางคนก็มีเพื่อนชายที่จอดมอเตอร์ไซด์ไว้คอยท่า วันนี้ช่อทิพย์ขอติดรถกิ่งดาวกลับบ้านด้วย เพราะรถโดยสารเที่ยวสุดท้ายนั้นออกไปตั้งแต่ตอนห้าโมงครึ่งแล้ว ปกติแล้วเธอจะกลับบ้านพร้อมกับณภัทร์ เพื่อนสนิทหนุ่มในกลุ่มซึ่งมีบิดามารอรับทุกวัน แต่วันนี้นั้นหนุ่มร่างบางต้องอยู่ซ้อมจนดึกดื่น หญิงสาวจึงจำต้องกลับไปดูแลพ่อที่ป่วยออดๆ แอดๆ เสียก่อน

“ขอบคุณมากนะดาว” ใบหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มของช่อทิพย์ส่งให้กิ่งดาว

“ไม่เป็นไรจ้ะ” อีกคนตอบกลับ หัวใจยังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่ารถจะเกิดดับอีกครา

“ยิ้มอะไรเหรอดาว” เพื่อนสนิทกระแอมเสียงถามเมื่อเห็นดวงหน้าหวานคล้ายเหม่อลอย

“อ้อ... ปละ เปล่าจ้ะ” ยกมือเกาศีรษะแกรกกรากเพื่อแก้ขวย จะให้บอกได้อย่างไรว่าใจนั้นคิดถึงชายหนุ่มที่ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้เมื่อวันก่อน

“งั้นเราไปแล้วนะ” ช่อทิพย์โบกมือลาก่อนที่กิ่งดาวจะสตาร์ทเครื่องและขับรถจากไป


กิ่งดาวส่งเพื่อนสนิทสาวไว้ตรงปากทาง ทีแรกหญิงสาวกะว่าจะไปส่งเพื่อนสนิทให้ถึงบ้าน แต่ก็ถูกอีกฝ่ายขอร้องไว้เสียก่อน เพราะเกรงว่าบิดาของกิ่งดาวจะตำหนิหากยังดั้นด้นจะไปส่งเธอถึงบ้าน ช่อทิพย์จึงต้องเดินลัดเลาะไปยังซอยเล็กๆ ก่อนจะตัดสู่ถนนใหญ่ แล้วข้ามถนนไปอีกสักสิบยี่สิบเมตรก็ถึงบ้านเธอ

หญิงสาวแหงนหน้ามองพระจันทร์ดวงโตที่โผล่พ้นขอบเมฆ รัศมีเหลืองอร่ามเปล่งประกายเจิดจรัส ลอยเด่นบนฟ้าเบื้องสูง ช่างงดงามเสียนี่กระไร

ขณะสองตาจับจ้องยังศศิธรที่เปล่งรัศมีบนฟากฟ้า ตัวเธอก็ก้าวข้ามขอบถนน สู่กลางถนนใหญ่ ทันใดนั้น รถยนต์สีดำสนิทคันใหม่เอี่ยมที่พุ่งตรงมาอย่างแรงก็หักเลี้ยวสุดชีวิต ช่อทิพย์เห็นแต่เพียงแสงสว่างวาบของไฟรถ พร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบที่ท่อนแขนซ้าย ก่อนที่ทั้งร่างจะกลิ้งไปกองกับพื้นถนน
ชานนท์หายใจหอบแฮ่กๆ ก่อนจะรีบตั้งสติเปิดประตูรถออกไปหาหญิงสาวที่เค้าขับรถเฉี่ยวเมื่อครู่

“คุณ... คุณเป็นอะไรมั้ยครับ” สองขาย่อตัวลงก่อนจะช้อนร่างบางที่บอบช้ำขึ้นมาเบาๆ

“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ” ช่อทิพย์หน้าเหยเพราะความเจ็บปวด แต่ก็พยายามดันร่างตัวเองขึ้นจากพื้นดิน แขนทั้งสองข้างถลอกปอกเปิก เลือดสีแดงไหลซิบๆ ออกมา

“ผมขอโทษนะครับ พอดีไม่ทันระวัง” ชานนท์ละล่ำละลั่กด้วยยังไม่หายตกใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรมากเค้าก็พอโล่งใจไปได้เยอะ

“ให้ผมพาไปโรงพยาบาลนะครับ” เขาเสนอเสียงนุ่ม เอียงคอมองใบหน้าหวานที่แสงจันทร์สาดกระทบ รู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นเธอคนนี้ที่ไหนสักแห่ง

ช่อทิพย์เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า สองสายตาจับจ้องใบหน้านั้นเนิ่นนาน... พลันนั้นชานนท์ก็นึกออกว่าเธอคือเพื่อนในกลุ่มของกิ่งดาวที่เทพพิพิธกำลังตามจีบ

“ชั้นไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ แค่แขนถลอกเฉยๆ” ช่อทิพย์บอกปัดก่อนจะแกะมือที่คอยพยุงเธอออกเบาๆ

“ไม่ได้ครับ เรื่องนี้ผมผิด ผมก็ต้องรับผิดชอบสิครับ”

“ใครบอก ชั้นต่างหากที่ผิด ข้ามถนนไม่ดูตาม้าตาเรือ คุณกลับบ้านไปเถอะค่ะ ชั้นไม่เป็นอะไรแล้ว” ว่าเพียงเท่านั้นร่างบางก็หันขวับก่อนจะฝืนวิ่งทั้งที่เจ็บขา ลัดเลาะหายไปกับดงไม้ข้างทาง ชานนท์ก้าวตามได้สองสามก้าวก็ต้องหยุดยืนมองอีกฝ่ายหายลับไปกับความมืดอย่างทำอะไรไม่ได้

