ความสุขมีอยู่ทุกวัน เรามองเห็นได้..โดยไม่ต้องมองหา

<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
6 กันยายน 2554
 

ลาออกจากงาน..แล้วมาเป็นฟรีแลนซ์ดีไหม (ตอนที่ 1)

มีน้อง ๆ ชอบมาถามฉันว่า ทำอย่างไรถึงจะเป็นฟรีแลนซ์ได้ ฉันมักจะตอบว่า "อย่าไปเป็นเลย ทำงานประจำไปเถิด..เชือพี่" เป็นคำตอบที่หวังดีสุดๆ เพราะการเป็นฟรีแลนซ์เหมาะกับคนบางคน แต่ไม่เหมาะกับคนหลายคน

คนจะเป็นฟรีแลนซ์ได้ต้องมีธาตุทรหดอดทนในตัวเองสูงปรี๊ด..อดทนต่อแรงเสียดทานความยากจนได้ตลอดเวลา..เรียกง่าย ๆ ว่า "ไม่หวั่นแม้วันเงินมาก..ไม่หวาดแม้วันไม่มีเงินเลย"

ฉันเป็นฟรีแลนซ์มานานกว่าสิบปี จึงมีประสบการณ์ทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งหวาน และขมขื่นครบถ้วนในตัวเอง และอยากจะนำมาเล่าให้คนอื่น ๆ ได้รับฟังความจริงก่อนที่จะตัดสินใจสละอาชีพประจำของตัวเอง แล้วไปเป็นฟรีแลนซ์ที่ฟังเหมือนชีวิตอิสระเสรีเหนืออื่นใด ซึ่งความจริงแล้วคุณต้องมีวินัยมากกว่าทำงานประจำหลายเท่านัก

ถ้าเลือกได้ฉันคงไม่เลือกมาเป็นฟรีแลนซ์ แต่ต้องมาเป็นเพราะถูกเศรษฐกิจผลักไสให้มาเป็นโดยไม่มีทางเลือกใด ๆ เหลืออยู่ หลัง "ฟองสบู่แตก" มนุษย์เงินเดือนต่างแตกฮือราวผึ้งแตกรัง ช่วงนั้นที่ไหน ๆ ก็ไม่มีเงิน บริษัทที่ฉันสังกัดอยู่ประกาศตัวเจ๊งอย่างเป็นทางการ แถมไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนและค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันเดินคอตกออกจากบริษัทมาด้วยสองมือเปล่า เงินเก็บก็แทบไม่มี เพราะเป็นช่วงตั้งตัว เงินส่วนหนึ่งอยู่ในตลาดหุ้น ซึ่งแน่นอนหุ้นทุกตัวที่ฉันถืออยู่เจ๊งหมด ฉันกลายเป็นคน "ไม่เหลืออะไรเลย"

ในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่คนคิดสั้นก็จะไปฆ่าตัวตาย คนคิดยาวก็จะไปเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ หรือ sme เพื่อรอวันค่อย ๆ เติบโตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ส่วนคนที่ไม่คิดอะไรหรือคิดอะไรไม่ออกก็จะมาเป็น "ฟรีแลนซ์" นี่แหละ freelance เป็นคำภาษาอังกฤษที่ฟังดูเก๋ไก๋ มีระดับ แต่ภาษาไทยสำหรับฉันคือ "รับจ้างทั่วไป" นั่นเอง เหมือนอย่างที่ใบหักภาษีของชาวฟรีแลนซ์จะถูกระบุการทำงานว่า "รับจ้างทำของ" ฟังดูแล้วเหมือนพวกหมอผีเขมร ถึงทุกวันนี้ฉันยังสงสัยว่าทำไมกรมสรรพากรถึงจัดประเภทงานที่พวกเราทำว่า "พวกรับจ้างทำของ" แล้วของนั้นคืออะไร (วะ)

