+-+-+-+-+รวมสุดยอดแห่งปีของทุกสาขา ในทัศนะของข้าพเจ้า (ตอน2)+-+-+-+-+
update 23/02/52 เนื่องจากบลอกก่อนหน้านี้ ไม่สามารถเขียนเพิ่มอีกได้ เพราะเขาแจ้งว่า ความจุเต็มแล้ว (ทำไมจุได้น้อยจัง) เลยขออนุญาตหนีมาเปิดบลอกใหม่ เขียนตอน 2 ที่นี่ซะเลย ถ้าใครอยากอ่านตอน 1 เข้าไปดูได้ที่นี่นะครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=birdwithnolegs&month=02-2009&date=22&group=3&gblog=19 ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาต่อกันเลยดีกว่า หมายเหตุ ขอออกตัวเช่นเดิมว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งอาจจะไม่เหมือนคนอื่น ถ้าใครเห็นขัดแย้ง มาถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ได้ครับ บางถ้อยคำเสียดสี มีไว้เพื่อให้เกิดความขบขันและความฝันที่อยากเห็นอะไรๆดีขึ้น 10 หนังแห่งปี (ตอน2) The Dark Knight หนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ของอเมริกาทุกวันนี้ มีแนวทางการพัฒนาที่น่าสนใจ เมื่อก่อนหนังซูเปอร์ฮีโร่มักจะเน้นที่ค้นพบพลังพิเศษ แล้วใช้พลังสู้เหล่าร้าย กอบกู้โลก ได้ฟันนางเอกแล้วก็จบ (หลังๆ ก็อาจจะมีหนังประเภทนี้โผล่มาบ้าง เช่น Fantastic Four หรือ Elektra) ต่ถ้าปล่อยให้หนังแนวซูเปอร์ฮีโร่คงสไตล์แบบนี้ต่อไป ไม่นานมันก็อาจจะตกอยู่ในสภาพเดียวกับหนังคาวบอยที่ไม่มีการยืดหยุ่น นั่นคือ ค่อยๆ ตายลงไปช้าๆ นานๆ ก็จะมีหนังที่สร้างมาทริบิวต์หรือเอามายั่วล้อสักเรื่องสองเรื่อง แต่หนังซูเปอร์ฮีโร่ คลี่คลายตัวเองไปในทางที่น่าสนใจ คือ เลือกที่จะเจาะลึกถึงปมในจิตใจและค้นหาความเป็นมนุษย์ (ในตัวคนเหนือมนุษย์) มากขึ้น หนังเรื่อง Spider-Man 2 เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ผมชอบมาก เพราะเล่นถึงความรับผิดชอบในจิตใจของยอดมนุษย์ แต่ปมเรื่องนั้นกลายเป็นปมเล็กๆ ไปเลย เมื่อพบกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ผมชอบที่สุดตั้งแต่ดูหนังมา หนังเรื่องนั้นคือ The Dark Knight ครับ ความจริงหนังเรื่องนี้มีความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็แค่ชุดที่พระเอกใส่และเครื่องมือไฮเทคทั้งหลาย แต่ถ้าตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป หนังเรื่องนี้มันก็คือ หนังอาชญากรรมดีๆ เรื่องนึงนั่นเอง หนังใส่ประเด็นที่ว่า ทั้งแบทแมนและโจ๊กเกอร์ต่างเป็นภาพสะท้อนในกระจกของกันและกัน ความดีและความชั่วอาจพลิกผันเปลี่ยนแปลงได้ดั่งโยนเหรียญหัวก้อย อีกอย่างที่อยากขอพูด (แม้จะมีคนอื่นพูดไปเป็นล้านรอบแล้ว) คือ คุณฮีธ เล็ดเจอร์ เล่นบทโจ๊กเกอร์ได้น่ากลัวมาก เป็นการแสดงที่น่าจดจำและเสียดายที่วงการบันเทิงสูญเสียเขาเร็วเกินไป ผมดูหนังเรื่องนี้เหมือนถูกกระแทกที่หัวอย่างรุนแรง (และทุกวันนี้ก็ยังไม่หายมึน ฮ่าๆๆ) และถ้าผมมีโอกาสได้จับพลัดจับผลูเป็นผู้กำกับ ผมก็อยากจะทำหนังให้ได้แบบนี้แหละครับ
