ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
 
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
เอ็มพีสาม เทปผี ซีดีเถื่อน- ของฟรีไม่มีในโลก!?

เมื่อวันก่อน ผมมีโอกาสไปเยี่ยมเยือนกัลยาณมิตรคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันซะนาน


เพื่อนของผมคนนี้เป็นคนชอบฟังเพลงมากครับโดยเฉพาะเพลงไทยแนวอินดี้ พี่แกจะชอบและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ


เขายังเป็นคนที่ชอบสะสมซีดีเข้าขั้นคลั่งไคล้ จำได้ว่าสมัยก่อนค่ายเบเกอรี่มิวสิคออกซีดีอะไรมา
ไม่ว่าจะเป็นศิลปินหน้าเก่า หน้าใหม่หรือรวมฮิตเจ็ดชั่วโคตร ไม่ต้องทดลองฟัง เพื่อนผมเหมาหมด


ทักทายกันเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบปรี่ไปคุ้ยๆ กองซีดีของเขาดูทันที เผื่อเห็นแผ่นไหนถูกใจจะได้ถือโอกาสหยิบยืมไปฟังฟรีๆ ซักแผ่นสองแผ่น
(แต่ที่ยืมไปก่อนหน้านี้สิบกว่าแผ่นผมก็ยังไม่คืนจนเพื่อนถือว่าทำบุญไปแล้ว)


ผมพบว่า กองนั้นแทบไม่มีซีดีแผ่นใหม่ๆ อยู่เลย
ถามเพื่อนไปว่า เดี๋ยวนี้เป็นอะไร เลิกฟังเพลงเลิกซื้อซีดีแล้วหรือ


เขาตอบกลับมาว่า จะซื้อให้โง่เหรอ เดี๋ยวนี้เขาซื้อ MP3 หรือไม่ก็ดาวน์โหลดเพลงมาฟังกันหมดแล้ว


ถึงจะได้ซื้อซีดีของจริงบ้าง แต่สุดท้ายเวลาจะฟังเพลง เขาก็ฟังจาก MP3ในคอมพิวเตอร์อยู่ดี


พวกคุณอ่านที่เพื่อนผมบอกให้ฟังแล้วคงจะรู้สึกตะหงิดๆ รู้สึกไม่ดีกับเพื่อนผมอยู่บ้าง


แต่ก็ต้องยอมรับว่าเพื่อนผมไม่ใช่คนเดียวที่ทำแบบนั้น ผมเชื่อว่า ยังมีคนทำแบบนี้อีกเยอะ (คุณผู้อ่านบางคนก็ด้วยใช่ไหมครับ!)


เยอะจนรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่แน่คนที่ซื้อของจริงมาฟังตลอดอาจจะถูกมองว่าประหลาดด้วยซ้ำ


เหตุการณ์โลกหมุนกลับด้านเหล่านี้มันเกิดได้ไง สะท้อนถึงอะไรได้บ้าง เรามาดูกันดีกว่าครับ


อดีต-ปัจจุบัน
เมื่อก่อน สมัยยังต้องฟังเพลงจากเทปคาสเส็ตต์ ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์มีไม่มากเท่าไร
อย่างมากก็แค่อัดเพลงรวมฮิตโดนใจใส่ลงในตลับเดียว เอาไปให้เพื่อนวันเกิดแค่นั้น ไม่ถึงขนาดเอาเทปปลอมไปขาย
เนื่องจากเทปคาสเส็ตต์นั้นคัดลอกซ้ำได้ยาก วัสดุราคาแพง จนหยิบเงินไปซื้อของจริงเอาเลยง่ายกว่า


แต่พอหมดจากยุคเทปคลาสสิคกลายมาเป็นยุคซีดี ปัญหาเทปผีซีดีเถื่อนก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ


ของที่มีลิขสิทธิ์ขายได้น้อยลง ของปลอมกลับเป็นที่นิยมมากขึ้น


มากเสียจนผมเชื่อว่าเกือบทุกคน (แค่เกือบนะครับ!) ที่กำลังกวาดสายตาอ่านบทความนี้ต้องเคยซื้อหรือเคยใช้ของปลอมมาแล้วทั้งนั้น (คนเขียนก็ด้วย แหะๆ)
ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นวีซีดี ดีวีภาพยนตร์ เพลง แผ่นเกมหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์


เอาง่ายๆ ว่าสื่อที่วางขายทุกอย่างมีของปลอมหมด ยกเว้นอย่างเดียวคือ หนังสือ (ไม่รู้คนเขียนหนังสืออย่างพวกผมจะดีใจหรือเสียใจดี!)
ยิ่งของปลอมเป็นที่นิยมมากเท่าไร ผู้ผลิตที่เสียประโยชน์ก็ยิ่งต้องหามาตรการมาแก้ปัญหามากขึ้น
แต่เห็นเขาแก้แล้วเหมือนดูลิงแก้แห นอกจากแก้ไม่ได้แล้วเผลอๆ ยิ่งพันกันหนักกว่าเดิมอีก


ไม่รู้ว่าผมคิดเกินจริงไปหรือเปล่า แต่ผมว่าตอนนี้เป็นช่วงวิกฤติของวงการเพลง
ค่ายเพลงเล็กๆ มากมายต้องปิดกิจการ ส่วนค่ายเพลงใหญ่ๆ ต้องเลี่ยงไปหวังรายได้จากสร้างหนังละคร เน้นโชว์ หรือเก็บเงินจากริงโทน หรือค่าลิขสิทธิ์แทน


ปัจจุบันผมเห็นอะไรก็ดูเป็นเงินเป็นทองสำหรับค่ายเพลงไปซะหมด มีเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์แหลกลาญ ทั้งจากร้านคาราโอเกะและจากวิทยุที่เอาเพลงของค่ายเขาไปเปิด
(ทั้งที่สมัยก่อนค่ายเพลงต้องเป็นฝ่ายไปอ้อนวอนขอให้วิทยุช่วยเปิดเพลงของเขาให้ด้วยซ้ำ) แต่ถึงจะพยายามเก็บเงินมากเท่าไรรายได้ก็ยังไม่เข้าเป้า


ผมเคยมีโอกาสพูดคุยกับคนในวงการเพลง เขาบอกกับผมว่า
เว้นแต่คุณเป็นคนที่มีใจรักดนตรีจริง หรืออยากแต่งเพลงเป็นการกุศลไม่หวังเงินกำไร ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าไม่ใช่ ถ้าอยากรวย ช่วงนี้อย่าเพิ่งเข้ามาทำมาหากินกับวงการนี้ซักพัก!


หรือไม่ก็แนะนำให้ไปทำธุรกิจขายเต้าฮวยแทน เพราะอย่างน้อยคนอื่นก็มาลอกของเราไปขายไม่ได้
ความจริงปัญหาเรื่องของผิดลิขสิทธิ์มีอีกมากมาย เพื่อไม่ให้เกิดความเยิ่นเย้อ ในบทความนี้ผมจะขอเขียนถึงแค่เรื่องเพลงกับซีดีเถื่อนเท่านั้น


และจะขอมองปัญหาในมุมมองของผู้บริโภค ในแง่ความเป็นจริงไม่ใช่ในแง่อุดมคติหรือเชิงศีลธรรมนะครับ ซึ่งถ้ามุมมองผิดพลาดอย่างไรผู้เขียนก็ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยนะครับ


ปัญหา
ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์นี่ ตัวการใหญ่ๆ มีอยู่สองอย่าง คือ MP3 กับการดาวน์โหลดครับ


พูดถึง MP3 ก่อนแล้วกัน
MP3 ที่วางขายมีอยู่หลายยี่ห้อ แต่แบบที่เป็นที่นิยม มีอยู่สองยี่ห้อ
เจ้าแรกยี่ห้อ ชื่อ ประเทือง ครับ
สาเหตุที่ใช้ชื่อประเทืองเพราะ ตอนที่ชุดแรกออก อัลบั้มเด่นที่อยู่ในชุดนั้นคือ ไท ธนาวุฒิ อัลบั้มแรก ซึ่งมีเพลงที่ดังสุดๆ คือ เพลงประเทือง เลยเรียกอัลบั้มนั้นว่า ประเทือง
จากนั้นพอชุดหลังๆ ก็ใช้ชื่อนั้นมาเรื่อยๆ จนป่านนี้ปาไปห้าร้อยกว่าชุดแล้ว