มาเล่าต่อถึง "ฟรีแลนซ์" มือใหม่อย่างฉัน ซึ่งไม่มีเงินลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีอุปกรณ์เทคโนโลยีราคาแพง พูดง่าย ๆ ก็คือ "มีแต่ตัว" นั่นเอง งานที่ไม่ต้องลงทุนที่ฉันทำได้ดีที่สุดคือ "งานเขียน" ที่มักถูกล้อเลียนว่า "ลงทุนแค่ปากกาด้ามเดียว" ซึ่งคนที่พูดคงไม่เคยเขียน เพราะการเขียนหนังสือให้ได้ดีถูกใจลูกค้าได้แต่ละหน้า เหนื่อยเหมือนทำนากันเลยทีเดียวเชียวแหละ
มาคุยกันต่อว่า การเริ่มต้นฟรีแลนซ์ จะเริ่มต้นอย่างไรดี ?

กฎข้อแรกของการเป็นฟรีแลนซ์ คือตอบให้ได้ว่า คุณคือใคร คุณจะรับทำงานอะไร?

สำหรับคนที่ต้องการเป็นฟรีแลนซ์ อย่าแรกที่คุณต้องคิดให้อออก่อนก็คือ คุณคือใคร คุณจะรับทำงานอะไร? ถ้าตอบได้ชัดเจน ก็แสดงว่าคุณมองเห็นทางเป็นฟรีแลนซ์แล้ว แต่ถ้าตอบว่า "ทำอะไรก็ได้ ทำได้ทุกอย่าง" แสดงว่าคุณยังไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษ ยังไม่เหมาะจะกระโดดมาเป็นฟรีแลนซ์ คำตอบนี้สำคัญมากเพราะจะเป็นแบรนด์เนมที่จะต้องสร้างขึ้นมาเพื่อติดตัวคุณไปตลอดการเป็นฟรีแลนซ์ คุณต้องทำให้คนอื่นนึกถึงการทำงานของคุณให้ได้เสมอ ทุกครั้งที่มีการเอ่ยชื่อคุณออกมา เช่น

ป้อม ช่างภาพ
ติ๋ว นักเขียน
จิ่ม จัดอาร์ตเวิร์ค
เหน่ง พีอาร์
ดา อีเวนท์
เล็ก เหล็กดัด
ฯลฯ
ต้องพยายามสร้างแบรนด์ตัวเอง ให้อาชีพที่คุณรับทำติดชื่อคุณไปทุกหนทุกแห่ง ราวกับเป็นนามสกุลของวงศ์ตระกูล พยายามสร้างแบรนด์ตัวเองเข้าไว้
เมื่อคุณคิดออกแล้วว่าจะรับทำงานอะไร มาดูกฎข้อที่สองกันต่อไป

กฎข้อที่สอง กระจายข่าวสารตัวเองไปทุกทิศทุกทาง

สมัยก่อนการกระจายข่าวสารยากกว่าคนรุ่นนี้หลายเท่านัก พวกเราไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่มียูทูป วิธีการที่ฉันใช้คือโทรไปบอกเพื่อน ๆ ว่าบัดนี้ ฉันได้รับทำงานเขียนทุกชนิด ขอเชิญท่านผู้สนใจมาใช้บริการได้แล้วนับแต่นี้เป็นต้นไป เขียนไต้ตั้งแต่งานแต่ง ไปจนถึงงานศพ งานโฆษณา ยินดีเป็น ghost writer ให้สำหรับทุกคนที่อยากมีพ็อกเก็ตบุ๊คเป็นของตนเอง ฯลฯ บอกไปให้หมดว่าทำอะไรได้บ้าง มีประวัติการทำงานโชกโชนขนาดไหน
คุณจงกระจายข่าวสารตัวเองไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองมีงานทำมากขึ้น