No Country for Old Men เป็นหนังที่ผู้กำกับคุมทุกอย่างไว้ได้อยู่หมัดจริงๆ ตลอดเวลา 2 ชม.ที่หนังเรื่องนี้ฉาย ผมนั่งตัวเกร็ง ก้นแทบไม่ติดเก้าอี้ (อันนี้ก็เว่อร์ไป ฮ่าๆๆ) หนังคงบรรยากาศความน่ากลัว (ส่วนใหญ่มาจากตัวละครของคุณฮาเวียร์ บาร์เด็ม) ไม่น่าไว้ใจ และความร้อนระอุของทะเลทราย ทำให้พอดูเสร็จแล้ว รู้สึกคอแห้งขึ้นมาทันที ที่ชอบมากอีกอย่าง คือ ทีแรกทำท่าจะเป็นหนังแอ็คชั่นไล่ล่าแบบคนเหล็กอยู่ดีๆ แต่ตอนหลังกลับพลิกมาเป็นหนังออสการ์ (ว่าด้วยโลกยุดเก่าที่กำลังจะหายไปและโลกยุคใหม่อันแสนโหดร้ายที่เข้ามาแทนที่) เอาดื้อๆ ซะงั้น แถมพลิกได้โดยคนดูไม่ขัดเขินซะด้วย แม้ใจจะชอบ Fargo ของผกก.สองคนนี้มากกว่า แต่หนังเรื่องนี้ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังที่น่าทึ่งอีกครั้งหนึ่งในชีวิตผม
Wall-E หนังการ์ตูนของค่ายพิกซาร์ ยิ่งทำยิ่งดีขึ้นทุกเรื่อง เมื่อก่อน ผมดู The Incredibles ผมคิดในใจว่า Pixar คงถึงจุดสุดยอด คงทำหนังให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่เขาก็มี Ratatouille ที่ดีกว่าเรื่องเก่าเสียอีก เช่นเดียวกับ Ratatouille ที่ผมคิดว่า ถ้าจะทำให้ดีกว่าเดิมได้ หนังเรื่องนั้นคงต้องเข้าขั้นเทพแล้ว แต่สุดท้าย Wall-E ก็ทำได้ แถมทำได้ขั้นมหาเทพเลยทีเดียว หนังมีความกล้า ทะเยอทะยาน (ถ้าผมเป็นคนออกทุนให้หนังการ์ตูนทุน 200 ล้านแบบเรืองนี้ ผมคงไม่กล้าทำหนังที่พระเอกพูดไม่ได้และมีฉากเปิดชวนน่ากลัวแบบนี้แน่นอน) และทำได้ถึง ครบถ้วนทั้งความสนุก ความน่ารักในแบบที่หนังการ์ตูนควรมี ความคิดสร้างสรรค์ และเนื้อหาสาระ แม้ตัวเอกจะเป็นหุ่นยนต์ 2 ตัว แต่หนังกลับดูมีหัวใจยิ่งกว่าหนังมนุษย์เล่นหลายๆ เรื่อง (ผมรู้สึกว่าตัววอลล์-อีเล่นหนังได้เป็นธรรมชาติมากกว่าคุณบอย คลีโอในฝัน-หวาน-อาย-จูบเสียอีก) แม้ผมจะไม่ถึงชอบหนังเรื่องนี้มากเท่าที่คิด (เข้าข่ายหนังดีมากที่ไม่ชอบ) แต่หนังมันก็สุดยอดจริงๆ จนทำให้ผมนิสัยเสีย อดกลับมาคิดเพ้อเจ้อแบบเดิมไม่ได้ว่า แล้วอย่างนี้ หลังจากหนัง Wall-E ทางพิกซาร์ เขาจะทำหนังให้มันดีกว่าเดิมได้ยังไงหนอ The Diving Bell and the Butterfly ขอสารภาพว่า เป็นคนไม่ค่อยอะไรเท่าไรกับหนังสือในดวงใจของใครหลายๆ คนเล่มนี้เท่าไร จำได้ว่าตอนอ่านก็อ่านไปหาวไป ว่าเมื่อไรจะจบ พอเวลาได้ข่าวว่าเขาจะเอาหนังสือเล่มนี้มาสร้างเป็นหนังก็เลยเฉยๆ แต่ก็มีแอบงงนิดหน่อย ว่าเขาจะเอาหนังสือที่ไม่น่าสร้างเป็นหนังได้เลยเรื่องนี้ มาดัดแปลงเป็นหนังได้อย่างไรหว่า พอได้ไปดูที่โรง เมื่อตอนเทศกาลหนังฝรั่งเศส แล้ว รู้สึกว่า ทำได้ดีเกินคาด! หนังฉลาดในการเล่าเรื่อง โดยเลือกที่จะเล่าผ่านภาพสายตาของตัวเอก ฌอง-โดมินิค โบบี้ (ผ่านสายตาจริงๆ คือ ขนาดพระเอกโดนเย็บตา หนังก็ถ่ายให้เห็นเส้นด้ายร้อยเข้าตากันจะๆ) ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความอึดอัดของพระเอกได้ และสุดท้าย เมื่อพระเอกหลุดพ้นจากพันธนาการเป็นผีเสื้อโบยบิน มันก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกยินดีกับพระเอกอย่างถึงที่สุด หนังค่อยๆ ทยอยใส่แง่มุมของพระเอกทีละน้อย ทั้งด้านการเป็นคนละทิ้งครอบครัว ไม่สนใจคนอื่น และแง่มุมต่างๆ ในชีวิตได้อย่างน่าสนใจ เสริมด้วยการถ่ายภาพขั้นเทพ ทำให้เป็นหนังหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ผมชอบมากกว่าหนังสือ The Mist ช่วงหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ถึงทำให้ผมเกิดอาการเบื่อหนังแนวมองโลกในแง่ดีขึ้นมาดื้อๆ (ไม่รู้ว่าเกิดจากชีวิตเจอแต่เรื่องร้ายๆ หรือวงการหนังมีแต่หนัง feel good ขึ้นมาจนล้นตลาดกันแน่) แต่พอจะหาหนังแนว feel bad ดีๆ มาดูสักเรื่องก็รู้สึกว่า ทำไมมันช่างหายากหาเย็นอย่างนี้ หลังจากขัดใจกับเรื่องนี้มานาน ในที่สุดผมก็หาหนังเรื่องนั้นจนเจอ แถมหนังเรื่องนั้นยังมาจากผู้กำกับหนัง feel good ที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิตอย่าง The Shawshank Redemption อีกด้วย และหนังเรื่องนั้น คือเรื่อง The Mist ผลงานที่สร้างจากหนังสือสตีเฟ่น คิง และกำกับของแฟรงค์ ดาราบอนต์เรื่องนี้นี่เอง ดูภายนอกเหมือนจะเป็นหนังสัตว์ประหลาดบุกโลกธรรมดา แต่ตัวหนังจริงๆ แล้ว เพียงใช้เรื่องราวของสัตว์ประหลาดเพื่อนำไปสู่เรื่องราวที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ เรื่องของสังคม จิตใจของคน ความเชื่อ การถูกชักจูง และชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้ของมนุษย์ แม้สัตว์ประหลาดจะดุ โหดร้ายแค่ไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำร้ายพวกเรากันเองก็คือ ความระแวง การแบ่งพรรคแบ่งพวก และมองฝั่งที่คิดต่างจากตัวเองเป็นปีศาจที่ต้องกำจัด (โอ้ว พี่สตีเฟ่น คิง ก่อนเขียนเรื่องนี้พี่แอบมาเที่ยวเมืองไทยหรือเปล่าครับ ฮ่าๆๆ)
อีกอย่างที่ถูกใจและติดในใจผมมากเหลือเกินก็คือ ตอนจบ เป็นตอนจบที่สิ้นหวังเท่าที่หนังเรื่องนึงจะทำออกมาได้ หลังดูหนังเรื่องนี้จบ ผมต้องรีบไปหาหนัง feel good มาดูล้างหัวสามเรื่องรวดทันที ฮ่าๆๆ *************** ชอบเหมือนกัน แต่หลุดจาก 10 อันดับไป Gone Baby Gone/Kung Fu Panda/Wanted/Juno/Tropic Thunder/ดรีมทีม/There Will Be Blood/Persepolis/Iron Man