อีกยี่ห้อ คือ Vampires ครับ
อันนี้เอกลักษณ์ที่คนจำได้แม่นคือ จะมีเขียนไว้บนปกว่า ของแท้ต้องเป็นแผ่นปั๊ม เท่านั้น
(ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ปัญหาของปลอมนี่มันช่างน่ากลัวจริงๆ ขนาดของปลอมยังมีคนคิดจะมาทำปลอมต่ออีกที!)
สมัยก่อนจำนวนคนที่ซื้อ MP3 มีค่อนข้างน้อย เนื่องจากตัวแผ่นมีราคาแพง หาซื้อยาก หาซื้อได้ไม่กี่ที่ (ก็ที่ที่พี่เสก โลโซแกบอกนั่นแหละครับ)
คุณภาพเสียงยังไม่ดี และศิลปินทัน (ความจริงผมไม่ค่อยอยากใช้คำคำนี้เท่าไร แต่ยังคิดคำอื่นไม่ออก เลยขอกล้อมแกล้มไปก่อน)
ที่ออกเทปยังไม่เยอะมากจนฟังไม่ ทำให้คนยังนิยมซื้อของจริงอยู่


แต่ระยะหลังๆ MP3 ราคาถูกลงและหาซื้อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการก๊อปปี้ MP3 อีกทีแล้วนำไปขายที่อื่นต่อเป็นทอดๆ เรียกว่าต่อให้อยู่อำเภอไกลปืนเที่ยงแค่ไหนก็หาซื้อได้ไม่ยาก
(บางที่ถ้าอยากฟังเพลงอินดี้บางชุด หาซื้อ MP3 มาฟังเลยง่ายกว่าหาซื้อของจริงเสียอีก)
อีกทั้งการทำเพลงทุกวันนี้ทำได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีค่ายเพลงใหม่ๆ เกิดมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาเพลงล้นตลาด
ซึ่งแม้จะดูไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไรแต่ลักษณะปัญหามันก็เหมือนลำไยล้นตลาดแหละครับคืออุปทานมากกว่าอุปสงค์
ด้วยสภาพสังคมที่รีบเร่ง คนฟังไม่มีเวลามาติดตามข่าวสารว่า ชุดไหนเพราะไม่เพราะ
การซื้อ MP3 มาเลยทำให้ไม่ต้องเสี่ยงดวงแทงหวย เพลง 200 เพลง อย่างน้อยมันก็ต้องเพราะสักเพลงหละน่า


และปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้ความต้องการ MP3 เพิ่มขึ้นคือ ไลฟ์สไตล์ของคนเปลี่ยนไปด้วยบทบาทของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น
คนฟังเพลงจากเครื่องเล่นซีดีหรือวอล์คแมนลดลง
แล้วหันไปฟังเพลงจากคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็จากประดิษฐกรรมยุคใหม่อย่างไอพอด เครื่องเล่น MP3 แบบพกพาหรือไม่ก็ฟังเพลงจากมือถือมากขึ้น
ซึ่งอย่างหลังสะดวกกว่าวอล์คแมนตรงที่ไม่ต้องหิ้วแผ่นซีดีไปไหนมาไหนด้วยให้หนักกระเป๋า


ซึ่งรสนิยมการฟังเพลงแนวใหม่นั้น จำเป็นจะต้องใช้ โปรแกรม MP3 ในการโหลดเพลงเข้าเครื่องซะด้วย


ลำพังแค่แผ่น MP3 ก็จะแย่แล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นอีก และกำลังมาแรงมากจนตี MP3 กระจุย ยอดขายตกถล่มทลาย


สิ่งนั้นก็คือ การดาวน์โหลดเพลง! ทั้งโหลดจากเวบและผ่านโปรแกรม Bittorrent


(คิดไปคิดมาก็เหมือน MP3 โดนผลกรรมตามทัน ไปทำเขาไว้เยอะก็เลยโดนคนอื่นทำบ้าง-แต่อย่างไรสุดท้ายศิลปินเจ้าของผลงานก็ซวยสุด เพราะโดนขโมยทั้งขึ้นทั้งร่อง!)


อย่างแรกคือ การโหลดมาจากเวบไซต์สาธารณะต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเวบไซต์เหล่านี้ก็โดนปราบปรามจนแทบไม่มีให้เห็นแล้ว
หรือถ้ามีก็จะแค่ให้ฟังอย่างเดียว ห้ามโหลด ตัวอย่างเวบที่คนชอบมาโหลดเพลงก็อย่างเช่น Thaimusiclover.com
ซึ่งตอนนี้ก็โดนปิดตายกลายเป็นตำนานไปแล้ว เรียบร้อยโรงเรียนพี่หอย ดำจัง!
อย่างหลังคือ ใช้ระบบ bittorrent ซึ่งจะต่างจากอันแรก คือ เป็นการโหลดแบบไม่ต้องมี Software กลางเป็นที่เก็บ ส่งข้อมูลเป็นส่วนๆ ได้เลย
โดยส่วนใหญ่เวบที่ให้โหลดเหล่านี้จะเป็นระบบสมาชิก ซึ่งคนที่จะเข้ามาได้ต้องให้สมาชิกเก่ารับรองก่อน ซึ่งเข้ามาแล้วจะมาดูดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกันปล่อยข้อมูลด้วย
ดูเป็นตัวอย่างสังคมแบบย่อยๆ เลยทีเดียว


การดาวน์โหลดน่ากลัวตรงการจะจับหรือยับยั้งได้นั้น ยากสสสส์! แถมแพร่กระจายง่าย


ถ้าใครมีเพลงใหม่สักเพลง แล้วเอามาปล่อย ไม่นานหรอกครับมันจะแพร่กระจายไปตามคนที่นิยมดาวน์โหลดอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไวรัสเดอะริง


เนื่องจากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย ถ้าได้ไฟล์อะไรมาก็จะแจกจายให้คนอื่นง่ายๆ ไม่หวง
และความง่ายในการย้ายข้อมูลทั้งจาก Handy Drive และการไรท์ลงแผ่น
ยังทำให้บทเพลงเหล่านั้นสามารถแพร่หลายไปถึงคนที่ไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์ จะใช้ แค่มีคนไรท์มาให้แค่นี้ก็เสร็จโก๋!
ด้วยความเร็วและความ (มัก)ง่ายจึงทำให้คนที่ปกติวางตัวเป็นกลาง ไม่คิดอะไรมากโดนเทปผีซีดีเถื่อนมาแย่งลูกค้าจากสินค้าของจริงเป็นจำนวนมาก


สมัยก่อนเวลาจะจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อของจริง ผู้ผลิตมักจะมีข้ออ้างว่า ของปลอมคุณภาพไม่ดีสู้ของจริงก็ไม่ได้ ทั้งของปลอมยังไม่มีคุณค่าทางจิตใจ
แต่ข้ออ้างเหล่านั้นก็ดูว่าจะใช้ไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้ของจริงกับข้อปลอมคุณภาพก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร เพราะส่วนใหญ่ของปลอมก็ค้ดลอกมาจากของจริงนั่นแหละ
แถมบางกรณีของปลอมกลับดีกว่าของจริงด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น หนังดีวีดีที่แบบมีลิขสิทธิ์โดนทั้งตัดทั้งเบลอร์ ส่วนของปลอมไม่มีปัญหาอะไร
ได้ดูเต็มๆ อีกทั้งแพคเกจของมีลิขสิทธิ์บางอันก็ทำออกมาได้อนาถาจนแพคเกจดีวีดีของปลอมจากจีนหรือแม่สายสวยกว่าหลายเท่า!