ช่วงเดือนสองเดือนแรก จะเป็นช่วงที่เรียกว่า "เป่าสาก" เพราะทุกอย่างเงียบสงบราวกับโลกนี้ไม่เคยมีใครรู้จักเรา ตอนนั้นฟองสบู่แตก ทำให้ธุรกิจห้างร้านต่างไม่มีเงินเหมือนกันหมด เงินทองหายากยิ่งนัก ฉันเป็นคนไม่หวั่นแม้วันไม่มีเงิน ฉันจึงขนสมบัติข้าวของออกไปขายทุกวัน ทุกคนต่าง "เปิดท้ายขายของ" กันทุกหนทุกแห่ง ฉันก็เก็บสมบัติเก่าของตัวเองมาขายไปเรื่อย ๆ โดยไม่นึกเสียดาย ข้าวของหมดไปก็หาใหม่ได้ แต่ชีวิตมีอยู่ชีวิตเดียว เราต้องรักษาไว้


ความเงียบสงบราวเป่าสากอาจจะอยู่นาน 2 -3 เดือน ขออย่าได้หวาดหวั่น แต่หลังจากนั้นควรจะมีใครโทรหาคุณบ้างแล้ว แต่ถ้า สามเดือนก็แล้ว สี่เดือนก็แล้ว หกเดือนก็แล้ว ไม่มีใครติดต่อหาคุณเลย แสดงว่าสถานการณ์ชักไม่ดีนัก คุณอาจจะมีอะไรผิดพลาด ฉันคิดว่าหกเดือนเป็นเวลาที่นานเกินไป แสดงว่าคุณอาจเลือกงานไม่เหมาะกับตัวเอง เพราะหกเดือนแล้วยังไม่มีใครคิดถึงคุณเลย อาจจะต้องกลับไปทบทวนกฎข้อหนึ่งและกฎข้อสองอีกครั้งหนึ่งว่าคุณขาดตกบกพร่องอะไรไปหรือเปล่า แต่ถ้าทำครบถ้วนอย่างดีแล้ว และยังคงมั่นใจว่า หกเดือนก็ยังทนไหว และฝันอยากเป็นฟรีแลนซ์ต่อไปให้จงได้

ฉันจะขอนำเสนอตอนที่สอง แนวคิดการตามล่าลูกค้าสำหรับชาวฟรีแลนซ์ ในเมื่อลูกค้าไม่มาหาเรา เราก็จะไปหาลูกค่าให้เจอ แม้จะต้องงมลูกค้าในมหาสมุทรแปซิฟิกก็ตามที ^ ^

พรุ่งนี้จะมาเล่าตอนสองกันต่อไป








Create Date : 06 กันยายน 2554
Last Update : 6 กันยายน 2554 14:39:11 น. 5 comments
Counter : 2568 Pageviews.  
 
 
 
 
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
 
 

โดย: น้อยหมู วันที่: 6 กันยายน 2554 เวลา:16:52:12 น.  

 
 
 
bookmark บล็อกนี้ไว้เลยค่ะ
เพราะตอนนี้เพิ่งลาออกจากงานมาหมาดๆ
 
 

โดย: กาน้ำชากะเชี่ยนหมาก วันที่: 6 กันยายน 2554 เวลา:19:42:23 น.  

 
 
 
รออยู่ค่ะ เราก็กำลังจะตกงาน ...
แต่ ปสกก็ยังน้อย จึงได้แต่หาความรู้เพิ่มเติมค่ะ อิอิ
 
 

โดย: เจ้าหญิง..เท้าเปล่า วันที่: 7 กันยายน 2554 เวลา:6:28:34 น.  

 
 
 
อยากเป็น freelance freelife กับเค้าบ้าง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
 
 

โดย: ดีใจจัง (ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย ) วันที่: 7 กันยายน 2554 เวลา:10:12:27 น.  

 
 
 
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านนะคะ ขุดประสบการณ์ตัวเองมาเล่าให้ฟัง หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังจะก้าวเป็นฟรีแลนซ์ ^ ^
 
 

โดย: แมวดำอำมหิต วันที่: 7 กันยายน 2554 เวลา:12:09:01 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

แมวดำอำมหิต
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฉันรักแมว รักหนังสือ รักดนตรี และอยากเห็นคนบนโลกนี่มีความสุข เกื้อกูล แบ่งปัน ให้แก่กันและกัน
[Add แมวดำอำมหิต's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com