ณภัทร์มองดูแผลบนท่อนแขนของเพื่อนสาวคนสนิทแล้วก็ถอนใจ กิ่งดาวหันไปสบตากับกล่อมแก้วเพื่อขอความเห็น “แน่ใจนะว่าเธอรำได้ทิพย์” กล่อมแก้วแตะที่บ่าน้อยๆ นั้นเบาๆ

“แน่ใจ...” ช่อทิพย์กัดฟันพูด ทั้งที่ปวดระบมไปทั่วทั้งแขน อย่าว่าจะให้ยกมือขึ้นจีบเลย ขนาดจะกินข้าวเธอยังทำไม่ได้ซะด้วยซ้ำ

“ถ้ามันไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนหรอกนะทิพย์ เดี๋ยวชั้นบอกอาจารย์ให้” ณภัทร์เสนอ เพราะเห็นสีหน้าท่าทางของเพื่อนสนิทแล้วคงไม่ไหวจริงๆ

“แต่ว่าทิพย์ก็แต่งตัวเสร็จแล้วนะ จะไม่ให้รำมันก็กระไรอยู่หรอก” กิ่งดาวแย้งขึ้นบ้าง ก่อนจะหันมามองสีหน้าช่อทิพย์อย่างให้กำลังใจ เธอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นตั้งใจมากแค่ไหนกับการรำครั้งนี้ ด้วยที่ว่าช่อทิพย์เป็นถึงนางรำประจำวงโปงลางของวิทยาลัย อีกทั้งเธอยังชื่นชอบศิลปะแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก มีหรือที่งานแบบนี้จะพลาดได้

“เธอลื่นล้มจริงรึเปล่าทิพย์ อย่าโกหกพวกเรานะ” ชายหนุ่มร่างบางหนึ่งเดียวในนั้นเอียงคอถามหญิงสาว พลันนั้นสายตาอีกสองคู่ก็หันมารอฟังคำตอบเช่นกัน

“ใช่... ชั้น เผลอลื่นล้มตอนไปตักน้ำที่ตุ่มน่ะ” คนเจ็บบอกเสียงออดแอด ณภัทร์เบือนหน้าไปอีกทางแล้วก็ถอนใจก่อนจะเบิ่งตาโตมองอีกร่างที่กำลังเดินดุ่มๆ ตรงมายังทั้งกลุ่ม

“อ้าว พวกเธอแต่งตัวกันเสร็จรึยัง” เสียงแจ๋นของอาจารย์ศศิมาดังแว่วมาแต่ไกล ริมฝีปากสีแดงแจ๊ดนั้นคือเอกลักษณ์โดดเด่นของครูสูงวัยผู้นี้

สามสาวรีบหันขวับมาที่ร่างที่บ่งบอกสังขารอันเริ่มจะร่วงโรยของคนเป็นครูทันที วันนี้ครูวัยย่างห้าสิบต้นๆ แต่งตัวด้วยสีชมพูอ่อนเย็นตาแต่อารมณ์ตอนนี้นั้นคงจะไม่เย็นอย่างที่คิด

“แต่งตัวเสร็จแล้วทำไมไม่รีบไปรวมกับเพื่อนๆ ทางโน้นล่ะ จะได้รีบจัดขบวน อ้าว...แล้วนี่ ทำไมเธอมาอยู่ตรงนี้ล่ะณภัทร์ ชั้นเห็นอาจารย์ทรงทิพย์ประกาศตามหาตัวเธอกันจ้าละหวั่นอยู่ด้านโน้นแน่ะ”

“อ้าว จริงเหรอครับอาจารย์” คนที่ถูกจี้ก้นสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบพรวดพราดวิ่งดุ่มๆ ตรงไปยังใต้ร่มจามจุรีที่ซึ่งผู้ร่วมขบวนจะไปจัดขบวนกันที่นั่น
ใต้ร่มพิกุลจึงเหลือเพียงสามนักศึกษาสาวที่กำลังถูกสายตาคมกริบของครูศศิมาจับจ้อง

“แล้วพวกเธอจะมัวนั่งอยู่นี่ทำไมกันล่ะ รีบไปรวมกับเพื่อนๆ เสียสิ” คนเป็นครูเอ็ดเสียงดัง กิ่งดาวหันมามองแผลบนท่อนแขนของช่อทิพย์อย่างเป็นกังวล

“เอ่อ... ครูค่ะ คือว่า...” กล่อมแก้วมีสีหน้ากังวลเช่นเดียวกับกิ่งดาว ตอนนี้ช่อทิพย์อาจจะเก็บอาการได้ แต่อีกไม่นานเธอก็คงถูกหามออกมาจากขบวนในสภาพที่อาจจะย่ำแย่กว่านี้แน่

“ว่ายังไงกล่อมแก้ว” ครูสูงวัยย้อนถามก่อนที่ลูกศิษย์สาวจะเบี่ยงหน้าหันไปขอความเห็นจากคนเจ็บที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบ วินาทีนั้นเองนางศศิมาวัยย่างห้าสิบจึงได้เห็นรอยเขียวช้ำและแผลถลอกบนท่อนแขนของช่อทิพย์

“เธอไปโดนอะไรมาน่ะช่อทิพย์” รีบปราดเข้าไปใกล้พลางเพ่งพินิจบาดแผลอย่างเป็นห่วง

“เอ่อ... คือ...” ช่อทิพย์อึกอักในขณะที่ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ริมฝีปากสั่นเครือ