อย่างนั้นข้ออ้างที่จะให้ผู้บริโภคซื้อของจริงจะเหลืออะไรบ้างล่ะครับ
ข้ออ้างที่ใช้จูงใจลูกค้าจึงเหลือแค่ เหตุผลเรื่องคุณค่าทางใจและความเห็นใจในการทำงานของตัวศิลปินเท่านั้น
แต่พูดก็พูดเถอะครับ เรื่องค่าความคิดสร้างสรรค์หรือทรัพย์สินทางปัญญานั้นมันเป็นกฏเกณฑ์ของต่างประเทศซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย
(ใหม่ซะจนคนไทยหลายคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จนทำให้ของดีของเราโดนต่างชาติเขาขโมยไปจดสิทธิบัตรอย่างหน้าด้านๆ มาหลายอย่างแล้ว)


อีกทั้งมันยังเป็นนามธรรม จับต้องลูบครำก็ไม่ได้ จะบอกให้ผู้บริโภครู้ถึงผลเสียว่า ต่อไปจะไม่มีเพลงดีๆ ฟังแล้วนะ คนฟังเขาไม่เห็นภาพเขาก็ไม่เดือดร้อนหลอกครับ
จะบอกให้คนฟังเห็นใจศิลปิน คำว่าเห็นใจคนไทยมักจะใช้ต่อผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
ไม่ใช่กับศิลปินที่ภาพลักษณ์เป็นแนวหรูหรา ร่ำรวย อีกทั้งค่ายเพลงก็เป็นบริษัทมหาชน ที่ทั้งอากู๋อาเฮียนั่งจิบไวน์อย่างนี้


จนกว่าพวกเขาไม่มีเพลงให้ฟังนั้นแหละครับ คนฟังจึงจะหันมาเหลียวมองแล้วค่อยบอกว่า เหรอๆ แล้วจึงหาทางล้อมคอกปัญหาที่เกินจะแก้แล้วต่อไป
เหมือนอีกหลายปัญหาที่ป่านนี้ยังหาไม้มาล้อมได้ไม่หมดเลย


สาเหตุ
คุณผู้อ่านลองคิดดูเล่นๆ ในกรอบความคิดแบบผู้บริโภค ไม่ใช่แบบมายาคตินะครับ ว่า ทำไมคุณถึงซื้อของผิดลิขสิทธิ์
ผมเชื่อว่าคำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้นแบบนี้
1. สินค้าแบบที่มีลิขสิทธิ์ไม่มีขาย หรือหาซื้อยากมาก ทำให้ไม่มีทางเลือกต้องซื้อของปลอมมาฟัง กรณีนี้มักจะได้แก่ เพลงจากต่างประเทศหรือเพลงชุดเก่าๆ ที่เลิกผลิตไปแล้ว


2. ราคาถูกกว่า MP3 มีอยู่ 200 เพลง ขายแค่ 100 กว่าบาท ตกเพลงละ 0.5 บาทเอง
3.ความสะดวก ซื้ออันเดียวได้ฟังทีละหลายอัลบั้ม ได้ฟังเพลงแปลกๆ แถมเปิดฟังจากคอมได้เลย


4.ความปลอดภัย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงดวง ฟังก่อนว่าว่าอันไหนเพราะไม่เพราะ เพราะถ้าเกิดพลาดไปซื้ออัลบั้มไม่เพราะขึ้นมาจะเสียดายตังค์
สาเหตุแรกเป็นการกระทำเพราะความจำเป็น สมควรได้รับการอภัยโทษ


แต่สาเหตุที่เหลือ ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยยึดเอาหลักความสะดวกสบายมากกว่าหลักความถูกต้อง
เหมือนมีทางสองทางให้เลือก ระหว่างทางที่สบายแต่ผิด กับทางที่ลำบากแต่ถูก
โดยทั่วไปถ้าผู้เลือกรู้สึกว่าทางสายแรกถึงจะผิดแต่ไม่ถึงขั้นทำให้ใครคอขาดบาดตาย คนนั้นก็เลือกอันแรกอยู่แล้วครับ
มองว่าเป็นความมักง่ายของผู้บริโภคก็ได้ครับ


ในอนาคตการซื้อของไม่ถูกลิขสิทธิ์เพราะสาเหตุแรกคงจะมีน้อยลง เนื่องจากโลกที่ดูเล็กลง การสั่งซื้อของจากแดนไกลหรือของหายากน่าจะทำได้ง่ายขึ้น
แต่สาเหตุข้อ 2-4 นี้ นอกจากจะไม่ลดแล้ว ขอบอกตรงๆว่า ต่อไปน่าจะยิ่งเยอะกว่านี้ (ทั้งที่ตอนนี้ก็เยอะอยู่แล้ว)


วิเคราะห์

ก่อนจะหาทางแก้ปัญหา เราลองมาพิจารณาผลดีผลเสียของ MP3และการดาวน์โหลดให้ละเอียดกันก่อนดีกว่าครับ
ของทุกอย่างล้วนแต่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย MP3 และการดาวน์โหลดก็เช่นกัน
ศิลปินอาจมองว่ามันเป็นปีศาจร้าย ต้องกำจัดมันให้สิ้นซาก จริงๆ แล้วถ้าใช้ให้ถูกวิธี มันก็มีประโยชน์ของมันอยู่ครับ โดยเฉพาะกับค่ายเล็ก


อย่างน้อยประโยชน์ของมันอย่างนึงก็ คือ ช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้ทดลองฟังก่อนตัดสินใจซื้อของจริง
มองง่ายๆ ครับ คือ เปลี่ยนเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองเพลงฟังจากวิทยุเป็น MP3
เพลงออกใหม่ปีละเป็นหลายพันเพลง ทั้งจากเพลงจากค่ายเล็กๆ หรือจากนักร้องหน้าใหม่


โอกาสจะให้เพลงไปถึงหูผู้บริโภคเลยมีน้อยเพราะมีการปิดกั้นช่องทางสูง
นื่องจากค่ายใหญ่มีสื่อที่มากกว่า สามารถผูกขาดได้ทั้งวิทยุ รายการทีวีและกระแสสังคม
เคยรู้สึกไหมครับว่า เพลงบางเพลงฟังทีแรกไม่ได้มีความไพเราะอยู่เลย
แต่หลังจากโดนเปิดกรอกหูทุกวัน เราเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกกลายเป็นเพราะไปได้ นี่แหละครับผลของการผูกขาด ทำให้เพลงที่เปิดตามท้องตลาดทุกวันนี้มีแต่ค่ายใหญ่
การมี MP3 มีแง่ดีตรงที่เป็นเหมือนเส้นทางโฆษณาอย่างนึง ทำเป็นเล่นไปครับ
มีหลายเพลงที่ดังได้เพราะ MP3 บังเอิญเปิดฟังแล้วรู้สึกเพราะเลยมีการบอกกันปากต่อปาก ทำให้เพลงและศิลปินนั้นดังขึ้น
สุดท้ายก็มีคนจ้างไปเล่นคอนเสิร์ตหรือเอาไปประกอบละครก็เยอะ
แต่มันจะเกิดผลดีก็ต่อเมื่ออยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ชอบแล้วต้องไปซื้อของจริง
ถ้าชอบแต่ไม่ยอมไปซื้อของจริงนี่สิครับ ถึงเป็นปัญหาถึงตอนนี้!
การที่ของปลอมขายได้มากขึ้น ซีดีขายได้น้อยลง ไม่ได้มีผลเสียแค่ทำให้ศิลปินไส้แห้งเท่านั้นนะครับ
มันยังมีผลเป็นทอดๆ กระทบต่อพวกเราอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
คุณรู้สึกบ้างหรือเปล่าครับว่าเพลงสมัยนี้ห่วยลง
ลองคิดถึงสมัยก่อนสิครับ เทปออกแค่เดือนละ 4-5 ม้วน แถมออกมาแล้วก็โปรโมตแล้วโปรโมตอีกจนข้ามเดือน
แถมเพลงในม้วนยังฟังได้เรื่อยๆ ไพเราะเกือบทุกเพลง
จนรอให้เราร้องตามได้ทั้งม้วนแล้ว ตอนนั้นค่ายเพลงเขาจึงจะปล่อยศิลปินคนใหม่ออกมา
แล้วเราก็ติดตามฟังไปเรื่อยๆ เป็นวงจรอย่างนี้เหมือนเดิม
อย่าง เสือธนพลชุดแรก ผมจำได้ว่าโปรโมตกันไม่เลิก จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังจำเนื้อเรื่องในชุดนั้นได้ทุกเพลงไม่ผิดเพี้ยน!
แต่หลังจากมี MP3 เข้ามา คนก็หันไปฟังเพลงจาก MP3 มากขึ้น
พอของจริงขายได้น้อยลง เงินรายได้ของศิลปินที่เข้ามาก็น้อยลง
ทางด้านศิลปินก็ต้องหาเงินด้วยการออกเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตมากขึ้น ทำให้ศิลปินมีกำลังกายกำลังใจและเวลาในการเตรียมทำชุดใหม่น้อยลง