ถูกมองข้ามและเหมารวมที่สุดแห่งปี สะใภ้บรื๋อ..อ์อ์ ว้อ หมาบ้ามหาสนุก คนไฟลุก ขอมอบให้กับ หนังไทยผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันทั้ง 3 เรื่องคือ สะใภ้บรื๋อ..อ์อ์, ว้อ หมาบ้ามหาสนุก และคนไฟลุก สองเรื่องแรก ด้วยหน้าหนังที่เหมือนหนังตลกไทยทั่วไป ทำให้หลายคนมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย (ซึ่งปีนี้ คุณภาพโดยรวมของหนังตลกไทยก็ชวนให้หลายคนมองข้ามอยู่หรอก) พูดตามตรงแล้ว คุณภาพของหนังทั้งสองเรื่อง ใช่ว่าจะอยู่ในขั้นดีสักเท่าไร แต่หนังทั้งสองเรื่องก็มีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจเกินกว่าจะถูกมองข้ามไปอย่างนี้ ทั้งการเสียดสีตัวละครแม่ผัวลูกสะใภ้ และความแปลกใหม่ในรายละเอียดหลายอย่างของสะใภ้บรื๋อ...อ์อ์ (ผมอยากเจอหน้าคนตั้งชื่อให้หนังเรื่องนี้มาก...ไม่ไหวจะเคลียร์ 555), ทั้งแง่มุมแฝงการเมืองที่น่าสนใจของ ว้อ หมาบ้ามหาสนุก ที่น่าสนใจไม่แพ้ เมล์นรก หมวยยกล้อ เลย (แต่เทียบแล้ว ตัวหนังเมล์นรกดีกว่าเยอะ) สำหรับเรื่องหลัง คนไฟลุก นั้น ถ้าพิจารณาตามคุณภาพของตัวหนังแล้ว ต้องบอกว่า แย่ หนังยังขาดๆ เกินๆ ตัวละครก็เล่นไดไม่เป็นธรรมชาติ แต่ตัวหนังกลับกล้าฉีกไปจากเรื่องไสยศาสตร์ (อย่างที่หน้าหนังและโฆษณาสื่อไว้) มาพูดเรื่องวิทยาศาสตร์และทุนข้ามชาติออกมาได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เป็นหนังไทยที่มีรสชาติแปลกใหม่พอสมควร ไม่กล้ารับรองว่าดูแล้วจะชอบ (เพราะจขบ.ก็ใช่ว่าจะชอบ แหะๆๆ) แต่อยากแนะนำให้ลองหาหนังทั้งสามเรื่องนี้มาดูครับ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า หนังไทยยังมีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิด Miscast แห่งปี ฮาร์เวียร์ บาร์เด็ม จาก Love in the Time of Cholera รางวัล Miscast หรือเลือกตัวแสดงผิดที่สุดแห่งปี ขอยกตำแหน่งนี้ให้กับคุณฮาร์เวียร์ บาร์เด็มแห่ง Love in the Time of Cholera ไปเลย (ความจริงจะให้นางเอกด้วย แต่เห็นว่าน่ารัก เลยยกโทษให้กึ่งหนึ่ง ฮ่าๆๆ) ทั้งๆ ที่เครดิตตอนต้นทำท่าจะดี พระเอกออสการ์หมาดๆ นางเอกและดาราสมทบเครดิตดี ผู้กำกับดี แถมสร้างจากนิยายระดับโลกของ Gabriel Garcia Marquez แต่พอตัวหนังออกมาจริงๆ ต้องบอกว่า เสียของยิ่งกว่า เอาความสุขของกะทิมาทำเป็นหนังเสียอีก ข้อผิดพลาดของการคัดเลือกคุณบาร์เด็มมาเล่นมีอยู่มากมาย ความจริงแล้วพระเอกในเรื่องต้องเป็นคนที่รอคอยรักแท้มาแสนนาน และบำบัดความเจ็บปวดของการรอคอยด้วยการฟันสาวไม่ซ้ำหน้า แต่ไหงคุณบาร์เด็มเล่นได้โรคจิตยิ่งกว่าบทใน No Country for Old Men เสียอีก ทำให้คนดูรู้สึกกลัวพระเอก แทนที่จะเอาใจช่วยให้พบรักแท้เสียที นอกนั้น หนังยังจับนักแสดงมาแต่งแก่ได้ปลอมสุดๆ เหมือนดูละครแฟนตาซีของกันตนาก็ไม่ปาน แถมบทหนังก็อ่อนยวบ ดึงเสน่ห์จากใครไม่ได้เลย พี่ฮาร์เวียร์ และพี่ไมค์ นีเวลล์ผู้กำกับครับ พี่พลาดจริงๆ ครับงานนี้ หึๆๆ หมายเหตุ - ตอนแรกจะให้รางวัลนี้กับคุณเพียร์ส บรอสแนน จาก Mamma Mia! ไปด้วยโทษฐานที่เล่นหนังเพลงแต่เสียงร้องแสบแก้วหูผู้ชมสุดๆ แต่เห็นแก่ความพยายามเลยยกเว้นให้ ทั้งรักทั้งเกลียดแห่งปี