“เจ็บมากรึเปล่า” ทันทีที่ครูสาวเอาปลายนิ้วแตะลงบนผิวสีเขียวคล้ำอีกฝ่ายก็ร้องโหยงด้วยความเจ็บปวด

“แล้วอย่างนี้จะรำได้มั้ยเนี่ย” ครูศศิมาพูดเมื่อรีบยกปลายนิ้วออกจากท่อนแขนของอีกฝ่าย จ้องมองใบหน้าเนียนที่ตบแต่งเครื่องสำอางค์จนสวยงามตรงหน้า

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ สุดที่เพื่อนทั้งสองจะหาเหตุผลอื่นใดมาทัดทานกับครูผู้สูงวัยกว่าได้ อีกทั้งกล่อมแก้วและกิ่งดาวยังเห็นด้วยว่าไม่ควรให้ช่อทิพย์ร่วมรำเพราะเกรงว่าอาการบาดเจ็บของเธอจะทรุดลงไปกว่านี้อีก นางศศิมาสั่งให้ครูวัยสาวคนหนึ่งมาพาเด็กสาวที่บาดเจ็บไปยังห้องพยาบาลก่อนจะนำหน้าอีกสองสาวไปยังขบวนรำที่กำลังตั้งริ้วขบวนอย่างสวยงาม


เทพพิพิธเอาแต่ชะเง้อคอมองหาร่างบอบบางที่เค้าเฝ้าฝันถึงก่อนจะได้เห็นท่าทางอ่อนช้อยของหญิงสาวกอรปกับใบหน้างดงามที่ถูกตบแต่งอย่างประณีตด้วยเครื่องสำอางปานนางอัปสรจากดาวดึงส์ก็มิปาน

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เสียงกลองอันดังกระหึ่มก็มิอาจฉุดรั้งเค้าออกจากภวังค์อันแสนหวานตรงหน้านี้ได้หรอก เทพพิพิธไม่มีวันได้รู้หรอกว่าข้างกายใบหน้างดงามนั้น มีสายตาอีกคู่ของหญิงสาวกำลังจ้องมองใบหน้าเค้าด้วยน้ำตา

“เฮ้ยไอ้คพขอกล้องหน่อยดิว่ะ” เอามือตบหลังเพื่อนสนิทหนุ่มขณะที่คพเพลิงกำลังกดชัตเตอร์เก็บภาพทุกช็อตไว้อย่างตั้งใจ

“เร็วๆ ดิว่ะ” อีกคนเซ้าซี้ก่อนที่คพเพลิงจะทำจมูกฟุดฟิดพลางส่งกล้องให้ พอรับกล้องขนาดพกพาของเพื่อนหนุ่มมาได้ก็รีบกดชัตเตอร์ถ่ายรูปกิ่งดาวไว้ทุกท่วงท่า เธอช่างดงงามเหลือเกิน... ถ่ายไปก็ยิ้มไป...


“นี่เค้าจะถ่ายอะไรของเค้าหนักหนานะแก้ว” ใบหน้างามสะบัดมาหากล่อมแก้วที่ร่ายรำอยู่ข้างๆ ใจนึงนั้นหงุดหงิดไม่หายแต่อีกใจกลับแย้มยิ้มอย่างลิงโลด ดวงตากลมโตสองข้างของคนเป็นเพื่อนจ้องมองไปยังใบหน้าเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่มที่ตามติดริ้วขบวนคอยถ่ายรูปกิ่งดาวไว้ตลอดทาง

กล่อมแก้วฝืนยิ้มก่อนออกความเห็น “ก็เค้าชอบเธอนี่ดาว” ว่าเพียงเท่านั้นหญิงสาวก็ตั้งหน้าตั้งตาร่ายรำตามที่ซักซ้อมมา ไม่หันมาพูดกับกิ่งดาวอีกเลยกระทั่งสิ้นสุดการแห่ขบวน

ณภัทร์รีบวางไมโครโฟนทันทีที่ถึงวิทยาลัย ไม่ใช่เหราะอารามเหนื่อยอ่อนแต่เป็นเพราะว่าเสี้ยวสายตาของชายหนุ่มนั้นพลันเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นหน้าต่างหากล่ะ และเมื่อลงมาจากรถแห่ได้สองเท้าก็รีบวิ่งดุ่มๆ ไปใกล้ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นทันที

“เฮ้ย... นั่นสุรเดชนี่” เอามือป้องปากตัวเองอย่างตกใจ ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบข้างต้นพิกุลที่ปลูกไว้ริมทางเมื่อสุรเดชหันขวับมาทางด้านนี้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังมองหาใครสักคน...

ณภัทร์แอบมองชายหนุ่มอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ก่อนจะคิดว่าตนเองคงตาไม่ฝาด นั่นคือสุรเดชอดีตคนรักเก่าของกิ่งดาวแน่นอน แต่ว่าตอนนี้เค้าก็ไม่ได้เรียนหนังสือที่นี่แล้วนี่ แล้วเค้าจะมาที่นี่ทำไม? คิดพลางเหลือบไปเห็นกุหลาบแดงช่อเล็กที่ชายหนุ่มถือไว้แน่น หรือว่า...