ทางด้านค่ายเทป ในเมื่อทำธุรกิจ บริษัทอยู่ในตลาดหุ้น ก็ต้องหาทางให้บริษัทมีรายได้มากเท่าเดิม
แน่นอน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ก็ต้องลดต้นทุนการผลิตลงและเพิ่มจำนวนการผลิตให้มากขึ้น เพื่อให้ได้กำไรเท่าเดิม
แต่วิธีนั้นอาจจะใช้ได้กับสินค้าที่ผลิตได้ซ้ำๆ อย่างเงาะกระป๋อง แต่สำหรับเพลงซึ่งเป็นสินค้าที่ในการผลิต ต้องพึ่งความคิดสร้างสรรค์ของคนสร้างงาน ทำอย่างนั้นเท่ากับมีผลเสีย


ผลที่ตามมาทำให้ ศิลปินได้เงินทุนและค่าจ้างในการผลิตงานต่อชุดลดลง (บางรายที่ชุดก่อนๆ ขายไม่ดีอาจจะถูกแบนไม่ให้ออกชุดใหม่เลย)
ผงงานที่ออกมาจึงมีคุณภาพแย่ลง
และในเมื่อกำไรต่อหน่วยลดลง บริษัทก็ต้องขายสินค้าให้มากหน่วยขึ้น จนเพลงออกมาเต็มตลาด


เมื่อเจอสองพลังประสานอย่างนี้ ส่งผลให้ผลงานเพลงที่ออกมาห่วยลงเรื่อยๆ
ชุดหนึ่งขอให้มีเพลงเพราะๆ ซักเพลงสองเพลง ก็เอาขึ้นสะเด็ดน้ำ จับวางขายได้แล้ว เพราะคิดว่าว่าต่อให้ทำเพลงเพราะทั้งชุด คนก็ไม่สนใจฟัง ยอดขายก็ได้เท่าเดิมอยู่ดี


คุณผู้อ่านลองคิดดูเล่นๆ ก็ได้ครับ อัลบั้มที่คุณชอบทุกเพลงล่าสุดคืออัลบั้มอะไร และมันออกมานานแค่ไหนแล้ว!
ในเมื่อคุณภาพเพลงมันแย่ลง คนฟังก็เริ่มรู้สึกไม่คุ้มค่าในการซื้อของจริง หนีไปซื้อของปลอมมากขึ้น
เหตุการณ์มันก็เลยกระทบกันเป็นวงจรอุบาทก์ไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละครับ


ส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้อายุการใช้งานของอัลบั้มนึงนี้สั้นมากครับ
ปล่อยตัวอย่างมาให้คนดูเริ่มคุ้นชื่อ จากนั้นก็เปิดตัวเพลงแรกด้วยเพลงเร็วคึกคัก ตามติดด้วยเพลงช้า เนื้อหาเดิมๆ (ไม่แอบรักก็โดนทิ้ง) ท่อนฮุคเอาให้โดนๆ จะได้ตัดไปขายเป็นริงโทนได้
ดูกระแสต่อ ถ้าดันไม่ขึ้นก็จบ ถ้าดันขึ้นก็ดันต่อ จากนั้นก็ทำเพลงชุดใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดอายุใช้งานของศิลปินคนนั้นก็จบ


วัฏจักรสั้นและเป็นวงจรไม่แพ้ตัวดักแด้เลยครับ
ในเมื่อหวังจากซีดีไม่ได้แล้ว ก็ต้องเอาเงินจากวิธีอื่น
อย่งแรกก็อย่างที่บอกแหละครับ ในเมื่อซีดีขายไม่ได้ แหล่งรายได้ของศิลปินก็คือ การต้องวิ่งรอกออกคอนเสิร์ต กับโชว์ตัวไปด้วย
ไม่เหมือนศิลปินต่างประเทศที่ถ้าเป็นระดับตำนานแล้ว แต่เพลงดีๆเสร็จนอนกระดิกเท้ารอรับเงินอยู่บ้านได้เลย


ส่วนบ้านเรา กว่าจะได้เป็นตำนาน กว่าชาวบ้านเขาจะรู้ว่าสุดยอด ซีดีมือสองขายได้เป็นพันก็ต่อเมื่อเขาอดตายไปแล้ว
ชะตากรรมเหมือนแวนโก๊ะห์นั่นแหละครับ
อีกอย่างที่ทำรายได้ให้ศิลปินเป็นกอบเป็นกำ คือ การตัดเพลงขายเป็นริงโทนครับ หรือไม่ก็รอให้มีคนซื้อไปประกอบหนังหรือเปิดคลอละคร


ด้วยเหตุนี้ ทำให้เพลงสมัยนี้ มีลักษณะคล้ายๆ กันอยู่อย่าง คือ ท่อนฮุคจะร้องดังๆ ฟังรุนแรง โดนใจ จำง่าย
ส่วนเพลงที่ฟังเรื่อยๆแบบจะจบเพลงอยู่แล้วยังไม่รู้เลยว่าท่อนฮุคอยู่ไหนนี่ใกล้สูญพันธ์เต็มที่แล้ว
ลักษณะของอัลบั้มช่วงนี้อีกอย่างก็คือ มีการออกอัลบั้มรวมฮิตเยอะ เพิ่มเพลงใหม่ 2 เพลงแล้วจับมารวมแล้วรวมอีก


หรือไม่ก็มีการเอาเพลงเก่ามาร้องใหม่ เรียบเรียงดนตรีใหม่ไม่ว่าโดยนักร้องคนเดิมหรือคนใหม่
เนื่องจากสามารถประหยัดค่าแต่งเพลง มั่นใจว่าออกมาเพราะแน่ๆ และง่ายต่อการโปรโมตให้ติดหูคนฟัง
ปัจจุบันนี้ซีดีของอาร์เอสเหลือแค่อัลบั้มละ 5 เพลงแล้ว สาเหตุก็เดิมๆ นี่แหละครับ เพลงเยอะเพลงน้อยก็ขายได้เท่าเดิม สู้แต่งน้อยๆ แต่มาโปรโมตเยอะๆ ดีกว่า
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การที่ผู้ฟังไม่รู้สึกผิดอะไรกับเรื่องละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
ผมดูดีวีดีหนังฮอลลีวูดทีไร มักจะเห็นโฆษณาบอกว่าการซื้อของปลอมผิดกฎหมายเป็นอาชญากรรมร้ายแรงทุกที (ผมอดขำตัวเองไม่ได้ว่าคือ ผมเห็นโฆษณานี้ครั้งแรกในดีวีดีเถื่อน!)


แต่ในสังคมไทย ใครจะมาอาละวาดคอขาดบาดตายกับเรื่องนี้ คงมีแต่คนหัวเราะ
แต่ไอ้เรื่องศิลปะ เรื่องลิขสิทธิ์ นี่ก็พูดยากครับ หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ความผิดก็ไม่เห็นโจ่งแจ้งเหมือนเอาปืนไปจ่อหัวชาวบ้านเขา
เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอันแสนหยุมหยิมนี้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศเรา


ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ขัดต่อแนวคิดเดิมของสังคมไทยครับ
สังคมไทยมองว่า บทเพลงหรือสื่อบันเทิงเป็นเรื่องสาธารณะ
เขาเคยชินกับการเอาเพลงนู้นเพลงนี้ ไปเปิดในงานบวช งานแต่ง กินเหล้าก็ร้องเพลงไป
หรือหนังกลางแปลงก็ไปนั่งดูฟรีได้เลย ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว


แต่ในกรอบของลิขสิทธิ์ การเอาของของเขามาใช้โดยมีจุดประสงค์ทางการค้าหรือเพื่อผลประโยชน์นั้นทำไม่ได้
เพราะกฏหมายลิขสิทธิ์ถือว่า เพลง หนัง หรือสื่อต่างๆ เป็นเรื่องของทรัพย์สินส่วนบุคคล
ไปเอาแนวคิดของเขามาเพราะโดนบังคับ แต่ไม่มีการเปลี่ยนมุมมองของรัฐและผู้บริโภค อย่างนี้ก็ยุ่งสิครับ


ถ้าไม่ปรับกฏของเขาให้เข้ากับสังคมไทยก็ต้องปรับสังคมไทยให้เข้ากับของเขา
ทำแบบไหนจึงจะง่ายกว่า จนป่านนี้ผมก็ยังคิดไม่ออกเลยครับ ใครคิดได้ช่วยบอกผมที