Hancock ขอมอบรางวัลนี้ให้กับหนังหัวมังกุ ท้ายมังกร อย่างเรื่อง Hancock (เฉือนหนังเรื่อง Happy Birthday ไปหวุดหวิด) แม้หนังเรื่องนี้จะมีอะไรที่ไม่เข้าท่ามากมาย (สิ่งที่เข้าท่าที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือ นางเอก) แต่ถ้ามองด้วยใจเป็นกลางแล้ว อย่างน้อยคนเขียนบทก็พยายามจะใส่อะไรที่แตกต่างลงมาในเนื้อเรื่อง และสิ่งที่ใส่ลงไปก็มีอะไรที่โดดเด่นและน่าสนใจไม่น้อย เพียงแต่ใส่ไปแล้ว ไม่ค่อยเวิร์กเท่าไร เหมือนทดลองใส่กะปิลงในน้ำส้มปั่นยังไงยังงั้น ขอคาดเดาว่า บทเริ่มแรกน่าจะดี แต่ถูกนายทุนแทรกแซง ให้เพิ่มบทให้พี่วิลล์เด่นกว่านี้ ให้ใส่เอฟเฟ็คต์มากกว่านี้ ทำเรื่องให้มันกว่านี้ (หนังเรื่องหลวงพี่กับผีขนุนที่ถูกแทรกแซงหนังไม่ต้องน้อยใจ ที่เมืองนอกเขาก็มีแบบนี้เหมือนกัน ฮ่าๆๆ) ผลออกมาก็เลยกลายเป็นหนังงงๆ ที่จะรักก็รักได้ไม่สุด จะเกลียดก็เกลียดไม่ลงแห่งปี เช่นนี้แล
Overrate แห่งปี
Be Kind Rewind ขอมอบรางวัล Overrate หรือหนังที่ถูกยกย่องจนเกินจริงให้กับหนังเรื่องนี้ไปเลย เป็นหนังที่ถูกเขียนลง Bioscope มากที่สุดในรอบปี แต่ถ้าหนังมันจะถูกกล่าวถึงอย่างชื่นชมเพราะมันเอาหนัง Sweded ซึ่งเป็นหนังกระแสใหม่มายั่วล้อ ผมว่าเอา Son of Rambow ที่พูดถึงเรื่องใกล้เคียงกันมาเขียนดีกว่า ความจริงหนังไม่ได้แย่ (ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว) แต่ด้วยตัวหนังที่ล้ำเส้นสู่พรมแดนของความเพ้อเจ้อ เกินกว่าจะเรียกว่าขายไอเดียสร้างสรรค์ได้ ทำให้ผมถือว่า นี่เป็นก้าวถอยหลังก้าวใหญ่ เมื่อเทียบกับ Eternal Sunshine of the Spotless Mind ผลงานมาสเตอร์พีซของเขา อลังการงานสร้างแห่งปี
The Fall ไม่ได้ยกให้กับหนังฟอร์มยักษ์ที่ไหน แต่ขอมอบทั้งรางวัลแถมกระบุงใส่รางวัลไปด้วยเลย สำหรับภาพและฉากในหนังที่ผู้กำกับออกทุนเองอย่าง The Fall คุณทาร์เซ็มผู้กำกับเป็นคนที่สายตาแหลมคมมาก หนังของเขาสวยทั้งเรื่อง ตลอดเวลา 2 ชม. ผมอ้าปากหวอให้กับหนังเรื่องนี้ประมาณ 20 ครั้งได้ ภาพและฉากในหนังชวนให้ตกตะลึงทุกฉาก น่าเสียดายที่ตัวหนังเองกลับไต่ไปไม่ถึงในระดับมาตรฐานที่ภาพและฉากในหนังได้ตั้งไว้ ทำให้หนังเรื่องนี้ทำได้อย่างมากก็แค่หนังสวยไอเดียดี มากกว่าจะเป็นหนังที่สุดยอดในทุกๆ ด้านอย่างที่มันควรจะเป็น เก็บตกรางวัลอื่นๆ ทำไปได้...อวอร์ด - แบรด พิตต์ จาก Burn after Reading คนอื่นชอบแต่ผมไม่ชอบ - สะบายดี หลวงพระบาง (Simply is not always the best) คนอื่นไม่ชอบแต่ผมชอบ - Charlie Wilson's War (บทหนังสุดฮาและการแสดงของคุณฮอฟฟ์แมนที่สุดกวน ทำให้ผมให้อภัยทุกความผิดพลาดในหนังเรื่องนี้ - โดยเฉพาะคุณจูเลีย โรเบิร์ต 555) ฉากฮาสุดแห่งปี - ฉากแย่งลูกชิ้นใน Kung Fu Panda ฉากสยองขวัญสุดแห่งปี - ฉากล้างห้องน้ำใน Serbis ฉากซึ้งที่สุดแห่งปี - Hellboy เมาเบียร์ ใน Hellboy II: The Golden Army
ผิดหวังสุด - Always 2