“แย่แล้ว...” ร่างแบบบางของหนุ่มเจ้าสำอางวิ่งดุ่มๆ ไปยังใต้ร่มจามจุรีที่ซึ่งเหล่านางรำจะมารวมตัวกันอีกครั้งเมื่อจบการแห่ขบวน

ชานนท์ปลีกตัวออกมาจากสองเพื่อนหนุ่ม ดูเหมือนว่าตลอดการแห่ขบวนในวันนี้ชายหนุ่มจะมองหาใครบางคน... หญิงสาวคนนั้น คนที่ทำให้เค้าอยู่ไม่เป็นสุขตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา

ในเมื่อวันนี้เพื่อนของเธอทั้งสองคนก็เป็นนางรำในขบวน เธอก็น่าจะเป็นนางรำด้วยนี่น่า แล้วทำไมถึงไม่เห็นเธอล่ะ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน...

คิดไปถึงตรงนี้ สองขาก็รีบวิ่งดุ่มๆ ไปยังห้องพยาบาลของวิทยาลัยทันที กำลังจะเอื้อมมือไปแตะแต่ประตูห้องก็ถูกใครอีกคนที่อยู่ด้านในที่ใช้มือข้างที่ไม่เจ็บเปิดออกเสียก่อน

ช่อทิพย์รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันหลังจากที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้อยู่นาน เอาแต่จ้องมองท่อนแขนตนเองอย่างเจ็บใจ ก่อนจะได้เห็นหน้าชายหนุ่มเจ้าของบาดแผลของเธอ

ชานนท์รู้สึกผิดจับใจ เค้าชำเลืองมองรอยถลอกและสีเขียวคล้ำบนท่อนแขนซ้ายของหญิงสาว ทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยชุดนางรำเหมือนกับเหล่าหญิงสาวในขบวนแห่ นี่เค้าเป็นต้นเหตุให้เธอไม่ได้รำร่วมกับเพื่อนๆ เหรอนี่

“ผม... ขอโทษนะครับ” เอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางก้มหน้าสำนึกผิด ช่อทิพย์พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นต่อหน้าชายหนุ่ม

“ขอตัวนะคะ” เธอเบี่ยงตัวมาอีกทางก่อนจะรีบก้าวขาออกจากห้องพยาบาล ขณะที่ชานนท์กำลังจะอ้าปากพูดณภัทร์ก็วิ่งโร่เข้ามาอย่างหน้าตาตื่น

“จะไปไหนภัทร์” ช่อทิพย์เอ่ยถามขณะที่เพื่อนหนุ่มเอาแต่หายใจหอบแฮ่กๆ อยู่ตรงหน้า

“ไปหาดาวน่ะสิ แย่แล้ว เกิดเรื่องแน่ๆ เลย” พูดตะกุกตะกักจนคนฟังใจไม่ดี

“เรื่องอะไร” คนบาดเจ็บซักไซ้อย่างสนใจใคร่รู้ ชานนท์ที่อยู่ห่างไปอีกสามสี่ก้าวจึงพลอยได้ยินโดยบังเอิญ

“ก็เมื่อกี้ชั้นเห็นไอ้เดช สงสัยคงมาหาดาวแน่ๆ ขืนไปเจอตอนที่นายเทพพิพิธกำลังจีบยัยดาวอยู่ มีหวัง...” พูดค้างไว้เพียงแค่นั้น ณภัทร์ก็หายใจเข้าแรงๆ สองสามครั้งก่อนจะรีบออกวิ่ง

“เราต้องรีบไปบอกดาวนะ” จับมือขวาของช่อทิพย์ได้ก็จูงมือกันวิ่งหน้าตั้งไปยังใต้ร่มจามจุรีทันที ชานนท์จึงได้พลอยวิ่งตามทั้งสองไปติดๆ ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องกับเพื่อนหนุ่มดังที่ณภัทร์คาด

สุรเดชตั้งใจว่าวันนี้จะมาเอ่ยปากชื่นชมกิ่งดาว หญิงสาวที่เค้าปักใจหลงรักหนักหนา หลังจากที่เกิดเรื่องจนอีกฝ่ายขอตัดสัมพันธ์และชายหนุ่มก็มีอันต้องไปทำงานต่างจังหวัดเมื่อพ้นสภาพการเป็นนักศึกษา “รัก” ของกิ่งดาวกับเค้านั้นมันได้ขาดสะบั้นลงตั้งแต่เมื่อปีกราย แต่ “รัก” ของชายหนุ่มอันแสนหวานนั้นมันยังหอมกรุ่นอยู่ทุกคราคร่ำมิเปลี่ยนแปลง

สุรเดชยังหวังอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกว่ากิ่งดาวจะยอมให้อภัย ขอแค่ให้เค้าได้เจอหน้าเธออีกสักครั้ง

ใต้ร่มจามจุรีต้นใหญ่ เหล่าคณะนางรำต่างก็นัดแนะกับอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทั้งกลุ่มจะทยอยกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แผนกวิชา สุรเดชต้องแหวกกลุ่มหญิงสาวสะสวยมากมายเพื่อเข้าหากิ่งดาว

ริมฝีปากหยักสวยคลายยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้างอนงามกำลังหันไปสนทนากับกล่อมแก้วอย่างร่าเริงหลังจากเสร็จจากการแห่ขบวน

“ดาว...” คำเดียวที่ร้องเรียกออกไปนั้นทำให้ใบหน้างอนงามที่สดใสตวัดหันมามองในทันใด รอยยิ้มอ่อนหวานค่อยเลือนหายไปทีละนิด ดวงตากลมโตจับจ้องที่ใบหน้ากรำแดดของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจัง หัวใจเต้นแรงเป็นเท่าทวีคูณ