วิธีแก้ไข
ปัญหานี้ค่อนข้างฝังรากลึกและมีความเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ซึ่งถ้าจะรอให้เทวดาหรือคนไม่กี่คนทำให้คงจะต้องรอกันอีกนาน
ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายส่วนทั้งจากตัวผู้ผลิต ศิลปิน ภาครัฐ และผู้บริโภค
มาดูกันทีละอย่างแล้วกันนะครับ
อย่างแรกคือ ต้องแก้ที่ตัวศิลปินครับ
จะมาทำเพลงให้เสร็จๆ แล้วนอนกระดิกเท้ารอรับทรัพย์อยู่บ้านคงไม่ได้แล้ว
ตัวศิลปินต้องสร้างแฟนคลับหรือสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับผู้บริโภคครับ


ไม่ว่าจะเป็นการออกทัวร์คอนเสิร์ตซึ่งนอกจากเป็นการพบปะแฟนเพลงของเราโดยตรงแล้ว ยังสามารถชดเชยรายได้ของซีดีที่หายไปอีกด้วย
ถ้าศิลปินแสดงคอนเสิร์ตได้สนุก มันหลุดโลกเท่าไร ก็ยิ่งมีคนอยากมากขึ้น สุดท้ายก็มีคนมาจ้าง(เป็นอีกคำที่ผมไม่อยากใช้แต่คิดคำดีกว่านี้ไม่ออก)ให้ไปเล่นมากขึ้น


ดูตัวอย่างเช่น วงพาราด็อกซ์หรือโมเดิร์นด๊อกก็ได้ครับ ไปเล่นที่ไหน คนดูเต็มที่นั่น

อีกอย่างคือ เข้าหากลุ่มคนฟัง หาหนทางติดต่อสื่อสารกับแฟนเพลงโดยตรง ผ่านการจัดมีตติ้งหรือทำเวบไซต์
และที่ลืมซะไม่ได้ก็คือ ศิลปินต้องทำเพลงที่มีคุณภาพ ทำเพลงด้วยสมองและหัวใจให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด
ไม่ให้คนที่ชอบผลงานคุณผิดหวัง อย่าทำให้มันเสร็จๆ ส่งๆไปให้ครบ 10 เพลง หรือเขียนแต่เรื่องเดิมๆ รักๆ ใคร่ๆ น่าเบื่อ
มองเพลงเป็นศิลปะครับไม่ใช่สินค้า

หนทางรอดของศิลปินทุกวันนี้ ไม่ต้องพยายามกวาดคนดูวงกว้างมาก ขอแค่หาแฟนคลับตัวเองให้เจอแล้วพยายามให้เขาเหนียวแน่นกับเรามากที่สุด (ศัพท์วิชาการเรียกว่า Niche)
ทำเพลงก็คงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้แต่ไม่ลืมมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ (งงไหมครับ)

ผมสังเกตว่า ถึงคนที่เขาชอบซื้อซีดีเถื่อนมากแค่ไหน แต่ถ้าวงที่เขาชอบมากๆ ออกขาย ส่วนใหญ่พวกเขาก็พร้อมจะควักกระเป๋าซื้อของจริงเสมอแม้จะมีเพลงนั้นๆ อยู่ใน MP3 อยู่แล้ว


ดูอย่างซีดีค่ายเบเกอรี่สมัยก่อนก็ได้ครับ ถ้าเพราะจริง มีแฟนคลับ แพงแค่ไหนคนก็ซื้อ

ถ้าเพลงเราดีจริงทุกเพลง ไม่ใช่ดีเพลงสองเพลง ยังไงเพชรก็คือเพชร
ต่อให้วันนี้ไม่ดังไม่มีใครได้ฟัง ในอนาคตก็ต้องดังอยู่ดี วงที่เป็นอมตะทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ตอนออกวางแผงใหม่ๆ ไม่ค่อยมีใครดังหรอกครับ

ศิลปินไปแล้ว ที่อยากจะพูดต่อไปคือ ค่ายเพลง หรือตัวนายทุนครับ
อย่างแรกคือ เอาใจใส่ผู้บริโภค เห็นใจผู้ซื้อของจริงบ้าง
ทั้งเรื่องราคาซีดีที่ราคาแพง

แพงมาตลอดจนซีดีเถื่อนระบาดนั่นแหละครับ ถึงยอมลดราคาซีดีลงมา (ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีซีดีเถื่อน ราคาก็คงยังแพงหูฉี่เหมียนเดิม)


ผมอยากให้ค่ายเพลงขายซีดีในราคาที่จะถูกจะแพงก็ได้แต่ราคาต้องเหมาะสม
สังเกตนะครับ คำว่าขายราคาเหมาะสมกับขายไม่แพง ความหมายมันต่างกัน
ค่ายเทปเล็กๆ อิสระ ไม่มีสื่อในมือ การขายซีดีราคาแพงนั้นถือว่า


เหมาะสมแล้วเพราะยอดขายมีน้อย เน้นขายคนที่อยากได้จริงๆ ทำน้อยก็ต้องขายแพงเป็นธรรมดา
แต่อย่าให้แพงเวอร์เท่านั้นล่ะครับ
แต่สำหรับค่ายเพลงใหญ่ ที่มีหนทางโฆษณาและลู่ทางขายกระจายไปทั่วประเทศอย่างนี้ การขายแพงถือว่าไม่เหมาะสมครับ

ไม่ต้องให้ราคาถูกมากก็ได้ แต่ถ้าราคาระหว่างของจริงกับของปลอมไม่ต่างกันมากเป็นสวรรค์นรกอย่างนี้ ผมเชื่อว่าก็น่าจะพอช่วยแก้ปัญหาได้แปละนึง

อีกอย่างก็เรื่อง Packaging ครับแม้มันจะไม่ส่งผลให้เพลงมันเพราะขึ้น เป็นแค่เปลือกนอก อย่างคำคมว่าไว้ อย่าตัดสินหนังสือจากปก

แต่การทำปกและแพ็คเกจสวยงาม มันจะช่วยให้คนสะดุดตา และกระตุ้นความต้องการมากกว่าแบบที่ปกห่วยๆ เน่าๆ
และถ้าเพลงข้างในดีอีก อนาคตมันอาจจะกลายเป็นของสะสมล้ำค่าหายากก็ได้

ดีกว่าคิดไม่ออกก็ทำปกเป็นนักร้องยิ้มแฉ่งหน้าเต็มปก จนหาความแตกต่างระหว่างอัลบั้มไม่ได้
และทางแก้อีกวิธีนึง ผมอย่างจะตั้งชื่อว่า ในเมื่อต่อต้านไม่ได้ก็ให้เข้าร่วมไปเลย

ในเมื่อเขานิยมดาวน์โหลดกันนัก ทำไมเราถึงไม่ทำให้การดาวน์โหลดมันถูกกฏหมายไปเลย (พูดถึงเพลงนะครับ อย่าคิดถึงหวยบนดินล่ะ)
วิธีการคือ เปิดหาสมาชิก เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วเก็บเงิน ทำแบบที่ต่างประเทศทำไปเลย

ซึ่งวิธีนี้ตอนนี้แกรมมี่และอาร์เอสก็เริ่มดำเนินการแล้วครับ แม้จะคิดได้เมื่อสายไปสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
วิธีนี้ในต่างประเทศได้ผลมาก เพราะของเมืองนอกเวลาโหลดเสร็จเขาก็จะเก็บเป็นของตัวเองตัวใครตัวมัน

ส่วนของไทย ถ้ามีคนโหลดมาสักคน ผมเชื่อว่าจะต้องเกิดกระบวนการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ส่งต่อให้คนอื่นต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน
เผลอๆ โหลดคนเดียว ฟังได้ 10 คน!

อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนถ้าจะเอามาใช้ในสังคมไทยนะครับ
ส่วนเรื่องโปรแกรมห้ามห้ามไรท์หรือห้ามเอาข้อมูล CD ลงคอมนั้นก็พอป้องกันได้ครับ แต่ทำอะไรก็ทำให้ดีๆ แล้วกันครับ อย่าให้ผู้บริโภคเอาไปใส่คอมแล้วถ้าคอมเจ๊ง จะเสียความรู้สึกเปล่าๆ
เรื่องอย่างนี้คนแก้มันเก่งกว่าคนผูกอยู่แล้วครับ ต่อให้โปรแกรมป้องกันมาแน่นหนาขนาดไหน ไม่นานก็ต้องมีสุดยอดแฮคเกอร์สามารถแก้ได้

และวิธีแก้สุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือ อยากให้พวกท่านช่วยคัดเลือกเอาแต่ศิลปินที่มีคุณภาพ
ให้โอกาสคนทำเพลงดี ทำสินค้าดีๆ มาอย่าเอาเปรียบผู้บริโภคให้คนเสื่อมศรัทธา อย่าทำส่งๆ ออกขายหลอกคนดู

ศรัทธาถ้าเสียไป เรียกคืนลำบากครับ
อีกอย่างที่ลืมไม่ได้ ก็คือ ต้องแก้ที่ภาครัฐครับ

ซึ่งปัญหาเรื่องไอ้แผ่นประเทือง แวมไพร์นี่ เป็นสิ่งที่ผมสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่า
เปลี่ยนมาก็หลายรัฐบาล
ปัญหาที่ว่ายากๆ คดีที่ว่าเด็ดๆ ล้วนแต่แก้ได้หมด จะเหลือก็แต่เรื่องนี้แหละที่เห็นแล้วมันน่าสงสัย
ไม่ใช่สงสัยนะครับว่าใครเป็นคนทำ

แต่สงสัยว่าทั้งๆ ที่ภาครัฐน่าจะรู้แล้วว่าใคร (ถ้าไม่ไร้ความสามารถจนเกินไปนัก) แต่ทำไมป่านนี้จึงยังหาคนผิดมารับโทษไม่ได้

เห็นแต่เวลาเขามีรณรงค์เรื่องเทปผีซีดีเถื่อน ตำรวจก็รีบสร้างผลงานด้วยการไปจับปลาซิวปลาสร้อยที่ไปยืนขายแผ่นที่พันธ์ทิพย์แล้วสุดท้ายก็ยิ้มร่าเอาผู้ต้องหามาอวดชาวโลกว่า จับได้แล้ว!

แต่ส่วนไอ้คนบงการเบื้องหลังนั่งดูทีวีขำกลิ้งไปแล้วครับ!

แล้วยังมีข่าวเด็ดที่ผมเห็นทุกปีจนเริ่มชินชาแล้ว ก็คือ
บรรดาศิลปิน (ล่าสุดที่ผมเห็นคือ โปงลางสะออน) มาร้องเรียนต่อบรรดารัฐมนตรี ขอให้เหล่าท่านๆ ช่วยเหลือหน่อย
พวกท่านก็รับปากว่าจะดูแลให้
สุดท้ายก็อย่างที่คาดเดาได้ คือ เงียบเป็นเป่าสากกะเบือ

สุดท้ายก็ต้องมาจ้างรถบดมาเหยียบแผ่นให้เสียดายทรัพยากร บางทีก็มีศิลปินมากระทืบ
(ผมเห็นศิลปินกระทืบปกซีดีที่มีหน้าเขาเองบนปกก็อดขำไม่ได้) หรือมาเปิดฟรีคอนเสิร์ตทรัพย์สินทางปัญญาทุกปีให้เด็กมาตีกัน

แล้วผมเห็นวนไปวนมาเป็นแผ่นเสียงตกร่อง อย่างนี้ตลอดตั้งแต่ผมจำความได้ และคิดว่าคงจะวนอย่างนี้ไปอีกนาน

สิ่งที่รัฐน่าจะทำได้แล้ว คือ เลิกยุ่งกับปลาซิวปลาสร้อย แล้วมุ่งเป้าไปที่ตัวการใหญ่ซักที

จัดการทั้งฝ่ายผลิตและโรงงานปั๊มแผ่น ทลายแหล่งผลิตใหญ่ๆ ให้ราบคาบ
ทุกอย่างต้องแก้ที่ต้นเหตุครับ

ถึงจะจับเจ้าเดิมได้แล้ว ทีนี้ผมเชื่อว่า เดี๋ยวก็ต้องมีเจ้าใหม่มาสืบทอดทายาทอสูรอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่มีวันจบ

ดังนั้น ที่ควรจะทำต่อไปก็คือ เพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้มีคนทำเจ้าที่สองที่สามอีก

หรือถ้าเฮี้ยบๆ หน่อยก็อาจจะเพิ่มบทลงโทษไปถึงผู้บริโภคด้วย ใครซื้อหรือไว้มีในครอบครอง โดนปรับ! รับรองวงแตก

และทั้งหมดต้องทำให้เด็ดขาด อย่าเหลาะแหละ
อย่าให้เห็นว่าตลาดนัดยังมีแผ่นผีขายแผ่หรา แล้วขนาดคุณตำรวจก็ยังไปเดินเลือกซื้อสบายอารมณ์อย่างทุกวันนี้หละครับ

และควรปลูกฝังจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นคุณค่าและเคารพต่อทรัพย์สินทางปัญญา
ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเกาหัวแกรกๆ เหมือนตอนนี้
ท้ายสุดและสำคัญที่สุดคือ แก้ที่ตัวคุณเอง

คุณผู้อ่านที่ยังซื้อของเถื่อนอยู่นั่นแหละครับ
ตบมือ 2 ข้างมันไม่ดัง ไม่มีคนซื้อ ไม่มีคนขาย

ถ้าคุณไม่ซื้อของเถื่อนซะอย่าง ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวคนขายเขาก็ไปเอง

หรือถ้าอยากจะซื้อก็ได้ แต่ถ้าฟังแล้วชอบ ก็ไปซื้อของจริงซะหน่อยนะครับ

ลองคิดดูถึง สาเหตุที่คุณซื้อของก๊อปว่าเพราะอะไร ราคาแพง เพลงห่วย เพลงไปก็อปของชาวบ้านมาเลยอยากแก้เผ็ด

ถ้าทางผู้รับผิดชอบเขาแก้ไขให้แล้วคุณต้องซื้อของจริงด้วยนะ ไม่ใช่สุดท้ายก็ยังติดใจซื้อของปลอมอยู่ดี

เห็นแก่อนาคตครับของลูกหลานนักฟังเพลง คนละไม้ละมือ
ก่อนที่ลูกหลานคุณจะได้ฟังแต่ จังหวะเคาะกระป๋องเป็นบทเพลง


******************************************************************************





Create Date : 13 มีนาคม 2550
Last Update : 24 มีนาคม 2551 2:17:05 น. 21 comments
Counter : 1830 Pageviews.

 
ไม่เชี่ยวเรื่องเพลง แต่จะบอกว่า เดี๋ยวนี้หนังสือปลอม ก็มีนะครับ แต่จะมีเป็นพักๆ ช่วงใกล้เทศกาลซีไรท์ และจะเป็นพวกหนังสือที่ได่รางวัลเสียมากกว่า โดยเฉพาะเล่มที่ขายหมด ขาดตลาด ก็จะมีบางเจ้าลักไก่พิมพ์ปลอมออกมา คนอ่านแทบจะแยกไม่ออกเลย

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ที่ญี่ปุ่น วงการหนังสือก็ยอดขายตกต่ำลง เพราะมีการโหลด E-Book มากขึ้น ทั้งที่โหลดมาอ่านบนคอม บนมือถือ บนปาล์ม

ซึ่งจริงๆ เห้นบ้านเราก็กำลังพัฒนาเจ้าโปรแกรมแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่มันยังไม่ฮิต..ในตอนนี้..


โดย: KMS&หมาป่าสำราญ วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:10:43:53 น.  

 
เห็นใจศิลปินน่ะค่ะ ยุคนี้ของปลอมของฟรีกลาดเกลื่อน ถ้าจะแก้ไขอย่างคุณว่าจริงๆ เราสนับสนุนเต็มที่เลยค่ะ


โดย: printcess of the moon วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:16:01:34 น.  

 
วันยันค่ำ ของปลอมก็คือของปลอมค่ะ
กาลเวลาพิสูจน์ของปลอมได้ไม่ยากเย็นเลย
และดิฉันเชื่อว่าหลายคนเห็นด้วย
ว่าไหมคะ ?


โดย: Gloomy Sunday วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:14:30:45 น.  

 
ไม่ชอบเหมือนกันครับ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้พี่สาวนะครับ


โดย: ตะวันออกไม่แพ้ วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:10:21:15 น.  

 
อ่านแล้วเขินจังเลย
เพราะว่าตอนอ่านบล็อกนี้อยู่ก็กำลังโหลดเจ้าตัวดี"ของฟรีไม่มีในโลก!?"ตามชื่อเรื่องอยู่เป็นงานอดิเรก

ไม่รู้บาปจะติดตัวไปอีกนานไหมนะ
อ่านแล้วรู้สึกผิดขึ้นมาเลย

แต่จะให้สัญญาว่าไม่บริโภคของเถื่อนก็คงทำไม่ได้(ในตอนนี้)

เอาเป็นว่า..........ชอบแล้วซื้อของจริงละกัน


เคยคุยกับเพื่อนนักโหลดเรื่องนี้เหมือนกัน
เพื่อนบอกว่าไม่รู้ว่าคนร้องน่าตาเป็นไงล่ะ แต่เพราะดีนะ เอาไปฟังดูดิ่



แล้วก็เอาไปฟังอย่างเด็กไม่ดื้อ


แป่วววววววววว...............!!!