ดัดจริตสุด - มอบให้กับหนัง 2 เรื่อง 2 รสคือ My Blueberry Nights กับ Vantage Point (หมายเหตุ - คำว่าดัดจริตในที่นี้ไม่ได้เป็นคำหยาบ แค่ต้องการจะสื่อความหมายบางอย่าง แต่นึกคำสุภาพไม่ออกจริงๆ - ขออภัยคนที่ชอบหนังสองเรื่องนี้ด้วยนะครับ) น่ารำคาญสุด - รัก/สาม/เศร้า,ปืนใหญ่จอมสลัดและเนื้อเรื่องส่วนของรุ่นลูกในบุญชู 9
น่ารักสุด - น้องตาล กัญญา รัตนเพชร์/น้องแพต อังศุมาลิน/น้องยู อาโออิ (วัดจากหน้าตาล้วนๆ) Guilty Pleasure -องค์บาก 2 และ Hellboy II: The Golden Army Best quote of the year - Forgetting Sarah Marshall "Sarah Marshall: [Peter can't perform in bed] What's wrong with you? Peter Bretter: Nothing is *wrong* with me. Sarah Marshall: Okay... Peter Bretter: Just something doesn't feel right. Sarah Marshall: Okay, well did you, you know what? Did you drink today? Because sometimes when you drink... Peter Bretter: Excuse me. No, I haven't had anything to drink today. Maybe the problem is that you broke my heart into a million pieces and so my cock doesn't want to be around you anymore! Okay? EVER! Because you know what I just realized? You're the goddamn devil!" สิ่งที่พระเอกต้องการจะบอกนางเอก (ที่ทิ้งพระเอกไปและกลับมาหาพระเอกอีกครั้ง) คือ ทั้งที่ผมก็ยังมีเยื่อใยกับคุณ และคุณก็กลับมาหาผม แต่เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะคุณเคยหักอกผม ทำลายหัวใจของผมพังเป็นเสี่ยงๆ แล้วอย่างนี้จะให้ผมกลับไปรักคุณได้อย่างไร This movie make me understand why I can't love you like I used to.It's because you broke my heart and I never forget it!
คิดเห็นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร บอกกันได้นะครับ แล้วอันดับแห่งปีของเพื่อนๆ ล่ะครับมีอะไรบ้าง (มาถามตอนนี้ มันจะช้าไปไหมเนี่ยเรา ฮ่าๆๆ) Free TextEditor
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
31 comments |
Last Update : 23 มีนาคม 2552 3:33:04 น. |
Counter : 1923 Pageviews. |
|
|
|
สำหรับ The Fall ผมชอบนะ ด้วยความสัตย์จริงว่าผมร้องไห้ตอนสุดท้ายที่เด็กได้รับรู้ข่าวของพ่อหนุ่มสตันท์แมน ประโยคสุดท้ายที่ว่า Thank you, thank you, Thank you Very Much นี่ผมร้องไห้เลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเรารู้ว่าทั้งสองเติบเต็มชีวิตให้แก่กันและกันมั้งครับ
อย่างไรก็ดี เรื่องด้านภาพ ผมยอมรับว่าเขาทำสวยเหลือเกิน น่าเสียดายที่ผมดูบนทีวี ซึ่งคงไม่อลังการอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับดูในจอภาพยนตร์ ทำให้ผมรู้สึกว่าหลาย ๆ ฉากในตอนหลัง มันมี Spectacle เยอะเกิน เลยทำให้ไม่ค่อยทึ่งเหมือนดูช่วงแรก (ย้ำอีกทีว่าผมดูในทีวี มันก็ย่อมลดทอนไปเยอะครับ)