สุรเดชก้าวฉับๆ เข้าไปใกล้ก่อนจะคว้ามืองามที่อ่อนเปลี้ยมากุมไว้พลางบีบเบาๆ “เดชขอโทษนะดาว ให้อภัยเดชนะครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกกับหญิงสาวขณะที่กล่อมแก้วได้แต่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ มองดูการสนทนาของทั้งคู่ กิ่งดาวสะบัดปลายนิ้วออกจากฝ่ามือสากนั้นพร้อมกับถอยหลังไปก้าวนึง

สุรเดชยืนนิ่งค้าง สองตาจ้องมองใบหน้างามที่มีน้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากสวยนั้นเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะเชิดขึ้นเล็กน้อยยามสบตาชายหนุ่มตรงๆ

“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว เดชอย่ามารื้อฟื้นอะไรอีกเลย” กิ่งดาวตอบเสียงแข็งกร้าว กล่อมแก้วหันไปมองสุรเดชอย่างเปี่ยมหวังให้อีกฝ่ายยื้อหญิงสาวได้สำเร็จ

“ดาวก็รู้ว่าเดชรักดาวคนเดียว ตอนนี้ในใจเดชมีแค่ดาวคนเดียวนะ” สุรเดชผายสองแขนออก สีหน้าสำนึกผิดของเค้าไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

“ในใจตอนนี้ของนายจะมีใครชั้นไม่รู้ เลิกยุ่งวุ่นวายกับชั้นซักทีเถอะ” กิ่งดาวยื่นคำขาดก่อนจะเอี้ยวตัวหนี สุรเดชจึงรีบคว้าแขนหญิงสาวไว้ เสียงขุ่นเคืองของเทพพิพิธดังโร่มาแต่ไกลเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าก็รีบรั้งตัวหญิงสาวให้มายืนเคียงข้าง สองตาที่จ้องมองสุรเดชนั้นดุดันราวราชสีห์กำลังเจอศัตรูร้าย

“นี่มันอะไรกัน ไอ้นี่เป็นใครดาว” ใบหน้าคร้ามแดดของสุรเดชเป็นสีแดงเรื่อเพราะความโทสะ ขบกร้ามพร้อมชี้หน้าไปยังเรือนหน้าขาวสะอาดของเทพพิพิธ

“แล้วแกล่ะเป็นใคร กล้าดียังไงมาจับมือดาว”

“ข้าเป็นแฟนดาว...” สุรเดชประกาศก้องต่อหน้าทุกคน ณ ที่นั้น ณภัทร์และช่อทิพย์รวมทั้งชานนท์มาถึงในนาทีที่น้ำเสียงนั้นดังก้องอยู่ในอากาศพอดี ทั้งสามต่างก็รอดูทีท่าของหนึ่งสาวกับสองหนุ่ม

เทพพิพิธหันมาสบตากับกิ่งดาวที่อยู่เคียงข้าง ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะหันไปจ้องหน้าสุรเดชอีกครั้ง “ดาวไม่ได้เป็นแฟนกับเค้า” คำนั้นที่ได้ยินทำให้เทพพิพิธใจชื้นอย่างลิงโลดผิดกับสุรเดชที่รู้สึกเหมือนถูกมีดปลายแหลมแทงหน้าอกเป็นร้อยเป็นพันครั้ง

แม้ว่าเทพพิพิธจะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางแต่เค้าก็พอจะเดาออก ชายหนุ่มเลี่ยงที่จะไม่ซักไซ้กิ่งดาวในสถานการณ์แบบนี้ ยังไงเสียเธอก็เป็นคนบอกเองว่าไอ้หน้าดำตรงหน้านี่ไม่ใช่แฟนเธอ...

“ถ้าข้าไม่ใช่แฟนดาวก็อย่าหวังเลยว่าไอ้หน้าไหนมันจะได้ดาวไปครอบครอง” สุรเดชระเบิดเสียงใส่ทั้งกลุ่มก่อนจะตรงเข้าฉุดแขนกิ่งดาวไปต่อหน้าต่อตา เทพพิพิธเลือดขึ้นหน้าในทันใดรีบตรงเข้ากระชากแขนหญิงสาวกลับคืนก่อนที่คนกลางจะใช้กำลังที่อยู่เพียงน้อยนิดสะบัดตัวเองหลุดออกจากการเกาะกุมของทั้งสอง

“โอ้ย...” กิ่งดาวเซถลาไปถูกกระถางต้นไม้จนแขนช้ำ ณภัทร์และช่อทิพย์ตรงปรี่เข้าไปหาคนเป็นเพื่อนทันที

“ดาว...” เทพพิพิธพูดเสียงกระซิบอย่างใจหาย กำลังจะก้าวขาไปหาหญิงสาวแต่ก็ถูกสุรเดชยื้อตัวให้หันมาตรงหน้าพร้อมกับซัดหมัดใส่เต็มกำลัง

“เทพ...” เสียงกรีดร้องที่ดังก้องของกล่อมแก้วนั้นทำให้ทุกสายตาหันไปจับจ้องร่างที่กำลังล้มควำลงบนพื้น กิ่งดาวผลุนผลันยันตัวลุกขึ้นในทันทีโดยมีสองเพื่อนสนิทคอยช่วยพยุง ส่วนกล่อมแก้วนั้นตรงดิ่งไปประคองชายหนุ่มที่นอนล้มคว่ำกองอยู่กับพื้น