โดย: ~pie~doki_doki IP: 203.188.55.55 วันที่: 20 มีนาคม 2550 เวลา:19:42:04 น.  

 
ยังรอคอยเรื่องเล่าจากเวียดนามอยู่นะคะ


โดย: จากผู้รอคอย IP: 202.28.180.201 วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:14:11:55 น.  

 
ต้องปรับตัวครับ

หลายๆ คนในปัจจุบันเป็นที่รู้จักก็เพราะ MP3

ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่มีโอกาสเช่นนี้


โดย: กายแก้ว วันที่: 24 มีนาคม 2550 เวลา:12:18:43 น.  

 
รอจนรากงอก ก็ไม่เห็นมันจะมีเพลงที่อยากฟังมันเข้ามาขายในไทยซักที สู้โลดเอาเองง่ายกว่าเยอะ

ปล. รูปประกอบดูคุ้นตาจัง


โดย: Marquez วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:16:25:48 น.  

 


โดย: โสมรัศมี วันที่: 27 มีนาคม 2550 เวลา:21:03:15 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับ

ปกติผมจะไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องเพลงเท่าไหร่นะครับ แล้วก็ไม่ค่อยซื้อหามาฟังเท่าไหร่ด้วยครับ ผมฟังเพลงตามอากาศครับ คือ ฟังตามวิทยุ ตามเสียงที่ได้ยินจากสถานที่ต่าง ๆ เช่น ร้านอาหารที่เค้าเปิดเพลง ร้านขายของ บนรถเมล์ ฯลฯ

แต่ผมก็เห็นด้วยเรื่องลิขสิทธิ์นะครับ คนเราไม่ควรละเมิลิขสิทธิ์ของคนอ่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานประเภทใดก็ตามครับ

ขอบคุณมากครับ ที่แวะไปเยี่ยมบล็อคของผมครับ

ว่าง ๆ วันหน้าแวะเข้าไปอีกนะครับ เพราะว่าช่วงนี้ผมน่าจะอัพบล็อคได้เกือบทุกวัน ยกเว้นเสาร์ อาทิตย์นะ

อิอิ


โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) วันที่: 28 มีนาคม 2550 เวลา:18:15:58 น.  

 
เราเป็นพวก ถ้าชอบงานใครจริงๆก็จะซื้อแผ่นจริงค่ะ แต่ถ้างานใครฟังได้แค่ไม่กี่เพลงก็ซื้อแผ่นผีค่ะ
แผ่นประเทืองนี่เราก็เคยซื้อเพราะเห็นคนเค้าซื้อกัน แต่ครั้งเดียวเข็ดเลย เพราะคุณภาพห่วยสมราคาจริงๆ และสาบานว่าจะไม่สนับสนุนของปลอมห่วยๆแน่ๆ

ยิ่งใครที่บ้านอยู่ใกล้แม่สายนี่ไม่ต้องห่วงเลย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะข้ามไปพม่าซื้อแผ่นผีมายกชุด ทั้งเพลงไทยฝรั่งหนังเกาหลี เหมือนกับไปบิ๊กซีเดือนละครั้งเลยล่ะ
สารภาพว่าซื้อแดจังกึมแผ่นพม่ามายกชุดเลยค่ะแฮ่ะๆ

เรารู้สึกว่าปัญหามันแก้ยากค่ะ ตราบใดที่โลกนี้ยังมีคนกระเป๋าฟีบอยู่มากมาย และคนรวยก็ยังขยันแข่งกันผลิตงานมาครองตลาด
ศิลปินก็เป็นผู้ที่น่าเห็นใจที่สุด
แต่เราเห็นชัดอยู่อย่างนะคะว่าถ้าศิลปินตั้งใจผลิตงานออกมาด้วยความเป็นศิลปินจริงๆ ไม่ใช่เห็นชัดๆว่าทำเพื่อการตลาดอย่างเดียว ผู้คนเค้ารับรู้ได้ค่ะ
เด็กที่ทำงานเราเงินเดือนครึ่งหมื่น เค้ายังซื้อแผ่นโปงลางสะออนของแท้มาเปิดชื่นชมกันที่ทำงานเลย

เรื่องของปลอมกับเมืองไทยนี่แก้ยากพอๆกับปัญหาภาคใต้เนอะ


โดย: walk in dream IP: 203.146.63.189 วันที่: 29 มีนาคม 2550 เวลา:11:06:44 น.  

 
เอ่อ...
คือขอสารภาพว่าผมก็โหลดเหมือนกันครับ

ผมคาดว่าเป็นเพราะผมยากจนครับ
ไม่มีปัญญาซื้องานศิลปะมาเสพได้เท่ากับความต้องการอันมากล้น
ขอสาบานว่าถ้าผมรวยเท่าศิลปินเมื่อไหร่ ผมจะซื้อแน่ๆ ครับ

แล้วก็ ... เกิดเป็นศิลปินน่ะ
ถ้ามีจิตใจที่จะทำงานศิลปะจริงๆ ก็ทำไปเถอะครับ
ถ้าทนไม่ได้เพราะโดนละเมิดลิขสิทธิ์
ก็ไปรับจ้างเข็นผักดีกว่านะครับ
ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณเป็นศิลปินพอ
เมื่อนั้นคนจะตอบแทนคุณค่าของการเป็นศิลปินของคุณแน่นอน


โดย: พลทหารไรอัน วันที่: 3 เมษายน 2550 เวลา:1:31:31 น.  

 
แวะมาสาดน้ำสงกรานต์ค่า เอ้า สาดดดด


โดย: walk in dream (walkin ) วันที่: 14 เมษายน 2550 เวลา:3:08:22 น.  

 
วีกลับมาจากเชียงใหม่แล้วค่ะ
พอไปถึงก็เริ่มป่วยนิดหน่อย
และกลับมาถึงก็ป่วยหนักพอดี
รอให้หายป่วยอีกหน่อย
จะนำรูปสวย ๆ ของเชียงใหม่มาฝากนะคะ

ขอบคุณที่แวะมาเฝ้าบล็อกให้
ในช่วงสงกรานต์นะคะ








โดย: โสดในซอย วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:7:33:23 น.  

 
เริ่มจากสิ่งเล็กน้อย ค่อยคืบคลานเข้าหาสิ่งที่ใหญ่กว่า


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:14:28:58 น.  

 
พอดีวันนี้ รื้อสมบัติเก่าๆมาดู เจอจดหมายเก่าๆที่เคยส่งมา เออ...อย่ามัวแต่ทำงานมากจนลืมความตั้งใจเดิมๆเด้อ

ป.ล. เมื่อไหร่จะอัพบอล็อกฃะที อ่านเบื่อแล้ว


โดย: calcium_kid วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:20:14:10 น.  

 
ถ้าโหลดฟรีมาได้ก็คงโหลดเหมือนกันค่ะ ... เพราะของมันแพงจริงๆง่ะค่ะ ยกเว้นแต่ศิลปินบางคนที่ชอบและต้องการเก็บไว้ฟังจริงๆ ก็จะซื้อของจริงหน่ะค่ะ ....

ปล.คนเม้นท์ตัวจริงค่ะ


โดย: Htervo วันที่: 28 มิถุนายน 2550 เวลา:5:34:53 น.  

 
เรื่องนี้น่าสนใจครับ

ถ้าเราซ์ื้อของปลอมกันเยอะๆ

ของจริง ดีๆคงหายากขึ้น


ผมว่าถ้าเป็นของคนไทย

ยังไงน่าจะซื้อของแท้ครับ




โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่แตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) วันที่: 29 มิถุนายน 2550 เวลา:17:17:54 น.  

 



ปัญหาที่ทางบริษัทได้เจอและเชื่อว่าทุกบริษัทในตลาดเดียวกันต้องเจอคือ
ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์นี่ ตัวการใหญ่ๆ มีอยู่สองอย่าง คือ MP3 กับการดาวน์โหลดครับ
เหตุการณ์โลกหมุนกลับด้านเหล่านี้มันเกิดได้ไง สะท้อนถึงอะไรได้บ้าง เรามาดูกันดีกว่าครับ
อดีต-ปัจจุบัน
เมื่อก่อน สมัยยังต้องฟังเพลงจากเทปคาสเส็ตต์ ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์มีไม่มากเท่าไร
อย่างมากก็แค่อัดเพลงรวมฮิตโดนใจใส่ลงในตลับเดียว เอาไปให้เพื่อนวันเกิดแค่นั้น ไม่ถึงขนาดเอาเทปปลอมไปขาย
เนื่องจากเทปคาสเส็ตต์นั้นคัดลอกซ้ำได้ยาก วัสดุราคาแพง จนหยิบเงินไปซื้อของจริงเอาเลยง่ายกว่า
แต่พอหมดจากยุคเทปคลาสสิคกลายมาเป็นยุคซีดี ปัญหาเทปผีซีดีเถื่อนก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ของที่มีลิขสิทธิ์ขายได้น้อยลง ของปลอมกลับเป็นที่นิยมมากขึ้น
พูดถึง MP3 ก่อนแล้วกัน
MP3 ที่วางขายมีอยู่หลายยี่ห้อ แต่แบบที่เป็นที่นิยม มีอยู่สองยี่ห้อ
เจ้าแรกยี่ห้อ ชื่อ ประเทือง ครับ
สาเหตุที่ใช้ชื่อประเทืองเพราะ ตอนที่ชุดแรกออก อัลบั้มเด่นที่อยู่ในชุดนั้นคือ ไท ธนาวุฒิ อัลบั้มแรก ซึ่งมีเพลงที่ดังสุดๆ คือ เพลงประเทือง เลยเรียกอัลบั้มนั้นว่า ประเทือง
จากนั้นพอชุดหลังๆ ก็ใช้ชื่อนั้นมาเรื่อยๆ จนป่านนี้ปาไปห้าร้อยกว่าชุดแล้ว
อีกยี่ห้อ คือ Vampires ครับ
อันนี้เอกลักษณ์ที่คนจำได้แม่นคือ จะมีเขียนไว้บนปกว่า ของแท้ต้องเป็นแผ่นปั๊ม เท่านั้น
(ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ปัญหาของปลอมนี่มันช่างน่ากลัวจริงๆ ขนาดของปลอมยังมีคนคิดจะมาทำปลอมต่ออีกที!)
สมัยก่อนจำนวนคนที่ซื้อ MP3 มีค่อนข้างน้อย เนื่องจากตัวแผ่นมีราคาแพง หาซื้อยาก หาซื้อได้ไม่กี่ที่ (ก็ที่ที่พี่เสก โลโซแกบอกนั่นแหละครับ)
คุณภาพเสียงยังไม่ดี และศิลปินทัน (ความจริงผมไม่ค่อยอยากใช้คำคำนี้เท่าไร แต่ยังคิดคำอื่นไม่ออก เลยขอกล้อมแกล้มไปก่อน)
ที่ออกเทปยังไม่เยอะมากจนฟังไม่ ทำให้คนยังนิยมซื้อของจริงอยู่
แต่ระยะหลังๆ MP3 ราคาถูกลงและหาซื้อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการก๊อปปี้ MP3 อีกทีแล้วนำไปขายที่อื่นต่อเป็นทอดๆ เรียกว่าต่อให้อยู่อำเภอไกลปืนเที่ยงแค่ไหนก็หาซื้อได้ไม่ยาก
(บางที่ถ้าอยากฟังเพลงอินดี้บางชุด หาซื้อ MP3 มาฟังเลยง่ายกว่าหาซื้อของจริงเสียอีก)
อีกทั้งการทำเพลงทุกวันนี้ทำได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีค่ายเพลงใหม่ๆ เกิดมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาเพลงล้นตลาด
ซึ่งแม้จะดูไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไรแต่ลักษณะปัญหามันก็เหมือนลำไยล้นตลาดแหละครับคืออุปทานมากกว่าอุปสงค์
ด้วยสภาพสังคมที่รีบเร่ง คนฟังไม่มีเวลามาติดตามข่าวสารว่า ชุดไหนเพราะไม่เพราะ
การซื้อ MP3 มาเลยทำให้ไม่ต้องเสี่ยงดวงแทงหวย เพลง 200 เพลง อย่างน้อยมันก็ต้องเพราะสักเพลงหละน่า
และปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้ความต้องการ MP3 เพิ่มขึ้นคือ ไลฟ์สไตล์ของคนเปลี่ยนไปด้วยบทบาทของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น
คนฟังเพลงจากเครื่องเล่นซีดีหรือวอล์คแมนลดลง
แล้วหันไปฟังเพลงจากคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็จากประดิษฐกรรมยุคใหม่อย่างไอพอด เครื่องเล่น MP3 แบบพกพาหรือไม่ก็ฟังเพลงจากมือถือมากขึ้น
ซึ่งอย่างหลังสะดวกกว่าวอล์คแมนตรงที่ไม่ต้องหิ้วแผ่นซีดีไปไหนมาไหนด้วยให้หนักกระเป๋า
ซึ่งรสนิยมการฟังเพลงแนวใหม่นั้น จำเป็นจะต้องใช้ โปรแกรม MP3 ในการโหลดเพลงเข้าเครื่องซะด้วย
ลำพังแค่แผ่น MP3 ก็จะแย่แล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นอีก และกำลังมาแรงมากจนตี MP3 กระจุย ยอดขายตกถล่มทลาย
สิ่งนั้นก็คือ การดาวน์โหลดเพลง! ทั้งโหลดจากเวบและผ่านโปรแกรม Bittorrent
อย่างแรกคือ การโหลดมาจากเวบไซต์สาธารณะต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเวบไซต์เหล่านี้ก็โดนปราบปรามจนแทบไม่มีให้เห็นแล้ว



โดย: ssss IP: 58.8.51.178 วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:23:35:35 น.  

 
บริษัท บางกอก ดิจิตอล เอ.วี. จำกัด
Bangkok Digital AV CD.,LTD.

คุณภาพมาตรฐาน ราคายุติธรรม คุณธรรมนำธุรกิจ

บริษัท บางกอก ดิจิตอล เอ.วี. จำกัด เป็นบริษัท ที่มีประสบการณ์ ในการผลิต และรับผลิต เทป ซีดี ,วีซีดี, ดีวีดี, ซีดีอาร์, กล่องเปล่า นอกจากนี้ ยังรับจ้างผลิต ปั๊มแผ่นข้อมูล บันทึกข้อมูลลงแผ่น รับถ่ายทำและตัดต่อ ด้วยคณะผู้บริหารและทีมงาน ทีมีประสบการณ์ มากกว่า 15 ปี


บริษัท บางกอก ดิจิตอล เอ.วี. จำกัด เราบริการด้านการผลิตแบบครบวงจร เริ่มตั้งแต่การรับทำ Pre-Mastering,Tape , CD , VCD และ DVD , CD-R , DVD-Rการทำแม่พิมพ์ (Stamper) และการปั้มแผ่น CD (Replication) การสกรีนงานลงบนแผ่น (Printing) CD/VCD ด้วยระบบ Offset และ Silk Screen การบรรจุหีบห่อ (Packaging) ทั้งรูปแบบปกติและตามที่ลูกค้าต้องการจำหน่าย กล่อง CD , กล่อง DVD , ซองพลาสติกฝากาว , ซองหน้าต่างกระดาษ , ซองเยื่อพลาสติก


การรับส่งสินค้าที่มีความรวดเร็ว ฉับไว ตรงตามเวลาที่นัดหมาย





บริษัท บางกอก ดิจิตอล เอ.วี. จำกัด
ติดต่อโทร . 02-681-3003,02-681-3005,02-681-4400 แฟกซ์. 02-681-3003
(เจ้าหน้าที่การตลาด)
คุณรุ่งฟ้า (กระแต) 086-3084849,089-4422058
คุณรสริน (แต๋น) 086-3401818,083-5599220
หรือ //www.bangkokdigitalav.com


โดย: ฟ้า IP: 58.8.36.169 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:9:08:18 น.  

 
ยุคอนาคต ศิลปินต้องพึ่งตนเอง หากินทางช่องทางใหม่ ที่สามารถติดต่อกับแฟนคลับได้ใกล้ชิดขึ้น โดยไม่พึ่งค่ายเพลงแล้ว


โดย: ผมมาจากอนาคต IP: 49.228.56.161 วันที่: 13 มิถุนายน 2564 เวลา:2:11:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.