“อย่านะเดช...” เธอปรามสุรเดชเสียงขรึมขณะอีกคนก้มลงมากระชากคอเสื้อเทพพิพิธ เมื่ออีกฝ่ายนั้นเผลอกำปั้นหนาของเทพพิพิธก็ซัดใส่หน้าสุรเดชเต็มกำลัง

ชายหนุ่มปัดมือกล่อมแก้วออกก่อนจะตรงไปคร่อมร่างสุรเดชที่กำลังเสียท่า ซัดหมัดใส่อย่างไม่ยั้งมือ พออีกคนตั้งตัวได้ก็ดีดตัวเองออกแล้วยกหมัดต่อสู้ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบนลานจามจุรีจนเหล่านักศึกษาน้อยใหญ่กรูกันเข้ามาดู

ชานนท์ทนดูเพื่อนสนิทถูกอีกฝ่ายถูกกระทำไม่ได้จึงตรงดิ่งเข้าไปยื้อแย่งสุรเดชออกหมายจะสงบเหตุแต่มันกลับทำให้เทพพิพิธชกอีกฝ่ายได้อย่างมันมือ

“หยุด... หยุดเดี๋ยวนี้นะ” กิ่งดาวร้องห้ามเต็มเสียงแต่มันกลับไม่ทำให้เทพพิพิธได้สติ จนสุรเดชยันตัวชายหนุ่มที่กำลังจะฟาดหมัดออกได้และแทงศอกใส่ชานนท์ที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อหลุดจากการเกาะกุมก็ตรงดิ่งเข้าหาร่างเทพพิพิธที่กำลังเสียหลัก สองมือแข็งแกร่งกำต้นคอของเทพพิพิธไว้แน่นอย่างอาฆาตแค้นในขณะที่ทั้งกลุ่มกรีดร้องอย่างขวัญเสีย ชานนท์ก็ฟาดขาใส่สีข้างสุรเดชจนอีกฝ่ายล้มคว่ำเทพพิพิธจึงได้ลุกขึ้นหายใจหอบแฮ่กๆ และรีบปราดเข้าไปช่วยชานนท์รุมอีกฝ่ายก่อนที่สถานการณ์จะสงบลงเพราะน้ำเต็มถังที่ณภัทร์ยกมาสาดใส่ทั้งสาม

“รีบหนีไปเร็ว อาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังมาทางนี้แล้ว” ช่อทิพย์ร้องเตือนเมื่อเห็นกลุ่มนักศึกษาที่นำหน้าอาจารย์ชายฝ่ายปกครองมาแต่ไกล สุรเดชกัดฟันยันตัวลุกขึ้นอย่างเจ็บใจ ในขณะที่ชานนท์ก็กอดคอเพื่อนหนุ่มพยุงหลบไปยังแผนกช่างยนต์ของวิทยาลัย กิ่งดาวจ้องมองสายตาของทั้งสองอย่างสับสน สุรเดชที่กัดฟันอย่างเจ็บแค้นกับเทพพิพิธที่กำลังปาดเลือดที่ริมฝีปากอย่างเจ็บปวด นี่เธอควรจะเป็นห่วงใครกันแน่นะ...?

“พวกเราก็ต้องรีบไปนะ” ช่อทิพย์เตือนอีกครั้ง ณภัทร์จึงได้จูงแขนกิ่งดาวพาหลบมาทางห้องสมุดอันเป็นสถานที่หลบซ่อนตัวที่คุ้นเคย กล่อมแก้ววิ่งตามกลุ่มเพื่อนสลับกับหันไปมองชานนท์ที่คอยพยุงเทพพิพิธที่บอบช้ำอย่างเป็นห่วง ใจเธอนั้นอยากจะเข้าไปช่วยเค้านักหนา ติดแค่ตรงที่ว่าเธอไม่ได้อยู่ในสถานะเช่นกิ่งดาว... ไม่รู้ว่าร่างกายของจะบอบช้ำเพียงใด นี่เธอควรจะเป็นห่วงเค้าหรือไม่นะกล่อมแก้ว...

ในมื้ออาหารเย็นของวันนี้ กิ่งดาวไม่คาดคิดว่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันจะรู้มาถึงหูของผู้เป็นบิดา ทันทีที่นายเจตต์เปิดปากเอ่ยถามเรื่องนี้หญิงสาวก็หันขวับไปทางกลอยใจผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวด้วยสายตากร้านกร้าว

“พ่อส่งเอ็งให้ไปเรียนหนังสือนะ ไม่ได้ให้ไปเที่ยวหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชาย” บิดาตวาดใส่อย่างไม่สบอารมณ์ นางทับทิมเห็นสีหน้าของทั้งลูกสาวและสามีก็เริ่มใจไม่ดี

“ไอ้เดชเอ็งก็เลิกคบหากับมันแล้วไม่ใช่รึ แล้วทำไมมันยังมาเกาะแกะกับเอ็งอีก”

“ดาวไม่รู้พ่อ ที่รู้คือเดชเพิ่งกลับมาจากทำงานต่างจังหวัด ดาวก็บอกเค้าไปแล้วว่าดาวไม่ได้รัก ไม่ชอบเค้า” ลูกสาวคนกลางบอกตามความจริง นายเจตต์ดูสงบลงบ้างแต่สีหน้ายังห้วนเหมือนอารมณ์

“แต่ก็ยังไงก็ช่าง พ่อไม่ชอบที่จะเห็นผู้ชายมาชกต่อยแย่งลูกของพ่อแบบนี้” บิดาบอกเสียงขรึม กิ่งดาวก้มหน้างุด สองมือกำแน่นอย่างอดทน น้ำตาเม็ดใสๆ ร่วงหล่นลงเบื้องล่าง...

“นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เอ็งไม่ต้องใช้รถ ให้ไปกลับกับใจเอา” นายเจตต์หันมาที่บุตรสาวคนโต

“อะ อะไรนะคะพ่อ แต่บางวันหนูก็เลิกค่ำนะคะ ไหนจะต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆ อีก” กลอยใจรีบหาข้ออ้าง เธอไม่ยอมเป็นคนขับรถให้น้องสาวคนนี้แน่

“พ่อบอกก็ให้ทำตามสิ ขืนเอ็งขัดขืนอีกคนพ่อจะยึดรถเอาไว้ทั้งสองคัน ไม่ต้องช้งต้องใช้มันอีก ให้นั่งรถโดยสารไปเรียนเหมือนกับคนอื่นๆ เอา” บอกเพียงเท่านั้นผู้เป็นบิดาก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ เดินดุ่มไปคว้าเอาเสื้อแขนยาวสีครีมที่มีตราองค์การบริหารส่วนตำบลสวมใส่ รีบเดินดุ่มๆ ออกจากบ้านไป


เทพพิพิธหาโอกาสคุยกับกิ่งดาวหลายครั้งแต่ทุกครั้งหญิงสาวก็ต้องรีบออกห่างชายหนุ่มทันที เธอไม่อยากให้บิดาตำหนิ ไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนวันนั้นเพราะสุรเดชเองก็เทียวมาดักรอเธอที่หน้าวิทยาลัยทุกวัน ยังดีที่เธอยังมีกลอยใจพี่สาวเป็นโล่ป้องกัน

กล่อมแก้วต้องรอรถโดยสารในตอนเย็นหลังเลิกเรียนทุกๆ วัน วันนี้หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดเพราะรอนานกว่าปกติ คนในศาลาก็แน่นขนัดเพราะบางส่วนเริ่มเดินทางมาจากกรุงเทพในช่วงหลังเทศกาลออกพรรษาและที่หมู่บ้านเองก็กำลังจะมีงานบุญกฐิน ลูกหลานที่เข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ จึงทยอยกันกลับมาทำบุญที่บ้าน

แต่เหมือนฟ้ายังเห็นใจหญิงสาวอยู่ รถยนต์คันงามของเทพพิพิธก็มาจอดลงข้างฟุตบาท ใบหน้าหล่อเหลาชะโงกผ่านกระจกรถที่ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลง

“แก้ว...” คำเดียวที่ฉุดให้กล่อมแก้วดีดตัวขึ้นจากม้านั่ง รอยยิ้มหวานละมุนของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวชาไปทั้งร่าง กล่อมแก้วกระชับกระเป๋าสะพายไว้กับตัวก่อนเดินตรงไปยังรถยนต์คันงามที่จอดรอ

ไม่นานนักกล่อมแก้วก็มาถึงหมู่บ้านในที่สุดโดยที่มีสารถีสุดหล่ออย่างเทพพิพิธนั่งอยู่เคียงข้างในรถยนต์คู่ใจของชายหนุ่มที่บิดาเพิ่งออกมาให้ไม่กี่เดือน ยามได้อยู่ใกล้กันแบบนี้ความเป็นตัวเองก็พลันเลือนหายไปเสียสิ้น กล่อมแก้วไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเขาทั้งที่ใจอยากจะปรารถนาจะได้อยู่ใกล้ๆ เขาก็ตามที อาจจะเป็นเพราะความไม่คุ้นชินของเธอกับเขาก็ได้กระมัง

เทพพิพิธจอดรถที่หน้าบ้านของกล่อมแก้วตามที่หญิงสาวชี้ทางบอกจนมาถึง ชายหนุ่มค่อยๆ หันมาหาอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม “คือว่า...เรามีเรื่องอยากรบกวนแก้วนิดนึงน่ะ”

“เรื่องอะไรเหรอ?” กล่อมแก้วถามกลับก่อนเงยหน้าจ้องตาชายหนุ่มตรงๆ

“คือ...เราอยากเจอหน้าดาวมากเลย รบกวนแก้วช่วยหาวิธีทำให้เราได้พบดาวหน่อยได้มั้ย?” คำขอร้องที่ได้ยินทำให้ทั้งหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในฉับพลัน รอยยิ้มหวานกรุ้มกริ่มของเขามันช่างทำให้ปวดร้าวหัวใจยิ่งนัก... ตัวเขาพูดเขาคุยอยู่กับเธอแต่ใจคงอยู่กับกิ่งดาวเป็นแน่แท้...


“อ้าวพี่แก้ว... มาหาพี่ดาวเหรอคะ?” กอบกุลร้องถามคนมีศักดิ์เป็นพี่ขณะนั่งทำการบ้านกับเพื่อนบนแคร่ใต้ต้นมะขามใหญ่หน้าบ้าน แม้จะยังรู้สึกเคืองกิ่งดาวอยู่แต่เด็กสาวก็ไม่เก็บเอามาคิดให้ฝังใจ

“ใช่จ้ะ ว่าแต่...ดาวไปไหนเหรอ?” กล่อมแก้วถามเสียงเรียบในขณะที่เทพพิพิธหลบอยู่ในพุ่มไม้ริมรั้วบ้านนายเจตต์

“พี่ดาวเข้าไปเก็บผักในสวนน่ะจ้ะ...” กอบกุลพูดพร้อมชะเง้อคอไปด้านหลังบ้านหลังงามที่ปลูกต้นพืชสวนไว้หลากหลายชนิดโดยมีไม้ใหญ่กั้นไว้ หากมองจากตรงนี้คงไม่มีทางเห็นคนในสวนแน่ว่ากำลังทำอะไรอยู่

“งั้นเดี๋ยวพี่ขอเข้าไปหาดาวในสวนก่อนนะ” กล่อมแก้วร้องบอกเสียงดังจนเด็กสาวต้องทำหน้างง เมื่อเห็นสายตาที่หญิงสาวส่งให้เท

พพิพิธจึงคลายยิ้มกว้างอย่างดีใจ กล่อมแก้วก้มหน้างุดก่อนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ทั้งร่างสั่นเทิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น... ทำไมเธอต้องทำให้เค้าทั้งสองได้พบกันด้วย ทำไมต้องทำให้ตัวเองต้องเจ็บใจด้วย

ร่างอรชรในชุดนักศึกษาสีขาวเดินลัดเลาะเข้าสู่สวนของนายเจตต์ กล่อมแก้วหยุดยืนอยู่ที่ดงกล้วยใหญ่สายตาทอดมองไปยังกิ่งดาวที่ก้มๆ เงยๆ เก็บยอดผักบุ้งในแปลงเพื่อนำไปทำอาหารเย็นในวันนี้ก่อนที่ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มรูปงามจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย

“ดาว...” น้ำเสียงนุ่มคุ้นหูที่ได้ยินฉุดให้ร่างบางต้องดีดตัวลุกขึ้นยืนในทันใด

“นี่นาย...นายมาได้ยังไงน่ะ” เอ่ยถามอีกฝ่ายกระอึกกระอัก ไม่คิดฝันว่าเขา
จะกล้ามาหาเธอถึงในสวนแบบนี้ได้ ทั้งที่อุตส่าห์หลบหน้าเค้าก็น่าจะรู้ว่าเธอไม่หมายจะรับไมตรีแต่ก็ยังตามตื๊อไม่เลิกอยู่ได้...

“ผมคิดถึงคุณน่ะ...” ริมฝีปากหยักสวยบนวงหน้าเกลี้ยงเกลาผายยิ้มกว้าง กิ่งดาวกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนเสเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“คิดถึงชั้น...ก็มองบนฟ้าสิ”

“มองฟ้า...” ชายหนุ่มทวนคำเสียงหลง กิ่งดาวเดินออกจากแปลงผักบุ้งจีนตรงไปยังแปลงกะเพราที่อยู่อีกฟาก

“บนฟ้ามันก็มีดาวไม่ใช่เหรอ?” คำตอบที่ได้ยินทำเอาเทพพิพิธต้องยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนรีบแซวกลับไป

“แล้วถ้าวันไหนเมฆเยอะ มองไม่เห็นดาวล่ะครับ...จะให้ผมทำยังไง?” เทพพิพิธลากเสียงหวานก่อนที่กิ่งดาวจะหันขวับมาค้อนใส่

“พอได้แล้ว...นายมีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ” หญิงสาวเอ็ดเสียงขรึมก่อนก้มลงเด็ดใบกระเพราะใส่ตระกร้าต่อ แขกหนุ่มผู้มาเยือนค่อยๆ สาวเท้าเดินเข้าไปหาทีละนิด

“ตกลงไอ้เจ้าคนที่ต่อยผมเมื่อหลายวันก่อนโน้นน่ะ...เป็นใครกันเหรอครับ?” คำถามของเขาทำให้ร่างระหงต้องนิ่งค้างในฉับพลัน ใบหน้าคมเข้มของสุรเดชฉายวาบขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

กิ่งดาวหยัดกายขึ้นและหันไปหาชายหนุ่มตรงๆ “เขาชื่อสุรเดช...เป็นผู้ชายในหมู่บ้านนี้แหละ” แม้จะรู้ว่าไอ้หนุ่มนั่นแอบหมายปองกิ่งดาวเช่นกันแต่เทพพิพิธก็อยากจะลองถามอีกฝ่ายให้แน่ใจว่าเธอได้แอบปันใจให้ไอ้หมอนั่นรึเปล่า... แต่เห็นเธอพูดแบบนี้ก็พอใจชื้นไปได้บ้าง

“แล้วทำไม...คุณต้องคอยหลบหน้าผมด้วยล่ะ?” เทพพิพิธยิงคำถามเป็นครั้งที่สอง คราวนี้กิ่งดาวไม่รู้จะหาเหตุผลใดๆ มาตอบเขาจริงๆ จะให้บอกไปงั้นเหรอว่าเป็นเพราะกลัวว่ากลอยใจจะไม่พอใจที่เห็นเธอยินดีรับไมตรีจากเทพพิพิธหรือเป็นเพราะกลัวว่าสุรเดชจะหึงหวงซึ่งเหตุผลข้อหลังนั้นไม่เป็นจริงเลย

“ไม่เป็นไรครับ ไม่อยากตอบผมก็ไม่ได้บังคับ เดี๋ยวผมแวะมาหาใหม่วันหลังนะ” ชายหนุ่มยกยิ้มกวนประสาทก่อนโบกมือลา รอยยิ้มอบอุ่นตรงหน้าทำให้ความอึดอัดในหัวใจของกิ่งดาวพอเบาบางลงได้บ้าง...



Create Date : 25 กันยายน 2554
Last Update : 25 กันยายน 2554 15:11:21 น.
Counter : 450 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
กันยายน 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
26
28
29
30
 
 
25 กันยายน 2554
All Blog
MY VIP Friend